กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 28-05-2014, 10:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมายังเด็ก บ้านอยู่ใกล้หมู่บ้านลาวโซ่ง คนลาวโซ่งแทบไม่มีหัวหงอกเลย ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มารู้ทีหลังว่าเขาใช้น้ำมันมะพร้าวชะโลมศีรษะทุกวัน ก็ดีอยู่อย่างว่า สมัยนั้นเด็ก ๆ มักจะเป็นเหา แต่ลูก ๆ ลาวโซ่งไม่มีใครเป็นเหา เล่นเอาน้ำมันมะพร้าวชะโลมศีรษะทุกวัน เหาอยู่ไม่ได้

สมัยนั้นเขาใช้ใบน้อยหน่า เอาใบน้อยหน่าตำ ๆ ให้แหลก
เอาน้ำมันก๊าดใส่ลงไปสัก ๒ ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันแล้วโปะหัวขยี้ให้ทั่ว เหม็นเขียวอย่าบอกใครเลย แต่ก็ได้ผลนะ ถ้าไม่อยากเหม็นต้องโกนหัวเลย สมัยเด็ก ๆ อาตมาก็นอนอยู่กับพี่สาว น้องสาว เวลาติดเหาก็ติดกันหมดเลย ผู้หญิง ผู้ชายเป็นหมด จนกระทั่งแม่ขี้เกียจตำใบน้อยหน่าให้ จึงจับโกนหัวทุกคน หรือไม่ก็ต้องซื้อหวีเสนียดมาสาง

หวีเสนียดเป็นหวีที่ถี่มาก ๆ สาง ๆ ถึงเอาไข่เหาออกได้ ไม่ได้ต้องการตัวเหาหรอก เอาไข่ออกก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเกิดเป็นตัวใหม่ ไข่เหาจะติดปลายผม เป็นเม็ดเล็ก ๆ ถ้าบ้านไหนเลี้ยงลิงไปก้มหัวให้ลิง เดี๋ยวลิงก็เก็บเกลี้ยง ลิงเก่งจริง ๆ สายตาดีมาก ถึงเวลาก็ควาน ๆ จับทั้งตัวจับทั้งไข่ใส่ปากเคี้ยวหมด แต่ไม่ทันใจ เลยใช้วิธีเด็ดขาด ก็คือโกน แต่แล้วไม่นานก็ติดอีก เพราะเพื่อนที่โรงเรียนเป็นกันแทบทั้งนั้น

ถ้าทนกลิ่นใบน้อยหน่าผสมน้ำมันก๊าดได้ก็พอกหัวไป ถ้าทนไม่ได้ก็ต้องยอมโกน สมัยนั้นโกนแล้วดูดีกว่า เพราะว่าเด็กผู้หญิงสมัยนั้น
ตัดผมทรงกะลาครอบ เอาขันครอบไปแล้ว ตัดเสมอหู ข้างหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมเลย

สมัยนี้ไม่มีเหาแล้วใช่ไหม ? ก็เลยไม่ต้องทดสอบยาสูตรนี้ ใบน้อยหน่ากำมือใหญ่ ๆ เลย กับน้ำมันก๊าด ๒ ช้อนโต๊ะ ตำให้ละเอียด คลุกให้เข้ากันดี แล้วพอกหัวละเลงให้ทั่ว คนยังจะเหม็นตายเลย แล้วเหาจะอยู่ได้อย่างไร ? โยมแม่ของอาตมาโกนหัวเก่งมาก ๆ สุดยอดเลย เด็กเกิดใหม่ ๆ หัวนิ่ม ๆ ยังโกนได้ แล้วมีดโกนสมัยก่อนก็ไม่ใช่มีดโกนกันบาดเหมือนสมัยนี้ เป็นมีดที่ตัวด้ามกับใบเป็นอันเดียวกัน แล้วเป็นทองเหลือง ถึงเวลาต้องไปสะบัดลับกับสายหนัง ไม่มีบาดหัวเด็กเลย โกนได้อย่างไรก็ไม่รู้ สุดยอดจริง ๆ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2014 เมื่อ 11:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 28-05-2014, 11:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนวันเป่ายันต์ที่ผ่านมา พอจัดของเสร็จ ตอนเย็นพระท่านถามว่าบูชาวัตถุมงคลเลยได้ไหม ? อาตมาก็นึกว่า เออ..ปกติวันงานนี่พระไม่มีสิทธิ์เบียดโยมเข้าไปบูชาเลย พออนุญาตว่าได้ พระท่านก็กวาดพระพุทธรูปไปกันเกือบหมด ความจริงท่านอยู่กับวัด ขอไปคนละองค์สององค์อาตมาก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว แต่ท่านอยากจะบูชาเป็นของส่วนตัว เพราะจะได้ให้คนอื่นได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2014 เมื่อ 11:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 28-05-2014, 11:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "วันนั้นกำลังจะขึ้นเครื่องบินที่เขมร มีโยมคนหนึ่งถ้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน ก็ต้องเป็นกัปตัน แกรี ๆ รอ ๆ มอง ๆ อาตมาอยู่ ท้ายสุดไปดึงเอาแอร์โอสเตสที่พูดภาษาไทยได้บ้างไม่ได้บ้าง มา บอกว่าแกมีคดีอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ จะรอดหรือไม่รอด แล้วต้องแก้ไขอย่างไร ?

เขาเห็นอาตมาเป็นหมอดูไปแล้ว ก็เลยดูลายมือให้ ว่าไปเรื่อยเปื่อย ปรากฏว่าพอเสร็จสรรพเรียบร้อย ใกล้ถึงเวลาขึ้นเครื่อง ก็ตาลีตาเหลือกผ่านเครื่องตรวจเข้าไป ลืมอาราธนาพระ เครื่องตรวจร้องดังสนั่นเลย ทุกครั้งไม่เคยดัง พอดังขึ้น อาตมารู้ตัว ก็ให้เขาตรวจ รับประกันว่าหาไม่เจอหรอก

เมื่องานสัปดาห์หนังสือไปกับพวกทิดตู่ พอเดินผ่านเครื่องเสร็จอาตมาก็ล้วงมีดจ่าตุ่มให้ทิดตู่ดู ...(หัวเราะ)... ทำไมเดินผ่านแล้วไม่ดัง ? เป็นอะไรที่สนุกดี ส่วนใหญ่แล้วเครื่องตรวจจะมารยาทดี เจอพระแล้วไม่ค่อยร้อง เจอฆราวาสแล้วโวยวายเสียไม่มี ขนาดกรรไกรตัดเล็บน้องเล็กยังโดนยึดเลย พอผ่านไปแล้วอาตมาก็หยิบมีดให้ดู ประเภทพกมีดขึ้นเครื่องเป็นปกติ ปลอดภัยไร้กังวล"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-06-2014 เมื่อ 11:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 29-05-2014, 18:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ที่พระท่านไม่ให้พกมีด เพื่อป้องกันไม่ให้ยึดถือเป็นที่พึ่ง อย่างเช่นว่าเราพกมีดไปเดินธุดงค์ เกิดอันตรายเราก็นึกถึงมีด ไม่ได้นึกถึงพระ กลายเป็นยึดมีดเป็นที่พึ่ง ไม่ได้ยึดพระเป็นที่พึ่ง ฉะนั้น..เรื่องของธุดงค์สมัยก่อน มีดโกนท่านยังไม่ให้เอาไปเลย เพราะมีดโกนสมัยก่อนตัวกับด้ามเป็นชิ้นเดียวกัน ใช้เป็นอาวุธได้

"หลวงพ่อขี้เสือ" ท่านทำเสือตายไปตัวหนึ่ง ถึงเวลาท่านปักกลดเสร็จ ด้วยความที่ท่านกลัว ท่านก็เอาดุ้นไม้สะแกซุกไว้ในกลดด้วย เวลาดึก ๆ เสือมาวนรอบกลด วนไปวนมาก็ยื่นหน้ามาดม

หลวงพ่อขี้เสือทนไม่ไหว คว้าดุ้นสะแกได้ก็หวดเสียเต็มที่เลย..เสือตาย..! รุ่งเช้าพระอาจารย์ต้องส่งกลับ บอกว่า ถ้าคุณไม่กลับพวกเราก็ตายหมด เป็นพระแล้วศีลขาด จะพาซวยทั้งคณะ ตอนหลังท่านเป็นนักธุดงค์ที่เก่งมาก ใครจะออกธุดงค์ต้องไปขึ้นครูกับท่าน เพราะของท่านขึ้นครูด้วยเสือตัวหนึ่ง ลืมถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า จริง ๆ แล้วท่านอยู่วัดไหน ท่านเล่าให้ฟัง อาตมาก็ฟังสนุกจนลืมถาม รู้แต่ว่าสมัยก่อนพระทางอยุธยา ก่อนออกธุดงค์จะไปขึ้นครูกับหลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ

ครูบาอาจารย์พอรับขึ้นครูแล้วก็จะคอยตามดูลูกศิษย์ แบบเดียวกับหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่าปักกลดภาวนาไปเรื่อย เพิ่งจะหัวค่ำไม่ทันไรเลย เสือ ๓ ตัวลงมาเล่นน้ำปล้ำกันตึงตังโครมครามที่ลำห้วยใกล้ ๆ กลด ฟังไปฟังมารำคาญ เปิดกลดออกมานั่งดู ท้ายสุดเสือ ๓ ตัวค่อย ๆ เดินขึ้นบกมา กลายเป็นหลวงปู่ปาน หลวงปู่จง หลวงปู่จาด ท่านถามหลวงพ่อฤๅษีว่า "เอ็งไม่กลัวเสือหรือ ? " "กลัวครับ แต่เสือบ้าที่ไหนจะเล่นน้ำ ?" เสือเป็นสัตว์ตระกูลแมว กลัวน้ำจะตาย กลางคืนดันมาเล่นน้ำกันตูมตาม ถ้ากลางวันร้อน ๆ ก็ว่าไปอย่าง รู้ว่าไม่ใช่เสือแน่ หลวงปู่จาด วัดบางกระเบา หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ไม่มีอะไรจะทำ แปลงเป็นเสือไปหลอกลูกศิษย์กัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2014 เมื่อ 01:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 29-05-2014, 18:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถามโยมว่า "มีคนไหนเกิดมาเจอมะละกอที่ลูกใหญ่สุด ๆ บ้างไหม ? จะถามว่าลูกโตแค่ไหน ? อาตมาไปธุดงค์เจอมะละกอลูกหนึ่งโตเกือบเต็มหาบ ก็คือเดินเข้าป่าไปเรื่อย ๆ กะว่าวันนี้อดละวะ ไม่กินก็ได้ ปรากฏว่าเจอชาวบ้านหาบมะละกอเดินสวนมา ข้างหนึ่งเป็นมะละกอลูกหนึ่งใหญ่เกือบเต็มหาบ ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นเครื่องมือทำส้มตำ แกเจอพระก็นิมนต์ ทำส้มตำเลี้ยงเพล อร่อยดีเหมือนกัน แปลกใจอยู่อย่างเดียวว่ากลางป่าอย่างนั้น แกจะไปขายส้มตำให้ใคร หรือเจตนามาเลี้ยงพระอย่างเดียว ?

ถ้าถามว่าเข้าป่าไปลึกแค่ไหน ? ต้องบอกว่าเดินพ้นถนนดินที่ป่าไม้ใช้โฟร์วีลวิ่ง เข้าไปประมาณ ๔ ชั่วโมง เดินอย่างช้า ๆ ก็ต้องได้ ๑๔-๑๕ กิโลเมตร ไปเจอแม่ค้าส้มตำอยู่กลางป่า แต่อาตมาไม่รังเกียจหรอก ขอให้มีคนเลี้ยงก็พอ ไปนึกถึงที่หลวงพ่อฤๅษีท่านถามว่า "บ้านอยู่ไหนจ๊ะ ? " ถามแบบนั้นแล้วอด อาตมาจึงไม่ถามเด็ดขาด ก้มหน้าก้มตาฉันอย่างเดียว มีให้กินก็กิน อย่าไปสงสัย

ฉันไปก็นึกถึงที่หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า เชิญท้าวเวสสุวรรณมาพบครั้งแรก ท้าวเวสสุวรรณถามว่าอยากได้อะไร คราวนี้ท่านเองก็ไม่มีอะไรที่อยากได้ แต่อยากทดสอบเทวานุภาพ เลยบอกว่าอยากได้ผักบุ้งต้มจิ้มน้ำปลาพริก ปรากฏว่ารุ่งเช้ามีโยมเอามาถวายจริง ๆ ผักบุ้งยอดหนึ่งขดมาในชามดินเผา ท่านบอกว่าชามโตเกือบเท่ากะละมัง แต่ผักบุ้งยอดนั้นปล้องโตจนเอาแขนสอดเข้าไปได้

ท่านบอกว่าฉันไม่หมด เหลือแล้วตากแห้งไว้ อ่างดินเผาก็เก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่ปรากฏว่าสูญหายไปตอนสงคราม แสดงว่าของอีกที่หนึ่งใหญ่ ๆ ทั้งนั้นเลย ไม่ใช่เล็ก ๆ "
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2014 เมื่อ 14:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 29-05-2014, 18:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถ้าใครไปวัดพระธาตุศรีจอมทอง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ให้เข้าไปในศาลาที่เป็นพิพิธภัณฑ์ จะมีข้าวสารของชาวลับแลอยู่เม็ดหนึ่ง ไปดูได้ โตเกือบเท่ากล้วยหอม..! แบบนั้นเจอเข้าไปเม็ดเดียวก็พอเลย นั่นยังเป็นข้าวสารอยู่นะ ถ้าหุงสุกแล้วจะเป็นอย่างไร ? ไม่รู้ตอนนี้เขาปิดทองมิดไปแล้วหรือยัง ?

ถ้าเป็นข้าวเปลือกจะขอซื้อมาปลูก แล้ว
ต้องบังคับคนรดน้ำให้ถือศีล ๕ ตลอด ๔ เดือน พอตกรวงเมื่อไรก็ขยายพันธุ์ ยังดีที่รวงข้าวมีเกสรตัวผู้อยู่ในตัว ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะขยายพันธุ์อย่างไร พวกเราไม่ใช่เด็กบ้านนอก ไม่รู้ว่าข้าวตกรวงกลิ่นหอมแบบไหน ยิ่งตอนที่ข้าวสุกใหม่ ๆ นะ แหม...ยื่นจมูกตามหาเลย

เคยได้กลิ่นฟางตากแห้งแล้วเปียกน้ำใหม่ ๆ ไหม ? ข้าวตกรวงหอมกว่านั้นอีก ถึงเวลาก็ต้องไปรับขวัญแม่โพสพ พอต้นข้าวสูงได้สักศอก ก็ทำพิธีรับขวัญแม่โพสพ ไปแต่งตัวให้ท่าน ถ้าไม่มีใคร ก็แม่บ้านเป็นคนทำ ส่วนใหญ่จะมีเครื่องมือในการผัดหน้าทาแป้ง แต่งตัว ผ้าสไบ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2014 เมื่อ 02:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 29-05-2014, 18:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระปัจเจกพุทธเจ้าที่อยู่บนพระนิพพาน จะเห็นมี... ?
ตอบ : ที่พระนิพพาน ถ้าจำเป็นต้องการมีอะไรก็จะมี ถ้าหมดความจำเป็นก็จะไม่มี เพราะเป็นสถานที่ที่มีความสมบูรณ์พร้อม ขึ้นอยู่กับความต้องการ ถ้าเราอยากเห็น ขึ้นไปท่านก็ทำให้เห็น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2014 เมื่อ 02:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 29-05-2014, 19:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (เรื่องน้องสาวที่เพิ่งเสีย)
ตอบ : สำหรับโยม..น้องสาวเพิ่งตาย ยังไม่ถือว่าห่างกันเท่าไร คนจีนเขาว่า “หัวหงอกส่งหัวดำ” ก็คือพ่อแม่อยู่แต่ลูกตาย คราวนี้ความตายไม่ได้มีนิมิต ไม่ได้มีเครื่องหมาย นึกจะมาก็มา แต่ถ้าดูในพระไตรปิฎกที่เขากล่าวถึงครอบครัวชาวนาว่าออกไปไถนากัน ปรากฏว่าลูกชายโดนงูกัดตาย สามีก็ฝากคนส่งข่าวกลับบ้าน บอกว่าตอนกลางวันเอาอาหารมาส่งส่วนเดียวก็พอ แล้วเอากิ่งไม้ปิดศพไว้ ตัวเองก็ไถนาต่อ คนเป็นแม่กับลูกสะใภ้มาถึง พอรู้ก็ทำหน้าที่ทำงานของตนเองตามปกติ

จนกระทั่งพระไปเห็นเข้าทนไม่ได้ก็เลยถาม คนเป็นพ่อก็บอกว่า “ตอนที่เขามาเกิดก็ไม่ได้ขอให้เขามา ในเมื่อเขาจะไปก็ต้องแล้วแต่เขา” คนเป็นแม่ก็บอกลักษณะนั้น คนเป็นลูกสะใภ้ก็บอกลักษณะนั้น พระอัศจรรย์ใจมากว่าคนทั้งครอบครัวเข้าถึงธรรมเหมือน ๆ กัน เห็นสภาพความเป็นจริงของคนเหมือนกัน มาเกิดแล้วต้องตาย พอทำงานเสร็จ ตอนค่ำก็ไปเก็บฟืนมาฌาปนกิจ เผาศพแล้วก็เอากระดูกไปลอยน้ำ

ถ้าเราเห็นว่าธรรมดาของทุกคน สัตว์ทุกตัว เกิดมาแล้วตายแน่ ๆ แต่เรามีโอกาสเห็นคนเกิดมากกว่าคนตาย เพราะคนเกิดใช้เวลา ๙-๑๐ เดือนเท่านั้น แต่คนเกิดมากว่าจะตายบางทีหลายสิบปี แต่ถ้าดูตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า “สัตว์โลกมาเกิดเท่าไรตายหมดเท่านั้น” แปลว่าไม่มีใครรอด แล้วแต่ว่าเป็นวาระของใคร

ถ้าอย่างในนิทานเซน เถ้าแก่ใหญ่เขาเปิดร้าน ขอให้ท่านอาจารย์เซนเขียนคำมงคลให้เพื่อจะติดหน้าร้าน ท่านอาจารย์เซนก็เขียนว่า “พ่อตาย ลูกตาย หลานตาย” เถ้าแก่โกรธอย่าบอกใครเลย งานมงคลแท้ ๆ ทำไมมาแช่งกันแบบนี้ ? ท่านบอกไม่ได้แช่ง นี่แหละคือความเป็นจริงที่เป็นมงคลที่สุด ถ้าหลานท่านตายก่อนลูก ท่านจะเสียใจขนาดไหน ถ้าลูกตายก่อนตัวท่าน ท่านจะเสียใจขนาดไหน แต่ถ้าตัวท่านตายแล้วลูกค่อยตาย แล้วหลานค่อยตาย ทุกอย่างเป็นไปตามลักษณะของอายุขัย ก็แปลว่าเป็นโดยธรรมชาติ กว่าจะเข้าใจได้แทบจะตีกันตาย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-06-2014 เมื่อ 11:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 29-05-2014, 19:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เขาทำพิธีศพแบบศาสนาคริสต์ ?
ตอบ : จะทำแบบไหนไม่เป็นไร เราทำบุญส่งให้เขาก็แล้วกัน เมื่อเช้าบอกกับโยมว่า คนตายไม่มีศาสนาหรอก ถึงเวลาตายกลายเป็นผี เขาจะดูว่าใครมีความดี คนมีความดีมาก มีกำลังบุญมาก ก็เหมือนแสงสว่างในที่มืด พอสว่างขึ้นมาเขาก็อยากจะอยู่ในที่สว่างแบบนั้น ก็มักจะมุ่งเข้าไปหา แต่ว่าน้อยคนที่จะรู้ได้ว่าผีเขามา หรือบางทีขนาดตั้งใจทำบุญให้ แต่อุทิศไม่เป็นก็ไม่ถึงเขา

อย่างเช่นบางคนไปขึ้นบท “อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตะรา อาจาริยูปะการา จะ..” ไล่ไปเรื่อย ให้พระอุปัชฌาย์ ให้อาจารย์ ไปไม่ถึงคนตายเสียที เพราะว่าโลกอื่นเขาตรงไปตรงมา ต้องให้เขาถึงจะได้ ถ้าไม่ให้เขาก็ไม่มีสิทธิ์ ถึงได้กลายเป็นว่าเวลาตายแล้วมักจะฉลาด ตอนมีชีวิตอยู่บางทีถือศาสนาอื่น ถือขนาดว่าเหยียบย่างเข้าศาสนสถานของอีกศาสนาหนึ่งถือว่าต้องลงนรก แต่พอตายแล้วเริ่มฉลาด รู้ว่าใครดี ใครมีบุญ ตอนเป็นผีฉลาดกว่าก็วิ่งไปหา


ถาม : ตอนเขาตายอยู่โรงพยาบาลค่ะ เป็นมาลาเรียลงกระเพาะ ตอนเราโทรไปเสียงนี้เหี่ยวเลยค่ะ โทรไปบอกให้เขาพุทโธ
ตอบ : ต้องบอกว่าเขาพ้นทุกข์แล้ว ตอนนี้ที่ต้องตะเกียกตะกายลำบากต่อ ก็คือพวกเราที่ยังอยู่นี่แหละ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2014 เมื่อ 02:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 29-05-2014, 19:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ...(ไม่ชัด)...
ตอบ : ศาสนาคริสต์ก็ดีเพราะเขาก็มีการให้ทาน มีการปฏิบัติธรรมเหมือนกัน อย่างที่ไปยุโรป เขาไม่มีศีล แต่ว่าพวกนกเป็ด พวกหงส์ เต็มแม่น้ำไปหมด ไม่มีใครยุ่ง แล้วใครอย่าไปแตะเชียวนะ แจ้งตำรวจจับข้อหาทารุณสัตว์ให้ยุ่งไปหมด นั่นเท่ากับเขามีศีลโดยอัตโนมัติ เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้มาสมาทานศีลอย่างเราเท่านั้น ดู ๆ แล้วน่าทึ่งดี นี่ถ้าเป็นบ้านเราโดนกินหมด..ไม่เหลือหรอก

นกเป็ดเต็มไปหมดเลย ถึงเวลานอนอยู่ข้างฝั่งไม่กลัวคน ตอนแรกอาตมาก็คิดว่าคนเลี้ยง เขาบอกไม่ใช่หรอก อยู่ตามธรรมชาติ เป็นพวกเป็ดป่า หงส์ป่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2014 เมื่อ 02:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 29-05-2014, 19:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โบราณของเราเก่ง เพราะว่ากรรม ๓ หมวด ๑๒ ประเภท มีอยู่กรรมหนึ่งเขาเรียกอาสันนกรรม คือ กรรมก่อนตาย ก่อนตายจิตเกาะอะไรจะไปที่นั่น คราวนี้โบราณของเรามีการบอกทางคนตาย ให้เกาะพุทโธ เกาะพระอรหัง คราวนี้พอจิตเกาะความดีได้ก็ไปดีก่อน ถ้าถามว่าความชั่วเคยทำมาเยอะแยะ ? นั่นส่วนชั่ว เขาไปรับความดีก่อน อย่างเช่นว่าเคยฝากเงินไว้สักร้อยสองร้อยบาท ไปใช้เงินก่อน พอใช้เสร็จค่อยไปใช้หนี้สามสิบล้านนั่นค่อยว่ากันทีหลัง

คราวนี้ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นไปข้างบนแล้วฉลาด ก็เริ่มหาทางต่อบุญ เราอ่านประวัติหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ จะเห็นว่าเทวดามาขอฟังธรรมบ้าง ขอทำบุญบ้าง เขาต่อบุญ ต้องบอกว่าโบราณเราเก่ง เขามีการบอกทางให้กับคนใกล้ตาย ลักษณะคล้าย ๆ กับทิเบต แต่ทิเบตเขาจะสอนเลยว่าก่อนตายจะรู้สึกอย่างไร จะเห็นอะไรบ้าง ตอนช่วงไหนควรจะทำจิตอย่างไร ทิเบตเขาสอนละเอียดกว่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2014 เมื่อ 02:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 30-05-2014, 09:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าใครเคยกินผลไม้ที่สุกคาต้น ต่อไปกินอะไรก็ไม่อร่อย ผลไม้ในตลาดรสชาติไม่เอาอ่าวเลย เพราะว่าของที่มาจากต้น ส่วนใหญ่จะได้ความสด ลองไปกินพวกเงาะที่อยู่กับต้นดูนะ แล้วลองไปกินที่ตลาด ชิมดูจะไม่เอาไหนเลย คนสมัยก่อนเขาสังเกตจากสัตว์ ถ้าสัตว์รุมกินผลไม้ต้นไหน แปลว่าอร่อย แล้วก็เอามาปลูก คัดเลือกพันธุ์ ขยายพันธุ์ กลายเป็นสายพันธุ์ต้นไม้บ้านไป ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าก็เป็นไม้ป่าทั้งนั้น

อาตมาธุดงค์ไปเจอลูกมะพูด บางคนก็เรียกแอปเปิ้ลเมืองไทย สุกเหลืองอร่ามเต็มต้นเลย ไม่มีใครกิน จึงเก็บที่ตก ๆ มาชิม เจ้าประคุณเอ๋ย..เปรี้ยวจนเหงื่อหยด เปรี้ยวจนลิงเมิน ไม่อย่างนั้นปกติพวกลิง ค่าง กระรอก กระแต กินกันกระจายแล้ว สุกแล้วแต่เปรี้ยวกว่ากินมะนาวอีก ไปเจอต้นที่ไม่หวาน แล้วคิดว่าตัวเองโชคดี สุกเต็มต้นทำไมไม่มีใครกิน เจอไปเต็ม ๆ

วันก่อนไปวัดท่าซุง เจอร้านค้าเปิดใหม่อยู่กลางทาง ชื่อร้านลุงมงคล เลยแวะเข้าไปดู ปรากฏว่ามีของที่ไม่รู้จักคือฟักข้าวกวน ปกติเคยแต่จิ้มน้ำพริก เคยแต่แกงส้ม นี่ฟักข้าวกวน เลยซื้อมาหนึ่งกล่อง ลองชิมดู รสชาติเข้าท่าดี...

ระยะหลังนี้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เขาวิจัยเรื่องฟักข้าวว่ามีสารป้องกันอนุมูลอิสระสูงมาก ๆ เอาไว้ฟื้นฟูร่างกายหรือป้องกันมะเร็งได้ โบราณเขากินกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนรุ่นใหม่เพิ่งจะรู้จัก สมัยอาตมาเด็ก ๆ เอาไว้เป็นเป้าปืน เพราะฟักข้าวเวลาสุกลูกประมาณสองกำปั้น สีส้มแปร๊ดเลย กำลังสุกจะสีเหลือง ๆ อยู่ในใบเขียว ๆ เป็นเป้าเด่นเอาไว้ซ้อมมือ ยิงตูมกระจาย..!

สมัยก่อนตามหัวไร่ชายนาจะมีเถาฟักข้าว เถาขี้กา บอระเพ็ด เถาวัลย์เปรียง รางจืด เดินไปที่ไหนก็มี สมัยนี้กลายเป็นของแพงไปหมด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-06-2014 เมื่อ 11:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 30-05-2014, 09:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เก็บตกเดือนพฤษภาคมปี ๕๗ หมดแล้วค่ะ

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:12



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว