กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 11-04-2018, 20:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุุกร์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๑

ให้ทุกคนตั้งกายตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกของเราทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกของเราทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ วันที่ ๖ เมษายนตรงกับวันจักรี คือวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนาราชวงศ์จักรีขึ้นมา เพื่อทดแทนราชวงศ์เดิมที่เสื่อมสลายไปจากการศึกการสงคราม จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ก้าวขึ้นปีที่ ๒๓๗ แล้ว

กรุงรัตนโกสินทร์ของเรา ๒๓๗ ปีมีพระมหากษัตริย์มาถึงพระองค์ที่ ๑๐ คือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลปัจจุบัน เราจะเห็นว่าระยะเวลา ๒๓๗ ปีโดยประมาณ เกือบ ๑๐ รัชกาล ก็แปลว่าเฉลี่ยแล้วรัชกาลละประมาณ ๒๓ ปี แต่จริง ๆ แล้วมีหลายรัชกาลที่ระยะเวลาสั้นมาก อย่างรัชกาลที่ ๖ รัชกาลที่ ๗ รัชกาลที่ ๘ เป็นต้น แล้วหลายรัชกาลก็ยาวนานมาก อย่างรัชกาลที่ ๙ ทรงครองราชย์ถึง ๗๐ ปี

เรามีพระมหากษัตริย์ที่เหมาะสมกับยุคสมัยมาโดยตลอด แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป สุดยอดนักรบอย่างพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชก็ดี สุดยอดนักปกครองอย่างสมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ ๕ ก็ดี หรือว่าสุดยอดพระมหากษัตริย์ผู้เสียสละเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน อย่างพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรก็ตาม ท้ายสุดก็เสด็จสวรรคตทั้งสิ้น แม้แต่ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ปัจจุบันก็ย่างเข้าสู่ ๖๖ พรรษาแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2018 เมื่อ 02:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 11-04-2018, 20:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราจะเห็นได้ว่าแม้แต่บุคคลที่ถือว่าเลิศที่สุดในหมู่ปวงชนชาวไทย คือพระมหากษัตริย์ ก็ล่วงลับไปรัชกาลแล้วรัชกาลเล่า ตัวเราที่ไม่ได้มีบุญบารมีระดับนั้น ขึ้นชื่อว่าจะรอดพ้นจากความตายนั้นไม่มี

องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “สัตว์โลกเกิดมาเท่าไร ตายหมดเท่านั้น” แปลว่าการเกิดและการตายนั้นเท่ากัน เพียงแต่ว่าการเกิดนั้นใช้ระยะเวลาสั้น ๆ ประมาณ ๙-๑๐ เดือน แต่การตายนั้นส่วนใหญ่แล้วใช้เวลาหลายสิบปี เราจึงเห็นเหมือนกับว่าการเกิดนั้นมากกว่า แต่ความจริงแล้วเกิดกับตายนั้นเท่ากัน ก็คือใครเกิดมาก็ย่อมต้องตายอย่างแน่นอน

ความตายนั้นไม่มีนิมิต ไม่มีเครื่องหมาย ก้าวเข้ามาหาเราอยู่ตลอดเวลา แม้จะมีสิ่งตักเตือนล่วงหน้ามาบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราก็เมาวัย เมาอายุ เมาร่างกาย เห็นว่าอายุยังน้อย เห็นว่าอายุเราต้องยืนยาวมากกว่านี้ เห็นว่าเรายังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ เป็นต้น ทำให้เราไม่ได้ใส่ใจในคำเตือนของสภาพร่างกาย ที่ผมหงอก ฟันร่วง สายตายาวบ้าง มัวบ้าง เจ็บโน่น ปวดนี่ เมื่อยนั่น ร่างกายเริ่มคดค้อมลง เดินเหินลำบาก

เรามักจะไปคิดว่าเราต้องอยู่ยั้งยืนยง ทั้ง ๆ ที่สภาพร่างกายนี้ก็ดี ร่างกายคนอื่นก็ดี สัตว์อื่นก็ดี แม้กระทั่งตึกรามบ้านช่องที่สร้างอย่างมั่นคงแข็งแรง ล้วนแล้วแต่ก้าวไปหาความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรายังขาดสติ เมื่อตายไปแล้วต้องลงสู่อบายภูมิ ก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งที่จะเป็นการประกันความเสี่ยงให้แก่เราได้ แม้จะไม่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ที่ใช้คำว่าไม่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าพวกเราส่วนใหญ่ทำได้ไม่ถึงที่สุด แต่ว่าแม้จะทำได้ไม่ถึงที่สุด ถ้าสภาพจิตของเรายึดเกาะเป็นปกติ อย่างน้อยก็มีสุคติเป็นที่ไป

ดังนั้น...ในแต่ละวันเราท่านทั้งหลายจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องทบทวนศีลของเราทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ฆราวาสทั่วไปก็ศีล ๕ อุบาสกอุบาสิกาก็ศีล ๘ สามเณรก็ศีล ๑๐ พระภิกษุสงฆ์ก็ศีล ๒๒๗ ให้ดูว่ามีข้อไหนที่ขาดตกบกพร่องในแต่ละวัน ก่อนจะนอนลงก็ตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ศีลของเราจะบริสุทธิ์บริบูรณ์ แล้วพยายามประคับประคองรักษาเอาไว้ให้ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2018 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 18-04-2018, 20:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของสมาธิ อย่างน้อยเราต้องปฏิบัติสมาธิภาวนา จับลมหายใจเข้าออก จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัด ไม่ว่าจะเป็นพุทโธ นะมะพะธะ พองหนอยุบหนอ สัมมาอะระหัง หรือว่าจะเป็นตัวบทพระคาถาใด ๆ ก็ได้ที่เรารักเราชอบ เพราะว่าคำภาวนาเป็นเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิ เมื่อสมาธิทรงตัวในยามเช้า เราก็จะมีสติในการรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ถ้าหากว่าปัญหามีมาก กำลังไม่เพียงพอ ก็แอบหาเวลาภาวนาเพิ่มเติมในช่วงกลางวัน

ส่วนก่อนนอนนั้นเราเหนื่อยมามากแล้ว ก็เอาแค่ง่าย ๆ ว่ากราบพระ สวดมนต์ไหว้พระสั้น ๆ ก็ได้ หลังจากนั้นก็นอนภาวนาส่งใจนึกถึงพระ หรือส่งใจไปเกาะพระนิพพาน ตั้งใจว่าเรานอนลงก็เหมือนกับคนที่ตายแล้ว ถ้าไม่ได้ลืมตามาดูโลกในวันใหม่ เราก็ขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน แล้วหลังจากนั้นข้อสุดท้ายก็คือ ต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย

บุคคลที่เป็นเลิศที่สุดในหมู่มนุษย์อย่างพระมหากษัตริย์ก็ยังสวรรคต ตัวเราต้องก้าวไปสู่ความตายเป็นแน่แท้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่มามีแต่ความทุกข์ยากเช่นนี้ เราไม่ต้องการอีก การเกิดมาในโลกนี้เต็มไปด้วยความเร่าร้อนเช่นนี้ เราไม่ต้องการอีก เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน แล้วเอาสติสมาธิของเราจดจ่ออยู่กับภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งใจว่านั่นคือพระพุทธนิมิตแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่านคือเราอยู่ใกล้พระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้พระองค์ท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน

ให้รักษากำลังใจเอาไว้อย่างนี้ทุกวัน เช้าเย็นอย่างน้อยวันละ ๒ วาระ ถ้าทำอย่างนี้ก็มีโอกาส ถ้าหากท่านเสียชีวิตไปโดยเข้าไม่ถึงที่สุดของทุกข์ ไม่สามารถล่วงพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ อย่างน้อยเราก็จะได้มีสุคติเป็นที่ไป

ลำดับต่อไปให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๑

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2018 เมื่อ 20:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:12



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว