กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 17-04-2011, 18:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ในเรื่องของพุทธบารมี จริง ๆ แล้วท่านป้องกันอันตรายได้ทุกอย่าง แต่ต้องไม่เกินกฎของกรรม ตอนที่สร้างสมเด็จศรีอินทราทิตย์ ญาติโยมเขากลัวแผ่นดินไหวและเขื่อนแตก วัดท่าขนุนอยู่ปากเขื่อนพอดี จึงกราบขอบารมีพระท่านป้องกันเรื่องภัยธรรมชาติให้ด้วย

พระท่านบอกว่า ภัยธรรมชาติส่วนใหญ่เกิดจากการที่เราไปตีบ้านทำลายเมืองเขา ถึงเวลาก็ต้องโดนบ้าง ถ้าไม่รับเลยก็ฝืนกฎของกรรม ถ้ากรรมเก่ามาถึงจริง ๆ ทำให้ต้องเสียหายในส่วนทรัพย์สินและเงินทอง ก็จะให้ชีวิตปลอดภัย เพราะฉะนั้น..พระท่านจะทำแค่ไม่เกินกฎของกรรม ถ้าใครรู้ตัวว่าเคยเกเรไว้มากก็พกหลาย ๆ องค์หน่อย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2019 เมื่อ 16:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 18-04-2011, 20:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : รถอะไรมี ๓๐ วัน ?
ตอบ : รถยนต์มี ๓๐ วัน ถ้ารถคม จะมี ๓๑ วัน ถ้ารถพันธ์ จะมีแค่ ๒๘ วัน..!

เด็กเขาถาม ถ้าไล่ไม่ทันบางทีก็มึน บางทีเด็กเขามีคำถามแปลก ๆ คำถามประเภทลับสมองประลองเชาวน์เหมือนสมัยก่อนไม่ค่อยมี มีแต่คำถามที่กวนบาทา

คำถามสมัยก่อนเขาว่า "สี่ขากินขาเดียว หัวเขียวกินปากอ้า เต่ากินเห็ด เป็ดกินหอย ต้นทายปลายบอก" คืออะไร ? เขาบอกว่าต้นทายปลายบอก

สี่ขากินขาเดียว ก็คือเต่ากินเห็ด หัวเขียวกินปากอ้า ก็คือเป็ดกินหอย เขาเฉลยไว้เสร็จสรรพแล้ว กวนมากเลย ปล่อยให้เราคิดหัวแทบระเบิด หัวเขียวนี่แสดงว่าเป็ดตัวผู้ เป็ดตัวเมียหัวไม่เขียวหรอก

ของโบราณเขาจะมีลักษณะที่ต้องให้คิด แต่ของเด็กปัจจุบันก็ให้คิดเหมือนกัน แต่ให้คิดแบบกวน ๆ ไม่เอาหลักความเป็นจริง ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ ในพระไตรปิฎกมีมากทีเดียว อย่างปัญหาที่นางนาควิกานำมาร้องเป็นเพลงเพื่อให้คนแก้

เรื่องมีอยู่ว่า ท่านเอรกปัตตนาคราชเคยบวชเป็นพระ จำพรรษาอยู่ชายทะเล ๒ หมื่นปี แต่บังเอิญท่านไปพรากตะไคร่น้ำที่เป็นของเขียว ของเขียว ก็คือต้นไม้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังติดอยู่กับที่ ทำให้หลุดออกมาจากฐาน ทำให้ท่านโดนอาบัติ (ศีลขาด) คราวนี้ท่านอยู่คนเดียวไม่รู้จะไปแสดงคืนอาบัติกับใคร จิตใจเศร้าหมองเพราะว่าศีลขาด พอมรณภาพลงก็เลยได้ไปเกิดเป็นพญานาคเท่านั้น

ท่านก็รอพระพุทธเจ้ามาโปรด รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ จนกระทั่งมีลูกโตเป็นสาว ก็เลยแต่งเพลงให้ลูกสาว คือ นางนาควิกา ไปร้องเพลงที่ชายหาด ท่านเองก็คืนเพศเป็นพญานาค ให้นางนาควิกายืนอยู่บนขนด ร้องเพลงอยู่ในทะเลใกล้ชายหาด ใครสามารถแก้ปริศนาเพลงนี้ได้ จะยกนางนาควิกาและสมบัติต่าง ๆ ให้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2011 เมื่อ 02:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 18-04-2011, 21:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หนุ่ม ๆ ไปกันมากมาย ปรากฏว่าอุตรมาณพในอดีตเคยสร้างบุญร่วมกับนางนาควิกา เป็นเนื้อคู่กัน พระพุทธเจ้าเล็งข่ายพระญาณตอนเช้ามืด เห็นว่าสมควรจะไปโปรด จึงเสด็จไปดักทาง อุตตรมาณพเห็นนักบวชก็เข้าไปกราบไหว้

พระพุทธเจ้าท่านก็แสดงให้ทราบว่าท่านเป็นใคร ถามว่า "ท่านอุตรมาณพจะไปไหน ?" นี่จำไว้เลยนะ..ลีลาของพระ..รู้ต้องทำเป็นไม่รู้ไว้ก่อน อุตรมาณพก็บอกว่าจะไปร้องเพลงแก้ปัญหานางนาควิกา พระพุทธเจ้าก็ถามว่า "ท่านจะแก้อย่างไร ?" อุตรมาณพก็ร้องเพลงให้ฟังว่าแต่งมาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ถูก แล้วก็สอนให้ใหม่

อุตรมาณพนำเพลงที่พระพุทธเจ้าสอนให้ไปร้องแก้นางนาควิกาได้ เอรกปัตตนาคราชได้ยินก็ดีใจมาก สะบัดหางจนกลายเป็นคลื่นใหญ่ กวาดคนลงทะเลไปบานเลย ท่านต้องค่อย ๆ เอาหางช้อนคนขึ้นบกมา แล้วจึงแปลงเป็นคน พานางนาควิกาตามอุตรมาณพไป

ด้วยความที่ในอดีตชาติเอรกปัตตนาคราชเคยเป็นพระมาก่อน ท่านบำเพ็ญภาวนามา ๒ หมื่นปี สิ่งที่ท่านแต่งเป็นเพลงคือหลักธรรม คนที่จะแก้ได้คือต้องรู้ธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้ามีคนแก้ได้ แปลว่าพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นแล้วในโลก

เมื่อไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าก็เทศน์โปรด อุตรมาณพได้เป็นพระโสดาบัน นางนาควิกากับเอรกปัตตนาคราชไม่สามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้ เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทำให้ทิพยสมบัติทุกอย่างดีขึ้น

ตรงจุดนี้ เชื่อว่าพวกเราได้ยินมาเยอะแล้ว เคยสงสัยไหมว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ร้องเพลงด้วย ? ไม่ค่อยมีใครคิดกันนะ

ถาม : นึกไม่ออกว่าท่านจะร้องเพลงแบบไหน ?
ตอบ : อย่างไรท่านก็ต้องร้อง ถ้าไม่ร้อง คนหัดจะตามได้ที่ไหน อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการมา แล้วท่านได้ที่ ๑ ทุกอย่างด้วย นักร้อง AF สมัยนี้สู้ท่านไม่ได้หรอก..!

แต่ว่าพระองค์ท่านทำอยู่ในขอบเขต จิตใจของบุคคลที่ปราศจากกิเลสแล้ว สิ่งที่แสดงออกก็เป็นแค่อาการเท่านั้น ไม่ได้เป็นกรรม พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ทำโดยกิริยา ไม่ได้ประกอบไปด้วยรัก โลภ โกรธ หลง กรรมจึงไม่เกิด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2019 เมื่อ 17:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 18-04-2011, 21:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "รู้ไหมว่าปัจจุบันที่อาตมาหาสาวสวยไม่เจอ เพราะดันไปเห็นนางฟ้าเข้า สาวอื่นจึงหมดราคาไปเลย ภาษิตจีนบอกว่า ผ่านทะเล เห็นน้ำไร้ความหมาย คนที่เจอทะเลมาแล้ว แหล่งน้ำอื่น ๆ มีใหญ่เท่าทะเลไหมเล่า ? ไม่มีหรอก อาตมาดันไปเจอของดีเข้า สวยสุด ๆ ไปเลย

บางทีแม่เจ้าประคุณมาเป็นสาวตัดผมบ๊อบ นุ่งยีนส์มาก็มี ขอบอกว่า เวลาพรหมเทวดาท่านกวนเรานี่ ท่านกวนสุด ๆ อย่างที่มีผีหลอก เอาผ้ามาคลุมแล้วกางแขนวิ่งใส่

อาตมาถามว่า "ทำอะไร ?"
"ท่านไม่กลัวหรือ ?"
"ไม่รู้ว่าจะไปกลัวทำไม ?"
"เห็นในหนังเขาทำอย่างนี้ แล้วคนกลัว" ไปเจอผีทันสมัย ดูหนังเสียด้วย

โดยธรรมดา คาดว่าท่านก็คงต้องเรียบร้อย แต่วิสัยเดิมมีอยู่ ถึงเวลานอกทุ่งนอกท่าได้ ก็ไปกันครึกครื้นเลย มีอยู่เที่ยวหนึ่งอาตมาเดินทางกลับจากพระบรมธาตุอินทร์แขวนมาที่เมืองมะละแหม่ง แล้วต่อเข้าเมืองมุด่ง เพื่อเตรียมเดินทางกลับด่านพระเจดีย์ ๓ องค์

ท่านปู่พระอินทร์มาบอกว่า "เช้านี้พ่อติดภารกิจ เดี๋ยวจะให้พี่เขามาแทนนะ" อาตมาก็ว่า "ได้ครับ ใครมาก็ได้" ท่านก็ให้พี่ ๆ มา ๔ - ๕ คน มีพี่เกศแก้วมณี พี่พรทิพย์ พี่พวงทิพย์ พี่พรสวรรค์"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2019 เมื่อ 17:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 18-04-2011, 21:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"นาน ๆ พี่ ๆ เขาได้มาสนุกกันสักที ก็เลยแปลงเป็นพระพม่า ห่มจีวรสีแดงแปร๊ด เอาผ้าจีวรคลุมหัว หัวเราะกันคิกคัก ๆ อยู่บนหลังคารถ อาตมากับครูบาน้อย (พระนาวิน สจฺจญาโณ) เจ้าอาวาสวัดหนองบัว นั่งอยู่หน้ารถคู่กับคนขับ โยมก็อัดอยู่ท้ายรถจนเต็ม พระอาจารย์จันทร์ (พระวิลเลียม จนฺโทภาโส) เจ้าอาวาสวัดซายากง จึงต้องขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังคาคนเดียว

พี่ ๆ ๔-๕ ท่าน ก็สนุกกันใหญ่ ปลอมเป็นพระพม่านั้นไม่มีปัญหาหรอก ไปมีปัญหาตอนจะเข้าเมืองมะละแหม่ง ตำรวจจราจรเขาโบกรถให้หยุด ยึดใบขับขี่ไป คนขับถามว่าข้อหาอะไร ? เขาบอกว่าให้พระอยู่บนหลังคารถมากเกินไป จนอาจจะเป็นอันตรายได้..!

คนขับก็เซ่อรับประทาน เพราะเห็นพระนั่งอยู่รูปเดียว มาบอกว่าพระมากเกินไป คือ ท่านพี่ ๆ ทำให้จราจรเห็น แต่คนขับไม่เห็น คนขับก็บอกว่า "เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมให้ใบขับขี่ไว้ เดี๋ยวผมไปส่งผู้โดยสารที่มุด่งเสร็จแล้วค่อยกลับมาคุยกัน" ตำรวจก็ให้ไป ไม่รู้ว่าป่านนี้คุยกันรู้เรื่องหรือยัง ?!!

คนทั่ว ๆ ไปจะเห็นท่านอาจารย์จันทร์นั่งอยู่รูปเดียว แต่ตำรวจจราจรเห็นพระ ๕-๖ รูปนั่งอยู่ข้างบนหลังคา จึงได้รู้ว่า จริง ๆ แล้ว ท่านก็อยากสนุกเหมือนกัน แต่ว่าพี่ ๆ เหล่านั้น เวลาอยู่ข้างบนเป็นผู้ใหญ่มาก เล่นก็ไม่ได้ คราวนี้พอมีน้องเชิญมา ก็เลยปล่อยเต็มที่ วิสัยเดิมเป็นอย่างไรก็มาอย่างนั้นเลย ชอบสนุก ชอบแกล้งคนอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-04-2011 เมื่อ 15:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 18-04-2011, 21:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของเช็งเม้งหรือเทศกาลไหว้บรรพบุรุษ ถ้าหากว่าผู้ใหญ่ท่านยังอยู่ เราก็ทำไปกับเขา อย่าไปขัดเขา ไปไหว้ร่วมกับเขา พอไหว้เช็งเม้งเสร็จ เราค่อยมาถวายสังฆทานกันทีหลัง

ในส่วนที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี แม้เราจะรู้ว่าไม่ค่อยได้บุญ หรือประเพณีบางอย่างก็แทบไม่มีประโยชน์อานิสงส์เลย แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขายึดถือปฏิบัติกันมานาน เพราะฉะนั้น..อย่าไปขัดเขา เราก็เช็งเม้งด้วย พอเช็งเม้งเสร็จเราก็มาถวายสังฆทานอุทิศให้บรรพบุรุษอีกทีหนึ่ง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2011 เมื่อ 02:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 18-04-2011, 21:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เรื่องของฮวงจุ้ยที่ทำให้เกิดสุสานต่าง ๆ ขึ้นมา คนจีนเขาจะถือว่า ความมั่นคงของสุสานบรรพบุรุษ ก็คือ ความมั่นคงของวงศ์ตระกูลหรือบุตรหลาน

เขาจะเลือกฮวงจุ้ยที่หลังพิงเขา หน้าหันลงน้ำ ถ้าซ้ายขวามีภูเขาขนาบด้วยยิ่งดี แต่ว่าฮวงจุ้ยของเขาจะเป็นแนวเหนือ-ใต้ ยิ่งถ้ามีแนวเขาวิ่งยาวจากเหนือลงใต้จะยิ่งดี และถ้ามาสิ้นสุดลงตรงหน้าแนวเขาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ยิ่งชอบใจ เพราะเขาถือว่าเป็นมังกรลงทะเล มังกรจะแผลงฤทธิ์ได้เต็มที่ก็ตอนอยู่ในทะเล..ใช่ไหม ? เขาจะเลือกหาที่ที่เหมาะสม แล้วไปตั้งฮวงจุ้ย

ปี ๒๕๑๘ ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด ทองคำบาทหนึ่งยังราคาพันกว่าบาทอยู่ ขึ้นเต็มที่ก็ประมาณสองพัน ทางบ้านอาตมาซื้อฮวงจุ้ยหลังละสองหมื่นห้า..! แปลว่าใช้ทองสิบกว่าบาทซื้อพื้นที่แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง แต่ทำเลดี"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2011 เมื่อ 02:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 18-04-2011, 21:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ฝรั่งเขาได้ทำวิจัยแล้ว พบว่าในเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ ผู้หญิงจะมีความอดทนมากกว่าผู้ชายหลายเท่า เพราะธรรมชาติเขาสร้างความอดทนให้แก่ผู้หญิงมากกว่า

ตั้งแต่คลอดลูก สมัยก่อนเขาไม่มียาฉีด ไม่มีการบล็อกหลัง คลอดลูกแต่ละครั้งแทบปางตาย ก็เลยสร้างความอดทนให้เพศหญิงมากกว่า เพราะฉะนั้น..ถ้าอาการป่วยหนักเท่า ๆ กัน ส่วนใหญ่ผู้ชายจะตายก่อน ส่วนผู้หญิงตายยาก..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2011 เมื่อ 02:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 19-04-2011, 11:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อยากทราบรายละเอียดของพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ?
ตอบ : พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ กว้าง ๓๐ โยชน์ ยาว ๖๐ โยชน์ เป็นหินสีแดงแต่ว่าเนื้ออ่อนเหมือนสำลี ถ้านั่งลงจะจมลงประมาณถึงสะดือ นิ่มขนาดนั้น

พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์จะแข็ง ก็ต่อเมื่อบุคคลที่มีศีลมีธรรมในโลกมนุษย์ที่สร้างสมบารมีมาดี มีความเดือดร้อน พระแท่นจะแข็งขึ้นมา พระอินทร์ก็จะส่องทิพเนตรดูว่าเกิดจากอะไร และสามารถช่วยเหลือได้อย่างไร

ฉะนั้น..ถ้าใครอ่านวรรณคดีเรื่องสังข์ทอง อาจจะเคยได้ยินว่า

มาจะกล่าวบทไป.......................ถึงท้าวสหัสนัยน์ไตรตรึงษา
ทิพอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา...........กระด้างดั่งศิลาประหลาดใจ
จะมีเหตุแม่นมั่นในแดนดิน...........อมรินทร์เร่งคิดสงสัย
จึงสอดส่องทิพเนตรดูเหตุภัย........ก็แจ้งใจในนางรจนา ฯลฯ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2011 เมื่อ 18:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 19-04-2011, 11:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "กาแฟเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ๆ เพราะเวลากินเข้าไป จะไปทำให้จังหวะหัวใจเต้นเร็วขึ้น พอหมดฤทธิ์ หัวใจก็กลับมาเต้นเท่าเดิม พอโดนเข้าบ่อย ๆ กลายเป็นว่า หัวใจเต้นผิดปกติโดยอัตโนมัติ ก็จะพังเร็ว เพราะเครื่องเดินรอบไม่เท่ากันบ่อย ๆ

ถ้าใครกินกาแฟเป็นประจำ เตรียมสตางค์ไว้รักษาโรคหัวใจด้วย รับรองว่าได้เจอแน่นอน..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2011 เมื่อ 18:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 19-04-2011, 11:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แผ่นดินจะไหวไปถึงเมื่อไร ? มีอะไรป้องกันได้ ?
ตอบ : วัตถุมงคลทุกอย่างที่เป็นคุณพระกันได้จ้ะ แต่ว่าเราต้องอาราธนาเป็นประจำ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2011 เมื่อ 18:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 19-04-2011, 17:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในบาลีเขาบอกว่า อาหาระนิททัง ภะยะเมถุนัญจะ สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง

อาหาระ คืออาหาร นิททัง คือการนอน ภะยะ คือความกลัว เมถุนะ คือการเสพกาม สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง มีความเสมอเหมือนกันระหว่างบุคคลและสัตว์ ปะสุ ก็คือสัตว์ นะรานัง คือคนทั้งหลาย

ธัมโมหิ เตสัง อะธิโก วิเสโส มีแต่ธรรมะเท่านั้นที่ทำให้แตกต่างกันได้ ธัมเมนะ วีณา ปะสุภิสสะมานา เพราะหลักธรรมของพระพุทธเจ้าจึงทำให้คนต่างไปจากสัตว์

เพราะฉะนั้น..ถ้าเรากลัวภัยก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์มีความกลัวภัยเป็นเรื่องปกติของเขา เมื่อถึงเวลากลัวภัยก็ต้องหาวิธีหนีภัย หลบหลีก ป้องกัน ต่อสู้ แล้วแต่สถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร

เมื่อรังสีจากญี่ปุ่นใกล้มาถึงไทย มีแต่คนโทรหา "มีวัตถุมงคลอะไรที่กันรังสีได้บ้าง ?" ท้ายสุดก็เลยต้องแนะนำพระสมเด็จหางหมากของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกไว้ชัดเจนสุดว่า "รัศมีสี่เมตร รังสีเข้าไม่ได้"

ที่กล่าวไว้ชัด ๆ อีกจุดหนึ่ง ก็เป็นปฐวีธาตุของหลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ตอนที่ท่านเสกเสร็จท่านบอกว่า มีอานุภาพกันรังสีได้ แต่ว่าปฐวีธาตุมีปลอมกันเยอะมาก เพราะในสายตาคนทั่วไปก็เป็นเม็ดกรวดล้างสะอาดหน่อยเท่านั้นเอง

ถ้าไม่ได้รับมาจากมือของคนที่เชื่อถือได้และมีประวัติชัดเจน อย่าไปเสี่ยงเลย เพราะอะไรที่ดังขึ้นมา ตลาดท่าพระจันทร์มีเป็นคันรถในเวลาที่ไม่นาน ตอนนี้ท่าพระจันทร์ปลอมพระกริ่งพิชัยสงคราม เหรียญทำน้ำมนต์ และ พระองค์ที่ ๑๑ ของวัดท่าขนุนกันแล้ว เพียงแต่ฝีมือหยาบไปหน่อย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-01-2019 เมื่อ 19:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 19-04-2011, 18:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่วัดเจดีย์หลวง เขาเก็บพระธาตุของครูบาอาจารย์เอาไว้มาก เก็บไปเก็บมา เก็บของหลวงพ่อวัดท่าซุงด้วย ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน"

ถาม : เอาไว้ที่ไหนครับ ?
ตอบ : ถ้าเราเดินเข้าประตูหน้า จะอยู่ทางด้านหลังซ้ายของเจดีย์ เป็นหอเก็บพระธาตุ

แต่งานของหลวงปู่จันทร์ อลังการจริง ๆ นกหัสดีลิงค์ของหลวงปู่งามมาก ตามความเชื่อของคนโบราณ เขาเชื่อว่านกหัสดีลิงค์จะปรากฏก็ต่อเมื่อมีผู้มีบุญมาเท่านั้น

หัสดีลิงค์ แปลว่า นกที่มีเพศเหมือนช้าง หรือบางคนบอกว่านกที่ตัวใหญ่เท่าช้าง บางคนก็บอกว่าเป็นนกที่กินช้างเป็นอาหาร อย่างสุดท้ายนี่น่ากลัว ใหญ่ขนาดกินช้างเป็นอาหารได้..!

เขาบอกว่าผู้มีบุญจะขี่นกหัสดีลิงค์เพื่อไปสู่ป่าหิมพานต์ นกเขาจะมารับ ดังนั้น..บุคคลซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ โดยเฉพาะบรรดาเจ้าเมืองหรือพระเถระผู้ใหญ่ เมื่อสิ้นชีวิตลง จะมีการสร้างที่ตั้งศพเป็นรูปนกหัสดีลิงค์เพื่อเผาส่งท่าน ในลักษณะว่าท่านเป็นผู้มีบุญขี่นกหัสดีลิงค์ไป

กลายเป็นว่า สร้างสวยเท่าไหนก็ตาม ท้ายสุดก็ต้องเผาไปพร้อมกับท่านด้วย แต่งานของหลวงปู่พระพุทธพจน์วราภรณ์ (จันทร์ กุสโล) มีใครได้ไปบ้างไหม ? เขาสร้างนกหัสดีลิงค์งามมาก ๆ สมกับเกียรติยศของท่านจริง ๆ

รูป
ชนิดของไฟล์: jpg G8786195-2.jpg (64.7 KB, 993 views)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2011 เมื่อ 18:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 19-04-2011, 18:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราเอาภาพที่เคยติดตาเราในอดีตมาร่วมกับในเวลาที่เราฝึกสมาธิ และตามขั้นตอนไป แล้วก็ยกจิตค่อย ๆ นึกไปทีละขั้น อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นกสิณ ? เป็นอนุสติ ? หรือมโนมยิทธิครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจของเรา การที่เรายกภาพในอดีตขึ้นมาและคิดคำนึงตามไป อันดับแรกจะเป็นอนุสติก่อน ถ้าเราจดจ่อมุ่งมั่นอยู่กับภาพนั้นจริง ๆ โดยไม่ย้ายจิตไปไหน จะเป็นการกำหนดของภาพกสิณ

แต่ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ใช่ภาพที่เนื่องด้วยกองกรรมฐาน จะกลายเป็นว่าคุณไปฟุ้งซ่านเรื่องในอดีต จะทำให้กำลังของเราที่สั่งสมเอาไว้ใช้ในการตัดกิเลสเสียไปเปล่า ฉะนั้น...ถ้าไม่ได้เป็นภาพที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติให้ตัดทิ้งไปเลย แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก

ถาม : เวลาผมมองพระแก้วใสหรือว่าพระสีทอง จะรู้สึกว่าจิตใจนั้นมีความสุขเบิกบาน คราวนี้ผมไปเอาภาพตรงนั้นมาเป็นอารมณ์ แล้วจิตคลาย ?
ตอบ : คลายลักษณะไหน ? คลายจากการยึดภาพนั้น ? หรือว่าคลายในลักษณะโปร่งเบา ปล่อยวาง สบาย ?

ถาม : พอเอาภาพนั้นมาเป็นอารมณ์แล้วคลายจากที่หนัก ๆ อยู่ครับ
ตอบ : ลักษณะนั้นแปลว่าสมาธิทรงตัวมากขึ้น การที่เรากำหนดภาพพระแก้วแล้วเรามีความสุข ก็คือลักษณะของการกำหนดอาโลกกสิณ ก็คือ กสิณแสงสว่างนั่นเอง

อย่างสมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านสร้างพระแก้วแล้วฐานปิดทอง ท่านบอกว่าจะได้กสิณสองอย่าง ก็คือได้กสิณแสงสว่างจากเนื้อแก้วที่ใส และก็ได้ปีตกสิณ ก็คือกสิณสีเหลืองจากฐานพระที่ปิดทอง ได้สองอย่างรวมกัน

คราวนี้เวลาเรากำหนดใจแล้ว ด้วยความที่ใจเรารักชอบ ก็เลยทำให้จิตใจเรายอมรับภาพนั้นได้ง่าย อารมณ์ปฏิบัติที่เคยผ่านอยู่ เพราะว่ายังเป็นขั้นตอนต้น ๆ ก็จะก้าวล่วงเข้าสู่สมาธิที่สูงขึ้น ก็จะรู้สึกว่าเบาลง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-04-2011 เมื่อ 19:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 19-04-2011, 21:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พอจังหวะนั้น ตัวผมลองนึกตาม เช่น นึกถึงสวรรค์ ก็เบาขึ้นระดับหนึ่ง นึกถึงพรหมก็เบาขึ้นอีก พอนึกถึงพระนิพพานก็เบาสว่างดี
ตอบ : เพราะว่าแต่ละระดับ ความหยาบละเอียดไม่เหมือนกัน สวรรค์ละเอียดกว่าภพภูมิทิพย์ชั้นต่ำอื่น ๆ อย่างเช่น นรก เปรต อสุรกาย เป็นต้น พรหมละเอียดกว่าสวรรค์ ส่วนพระนิพพานละเอียดกว่าพรหมจนประมาณไม่ได้ ถ้าเรายกจิตขึ้นไปตามลำดับจริง ๆ ก็จะมีความเบาขึ้นไปตามลำดับที่เราไปถึง

ถาม : แต่ว่าส่วนตัวผมไม่ทราบรายละเอียดต่าง ๆ ในสวรรค์ ในพรหม
ตอบ : ไม่ต้อง..เอาใจไปจดจ่ออยู่ที่พระนิพพานถือเป็นอุปสมานุสติไปก่อน ถ้าเราไม่ดิ้นรนอยากรู้อยากเห็นมากนัก จิตใจปล่อยวาง พอนิ่งได้ระดับการรู้เห็นจะปรากฏเอง ถ้าหากว่าทำแล้วยังอยากรู้เห็น ก็เหมือนกับน้ำที่กระเพื่อมอยู่ ยังไม่นิ่ง เมื่อไม่นิ่งก็ไม่สามารถที่จะมองอะไรเห็นได้

ถาม : ขณะที่เข้าสมาธิอยู่ เกิดระลึกชาติขึ้นมาได้ ผมรู้ว่าชาติที่เรานึกไปได้ จิตปัจจุบันเกิดสติขาดแล้วเราก็ไปตามในอารมณ์นั้น ถ้าจิตปัจจุบันกำลังคล้อยตามกับอารมณ์ในอดีต อย่างเรานึกว่าเราได้เป็นนักรบ มีโทสะตอนนั้น จิตเราดับตายตอนนั้น ก็คือไปตามอารมณ์ขณะนั้นที่ดับ ?
ตอบ : ขอบอกว่า ถ้าคุณระลึกชาติแล้ว ความรู้สึกไม่ไปด้วยแสดงว่าเป็นของปลอม..!

ถ้าระลึกชาติแล้วเห็นจริง ๆ ความรู้สึกของเราจะเป็นบุคคลหรือสัตว์นั้นจริง ๆ สิ่งที่เป็นรักโลภ โกรธ หลง ของคน ๆ นั้น เราจะรับรู้ได้อย่างเต็มที่เลย ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น ก็เชื่อว่าระลึกชาติได้จริง แต่ถ้าหากเราสักแต่ว่ามองเห็น ยังไม่แน่ว่าจะใช่ จริง ๆ แล้วอารมณ์ต้องเป็นไปตามนั้นด้วย

แต่ขอให้คุณมั่นใจว่า ถ้าคุณเห็นจริง ๆ ตอนนั้น แปลว่าคุณใช้กำลังของฌานสมาบัติไปรู้เห็น ฌานสมาบัติที่คุมอยู่ถ้าเราตายตอนนั้นจะไปตามกำลังฌานที่เราได้ ยกเว้นว่าเกิดความบังเอิญ อดีตทำกรรมไว้เยอะ ถึงเวลาภาพปรากฏขึ้น แล้วไปรัก โลภ โกรธ หลงตามนั้น โดยที่ไม่ได้ตั้งท่าปฏิบัติ ไม่ได้ตั้งกำลังใจให้ทรงตัวก่อน ถ้าตายตอนนั้นก็ไปตามกำลังใจของตนเองตอนนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-04-2011 เมื่อ 12:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 19-04-2011, 23:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เคยมีโยมอยู่คนหนึ่งเขาฝึกกสิณลม เวลาเขาหิวข้าว เขาจะใช้กสิณลมแทน ผมอยากทราบว่า ในเมื่อเราไม่หิว ทำไมเราไม่จับภาพนิมิตอาหารเป็นอารมณ์ไปเลยครับ ?
ตอบ : ถ้าหากคนหิวแล้วไปนึกถึงภาพอาหาร ก็จะยิ่งกระตุ้นความหิวให้มากขึ้น แต่ลักษณะที่เขาทำ เป็นการย้ำตัวเองให้อยู่ในระดับปีติ ซึ่งจะทำให้อิ่มเอิบ ไม่หิว

เพราะฉะนั้น..ไม่ใช่แต่กสิณลมที่คุณว่าเท่านั้นจึงทำได้ ถ้าการปฏิบัติของคุณถึง สามารถรั้งอยู่ในระดับปีติได้ ก็จะรู้สึกอิ่มโดยไม่หิวเหมือนกัน โบราณเขาเรียกว่า อยู่ด้วยธรรมปีติ แต่ถ้าไปนึกถึงภาพอาหารก็จะยิ่งหิวหนักขึ้น เพราะอยากกิน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2011 เมื่อ 02:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 19-04-2011, 23:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่ภาวนาคาถาเงินล้านบ่อย ๆ ความคล่องตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ ความคล่องตัวในเรื่องของกิจการงาน หรือการทำมาหากินของเรา เพราะบทคาถาที่ว่า พรัหมา จะ มะหาเทวา สัพเพยักขา ปะลายันติ เป็นคาถาปัดอุปสรรคโดยเฉพาะ ทีนี้เราไม่ได้ภาวนาบทเดียว ภาวนาทุกบทเลย เอาให้รวยไปเลย

วันก่อนมีโยมคนหนึ่งถามปัญหา อาตมาฟังแล้วก็ขำ เขาบอกว่าตั้งแต่ภาวนาคาถาเงินล้านมามีความคล่องตัวทุกอย่าง แต่ไม่รวยสักที..! อยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้น นี่ยังไม่รวยใช่ไหม ? เขาคงอยากจะให้เงินทับตายก่อนจึงค่อยเรียกว่ารวย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2011 เมื่อ 02:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #58  
เก่า 19-04-2011, 23:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่คนมาบ้านวิริยบารมีน้อย เกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือ มาตั้งแต่วันเปิดบ้านแล้ว สาเหตุที่สอง เพราะว่าทางสลับซับซ้อนก็เลยไม่คิดที่จะมากัน สาเหตุที่สาม แค่รู้ว่าไปยากก็ท้อแล้ว บ้านนี้ชื่อวิริยะ แปลว่า ต้องเพียรพยายามถึงจะมาได้"

ถาม : แต่ถ้าเป็นบ้านอนุสาวรีย์คนก็คงเต็มเหมือนกัน
ตอบ : คนจะมากจะน้อยก็ไม่เป็นไร คนน้อยเป็นเรื่องดีเพราะเราไม่เหนื่อยมาก คนจำนวนมากเท่าไรก็ตาม ถ้าเขามาแล้วหวังพึ่งพาเราอย่างเดียว ก็เหมือนกับตู้รถไฟ พ่วงมากไปเรื่อย ๆ หัวรถจักรก็เหนื่อยตายชักเลย

ยิ่งน้อยยิ่งดี โดยเฉพาะถ้าเขามามาก ทำบุญมาก ก็ยิ่งเหนื่อยมาก เพราะได้ปัจจัยมาเท่าไร ก็ต้องก่อสร้างเป็นบุญให้เขา มาน้อย ๆ อาตมาปลอดภัยที่สุด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 20-01-2019 เมื่อ 22:51 เหตุผล: โบกี้รถไฟ = ตู้รถไฟ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #59  
เก่า 19-04-2011, 23:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลที่เกิดมาแล้วได้พบกัน มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ในอดีตไม่เคยเกิดมาเจอกันนั้นไม่มี แรงบุญแรงกรรมที่เคยสร้างร่วมกันมาในอดีต จะชักจูงกันมาให้เจอกันในชาติปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้น..ทุกคนมักจะรู้สึกว่า เรามีความคุ้นเคยกันอยู่แล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2019 เมื่อ 08:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #60  
เก่า 19-04-2011, 23:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,171 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หนูดูทีวีแล้ว คุณผัดไทที่เป็นดารา เขาบอกว่าเขาเคยไม่สบายมากเหมือนเขาตาย เขาเห็นเป็นภาพอยู่ในโบสถ์สีขาว ๆ ทุกอย่างเป็นแบบศาสนาคริสต์ของเขา ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิตของเราหรือคะ ทำไมเขาเห็นเป็นแบบนั้น ?
ตอบ : การที่เห็นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความเชื่อ และวัฒนธรรมประเพณีที่สืบต่อกันมา แต่ความจริงแล้ว ก็คือนรกเดียวกัน สวรรค์เดียวกัน ถ้าเป็นเทวดาของไทย เราเคยชินว่ามีสภาพไหน ถ้าท่านแสดงสภาพอื่น เราก็ไม่รู้ว่าเป็นท่าน จึงต้องแสดงแบบนั้น แต่ว่าเทวดาองค์เดียวกัน ถ้าไปหาคนคริสต์ เขาก็ต้องห่มผ้าขาว มีวงแหวนสว่างอยู่บนหัว ไม่อย่างนั้นก็จะไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็ต้องแสดงไปตามความเชื่อถือของเขา

ถาม : ทำไมไปพระนิพพานจะต้องเป็นเครื่องทรงแบบไทยด้วย
ตอบ : อยู่ที่เราเห็นอย่างนั้น บางทีเราขึ้นไปท่านก็แต่งตัวธรรมดา ถือว่าเราเป็นลูกเป็นหลาน แต่งตามสบายก็ได้ แต่ถ้าเต็มสูตรเต็มบารมีของท่านจะเป็นอย่างนั้น และเต็มสูตรเต็มบารมีของแต่ละท่านก็ไม่เท่ากันด้วย

ถาม : ทำไมเครื่องทรงต้องเหมือนประเทศไทย ทำไมไม่เป็นแบบอินเดียที่ห่มส่าหรี ?
ตอบ : บอกแล้วว่าของจริงก็คือของจริง ถ้าของจริงเราเห็นได้ละเอียดแค่ไหน เราก็จะเก็บรายละเอียดได้มากเท่านั้น และขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อถือของเขา บุคคลที่เป็นใหญ่ ผู้ที่สูงส่งอย่างกษัตริย์ของเขานิยมการแต่งตัวอย่างไร เขาก็จะเอาอุปาทานตรงนั้นไปจับด้วย ทำให้คิดว่าควรจะเป็นอย่างนั้น

ในเมื่อควรจะเป็นอย่างนั้น ท่านก็ต้องแสดงให้เห็นอย่างนั้นจึงจะเชื่อ แบบเดียวกับที่พระพุทธเจ้าต้องแสดงองค์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเพื่อปราบพระยาชมพูบดี เพราะว่าถ้ายังแสดงองค์เป็นพระพุทธเจ้าอยู่ พระยาชมพูบดีก็จะไม่เชื่อ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2019 เมื่อ 08:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:51



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว