กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #101  
เก่า 19-06-2015, 14:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ให้เหล้าผิดข้อธรรมไหมครับ ?
ตอบ : การให้เหล้าเป็นทาน เป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ พระพุทธเจ้าตรัสถึงเวสสันดรชาดก ว่าพระเวสสันดรขอทำทานครั้งใหญ่ มีการให้เหล้าแก่นักเลงสุรา พระอานนท์ทูลถามว่า ให้เหล้าในลักษณะอย่างนั้นจะมีอานิสงส์อะไร ? พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ ในเมื่อเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์แล้วพระองค์ทำไปเพื่ออะไร ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระเวสสันดรต้องการที่จะให้ทานอันเป็นที่ชอบใจของบุคคลทุกคน สำหรับนักเลงสุราแล้ว ถ้าให้อย่างอื่นก็ไม่ชอบใจ ก็ต้องให้เหล้าเท่านั้น แต่การที่ให้ไปก็ไม่ได้บังคับเขาว่าต้องกินเหล้านั้น เขาจะเอาไปทำอะไรนั้นท่านไม่รับรู้แล้ว

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ เพราะว่าให้สิ่งที่ผิดศีลธรรม แต่ให้เพราะเขาชอบใจอย่างนั้น พระองค์ท่านตัดลงแค่ว่ามีหน้าที่ให้ เมื่อให้ก็จบแล้ว


ถาม : ถ้าให้เขาแล้วบอกว่าไปกิน จะได้ลืมความทุกข์ ?
ตอบ : อย่างนั้นก็เจริญ เท่ากับว่าส่งเสริมเขา อยู่ในลักษณะที่ว่ายุยงให้ผู้อื่นผิดศีล

ถาม : แล้วทำให้เขาหลง เสียสติ ?
ตอบ : สุรายาเสพติดทำให้ขาดสติเป็นปกติ เพราะอย่างนั้นถึงได้ไปผิดในส่วนของศีลธรรม ก็คือคนทั่วไปไม่มีใครอยากขาดสติหรือเสียสติ เราเห็นคนบ้าเราก็ถอยหนีแล้ว ก็แปลว่าเราไม่อยากบ้า ฉะนั้น..ในเรื่องของศีลก็คือห้ามในสิ่งที่ทุกคนไม่มีใครอยากให้คนอื่นทำกับตน เราไม่อยากให้ใครเขาฆ่าเรา ท่านถึงได้ห้ามไม่ให้เราไปฆ่าใคร ไม่อยากให้เขามาลักขโมยเรา ท่านถึงได้ห้ามไม่ให้เราไปลักขโมยใคร ไม่อยากให้เขามาละเมิดคนที่เรารัก ของที่เรารัก ท่านจึงห้ามไม่ให้เราไปละเมิดคนที่เขารัก ของที่เขารัก ไม่อยากฟังในเรื่องที่โกหกมดเท็จ ท่านก็ห้ามไม่ให้เราพูดปด ไม่อยากที่จะเสียสติ ขาดสติ ก็ห้ามไม่ให้เราดื่มสุราหรือว่าติดยาเสพติด เป็นต้น

ธรรมชาติคนเขาต้องการอย่างนั้น เราไปฝืนธรรมชาติก็เลยกลายเป็นผิด เพราะฉะนั้น..สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติขึ้นมา จริง ๆ แล้วก็คือแค่ควบคุมให้ดีขึ้น ถ้าคนไหนตั้งใจงดเว้นก็เป็นอานิสงส์เฉพาะตนไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-06-2015 เมื่อ 17:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #102  
เก่า 19-06-2015, 14:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำให้เขาเข้าใจผิดว่าของนี้ดี แทนที่จะทำให้เขาเห็นทุกข์ จะเป็นการผิดข้อธรรมด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ที่อาตมาบอกว่า “ศีลเป็นพื้นฐานของความดีทั้งปวง” ข้อแรก ก็คือ เป็นเครื่องประกันชีวิต ถ้าทุกคนรักษาศีล ก็ไม่มีการฆ่ากันใช่ไหม ? ประกันว่าคุณอยู่จนแก่ตาย ข้อที่สอง เป็นการประกันทรัพย์สมบัติของเรา ว่าจะไม่สูญหายไปด้วยน้ำมือของคนอื่น ข้อที่สาม เป็นการประกันความมั่นคงในครอบครัว ในเมื่อไม่มีการละเมิดศีลกันก็ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ข้อที่สี่ เป็นการประกันความมั่นคงของสังคม เพราะทุกคนซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน ส่วนข้อที่ห้า อันนี้ปกติเราทำกันเยอะ คือประกันสุขภาพ ไม่กินเหล้าไม่ค่อยป่วยหรอก

ฉะนั้น..ศีลก็เลยกลายเป็นเครื่องประกัน เป็นพื้นฐานของความดี แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วคนเราก็มักจะกลัวประกันกัน ใครทำงานบริษัทประกันชีวิตไม่ต้องเอาอาตมาไปเทศน์เรื่องนี้นะ ไปเทศน์กันเองก็แล้วกัน เดี๋ยวจะกลายเป็นตูสนับสนุนให้ลูกศิษย์ขายประกัน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-06-2015 เมื่อ 17:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #103  
เก่า 19-06-2015, 14:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนขายประกันนี่ต้องประพฤติตนอย่างไร ?
ตอบ : แนะนำในสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เขา อาตมารู้จักโยมคนหนึ่ง ทำงานบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต ทำยอดสูงสุดของภาคเหนือทุกปี เที่ยวต่างประเทศจนเบื่อแล้วเพราะเขาได้รางวัลทุกปี เขารับผิดชอบต่องานของเขา ต้องบอกว่าทุกอาทิตย์ลูกค้าจะได้เห็นหน้าเขา เขาตระเวนไปหาอยู่ตลอด ไปเยี่ยมเยือนถามไถ่ มีอะไรเล็กน้อยแค่ไหนถ้าพอเคลมประกันได้เขาจะทำให้ทันที ก็เลยทำให้ชื่อเสียงของเขาดีขึ้น ๆ จนกระทั่งท้ายสุดทุกคนอยากทำประกันกับคนนี้ กลายเป็นว่าคราวนี้เขาไม่ต้องไปไหน มีแต่ลูกค้าวิ่งมาหา ก็เลยต้องเอาสามีออกจากการรับราชการเป็นครู มาช่วยงานด้วย

คราวนี้พองานกว้างออกไปอีก ลูกสาวคนที่ ๑ คนที่ ๒ คนที่ ๓ พูดง่าย ๆ ว่าต้องออกมาทำงานกันทั้งครอบครัว เพราะการที่เอาใจใส่ลูกค้า ต้องได้เห็นหน้าทุกอาทิตย์ ใครทำได้บ้าง ? แล้วเขามีความจริงใจมาก เจ็บไข้ได้ป่วยเล็กน้อยขนาดไหน ถ้ามีใบรับรองแพทย์มาจะเคลมประกันให้ทันที แล้วก็เขานี่แหละ..ที่ไปทะเลาะกับบรรดาพวกเจ้านายที่สำนักงานใหญ่บอกว่า “เขาประกัน เขาต้องเคลมได้สิ จะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เขามีเอกสารคุณก็จ่ายมาก็แล้วกัน ทำไมต้องถามด้วย” เขาต่อสู้เพื่อลูกค้า ในเมื่อรักษาผลประโยชน์ให้ ลูกค้าก็ติดใจ ถึงเวลาเขาบอกกันปากต่อปากดีกว่าอะไรทั้งหมด บอกแล้วว่าการโฆษณาที่ดีที่สุด ก็คือการทำลูกค้าติดใจแล้วบอกกันปากต่อปาก

ปัจจุบันนี้คุณสามีตายแล้ว ตัวเองก็เป็นมะเร็งเพราะคงเครียดกับงาน ตอนนี้ก็ต้องเอาลูกเขยเอาหลานมาช่วยงาน ไม่มีลูกชาย ต้องบอกว่าเขามีหลักธรรมโดยที่เขาไม่รู้ตัว ก็คือการรับผิดชอบต่อหน้าที่ ตรงต่อหน้าที่การงานของตนเอง มีฉันทะคือความพอใจที่จะทำเช่นนั้น มีวิริยะพากเพียรทำไป สมัยแรก ๆ ก็ขี่มอเตอร์ไซค์วนเวียนไปหาลูกค้าทุกวัน ไปคุยสารทุกข์สุขดิบสัก ๒๐-๓๐ นาทีแล้วก็วิ่งไปหาลูกค้าคนต่อไป บ้านไหนมีคนแก่ ก็มีข้าวของเล็ก ๆ น้อยๆ ติดไม้ติดมือไปฝากเขา

ทำตนเหมือนลูกเหมือนหลาน รักษาผลประโยชน์ให้ปู่ย่าตายาย ตอนหลังต้องขี่เบนซ์ตระเวนไป แล้วเรื่องแบบนี้ก็เป็นเรื่องแปลก เหมือนอย่างกับว่าข่ายงานยิ่งแผ่ออกไปกว้างเท่าไร ตัวเองก็เหนื่อยน้อยลง แต่ขณะเดียวกันรายรับกลับมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไปได้ส่วนแบ่งจากคนอื่นด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-06-2015 เมื่อ 03:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #104  
เก่า 19-06-2015, 15:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หนังสือธรรมะ หนังสือสวดมนต์ หากเสียหายฉีกขาดควรทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : จุดธูปขอขมาพระแล้วก็เผาไปเลย ต่อให้เป็นรูปพระก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าเก่าแล้วรักษาไม่อยู่ ก็กราบขอขมาพระแล้วกราบขออนุญาตจำเริญด้วยไฟ โบราณเขาให้ลอยน้ำหรือเผาไฟ เขาเรียกว่าจำเริญ มักจะนิยมลอยน้ำ เพราะเขาคิดว่าเย็นดี คาดว่ามีส่วนมาจากทางด้านศาสนาพราหมณ์ จะเห็นว่าชฎิล ๓ พี่น้องพร้อมกับบริวาร ถึงเวลาก็ลอยบริขารไปแล้วก็บวชในศาสนาพุทธ ท่านบูชาไฟมาก่อนก็เลยเลือกว่าจะเผาดีหรือจะลอยน้ำดี

อย่างที่โยมว่ามาก็เผาดีกว่า อย่าลืมขอขมาพระรัตนตรัยด้วย อย่าให้ใครเขาถ่ายรูปตอนเผาไว้ก็แล้วกัน เดี๋ยวจะโดนข้อหาเหยียบย่ำพุทธศาสนา..ใช่ไหม ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-06-2015 เมื่อ 03:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #105  
เก่า 21-06-2015, 15:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ความคิดก็เป็นพลังงาน คำพูดก็เป็นพลังงาน การกระทำก็เป็นพลังงาน พลังงานเหล่านี้ในด้านที่ดี ถ้ารวมกันก็จะอยู่ในลักษณะของความหนักแน่น มั่นคง สามารถที่จะตรึงหรือทำให้สิ่งไม่ดีต่าง ๆ เคลื่อนไหวได้น้อย ภัยธรรมชาติต่าง ๆ ก็มีน้อย

แต่ประชากรจะหกพันล้านอยู่แล้ว ที่คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี มีมากกว่าจนประมาณไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นว่า เป็นภาระอันหนักที่พวกเราควรจะรักษา กาย วาจา ใจ ของเรา ให้อยู่ในด้านดีไว้ อย่างน้อย ๆ จะได้มีเรี่ยวมีแรงเพียงพอที่จะไปคานเขาไว้บ้าง

ถ้าดูตัวอย่างภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ อย่างช่วงที่ผ่านมาก็แผ่นดินไหวที่เนปาล คนเจ็บคนตาย ทรัพย์สินเสียหาย เดือดร้อนกันไปทั้งบ้านทั้งเมือง บ้านเราเมืองเราถ้าแค่ร้อนแค่หนาวแล้วก็ยังพอสู้กันไหว ถ้าอยู่ ๆ เจอแบบนั้นบ้างก็จะลำบากมาก โดยเฉพาะวัดท่าขนุนอยู่ปากเขื่อนเลย ถ้าเขื่อนแตก
ตูมเดียวนี่ ถึงรู้ข่าวเดี๋ยวนั้นก็หนีไม่ทัน..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2015 เมื่อ 15:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #106  
เก่า 21-06-2015, 16:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สังฆทานใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ได้หรือไม่ครับ ? (พระถาม)
ตอบ : ได้อยู่..แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องสมเหตุตนก็เพลา ๆ ไว้หน่อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2015 เมื่อ 17:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #107  
เก่า 21-06-2015, 16:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำไมพระที่รับเงินทอง จึงโดนตำหนิ ?
ตอบ : พระเป็นผู้สละแล้วซึ่งทุกอย่างเพื่อความหลุดพ้น อยู่ ๆ ไปสะสมเงินทองหรือทรัพย์สมบัติ ก็ไม่ใช่ยังความเลื่อมใสของบุคคลอื่น โบราณท่านบอกว่า "เป็นพระต้องจน เป็นคนต้องรวย" เขาจึงจะนับถือ

ถาม : ถ้าจะบอกว่า เป็นการรับเพื่อสร้างความเลื่อมใสให้แก่ผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..พระรับเงินในปัจจุบันนี้ผิดข้อบัญญัติของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว แต่เนื่องจากสภาพสังคมเปลี่ยนไป พระเราไม่สามารถที่จะอยู่ได้โดยที่ไม่ได้ใช้เงินทอง ไม่ว่าเป็นค่าอาหาร ค่ารถ ค่ารักษาพยาบาล ก็เลยจำเป็นที่จะต้องรับเงินขึ้นมา แต่ในเมื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้ยกเลิกสิกขาบทนี้ ก็แปลว่าผิด ถ้าจะถามว่าผิดไหม ? ผิดแน่ ถ้าถามว่าไม่รับแล้วอยู่ได้ไหม ? อยู่ได้เหมือนกัน แต่ต้องมีโยมคอยตามสงเคราะห์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าพระสองแสนกว่ารูป ต้องคอยโยมสองแสนกว่าคนมาสงเคราะห์พระก็เกินไป

ถาม : เงินที่ถวายเป็นส่วนตัวใช้อะไรได้บ้างคะ ?
ตอบ : ค่ารถ ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล สงเคราะห์ผู้อื่น นอกนั้นแล้วก็เอาเข้ากองกลางเสียดี ๆ

ถาม : แล้วถ้าพระเอามาบูชาวัตถุมงคล ก็ถือว่าวัตถุมงคลนั้นเป็นของสงฆ์หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าได้มาตอนเป็นพระอยู่ จัดเป็นของสงฆ์ทั้งนั้น พยายามดูเรื่องวัตถุมงคลด้วย ว่าเขามีวัตถุประสงค์อะไร จะได้ไม่เผลอไปใช้จ่ายผิดประเภทอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2015 เมื่อ 17:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #108  
เก่า 22-06-2015, 17:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ชัด).... หนูข้องใจมากเลย ?
ตอบ : ไม่มีประโยชน์ที่จะถามกัน เพราะเป็นไปตามระดับปัญญา ถ้าคนที่มีปัญญาสูง มีภูมิธรรมสูง ก็ตีความสูง คนที่ภูมิธรรมต่ำ มีปัญญาต่ำ ก็ตีความต่ำ ขึ้นอยู่กับระดับปัญญาของคน เราไม่สามารถไปจำกัดว่าเขาอยู่ระดับไหน

แบบเดียวกับที่นิทานเซ็นเล่าว่า มีเจ้าอาวาสท่านหนึ่งที่เก่งธรรมะมาก เขามีกติกาว่า ถ้ามีคนมาถามคำถามก็ต้องตอบ ถ้าสู้เขาไม่ได้ก็ต้องสละวัดให้เขา วันนั้นน้องชายเจ้าอาวาสมาเยี่ยม เจ้าอาวาสก็เห็นว่าไหน ๆ น้องชายมาเยี่ยมแล้ว ก็เฝ้าวัดแทนชั่วคราว ตนเองจะได้ไปเยี่ยมครอบครัวบ้าง..แล้วก็ไป น้องชายเจ้าอาวาสนั่นเป็นคนตาบอดข้างหนึ่ง

พอพี่ชายเดินทางไปได้ไม่กี่วัน ก็มีพระขอเข้ามาเพื่อถามปัญหาธรรม ด้วยความที่ตัวเองดูแลวัดอยู่ก็ต้องยอมต้อนรับเขา พอเขามาถึง เขาก็ยกมือขึ้นนิ้วหนึ่ง น้องชายเจ้าอาวาสก็ยกสองนิ้ว เขาก็ยกมาสามนิ้ว น้องชายเจ้าอาวาสก็กำมือให้ เขาตีความเสร็จสรรพ ก็กราบลาและกลับไป พอลงจากเขาไปเจอพี่ชายที่เป็นเจ้าอาวาสผ่านมาพอดี พระพี่ชายถามว่า "ขึ้นไปทำธุระอะไร ?" พระอาคันตุกะบอกว่า "ผมมาถามปัญหาเซ็น พระตาเดียวที่อยู่ในวัดมีปัญญาลึกล้ำมาก ผมจึงยอมแพ้ ต้องกลับลงมา"

เจ้าอาวาสก็แปลกใจ พระน้องชายตนเองไม่เป็นมวยอะไรสักอย่าง แต่ทำไมถึงมีปัญญาลึกในเรื่องของเซ็น จึงถามว่า "คุณถามว่าอะไร ?" พระอาคันตุกะบอกว่า "ผมยกนิ้วขึ้นมานิ้วเดียว แปลว่า สรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่ง พระรูปนั้นยกมาสองนิ้ว แปลว่า มีหนึ่งก็ต้องมีสอง ผมยกสามนิ้วบอกว่า มีสองก็ต้องไม่เกินสาม เพราะทุกอย่างอยู่ในไตรลักษณ์ ท่านก็กำมือเป็นกำปั้น แปลว่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่อนัตตา คือเป็นศูนย์
ผมแพ้..ผมก็เลยต้องกลับลงมา" เจ้าอาวาสท่านฟังแล้วก็ยังงง ๆ อยู่

พอกลับไปเจอพระน้องชายกำลังเดินงุ่นง่านอยู่หน้าโบสถ์ จึงถามว่า "มีคนถามปัญหาใช่หรือไม่ ?" พระน้องชายบอกว่า "ใช่..ไอ้นี่เสียมารยาทมาก พอมาถึงก็ยกนิ้วหนึ่งนิ้ว บอกว่าผมมีตาข้างเดียว ผมโมโหก็อุตส่าห์รักษามารยาท ยกสองนิ้วบอกไปว่า เอ็งโชคดีที่มีสองตา เขายังเยาะเย้ยผมอีกด้วยการยกสามนิ้วว่า รวมกันสองคนก็มีแค่สามตาเท่านั้น ผมยกกำปั้นจะต่อยหน้า เขา
ดันกราบผม ผมยังงง ๆ อยู่เขาก็ไปแล้ว"

คราวนี้เข้าใจหรือยังว่าธรรมะเป็นไปตามระดับปัญญาคน ฉะนั้น..จะไปบอกว่าเขาทำถึงไหน ตอบไม่ได้หรอก ขึ้นอยู่กับปัญญาของคนนั้น แปลว่าเราอย่าไปยกกำปั้นใส่หน้าใครก็พอ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2015 เมื่อ 03:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #109  
เก่า 22-06-2015, 17:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เขาพูดถึงการบรรลุธรรม ?
ตอบ : ต้องบอกว่าแล้วแต่ระดับของเขา ตรงนี้ที่เขาเรียกการบรรลุธรรมว่า "ซาโตริ" บางท่านบอกว่าซาโตริเกิดขึ้นได้ครั้งเดียว แต่บางท่านบอกว่าเกิดแล้วเกิดเล่า เกิดจนนับครั้งไม่ถ้วน ถูกทั้งคู่ คนที่ซาโตริครั้งเดียว คือเข้าถึงหลักธรรมชั้นสูงไปเลย คนที่เกิดซาโตริแล้วเกิดอีก อาจจะเป็นอุปจารสมาธิ แล้วมาปฐมฌาน ฌานสอง ฌานสาม ฌานสี่ ไล่ไปเรื่อย

คนที่ต่างระดับกัน ไปคุยกันก็เถียงกันตาย เราไม่ต้องเสียเวลาไปเถียงกับเขาหรอก ปล่อยเขาไปเถอะ

เป็นการบรรลุธรรมของเขา จริง ๆ แล้วก็คือ ลักษณะการตื่นรู้หรือเข้าถึงธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่แน่..บางคนก็แค่ทรงฌานได้ พอเข้าถึงตรงนั้นก็เข้าใจว่าตนเองได้อะไรแล้ว จึงถือว่าเป็นการซาโตริ


ถาม : เขาปล่อยวางได้ แบบไม่สนใจคนอื่น ?
ตอบ : แค่ตรงนั้นเดี๋ยวนั้น

ถาม : หรือคะ ? ไม่ใช่ทั้งวันหรือคะ ? แบบเอาไปวางใส่คนอื่น ?
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ การวางใส่หัวคนอื่นนั่นไม่ใช่หลักธรรม

ถาม : คือเขาไม่ได้ตั้งใจ จะถือว่าเป็นเครื่องรู้ ?
ตอบ : เป็นระดับหนึ่งของการพัฒนา ตราบใดที่ยังก้าวข้ามไม่ได้ ก็จะยังเป็นอย่างนั้นอยู่ จนกว่าเขาจะเห็นว่าสิ่งนี้ยังไม่ดีจริง แล้วก็กลับตัวใหม่ เพราะดีแค่ตอนนี้ ดีแค่เดี๋ยวนี้ แล้วเขาก็จะไปยึดมั่นถือมั่นว่าตรงนั้นใช่ แต่พอก้าวไปถึงตรงนั้นจะว่าดีกว่านี้ เขาก็จะไปยึดมั่นตรงนั้นอีกว่าดีกว่า ตรงนี้ไม่ใช่ กว่าจะก้าวข้ามได้ก็นาน ฉะนั้น..บางช่วงต้องรอการขัดเกลาก่อน ถ้าเกลาไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว ก็อาจจะโดนคนด่าบ้าง ว่าบ้าง หรือถึงกับมีการลงไม้ลงมือก็ได้

ถาม : พร้อมจะมีเมตตาต่อตนเองและคนรอบข้าง ?
ตอบ : จะมีปัญญารู้ว่าอะไรที่เหมาะกับกาละ คือเวลานั้น กับเทศะคือสถานที่นั้น แล้วก็ทำในสิ่งที่เหมาะที่ควร ที่ไม่ตรงกับกาลเทศะก็ทิ้ง ๆ ไปบ้างเถอะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2015 เมื่อ 03:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #110  
เก่า 22-06-2015, 18:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในเรื่องการทำงาน บางทีการปฏิบัติธรรมก็ไม่อยู่ตัว ?
ตอบ : เรื่องของหลักธรรม ต้องโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย ถ้าโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสียถึงจะใช่ ถ้าทำแบบไม่เห็นหัวคนเลย นั่นเป็นจริตนิสัยของบุคคลธรรมดา

ถาม : ปฏิบัติธรรมไม่ให้กระทบกับผู้อื่น ?
ตอบ : ต้องพยายามปรับให้พอดี เอาศีลเป็นกรอบ ไปแค่สุดขอบของศีลพอ หลังจากนั้นสมาธิดีขึ้นจะมีปัญญา รู้จักซอกซอนไปเอง เหมือนอย่างกับปลาไหล ถึงเวลาก็มุดไปได้เรื่อย แต่ถ้ายังไม่ถึงระดับนั้นก็อดที่จะขัดกับทางโลกไม่ได้ เพราะว่าสวนกระแสคนอื่น

อีกอย่างหนึ่งต้องละ อีกอย่างหนึ่งต้องเอา หลวงปู่มหาอำพันเคยบอกว่า "ถ้าคิดว่าเราจะบรรลุธรรม ก็ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ถ้าคิดว่าเราจะอยู่ในโลกนี้ ก็ต้องกอบโกยทุกสิ่งทุกอย่าง" ตรงกันข้าม สวนกระแสกัน ฉะนั้น..เราเองก็ต้องปรับให้พอดี พอดีเมื่อไรก็จะไปได้ ถ้าไม่พอดีก็สะดุดไปเรื่อย

อันดับแรกคือตัวเรา อันดับถัดไปคือคนรอบตัวเรา ครอบครัวเดียวกัน ถัดไปคือคนรอบข้างเรา จะกว้างออกไปเรื่อย ๆ ทำอย่างไรที่เราจะบริหารสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ให้ขัดต่อกัน


ถาม : บางทีขัดหูขัดตา ?
ตอบ : บางอย่างก็ต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ บางอย่างก็ต้องปฏิบัติชนิดที่ว่าไม่ให้ใครรู้ว่าเราทำอะไร ถึงเวลาเขาชวนกินเหล้า เราบอกรักษาศีล เขาก็มองหัวจรดตีน บอกเขาไปว่าแพ้แอลกอฮอล์ หมอบอกว่าโดนเหล้าอาจจะถึงตายเลย ก็ว่าไป ถึงเวลาเรารักษาศีลแปด เขาชวนกินข้าวเย็น เราบอกว่ารักษาศีลแปดอยู่ เราก็กลายเป็นสัตว์ประหลาด บอกเขาว่าตอนนี้น้ำหนักเริ่มเกินมากแล้ว ขออดข้าวลดน้ำหนักหน่อย ก็จะไปได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2015 เมื่อ 03:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #111  
เก่า 22-06-2015, 18:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : กำลังใจต้องพบกระแสโลก ปรับไม่ค่อยได้ อย่างเช่น เจอคนทำผิดพลาด เราต้องลงโทษเขา ?
ตอบ : เอาตามกฎกติกา อย่างเช่น ครั้งที่หนึ่งอภัย ครั้งที่สองภาคทัณฑ์ ครั้งที่สามค่อยลงโทษ ไปตามขั้นตอน พระพุทธเจ้ายังตรัสว่า ท่านฝึกพระเหมือนกับนายอัสดรผู้ดูแลฝึกม้า ลงโทษแต่น้อย ลงโทษปานกลาง ลงโทษหนัก หรือถึงขนาดฆ่าทิ้งเลย คนฝึกม้าก็ถามว่า พระพุทธเจ้าฆ่าทิ้งได้อย่างไร ? พระองค์ตรัสว่า แค่ไม่สั่งไม่สอนเท่านั้นเอง ก็ถือว่าฆ่าทิ้งในทางธรรมแล้ว

ฉะนั้น..เราก็ค่อย ๆ ปรับไปจากเบาเป็นหนัก ไม่อย่างนั้นคนบางประเภทเขาไม่รู้ ไม่โดนบ้างก็ไม่รู้ตัว


ถาม : ทำอย่างไรที่จะไม่มีปัญหากับคนอื่น ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่อยู่ในโลกก็เจอ อย่างไรก็ต้องเจอ เพราะฉะนั้น..เราก็ปรับให้เข้ากับเขาได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ไปที่ไหนก็เจอ คนเมื่อไรก็เป็นคน ในเมื่อเป็นคนก็แปลว่าต้องยุ่ง แต่ดีอยู่อย่างที่ทำให้เราเห็นว่า สภาพความเป็นจริงของโลกวุ่นวายอย่างนี้ ทุกข์ยากอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าสภาพอย่างนี้เรายังต้องการอีกไหม ? ถ้าต้องการก็เกิดเสียให้พอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2015 เมื่อ 03:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #112  
เก่า 22-06-2015, 18:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พิจารณาความทุกข์ ให้คิดว่าทุกข์ ๆ ๆ หรือคะ ?
ตอบ : แบบนั้นได้แค่ภาวนา ต้องมองให้เห็นจริง ๆ ว่าทุกอย่างเป็นทุกข์

ถาม : เราก็คิดว่า เจอความทุกข์แบบนี้ จบชาตินี้ก็ไปพระนิพพาน ?
ตอบ : คิดแบบคนดู เรามักจะไปเผลอคิดแบบคนเล่น เราดูหนังดูละคร ดูบอลอย่างไร ก็คือดูแบบคนดู แต่ถ้าโดดลงไปเล่นเมื่อไรก็จะเกิดอารมณ์ตามเขา เพราะฉะนั้น..ต้องมีสติควบคุมว่าเราเป็นคนดู ก็คือให้เห็นจริง ๆ ว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ แล้วเรายอมรับว่าสภาพทุกข์อย่างนี้มีเป็นปกติ ขึ้นชื่อว่าเกิดมาทุกข์อย่างนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก เราขอไปพระนิพพานอย่างเดียว

ฉะนั้น..จะคิดหรือดูให้เห็นทุกข์ ต้องดูแบบคนดู อย่าดูแบบคนเล่น


ถาม : เวลาดูความทุกข์ก็เห็นความทุกข์อยู่รอบตัว ก็คิดว่าทุกข์เพราะเกิดมามีร่างกาย ?
ตอบ : เห็นแค่นั้นแล้วใจยอมรับจริง ๆ ก็พอ

ถาม : แล้วเราก็คิดว่า ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เข้าพระนิพพานไม่ต้องมาเกิดอีกแล้ว ?
ตอบ : ถ้าใจยอมรับแล้วก็ไม่ต้องพิจารณาให้ลึก คือใจไม่เถียงอีกแล้ว ถ้ายอมรับแล้วก็ใส่ไปเต็มที่เลย ประเภทสักพักหนึ่งก็กลายเป็น "อยาก" แบบนี้ไม่ใช่เบื่อแล้ว

ตอนนี้เห็นทุกข์แล้วเบื่อจริงไหม ? ถ้าเบื่อจริงจะเบื่อยาวไปเลย แต่ถ้าเบื่อไม่จริงเดี๋ยวก็เห็นว่าดีอีก วันนี้ลูกดื้อขึ้นมา โอ๊ย..ลำบากฉิบหายเลย เลี้ยงลูกนี่เป็นทุกข์ พออีกวันลูกทำตัวน่ารัก เออ..มีลูกก็ดีเหมือนกัน ถ้าอย่างนี้แสดงว่าเบื่อไม่จริง ต้องเห็นหน้าลูกแล้วเบื่อได้ทุกวัน


ถาม : เป็นไปตามลำดับของคน ?
ตอบ : เป็นไปตามขั้น ต้องเบื่อก่อน จึงจะอยากหนี แล้วก็หาทางหนี แล้วก็ไปให้พ้น ถ้าไม่เบื่อนี่จะไม่อยากไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2015 เมื่อ 03:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #113  
เก่า 22-06-2015, 18:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราเบื่อ เราหนีไม่พ้น ?
ตอบ : ให้เห็นเป็นธรรมดา ถ้าไม่พิจารณายอมรับกฏของกรรม ก็ต้องเห็นธรรมดาเป็นอย่างนี้ ถ้าเราตายแล้วก็ไปพระนิพพาน ขึ้นชื่อว่าการมีชีวิตอยู่ไม่เกินร้อยปี ก็เหมือนกับพริบตาเดียว ทำไมเราจะอยู่ไม่ได้ ? ก็จะปล่อยวาง ไม่ไปแบกไว้ หรือเรามีเวลาแค่วันนี้วันเดียว ถ้าละเอียดขึ้นไปเรามีเวลาแค่ชั่วลมหายใจเดียว ทำไมเราจะอยู่ให้ดีไม่ได้ ? ในเมื่อเราไม่ไปแบก เราก็ไม่ทุกข์

ถาม : คิดแบบนี้ต้องภาวนา ?
ตอบ : ต้องอาศัยกำลังสมาธิเหมือนกัน ถ้ากำลังสมาธิไม่พอ ถึงคิดได้ก็ตัดไม่ขาด สองอย่างต้องทำร่วมกัน สลับกันไปสลับกันมา เหมือนคนผูกขาติดกัน ต้องผลัดกันก้าว ถ้าก้าวข้างเดียว พอไปสุดเดี๋ยวก็เด้งกลับ

ถาม : ตอนทำสมาธิติดแค่ปีติ ?
ตอบ : การที่เราคิดพิจารณา ถ้าคิดได้ลึกซึ้งจริง ๆ จะค่อย ๆ เป็นสมาธิไปเอง แต่อย่างน้อยเราก็มีปีติช่วยได้บ้าง เรื่องของปีติที่ติดอยู่นาน เพราะอายคนอื่นเขา อยากจะเลิกก็เลิกได้ แต่พอก้าวข้ามไม่ได้ กำลังใจถึงตรงนั้นก็เป็นอีก เพราะฉะนั้นต้องยอม ปล่อยให้เต็มที่ไปเลย

ถาม : พอเราภาวนาเต็มที่ เกิดปีติ เราก็ปล่อยไปเลย ไม่ไปภาวนา ก็เลยแพ้กิเลส ?
ตอบ : ลองใหม่ดู เผื่อจะคลำถูกช่อง ถึงเวลาเราก็พิจารณาไปเรื่อย มีโอกาสก็สร้างสมาธิให้เขาหน่อย ไม่อย่างนั้นเหมือนกับเราใช้เงินไปเรื่อย ไม่หาเพิ่ม ทุนก็หมด เอ้า..ไปทำหน้าที่ต่อไป ชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น

ถาม : ทุกครั้งที่มีการทำสมาธิ อารมณ์จะตัดไปเลย ?
ตอบ : ปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ถ้ารู้จักสังเกตจริง ๆ จะเห็นว่าจิตใจข้างในเราสงบ เป็นแต่อาการภายนอกเท่านั้น

ทำของเราให้เต็มที่ เด็ก ๆ มีบุญมีกรรมของเขาเอง ถึงไม่มีเราเขาก็อยู่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2015 เมื่อ 03:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #114  
เก่า 23-06-2015, 15:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราทำอะไรแล้วเหตุการณ์นั้นหายไป เป็นเพราะสติไม่ปรุงเลยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่สติขาดจริง ๆ ก็เกิดจากสภาพจิตกำลังจะเป็นปฐมฌานหยาบ สติตามไม่ทัน เหมือนกับช่วงเวลานั้นหายไปพักหนึ่ง ถ้าต้องการผ่านตรงนั้นได้ ต้องเอาสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกชนิดจี้ติดจริง ๆ หลุดเมื่อไรก็ไปเมื่อนั้น

ถาม : นอนไม่หลับ แต่ก็ภาวนาไปเรื่อยค่ะ ?
ตอบ : ภาวนาไปเรื่อย กำลังอยู่ในระดับของการตื่นรู้แล้ว เพราะว่าสภาพจิตของเราจริง ๆ จะไม่หลับ ที่หลับเพราะสติตามไม่ทันก็เลยขาด ถ้าอยู่ในสภาพอย่างนั้นให้ทำใจสบาย ๆ ว่าแกไม่หลับแหละดี ข้าจะภาวนาให้เยอะเลย พักเดียวก็หลับแล้ว เขากลัวว่าเราจะได้ดี

การปฏิบัติธรรม หลับอยู่ต้องเหมือนตื่น บางทีเราก็คิดว่าเราไม่ได้หลับ แต่ทำไมไม่เหนื่อยหรือเพลีย ความจริงร่างกายได้นอนพักแล้ว สติตื่นอยู่ก็ปล่อยไป เราก็ทำหน้าที่ของเราไป ภาวนาของเราไป พิจารณาไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2015 เมื่อ 16:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #115  
เก่า 23-06-2015, 15:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนที่ภาวนาไปอย่างเดียว ไม่รับรู้อะไร จะพ้นทุกข์ได้ใช่หรือไม่คะ ?
ตอบ : ได้..ถ้าสามารถทำได้ต่อเนื่องยาวนานพอ โดยมีจุดมุ่งหมายแน่นอนว่าต้องการความพ้นทุกข์ สามารถพ้นได้ แต่ยากมาก..เพราะขาดพิจารณา เหมือนกับคนเพาะกาย สร้างกำลังไว้มาก แต่ไม่มีอาวุธ ไม่มีขวาน ไม่มีมีด ไม่สามารถจะตัดจะฟันอะไรได้ ไปรอถอนต้นไม้ใหญ่สามโอบ ไม่รู้ชาตินี้จะถอนขึ้นหรือเปล่า ? แต่ถ้าคนที่พิจารณาก็เหมือนมีอาวุธคมมาก แต่ถ้าเกิดไม่มีกำลังก็ยกไม่ขึ้นอีก ทั้งสองอย่างต้องทำร่วมกัน ภาวนาและพิจารณา พิจารณาแล้วภาวนา สลับกันไป

ถาม : ทรงอารมณ์แล้ว..?
ตอบ : ภาวนาแล้วสังเกตดู พอไปถึงระดับหนึ่งสมาธิก็จะไปต่อไม่ได้ จะคลายออกมาเอง ช่วงนี้ถ้าเราเผลอให้ฟุ้งซ่านเมื่อไร จะฟุ้งมากเลย จะฟุ้งอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ เพราะกิเลสเอากำลังของเราไปฟุ้ง เราต้องรีบหาอะไรให้พิจารณา แล้วพอพิจารณาไปเรื่อย ๆ ถ้าสังเกตเป็น จิตจะดิ่งเป็นสมาธิอีกที แล้วเราจะอยากภาวนา ก็จะภาวนาต่อ แล้วก็จะไปเป็นแบบเดิม ก็คือไปถึงจุดตันแล้วรีบถอยออกมา หาวิปัสสนาให้เขาพิจารณา ไม่อย่างนั้นจะฟุ้งนาน

ถาม : พิจารณาเท่าไร ?
ตอบ : ทั้งวันทั้งคืน ใช้วิธีพิจารณาตามปกติ ซักผ้า หุงข้าว ถูบ้าน เหนื่อยไหม ? ทุกข์ไหม ? อยากจะเกิดมาทำอย่างนี้อีกไหม ? ได้ทั้งวันแหละ

ถาม : แล้วถ้าพิจารณาอย่างนั้นทั้งวัน เราควรมีเวลามาภาวนาไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ามีก็เอา เพราะจะได้ช่วยเพิ่มกำลังของเราได้

ถาม : บางทีก็อ่านหนังสือ ?
ตอบ : อ่านหนังสือเป็นคำภาวนา หรือไม่ถ้าไม่ใช่หนังสือธรรมะ เราลองแบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งอยู่กับการภาวนา อีกส่วนหนึ่งอยู่กับเนื้อหาหนังสือ ถ้าไม่ใช่หนังสือธรรมะ ต้องทำลักษณะนี้ แต่ถ้าหนังสือธรรมะ เอาทุกคำเป็นคำภาวนาไปเลย จับควบกับลมหายใจไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2015 เมื่อ 16:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #116  
เก่า 23-06-2015, 16:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อ่านหนังสือธรรมะแล้วไม่รู้เนื้อหาเลย ?
ตอบ : เอาหนังสือเป็นเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิ พอเป็นสมาธิแล้ว เราก็ภาวนาต่อไปเลย

ถาม : อ่านได้ไม่ถึง ๕ นาที ?
ตอบ : แสดงว่าจิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน จะเริ่มไม่รับรู้อาการภายนอกแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2015 เมื่อ 16:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #117  
เก่า 23-06-2015, 16:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาเราฟังคนเขาพูดอะไรกัน เรารู้ว่าเขาจะพูดอะไรก่อน ตรงนี้เป็นญาณหรือคะ ?
ตอบ : เป็นสภาพจิตที่เริ่มเข้าสู่อุปจารสมาธิ จะเกิดความเป็นทิพย์ขึ้นมา ความเป็นทิพย์นี้สามารถบอกได้ทุกเรื่อง แต่รู้ไปก็เท่านั้น ที่เราต้องการคือรู้เท่าทันสภาพจิตของเราว่ามี รัก โลภ โกรธ หลง อย่างไรบ้าง การรู้ทันในเรื่องของคนอื่น ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เป็นการที่พิสูจน์ว่าพระพุทธเจ้าสอนเรานั้นมีผลจริง แล้วก็สร้างความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ไปสนใจใคร่รู้ตามแต่เรื่องนั้นเรื่องเดียว ก็จะเสียผล ถ้านานไปโทรศัพท์ดังก็จะรู้ว่าใครโทรมา บางทีได้ยินเสียงโทรศัพท์ก่อนเป็นนาทีเลยนะ ...(หัวเราะ)...

ถาม : ตั้งนาฬิกาปลุกและเราก็จะตื่นก่อน ?
ตอบ : ส่วนใหญ่จะตื่นก่อนประมาณ ๕ นาที จะตรงเวลาเป๊ะเลย และก็ตื่นขึ้นมาเพื่อปิดนาฬิกา แต่ถ้าเราไม่ห่วงนาฬิกาปลุก ตั้งใจจะตื่นตอนนั้นก็จะตื่นตรงเวลา แต่ถ้าเราห่วงนาฬิกาปลุกมักจะตื่นก่อน ๕ นาที
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2015 เมื่อ 16:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #118  
เก่า 23-06-2015, 16:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ภาวนาไป บางทีง่วงตลอดเลย ?
ตอบ : นั่นเป็นกำลังของปฐมฌานหยาบ ถ้าก้าวพรวดข้ามไป ต่อไปก็จะไม่เกิดอีก ก็จะวิ่งข้ามไปสู่อารมณ์ฌานเลย อันนั้นเป็นช่วงที่กำลังจะเข้าถึง

ถาม : ทำอย่างอื่นควบกับลมหายใจได้ไหม ?
ตอบ : ได้..เราหาสิ่งที่ทำเพื่อให้จิตไปอยู่ตรงนั้นแทน ไม่อย่างนั้นก็จะง่วงอีก

ถาม : คือเราจะต้องข้ามไปให้ได้ ?
ตอบ : ถ้าข้ามไปได้หลังจากนั้นจะไม่เกิดอีกเลย เพราะว่าถ้าสภาพจิตพอทรงตัวจนชินแล้ว ถึงเวลาก็จะวิ่งไปสู่ระดับฌานที่ตัวเองเคยถนัด ก้าวข้ามตรงจุดนี้ไปก็จะไม่ง่วงอีก

ถาม : ฌานที่ตัวเองถนัดนี่อย่างไรคะ ?
ตอบ : เกิดจากการฝึกฝนนี่แหละ พอเราชำนาญแล้ว แค่นึกก็เป็นไปแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาตั้งท่า ไม่ต้องเสียเวลากำหนดลมหายใจ

ถาม : เรื่องฌานนี่จะขึ้น ๆ ลง ๆ ค่ะ ?
ตอบ : ถือว่าปกติ เพราะว่าปกติต้องมีขึ้นมีลง แต่เราต้องพยายามรักษาระดับให้ได้

ถาม : ทำบ่อย ๆ เรื่อย ๆ จะไม่ลง ?
ตอบ : ถ้าเรารู้จักรักษาระดับ อย่างเช่น พอเลิกปฏิบัติแล้วก็ประคองอารมณ์เอาไว้ ตั้งใจให้ทรงอารมณ์อยู่กับเราให้ได้ ๕ นาที ๑๐ นาที ครึ่งชั่วโมง พอหมั่นประคับประคองบ่อย ๆ จะได้นานขึ้นเป็นชั่วโมง สองชั่วโมง สามชั่วโมง แต่ถ้าเราไม่ได้คิดตั้งใจจะทำ เดี๋ยวเดียวก็หลุด

ถาม : ต้องตั้งเวลาไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องตั้งเวลาหรอก พยายามประคองดูว่าได้เวลาแค่ไหน หลังจากนั้นก็ตั้งสติให้ได้มากกว่านี้ ส่วนใหญ่ที่ทำกันในปัจจุบันคือพอเลิกปฏิบัติแล้วก็ทิ้งเลย พอทิ้งเลยก็ไหลตามกิเลสไปอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2015 เมื่อ 17:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #119  
เก่า 23-06-2015, 16:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จะติดภาวนาเป็นส่วนมาก ถ้าเราภาวนาจนเป็นสมาธิแล้ว ต้องภาวนาต่อไหมคะ ?
ตอบ : คำภาวนาเป็นเพียงเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิแล้วไม่ต้องภาวนาก็เป็นเอง

ถาม : บางทีเราภาวนา แล้วก็กลายไปเป็นภาวนาคาถาอะไรก็ไม่รู้ ?
ตอบ : จับตามนั้นไปก่อน ไปสักระยะหนึ่งแล้วค่อยกลับมา เพราะบางอย่างสภาพจิตรู้เองว่าอะไรจะเกิดขึ้น อยู่ ๆ จากคำภาวนาปกติอาจจะกลายเป็นคาถาที่ใช้ป้องกันตัว ว่าตามนั้นไปก่อนเถอะ

ถาม : แต่เราไม่มั่นใจว่าจะใช่ ?
ตอบ : ถ้าไม่มั่นใจก็ดึงกลับมาที่คำภาวนาเดิมก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2015 เมื่อ 17:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #120  
เก่า 24-06-2015, 16:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,580 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : รับฝากเขามาทำบุญอีกทีครับ ?
ตอบ : เขาฝากเรา เราก็ได้บุญอีกต่อหนึ่ง งานบุญของเขาจะไม่สำเร็จลงถ้าไม่มีเรา เขาได้อะไร เราจะได้ด้วย และได้มากกว่าเขาด้วย ฉะนั้น..ถ้าเขาถูกรางวัลที่ ๑ เราก็จะถูกด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2015 เมื่อ 17:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:10



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว