กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านเติมบุญ

Notices

เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 12-03-2018, 09:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การที่เราได้มีโอกาสเข้าพบพระสุปฏิปันโนเป็นเวลาสั้น ๆ และนาน ๆ ครั้งนั้น เราควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้ได้บุญและประโยชน์สูงสุดจากการได้เข้าพบและนมัสการท่านครับ ?
ตอบ : ทำให้ได้อย่างท่าน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-03-2018 เมื่อ 15:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 12-03-2018, 23:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะทางที่แสงเดินทางไปถือว่าเป็นความเร็วสูงสุดที่มนุษย์คำนวณได้ ก็คือเดินทางด้วยความเร็ว ๑๘๖,๐๐๐ ไมล์ต่อวินาที ยังใช้เวลาเดินทางจากดวงอาทิตย์มาโลกมนุษย์ ๘ นาทีเศษ ๆ แต่สภาพจิตของเราเดินทางได้เร็วกว่านั้น ก็คือแค่คิดก็ถึงแล้ว ดังนั้น...สภาพจิตของเราถ้าทำได้เต็มที่จริง ๆ จะไม่มีอะไรที่สามารถตามทัน

ฉะนั้น...เวลาที่เหตุอะไรเกิดขึ้น ถ้าสภาพจิตของเรากลายเป็นความเร็วโดยสภาพ ก็จะเห็นว่าอย่างอื่นช้าไปหมด โดยเฉพาะบุคคลที่ฝึกฝนสภาพจิตมาดีแล้ว ความเร็วของกิเลสซึ่งเกิดขึ้นเร็วมากยังกลายเป็นของช้า เพราะว่าสติของเรารู้เท่าทัน สภาพจิตจึงสามารถระงับยับยั้งกิเลสเอาไว้ได้

หลายคนเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา สภาพจิตตื่นเต็มสภาพ ก็จะเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างช้าลงไปหมด ไม่ได้ช้าอย่างเดียว เห็นอย่างชัดเจนมากด้วย เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่สามารถฝึกฝนกันได้ เพียงแต่ว่าต้องใช้ความพยายามเหนื่อยยากกันอยู่ระยะหนึ่ง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2018 เมื่อ 03:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 12-03-2018, 23:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง ตอนนั้นทิดสามารถยังไม่สึก ยังไม่เป็นนายสามารถ สุขสาธุ มีอยู่วันหนึ่งหลังจากปฏิบัติธรรมแล้วก็คุยกัน ท่านบอกว่าเมื่อคืนไปที่ริมน้ำ เห็นเทวดารักษาวัด ตัวสูงใหญ่เป็นภูเขาเลย

มีคนทำไสยศาสตร์มา ความเร็วของวัตถุไสยศาสตร์นั้นมาเร็วมาก ดูแล้วน่าจะเร็วกว่าลูกปืน แต่เทวดาใช้พระขรรค์เคาะทิ้งไปได้แบบสบาย ๆ ท่านสงสัยว่าเทวดามีความเร็วขนาดนั้นเลยหรือ ? ก็เลยมาวิเคราะห์กันว่า ในสภาพของเทวดาน่าจะละเอียดกว่าสภาพของไสยศาสตร์ที่มา ในเมื่อเทวดามีสภาพละเอียดกว่าไสยศาสตร์ที่เป็นของหยาบ ไสยศาสตร์ที่เขาทำมาก็เลยดูเหมือนกับช้าไปหมด ไม่ว่าจะทำอะไรก็สามารถป้องกันได้แบบสบาย ๆ

ดังนั้น...ในส่วนนี้เราจะเห็นว่า สภาพจิตของเรายิ่งละเอียดเท่าไร ความเร็วของจิตก็มีมากเท่านั้น

พี่สามารถเป็นคนปฏิบัติธรรมได้ดีทั้งครอบครัว แม้กระทั่งลูก ๆ ก็เล่นกสิณ เล่นอภิญญากันเป็นเรื่องปกติ แต่ในสภาพโลกียอภิญญาทำให้ประคองสภาพนักบวชอยู่ไม่ได้ ท้ายสุดก็ต้องสึกหาลาเพศไป"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2018 เมื่อ 03:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 12-03-2018, 23:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงมรณภาพได้ไม่นาน อาตมาออกจากวัดไปสร้างสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี ท่านก็เคยแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนกัน ก็ยังบอกกับท่านว่า ถ้าอยู่ไม่ได้ให้มาอยู่ด้วยกัน ท่านเองก็รับปาก แต่มารู้ข่าวอีกทีก็สึกไปแล้ว

ตอนช่วงอาตมาไปช่วยเจ้าอาวาสวัดทองผาภูมิพัฒนาวัด ตั้งใจจะสร้างมณฑปถวายหลวงพ่อ ภปร.องค์ใหญ่ที่หน้าวัด พี่สามารถก็เป็นคนร่างแบบให้ ตกลงราคากันแล้วว่าอยู่ที่ ๑๙ ล้านบาท แต่ยังไม่ทันที่จะได้ขยายแบบ ไม่ทันที่จะทำสัญญาจ้าง ชาวบ้านซึ่งหวาดระแวงว่าอาตมาจะไปแย่งตำแหน่งเจ้าอาวาสเก่า ก็รวมตัวกัน ๗-๘ คนมาขับไล่ อาตมาเองเห็นว่าไปทำประโยชน์ให้กับเขาแล้วยังมาไล่ ก็เก็บของจากไปแต่โดยดี ทุกวันนี้คนแถววัดทองผาภูมิก็ยังด่ากันเอง บอกว่า "สมน้ำหน้ามึง ไปไล่พระอาจารย์เล็ก ตอนนี้วัดท่าขนุนเจริญเอา ๆ วัดทองผาภูมิก็ยังโทรมอยู่เหมือนเดิม"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2018 เมื่อ 03:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 12-03-2018, 23:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราเข้าฤดูร้อนแล้ว ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ จำง่าย ๆ ว่าเป็นวันที่ในหลวงเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต ฤดูฝนเริ่มที่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ฤดูหนาวเริ่มที่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ซึ่งถ้าเราดูตามบ้านเมืองของเรา ช่วงนี้ฝนก็เริ่มมาแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังเป็นฤดูร้อนอยู่ แต่ในส่วนของต่างจังหวัดจะลำบากกว่า ถึงฝนมาโอกาสที่จะเก็บกักน้ำได้ก็มีน้อย

ญาติโยมไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือต่างจังหวัดก็ตาม ควรที่จะหาภาชนะสำรองน้ำไว้บ้าง ถึงเวลาขาดน้ำก็จะได้มีใช้ไปอีกระยะหนึ่ง โดยเฉพาะบ้านเมืองของเราสภาพอากาศวิปริตผิดเพี้ยนไปมาก ถึงเวลาก็มามากจนท่วม แล้วอยู่ ๆ ก็แล้งจนแทบจะอดน้ำตาย โดยเฉพาะความเดือดร้อนเรื่องน้ำ
ถ้าไม่มีระบบการจัดการที่ดีก็จะหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ มีอย่างเดียวคือเราจะต้องแก้ไขด้วยความสามารถของตัวเอง

เมื่อวันที่ ๗ มีนาคมที่ผ่านมา อาตมาเป็นประธานคณะกรรมการไปตรวจประเมินวัด ก็ยังดีใจว่าวัดที่ตรวจประเมินไปทุกวัด ล้วนแล้วแต่มีการสำรองน้ำสำหรับพระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งญาติโยมไว้ใช้สอยได้ แต่ถ้าไปพึ่งพาวัดกันมาก ๆ ก็ไม่น่าจะเพียงพอ ต้องบอกว่าพออยู่ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น

ในเมื่อวัดวาอารามเป็นตัวอย่าง มีการสำรองน้ำไว้สำหรับช่วงภัยแล้ง พวกเราก็ควรที่จะสำรองน้ำเอาไว้ด้วย สมัยที่อาตมายังเป็นทหาร มีการสำรองน้ำด้วยการใช้ถัง ๒๐๐ ลิตร ทายางมะตอยด้านในหนา ๆ เมื่อแห้งแล้วก็ใส่น้ำลงไป ถังก็จะไม่เป็นสนิม ขณะเดียวกันการเก็บกักน้ำก็จะอยู่ในลักษณะสะดวกสบาย เพราะว่าอย่างน้อยถังหนึ่งก็บรรจุได้ ๒๐๐ ลิตร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2018 เมื่อ 03:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า 13-03-2018, 00:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สมัยนี้มีถังพลาสติกมาก อาตมาอยากจะแนะนำว่าให้แช่ถังทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง ถ้ามีแหล่งน้ำธรรมชาติประเภทบ่อ ประเภทสระ หรือห้วยหนองคลองบึงยิ่งดี แช่ทิ้งไปเลยสัก ๑๐ วันหรือครึ่งเดือน เพราะว่าพลาสติกจะมีสารเคมี เมื่อเราทำการแช่ทิ้งเอาไว้ให้สารเคมีละลายออกมาก่อน หลังจากนั้นค่อยใช้เป็นภาชนะบรรจุน้ำกินน้ำใช้ของเรา

สมัยนี้จะไปหาโอ่งดินเผา โอ่งเคลือบแบบโอ่งมังกร หรือโอ่งดินเผาของเกาะเกร็ดก็เป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะว่าขนย้ายยาก จนกระทั่งเขาบอกว่า รถคันไหนบรรทุกโอ่ง รถคันนั้นเป็นรถเศรษฐี ถามว่าทำไมถึงเป็นรถเศรษฐี ? เขาบอกว่า "ของตกไม่เคยเก็บเลย" ลองคิดดูว่าโอ่งน้ำตกเราจะเก็บไหม ?

ในเมื่อขนย้ายยาก ต้องใช้ถังพลาสติก ก็ต้องหาทางแก้ไขกัน หรือถ้าเขารับรองว่าเป็นพลาสติกที่สามารถบรรจุน้ำบรรจุอาหารได้ ค่อยหามาใช้งานกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2018 เมื่อ 03:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า 13-03-2018, 08:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "การเมืองบ้านเราอุณหภูมิร้อนขึ้นไปเรื่อย ๆ ต้องบอกว่าร้อนตามฤดูกาลก็แล้วกัน เพียงแต่ว่าพวกเราอย่าไปใส่อารมณ์ตามเขา ทำตัวเป็นคนดู อย่าลงไปเล่นด้วย ถ้าเป็นคนดูเราจะมีสติ จะรู้ว่าใครมีความจริงใจ ใครที่ดำเนินวิธีทางการเมือง เมื่อถึงเวลาถ้ามีการเลือกตั้ง เราก็จะได้เลือกได้ถูก ว่าจะเลือกพรรคใด เลือกบุคคลใด

ความจริงบ้านเมืองเรากำลังดำเนินไปสู่จุดที่ดีมาก คำว่าดีมากก็คือ เหลือพรรคใหญ่ประมาณสองพรรคแข่งกัน ถ้ายึดถือกติกา พรรคใดได้เสียงข้างมาก พรรคนั้นบริหารไป ถ้าไม่เป็นที่พอใจ ครั้งต่อไปเราก็เลือกพรรคใหม่ ก็จะทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ

แต่บ้านเราเกิดการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจขึ้นมา แทนที่จะเหลือแค่สองพรรคเสนอนโยบายแข่งกัน ก็กลายเป็นพรรคเล็กพรรคน้อยเต็มไปหมด แค่ช่วงวันเดียวที่ผ่านมาสมัครถึง ๔๐ กว่าพรรค ลักษณะการสมัครแบบนั้นถ้าไม่มีเงินจริง ๆ นี่ตายเลย ก็เพราะว่าการสมัครโดยปกติแล้ว พรรคเล็ก ๆ มีโอกาสที่จะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แทน ส.ส. จากการเลือกตั้ง แต่เนื่องจากว่าเมื่อเอาคะแนนมารวมกันแล้ว ยอดที่เฉลี่ยคะแนนของ ส.ส.บัญชีรายชื่อสูงมาก ถึงหลายหมื่นคะแนน ฉะนั้น...โอกาสที่พรรคเล็ก ๆ จะได้เติบโตก็ไม่มี ตั้งขึ้นมาแล้วก็ตายไปเฉย ๆ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 13-03-2018 เมื่อ 17:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #28  
เก่า 13-03-2018, 09:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"รัฐบาลที่เกิดจากการผสมหลาย ๆ พรรคจะประสานประโยชน์ได้ยาก ขนาดเยอรมันที่มีความก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองเป็นระดับต้น ๆ ของโลก จนป่านนี้ก็เพิ่งจะคุยกันลงตัว แต่ถ้าปกครองไปแล้วประสานประโยชน์ไม่ได้ก็จะมีปัญหาทันที เพราะว่าเรื่องการเมืองนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน หากแต่ทำเพื่อพวกพ้องและตัวเอง

จะว่าไปแล้วในเรื่องของการเมืองหาโอกาสดีได้ยาก แต่ก็ไม่ควรที่จะท้อถอย เพราะว่ากฎเกณฑ์กติกาก็เป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขได้ ถ้าเห็นว่ากติกาที่ร่างมาในปัจจุบันใช้งานได้ไม่ดี เมื่อมีรัฐบาลใหม่สามารถประสานทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายค้านได้ ก็สามารถที่จะแก้ไขได้แม้ว่าจะยากลำบากขึ้น
จากสถานการณ์ปัจจุบัน หากว่าพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาตมาเชื่อว่าจะเสียงสนับสนุนมาค่อนประเทศเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2018 เมื่อ 12:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #29  
เก่า 13-03-2018, 22:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ในชีวิตของอาตมาเคยเห็นพรรคประชากรไทยของคุณสมัคร สุนทรเวช ส่งผู้สมัครกี่คนก็แทบจะได้รับเลือกจากคนกรุงเทพฯ ทั้งหมด ต่อมาก็พรรคพลังธรรม สมัยของคุณจำลอง ศรีเมือง ก็เกิดปรากฏการณ์ลักษณะเดียวกัน ชนิดที่ว่า “ส่งเสาไฟฟ้าลงสมัครก็ได้รับเลือก”

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เกิดจากกระแสสังคม ถ้าเห็นความไม่ยุติธรรม เห็นความไม่โปร่งใส เสียงส่วนใหญ่จะเทไปให้พรรคที่ตนเองคิดว่าพึ่งพาได้ มีความสุจริตโปร่งใส แต่ท้ายที่สุดเราก็จะเห็นว่า พรรคการเมืองทุกพรรคเท่าที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ไม่ได้ยึดถือประโยชน์ของประชาชน แต่ยึดถือประโยชน์ของพรรคพวกและตัวเอง ก็เลยทำให้ยืนหยัดรักษาคะแนนเสียงอยู่ไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องพังไป

แม้กระทั่งพรรคเพื่อไทย ในสมัยนายกฯ ทักษิณเรืองอำนาจ สามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียว เพราะว่าคะแนนเสียงเหลือเฟือเพียงพอ เกินกึ่งหนึ่งในสภา แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถที่จะอยู่ได้ เพราะว่าเรื่องเหล่านี้เป็นธรรมชาติของการพัฒนา ในเมื่อการเมืองมีธรรมชาติที่ต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ ผ่านบทเรียนต่าง ๆ ก็เข้าทำนองว่า "การเกิดต้องเจ็บปวด" แต่ท้ายที่สุดก็มีการเติบโต"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-03-2018 เมื่อ 01:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #30  
เก่า 13-03-2018, 22:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หมอสั่งให้จัดยาสำหรับพระอาจารย์ พระอาจารย์บอกโยมว่าไม่ต้องจัดยาแก้ปวดมา "โยมอาจจะสงสัยว่าทำไมอาตมาไม่เอายาแก้ปวด เพราะว่ายังไม่มีความปวดอะไรที่อาตมาทนไม่ได้ และด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้หมอเขาไม่คิด เขาเห็นว่าอาตมาไม่ร้องก็คงจะไม่เจ็บ เพราะฉะนั้น..ทุกครั้งหมอเขาก็ใส่จนเต็มที่เลย โดยเฉพาะตอนที่ผ่าเห็นอาตมาคุยไปเรื่อยเปื่อย หมอก็ผ่าไปเรื่อย จนกระทั่งบอกหมอว่า เจ็บมากจนชักจะทนไม่ไหวแล้ว หมอก็ "โอ้..ขอโทษครับ สงสัยยาชาจะหมดฤทธิ์" ว่าแล้วก็ฉีดยาชาให้ใหม่

ฉะนั้น...ถ้าอยากจะเลิกกินยาแก้ปวด ก็ต้องเจอกับความปวดมาก ๆ หลังจากนั้นทุกอย่างก็จะเจ็บน้อยไปหมด แล้วก็ไม่ต้องกินยา

ครั้งนี้หมอเขารักษาท่อน้ำตาที่ตัน ด้วยการเอาลวดแหย่เข้าไปในท่อน้ำตา ปลายลวดเป็นช้อนเล็ก ๆ แหย่
เข้าไปขูดควานข้างใน ก็ไม่มีอะไรมาก แค่หน้าบวมไปครึ่งหน้าเท่านั้น ญาติโยมก็อย่าเกเรให้มากเหมือนกับอาตมา

เรื่องนี้ต้องบอกว่าเนิ่นนานมาแล้ว ไม่ถึงพันปีก็ใกล้เคียง กรรมเพิ่งจะตามมาทัน สมัยนั้นอยู่ในกองทัพทิเบตรบกับอีกฝ่ายหนึ่ง คือทิเบตเป็นถูโป ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เรียกว่าถูเจี๋ย ยิงเกาทัณฑ์ไปโดนเบ้าตาแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามเข้าพอดี นี่เป็นเรื่องโกหก..โปรดอย่าเชื่อ...!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-03-2018 เมื่อ 01:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #31  
เก่า 13-03-2018, 22:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เขาทรมานอยู่นานกว่าจะตาย พอถึงเวลาอาตมาก็โดนทรมานอยู่นานหลายวันหน่อย ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ

การรบราฆ่าฟันกันในสมัยก่อน ไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิเหมือนในสมัยนี้ การรบราฆ่าฟันในสมัยก่อนมีวัตถุประสงค์หลายอย่างด้วยกัน ถ้าเป็นกษัตริย์ เป็นธรรมเนียมที่ต้องแสดงออกซึ่งพระราชอำนาจ ถ้าบ้านใดเมืองใดไม่ยอมอ่อนน้อม ก็ต้องไปรบราฆ่าฟันเพื่อที่จะยึดไว้ในขอบขัณฑสีมา ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็คือ
เป็น “เทรนด์” เหมือนกับสมัยนี้ที่นาฬิกาต้องยืมเพื่อน...อะไรประมาณนั้น..!

ในเมื่อเป็นเรื่องของยุคสมัยจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิ ส่วนพวกบรรดาชนเผ่าเลี้ยงสัตว์อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้า ก็ต้องแย่งชิงผืนดินที่อุดมสมบูรณ์เพื่อเลี้ยงสัตว์ของตนเอง ดูแลชนเผ่าของตัวเอง ถ้าตัวเองลำบาก อีกชนเผ่าหนึ่งยึดแหล่งที่อุดมสมบูรณ์อยู่ ก็ต้องเข้าไปรุกรานเพื่อที่จะยึดพื้นที่แทน จึงมีการรบราฆ่าฟันกันเป็นเรื่องปกติ บางทีตัวเองมีทรัพยากรน้อยก็ต้องยกทัพไปรุกรานเขา เพื่อยึดเอาทรัพยากรมาเลี้ยงเผ่าของตนเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-03-2018 เมื่อ 01:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #32  
เก่า 13-03-2018, 22:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เหมือนกับการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ แม่ทัพพม่า ๒ นาย คือ มังมหานรธากับเนเมียวสีหบดีต้องเลี้ยงลูกน้องมาก พวกเบี้ยหวัดผ้าปีอะไรที่ทางกษัตริย์พระราชทานให้ไม่เพียงพอ ก็คิดว่าตีเมืองชายขอบของอโยธยาดีกว่า ถ้าหากว่าได้สักเมืองหนึ่ง ก็จะมีทรัพย์สินตลอดจนเสบียงอาหาร เลี้ยงกองทัพของตัวเองไปหลายเดือน มาตีมะริดก็ได้ ทวายก็ได้ ตะนาวศรีก็ได้ เอ๊ะ...ไม่ยากนี่หว่า ก็เลยต่อด้วยกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ไปยันอยุธยาเลย

ในเมื่อเจตนาเพื่อหาทรัพยากรมาเลี้ยงกองทัพของตัวเอง ก็ต้องกวาดไปให้ได้มากที่สุด พอยึดอยุธยาได้จึงขนสมบัติทุกอย่างไป ฉะนั้น...เราจะเห็นว่าเจตนาต่างกัน

สมัยพระเจ้าอลองพญามาตีกรุงศรีอยุธยา ตั้งทัพอยู่ที่วัดหน้าพระเมรุ ไม่แตะอะไรแม้แต่ชิ้นเดียว เพราะว่านั่นเป็นทัพกษัตริย์ มาเพื่อแสดงพระราชอำนาจ ถ้ารบชนะอยุธยาก็จะมีชื่อเสียงเกียรติคุณว่าเป็นกษัตริย์นักรบ มีข้าขอบขัณฑสีมาหลายประเทศ

แต่คราวนี้กองทัพที่มาตีกรุงศรีอยุธยาจนเสียกรุงครั้งที่ ๒ ไม่ใช่ทัพกษัตริย์ แต่เป็นแม่ทัพที่มาหาเสบียงและทรัพย์สมบัติเพื่อเลี้ยงทหารในกองทัพตนเอง ต้องโทษว่าเมืองไทยตอนนั้นอ่อนแอจนเกินไป เขาตีเมืองไหนก็ได้เมืองนั้น เลยลุกลามมาจนถึงเมืองหลวง แล้วก็ได้เมืองหลวงไปด้วย ในเมื่อเขาตีได้ เจตนาของเขาก็คือต้องกอบโกยไปให้มากที่สุด ก็ขนกันเพลินไปเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-03-2018 เมื่อ 01:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #33  
เก่า 15-03-2018, 09:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ตอนนั้นสมบัติที่เขาขนไปไม่ถึงก็เยอะ อาจารย์โมเช่ตอนที่ยังเป็นฤๅษีอยู่ พาอาตมาไปดูหลายแห่ง ที่ถึงเวลาแล้วเกวียนพัง แบกติดตัวไปไม่หมด เขาก็ฝังทิ้งไว้กลางทาง อาจารย์โมเช่ชี้ให้ดูหลายแห่ง บอกว่า “อาจารย์...ถ้ามีลูกศิษย์ที่ไว้ใจได้ อาจารย์บอกเลยนะ ผมจะพามาขุดเอง” อาจารย์โมเช่เป็นคนมีสัจจะมาก จะเอาไปใช้แค่ที่จำเป็นเท่านั้น

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อาจารย์โมเช่ไปทำพลอยที่จันทบุรี ถึงเวลาอดมาก ๆ เข้า เงินทองที่ได้มาลงทุนไปก็ไม่คุ้ม ร่อยหรอลงไป อดมาก ๆ เข้าก็ไปขุดมาขาย ปรากฏว่าส่วนใหญ่ก็เอาแหวน เอากำไลมาชิ้นสองชิ้น ขายพอมีเงินซื้ออาหารแล้ว ก็จ่ายในการทำพลอยต่อเท่านั้น

แต่คราวนี้มีคนที่ช่างสังเกตก็คือ เจ้าของร้านทองที่อาจารย์โมเช่เอาทองโบราณไปขายให้ พอครั้งที่ ๓ เท่านั้น กระซิบบอกลูกสาวเลยว่า จับผู้ชายคนนี้ให้ได้ เขาต้องมีแหล่งแน่นอน ท้ายสุดก็ลงทุน ขนาดยอมมาอยู่กินเป็นภรรยาด้วย เพื่อที่จะให้รู้ว่าขุมทรัพย์ตรงนี้อยู่ที่ไหน แต่อาจารย์โมเช่ถือสัจจะ ไม่บอกแม้แต่ภรรยาตัวเอง ท้ายสุดอยู่ด้วยกัน ๒ ปีไม่ได้ความอะไร ก็เลยเลิกรากันไป"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2018 เมื่อ 18:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #34  
เก่า 15-03-2018, 09:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อาตมาไปดูมา ๒ – ๓ แห่ง ถามอาจารย์โมเช่ว่า รู้ได้อย่างไรว่าใช่ ? เขาบอกว่าประการที่ ๑ นี่เป็นเส้นทางโบราณ ประการที่ ๒ เนินดินพวกนี้ ตั้งแต่เดินมาอาจารย์เคยเจอที่ไหนบ้างไหม ? อาตมาบอกว่าไม่เคยเจอ อาจารย์โมเช่ก็บอกว่า นี่อยู่ ๆ โผล่ขึ้นมา น่าสงสัยไหม ? แล้วทำไมระยะการโผล่ใกล้ไกลไม่เท่ากัน ? ก็เพราะเกวียนแต่ละเล่มแข็งแรงไม่เท่ากัน ถ้าพังตรงไหนเขาก็ฝังทิ้งไว้ตรงนั้น ความจริงจะว่าไปแล้วเป็นตรรกะง่าย ๆ แต่ด้วยความที่อาตมาไม่มีประสบการณ์ และไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ก็เลยไม่รู้ เห็นเป็นเนินดินบางทีก็ฉี่รดอีกต่างหาก..!

ยังไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องไปเอามา เพราะถ้าไปเอามาก็มีอย่างเดียวคือส่งเข้าพิพิธภัณฑ์ แต่นั่นก็ไม่น่าจะใช่งานของอาตมา ฉะนั้น...เจ้าหน้าที่คนไหนอยากได้ก็ไปสืบเอาเองก็แล้วกัน ว่าเส้นทางธุดงค์ของอาตมาผ่านตรงไหนบ้าง เดี๋ยวก็เจอเอง ไม่ใช่ความลับสักหน่อย เพราะว่าอาตมาผ่านไปตรงไหนก็จะบันทึกไว้หมด

เมื่อครู่ที่กล่าวถึงเรื่องของการรบราฆ่าฟันกัน ต้องบอกว่าเป็นความจำเป็นหลายประการด้วยกัน ในเมื่อเป็นความจำเป็นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 15-03-2018 เมื่อ 18:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #35  
เก่า 15-03-2018, 22:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์สอบถามฝ่ายวัตถุมงคล "ยาจินดามณีมีเหลือไหม ? ...(หมดแล้วค่ะ)... ขายแพงขนาดนั้นยังหมดอีก เม็ดละ ๒๐ บาท แต่ถูกกว่ายาบ้าเยอะนะ...! ยาบ้าเดี๋ยวนี้เม็ดละ ๓๐๐ – ๔๐๐ บาท หาซื้อยากด้วย สมัยก่อนที่อาตมายังวัยรุ่นอยู่ เขาบอกว่าอยากได้ยาม้าให้ไปหาตำรวจ สมัยนี้คงไม่ได้แล้วกระมัง เพราะว่าบ้านเรามีแต่ตำรวจดี ๆ ทั้งนั้น ทำผิดพลาดก็แค่วุฒิภาวะต่ำ ไม่ได้มีเจตนา...!

ตำรายาโบราณของเราผลการรักษาจะมีน้อยลงไปเรื่อย ๆ ดังในเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาที่ว่า ทั้งพืชพรรณว่านยาก็ถอยรส คำว่า ถอยรส ก็คือฤทธิ์ยาน้อยลง เหตุที่น้อยลงเพราะว่าสารอาหาร ธาตุอาหารในดินหมดไป

สมัยอาตมายังเด็ก ๆ ตามหัวไร่ชายนา ไปที่ไหนก็มีสมุนไพรทั้งนั้น โดยเฉพาะอาหารการกินของเราที่ฝรั่งเขาเอาไปทำวิจัย ไม่ว่าจะแกงส้มต้มยำอะไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วเขาบอกว่าเป็นพืชผักสมุนไพรทั้งสิ้น แม้กระทั่งบาทหลวงลาลูแบร์ที่มาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรุงศรีอยุธยา ก็ส่งบันทึกกลับไปทางฝรั่งเศส บอกว่าคนไทยรูปร่างเล็กแต่แข็งแรงมาก กินอาหารแต่ผักแต่ปลา ก็แสดงว่าไม่จำเป็นต้องกินนมกินเนย

เพียงแต่สมัยนี้พวกเราไปคล้อยตามวัฒนธรรมการกินของฝรั่ง ส่วนใหญ่ไปกินอาหารพวกนมพวกเนย ซึ่งไม่เหมาะสมกับอากาศบ้านเรา บ้านเขาจำเป็นต้องกินเพราะว่าอากาศหนาวมาก จะได้มีพลังงานเอาไว้ต่อสู้ความหนาว แต่บ้านเราอากาศร้อน กินอะไรเข้าไปก็สะสมหมด กลายเป็นโรคอ้วน เดี๋ยวนี้คนไทยเป็นโรคอ้วนเกิน ๓๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว แปลว่าเดินมา ๑๐ คน อย่างน้อยต้องมีน้ำหนักเกินประมาณ ๔ คน รู้ตัวแล้วก็รีบลดนะ ความอ้วนพามาสารพัดโรคเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2018 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #36  
เก่า 15-03-2018, 22:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ส่วนใหญ่คิดว่าที่หลวงพ่อพูดมาต้องไม่ใช่เราแน่เลย เพราะว่าเราอ้วนกำลังสวย...ใช่ไหม ? พวกอ้วนแล้วสวยนี่ต้องเรียกว่าสิ้นคิด ลดอาหารมื้อเย็นลงครึ่งหนึ่งหรือไม่กินเลยก็ได้ ให้ความสำคัญกับอาหารเช้าให้มากที่สุด ตอนกลางวันกินครึ่งหนึ่งของตอนเช้า ตอนเย็นไม่ต้องกินเลยก็อยู่ได้สบาย

ถามว่าอยู่ได้อย่างไร ? ก็อาตมาก็อยู่มาอย่างนี้ ไม่ว่าจะน้ำปานะอะไร ไม่ได้แตะต้องกับใครเลย นอกจากน้ำร้อนอย่างเดียว ใครซื้อน้ำหวาน ซื้อกาแฟ ซื้อนมมาให้ ก็ส่งต่อให้คนอื่นหมด ด้วยความที่เป็นเด็กบ้านนอก ตั้งแต่เด็กมาของพวกนี้ไม่เคยกิน ก็เลยไม่ได้นึกอยากจะกิน ก็ยังสงสัยอยู่ทุกวันนี้ว่ากาแฟแก้วละ ๘๐ บาท แก้วละ ๑๐๐ บาท รสชาติเป็นอย่างไร ซดเข้าไปทีหนึ่ง ขมจะตาย กินเข้าไปได้อย่างไร ? ก็เลยไม่มีอะไรให้ติดใจ

หลายคนบอกว่าตอนเช้ากินกาแฟกับขนมปังคู่หนึ่ง อ้วนได้อ้วนดี ถามว่ากาแฟคุณใส่ครีมเทียมไปกี่ช้อน ? เขาบอกว่า ๔ ช้อน แบบนั้นอ้วนแน่นอน เพราะว่าครีมเทียมก็คือน้ำมันปาล์ม เขาพ่นน้ำมันปาล์มในอุณหภูมิสูงจนแห้งกลายเป็นผง ก็แปลว่ากินน้ำมันเข้าไป ๔ ช้อนในแต่ละมื้อ แล้วจะผอมอีท่าไหน ?

ถ้ากินกาแฟก็ โน่น...เอสเพรสโซ่ ดำปี๋เลย อย่าไปใส่น้ำตาล อย่าไปใส่ครีม
พวกทรีอินวันนี่เลิกไปเลย ของอะไรถ้ากินถูกก็มีประโยชน์ ถ้ากินผิดก็มีโทษ

การค้นพบแต่ละอย่างบางทีเกิดจากสัตว์ อย่างเช่น แพะฝรั่งทะลึ่งไปกินกาแฟ แล้วเจ้าของก็สงสัยว่าทำไมแพะคึกเป็นพิเศษ ก็ลองเอาเม็ดกาแฟไปกินดู เออ...ทำให้นอนไม่หลับจริง ๆ อย่างเรื่องของเหล้า เกิดจากลิงไปรุมกินผลไม้ที่ตกไปในโพรงไม้ น้ำฝนลงไปหมักกลายเป็นเหล้าขึ้นมา พอคนเห็น คนมีปัญญามากกว่า ก็จัดการหมักเองเลย ถึงเวลาสัตว์เริ่มต้นก่อน คนก็ตาม เป็นอะไรที่อนาถมาก แทนที่จะให้สัตว์ตามคน...!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2018 เมื่อ 02:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #37  
เก่า 15-03-2018, 23:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถามว่า "คำว่า วุฒิภาวะคืออะไร ? วุฒิภาวะต้องบอกว่าเป็นสภาพของจิตใจซึ่งควรจะเจริญขึ้นตามอายุ ปัจจุบันนี้ต่างประเทศเขาทำวิจัยแล้วว่า ถ้าเรามีไอคิวคือความฉลาดอย่างเดียวไปไม่รอด ต้องมีวุฒิภาวะ โดยเฉพาะวุฒิภาวะทางอารมณ์ รู้จักควบคุมกาย วาจา ใจของตนเอง ให้อยู่ในกรอบของศีลของธรรมจึงจะใช้ได้ ต่อไปคำนี้จะเป็น “คำฮิต” อีกคำหนึ่งในสังคมของเรา ก็คือเขาจะว่าใครที่ทำความผิดว่าวุฒิภาวะต่ำ

เนื่องจากว่าผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติบอกว่า ผู้บังคับการจังหวัดกาญจนบุรีไม่ได้ทำความผิดอะไรร้ายแรง นอกจากมีวุฒิภาวะต่ำเท่านั้น แค่แก้ไขสำนวน เปลี่ยนคนผิดให้เป็นคนถูก ไม่ถือว่าเป็นความผิด นอกจากวุฒิภาวะต่ำ แล้วท่านจะรู้ไหมว่าสิ่งที่พูดไปจะทำให้กลายเป็น "ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์" ?

เรื่องทุกอย่างสามารถที่จะปรุงแต่งด้วยการกระทำ ด้วยคำพูด ด้วยใจคิด แต่สิ่งที่แท้จริงก็คือกำลังใจของตน ถ้าใจคิดไม่ดี ไม่ว่าจะพยายามปรุงแต่งการกระทำหรือคำพูดขนาดไหน ท้ายสุดก็จะแสดงความจริงของใจออกมา

ก็แบบเดียวกับที่ญาติโยมไปปฏิบัติธรรมแล้วกราบเรียนหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ว่าตนเองน่าจะบรรลุธรรมแล้ว เพราะว่าสภาพจิตไม่รัก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงเลย หลวงพ่อสดท่านบอกว่า "อีตอแหล" โยมก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แล้วท่านก็แค่ถามกลับเรียบ ๆ ว่า "ไหนว่าบรรลุธรรมแล้ว ?"

ฉะนั้น...ในเรื่องของกำลังใจเป็นเรื่องที่ปรุงแต่งหลอกลวงไม่ได้ แต่วาจาและกายเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งหลอกลวงกันได้ ซึ่งโบราณมีคำพูดประเภทเจ็บแสบเผ็ดร้อน ที่เขาบอกว่า “หมามันอดกินขี้ไม่ได้หรอก” หืม...ว่าซะเสียหายเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2018 เมื่อ 02:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #38  
เก่า 15-03-2018, 23:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ฉะนั้น...ในส่วนที่เกิดขึ้นในสังคมของเรา ถ้าคนที่มีวุฒิภาวะและปัญญาเพียงพอ ก็จะรู้ว่าสิ่งที่ตนเองกระทำจะกลายเป็นแบบอย่างให้แก่คนอื่นได้ ถ้ามีการลอกเลียนแบบกันในทางที่ผิด ก็จะสร้างความเสียหายให้แก่สังคมร้ายแรงมาก เราจึงมีคำพูดประเภทว่า “บกพร่องโดยสุจริต” มีคำพูดว่า “วุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำ” ซึ่งเรื่องพวกนี้ก็จะกลายเป็นบรรทัดฐานอย่างหนึ่งของสังคม และเป็นข้ออ้างของบุคคลอื่นต่อไป"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2018 เมื่อ 02:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #39  
เก่า 15-03-2018, 23:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราเองช่วงนี้ก็จะรองานสวดพระคาถาเงินล้านที่ศูนย์ประชุมทีโอที ถนนแจ้งวัฒนะ ในวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๑ รองานทำบุญบ้านเติมบุญ ช่วงวันเสาร์ต้นเดือนพฤษภาคม ถัดไปก็จะเป็นการเป่ายันต์เกราะเพชร วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ในขณะที่โยมรู้สึกว่างานมีน้อย แต่อาตมานี่งานท่วมหัวจนทำไม่ทัน เพราะว่าระยะนี้เขามีการปฏิรูปพระพุทธศาสนา ในการปฏิรูปก็มีปฏิรูปทั้งหกด้าน คือ ด้านการปกครอง ด้านการศาสนศึกษา ด้านการเผยแผ่ ด้านการสาธารณูปการ ด้านการสาธารณสงเคราะห์ และด้านการศึกษาสงเคราะห์

ด้านการปกครองก็จะมีการเก็บข้อมูลของพระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ เพื่อที่จะออกสมาร์ทการ์ดควบคุมพระภิกษุสามเณร ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ซ้ำซ้อนกับงานของทางด้านกระทรวงมหาดไทย ต้องเรียกว่าหาเรื่องเปลืองงบฯ โดยใช่เหตุ เพราะว่ากระทรวงมหาดไทยทำบัตรประชาชน
ให้พระเณรอยู่แล้ว ก็แค่ไปขอเปลี่ยนบัตรประชาชน เปลี่ยนคำนำหน้าชื่อ เมื่อถึงเวลาถ้าสึกหาลาเพศก็ไปเปลี่ยนบัตรใหม่อีกทีหนึ่งก็เท่านั้น ถ้าหากว่าเปลี่ยนบัตรโดยมีเหตุอันสมควรก็ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าทำบัตรหายก็จ่ายยี่สิบบาท ถ้าเก็บยี่สิบบาทก็ให้เขาไปเถอะ ทางคณะสงฆ์ก็ไม่ต้องแบกข้อมูลให้เหนื่อย นอกจากขอเชื่อมข้อมูลกับทางด้านกระทรวงมหาดไทยก็พอ

แต่ว่าปัจจุบันนี้เขาให้พระสังฆาธิการ คือฝ่ายปกครองทุกระดับส่งประวัติใหม่ล่าสุด พร้อมกับสำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน สำเนาหนังสือสุทธิ หลังจากนั้นก็จะเก็บประวัติพระและสามเณรลูกวัดต่อไป ซึ่งทางวัดท่าขนุนส่งครบหมดแล้วทั้งวัด เพราะว่าข้อมูลเหล่านี้มีอยู่แล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2018 เมื่อ 02:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #40  
เก่า 16-03-2018, 00:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ทางด้านการเผยแผ่พุทธศาสนายังไม่ได้ขยับ ก็ไปขยับในเรื่องของงานสาธารณูปการ โดยให้ส่งบัญชีงบเดือน บัญชีงบปี ซึ่งเรื่องนี้ถ้าทำส่งกันจริง ๆ จะถามว่าอ่านไหวไหม ? ตรวจสอบไหวไหม ? เพราะว่าแต่ละวันอย่างพวกกับข้าวกับปลา ข้าวของที่ซื้อ หรือแม้กระทั่งของอาตมาเอง วัสดุก่อสร้างที่ส่งอยู่ทุกวัน จะเป็นหน้าบัญชีจำนวนมหาศาลเลยในแต่ละเดือน ถ้าเราไม่ลงรายละเอียด ลงไปแค่ว่าจ่ายเท่าไรเขาก็จะไม่เชื่อความบริสุทธิ์ใจของเราอีก

แล้วอีกอย่างก็คือ ให้ทุกวัดงดออกอนุโมทนาบัตร ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๑ เพื่อที่จะให้ทางกรมสรรพากรคิดรูปแบบของอนุโมทนาบัตรที่เหมาะสมเสียก่อน โดยหลักการปฏิบัติก็คือต้องมีเงินโอนเข้าบัญชีตามจำนวนเท่านั้น ถึงจะออกอนุโมทนาบัตรให้ได้ เป็นเรื่องที่กำลังสร้างความปวดหัวให้พอ ๆ กับที่ไปต่างประเทศแล้วต้องมีการแสดงว่ามีกล้องถ่ายรูป มีนาฬิกา มีโน้ตบุ๊คอะไรประมาณนั้นแหละ

คนออกระเบียบก็ไม่ได้ดูว่าตัวเองมีปัญญาทำไหม ปัจจุบันนี้จะเดินทางโดยเครื่องบินเขาก็ให้ไปก่อนสองชั่วโมง เพื่อที่จะได้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการตรวจสัมภาระ การตรวจสอบที่นั่ง การตรวจสอบหนังสือเดินทาง ปัจจุบันนี้กลายเป็นว่าจะต้องเพิ่มเวลา เพื่อไปยื่นสำแดงว่าพกข้าวของเครื่องใช้ทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำได้เฉพาะคนทั่ว ๆ ไปเท่านั้น บรรดาลูกท่านหลานเธอหรือผู้ที่มีเส้นสาย ถึงเวลาก็ให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรหรือเจ้าหน้าที่สนามบินนั่นแหละ พาลัดออกช่องทางพิเศษกันเป็นประจำ ในเมื่อคนเดินทางวันหนึ่งเป็นหมื่น ระยะเวลาในการตรวจสอบต้องมากเท่าไร ? ต้องใช้ผู้คนเพิ่มขึ้นเท่าไร ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2018 เมื่อ 02:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:47



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว