กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 13-01-2014, 10:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มารดาสุขภาพไม่แข็งแรง ลูกทำบุญอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรของมารดาได้ไหม และถึงเจ้ากรรมนายเวรหรือไม่ ?
ตอบ : ให้แม่ทำเองจะตรงที่สุด ลูกทำให้ได้ แต่เหมือนเราทำผิดกับคนอื่น แล้วให้ลูกไปขอโทษแทน อย่างนั้นให้แม่นั้นแหละทำเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-01-2014 เมื่อ 19:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 222 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 13-01-2014, 10:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อยากถามเรื่องการธุดงค์ของวัดพระธรรมกายครับ เหตุจากที่ผมเห็นในทีวีเรื่องที่พระเดินธุดงค์ในเมือง ในใจรู้สึกยินดีอยากร่วมบุญ ร่วมอนุโมทนาครับ แต่เท่าที่ผมทราบเรื่องธุดงควัตร ซึ่งของวัดพระธรรมกายไม่ตรงกับธุดงควัตรเลยสักข้อ ถ้าผมจะร่วมทำบุญหรืออนุโมทนาจะเป็นบาปหรือไม่ครับ ? จะเป็นการส่งเสริมให้สงฆ์ทำผิดวินัยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขอแนะนำว่า ให้ไปถามฝ่ายประชาสัมพันธ์ของวัดพระธรรมกาย จะได้คำตอบที่ตรงที่สุด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-01-2014 เมื่อ 19:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 13-01-2014, 10:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การเลี้ยงกุมารหรือว่าพราย ถ้าตัวเรามีผ้ายันต์พิชัยสงครามหรือในห้องมีพระ จะสามารถเลี้ยงได้ไหมครับ แล้วถ้าไม่ได้ เราสามารถอธิษฐานขอเลี้ยงได้ไหมครับ ?
ตอบ : วัตถุมงคลที่ว่ามาเหมือนกับแสงสว่าง แสงสว่างอยู่ที่ไหนเราสามารถเอาความมืดไว้ที่นั้นได้หรือไม่ ? ฉะนั้น..ถ้าอยากได้จริง ๆ ก็ต้องสละแสงสว่าง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-01-2014 เมื่อ 19:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 13-01-2014, 10:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงที่ไข้ขึ้นแล้วความดันขึ้น เวลาไอแต่ละครั้งเหมือนเส้นเลือดในสมองจะแตก ถ้าเส้นเลือดในสมองแตกส่วนใหญ่แล้วอัมพาตจะกินก่อน อาตมาก็ใกล้เคียงจะได้เป็นอัจฉริยะแล้ว พอถึงเวลาก็จารึกหน้าหลุมศพไว้เลยนะว่า "ไอซะตาย (ไอสไตน์)"

ถ้าได้ข่าวว่าอาตมาเข้าโรงพยาบาลก็ไม่ต้องไปเยี่ยมนะ เพราะรำคาญพวกที่ไปเยี่ยมแล้วบอกให้พักผ่อนมาก ๆ อาตมาก็ได้แต่นึกในใจว่า ถ้ามึงไม่มากูก็พักไปตั้งนานแล้ว ครั้งนี้เจ้ากรรมนายเวรเล่นตลก อันดับแรก เขากำหนดกติกาว่ายาหมดแล้วจะหาย เขารู้ว่าญาติโยมพอเห็นอาตมาป่วยเมื่อไรต้องขนยามาให้ แล้วอาตมาก็ไม่มีปัญญาที่จะยัดลงไปหมด ส่วนเมื่อเช้าเขามาร้องเพลงขอนไม้กับเรือให้ฟัง เปรียบอาตมาเป็นขอนไม้ผุ ๆ จะส่งคนไปได้สักกี่คน ว่าอย่างนั้น

ถ้าอาตมาไม่ป่วยจะลุกขึ้นเตะมัน..! ร้องเพลงเพราะด้วยนะ แถมยังเสียงทองแดงเหมือนบ่าววีด้วย ภาษาจิ๊กโก๋สมัยก่อนบอกว่ากวนตีนสุด ๆ เป็นคนทำให้อาตมาป่วยแท้ ๆ ยังมีหน้ามาร้องเพลงยั่วโทสะอีก เปรียบอาตมากับขอนไม้ เดี๋ยวอาตมาแปรสภาพเป็นเรือกลไฟ เมื่อเป็นทีของเขาก็ต้องปล่อยให้เขาหัวเราะไป คนเราเกิดมาต้องแพ้เป็น ถ้าแพ้ไม่เป็นจะไม่ชนะอย่างแท้จริง

เวลาที่เหนื่อยมาก ๆ หิวมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วย จะเป็นที่เวลาที่สมาธิรวนมากที่สุด จะวัดอารมณ์ตัวเองได้ว่ารัก โลภ โกรธ หลงกินใจเราได้หรือเปล่า ? ถ้าใครเป็นลักษณะนี้ต้องตั้งใจระวังเอาไว้ เมื่อวานนี้ก็มีนักเลงดีย่องมา ๕ - ๖ รายด้วยกัน จะหาโอกาสเล่นงานอาตมาตอนป่วย แต่เขาหารู้ไม่ว่าตอนที่อาตมาป่วย เป็นตอนที่อาตมาสมาธิดีที่สุด เข้าใกล้สบตาปุ๊บถอยกรูดไปเลย อาตมามองตามไปใจหายแวบ เขานั่งอยู่ ๕ - ๖ คนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ บอกทิดเฟิร์สว่า "ดูมันสิ.."

ตอนแรกก็สงสัย ถามทิดเฟิร์สก่อนว่าวันอะไร ได้ยินว่าวันเสาร์ก็ใช่เลย เพราะพวกนี้ของเขาจะแรงที่สุดในวันอังคารกับวันเสาร์ จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้กลัวอะไรหรอก เพียงแต่เบื่อ ..เหมือนกับแมลงวัน ไปตบตายก็เลอะมือ จึงต้องเปล่งรังสีอำมหิตให้เขาเห็นถึงได้ถอยไป แปลว่าคนเรา ต่อให้ตั้งหน้าตั้งตาทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นขนาดไหนก็ตาม ก็ยังมีคนที่เขาไม่ชอบใจอยู่ดี

ฉะนั้น..ในเรื่องของการเมืองที่วุ่นวายในปัจจุบันก็เหมือนกัน ไม่มีใครที่สามารถทำให้ทุกคนยินดีและพอใจได้เสมอหน้ากัน เราถึงต้องมีกฎเกณฑ์ มีกติกาขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนปฏิบัติตามนั้น คราวนี้พออีกฝ่ายหนึ่งแหกกฎเกณฑ์ แหกกติกาเลยธงไปไกล ก็ไม่นึกว่าจะมีพวกสิ้นสติเลยธงตามไปได้เยอะแยะขนาดนั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-01-2014 เมื่อ 19:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 234 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 13-01-2014, 11:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ต้องบอกว่าความสามารถของอาตมาเกินครึ่ง ฝึกฝนมาจากการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าไม่ใช่อาการแย่สุด ๆ จริง ๆ ญาติโยมมักจะดูไม่ออก รอให้เป็นแบบเดียวกันเมื่อไรแล้วอาจจะม่องเท่งไปเลย เพราะว่าพวกเราส่วนใหญ่แล้วระงับกายสังขารไม่ไหว ดังนั้น..การปฏิบัติของพวกเราทุกวัน ควรจะซักซ้อมสมาธิให้คล่องตัวเข้าไว้ พอถึงเวลาสมาธิทรงตัว อาการป่วยมากก็เหมือนกับป่วยน้อย อาการป่วยน้อยก็เหมือนกับไม่เป็นอะไรเลย

ถ้าคล่องตัวจริง ๆ ต่อให้เจ็บป่วยขนาด
ถึงตายเลย ก็สามารถที่จะรักษากำลังใจตัวเองได้ เพราะต้องมีความคล่องอยู่หลายด้วยกัน คล่องตัวในการเข้าสมาธิ คล่องตัวในการออกสมาธิ คล่องตัวในการไปตามลำดับสมาธิ คล่องตัวในการสลับสมาธิ อย่างนี้เป็นต้น ภาษาพระเขาเรียก วสี ๕ ประการ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-01-2014 เมื่อ 19:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 233 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า 13-01-2014, 11:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์พูดถึงเจ้ากรรมนายเวรว่า "ไม่ค่อยอยากดูหน้าพวกนี้ ดูแล้วเซ็ง..เพราะแถวยาวจัด จำนวนมากกว่ามวลมหาประชาชนอีก เพราะว่าเกิดแต่ละชาติก็เล่นเขามาบ่อย ๆ รวมแล้วมากกว่าที่เขามาชุมนุมกันอีก ที่ขี้เกียจดูหน้าไม่ใช่อะไรหรอก เกรงใจ..เดี๋ยวต้องทนอยู่ใช้ไปอีกหลายชาติ เพราะฉะนั้น..ต้องทำไม่รู้ไม่ชี้หนีหนี้ไปเรื่อย ๆ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-01-2014 เมื่อ 19:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 240 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า 13-01-2014, 11:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานสวดมนต์ข้ามปีที่วัดท่าขนุนปีนี้ พลาดอยู่อย่างเดียวคือการที่ทิดกวางไปจัดแถวโยม ถ้าให้เขาต่างคนต่างนั่งถึงเวลาจะขยับได้ คราวนี้พอตัวเองไปจัดแถวแล้วปูอาสนะไว้ ถึงเวลาคนข้างนอกก็ไม่กล้าเดินเข้าไป ที่ก็จะโบ๋อยู่เป็นแห่ง ๆ เพราะฉะนั้น..ครั้งต่อไปโปรดอย่าหวังดีไปจัดแถวอีก พวกเราส่วนใหญ่ไร้ระเบียบจนเคยชินแล้ว จะดูดีไปเอง พอไปจัดแถวเข้าไม่เคยชิน จัดอย่างไรก็ไม่ตรง

ปีนี้อาตมาไม่ได้บิณฑบาตด้วยตัวเอง ก็เลยไม่รู้ว่าญาติโยมที่ใส่บาตรมีใครบ้าง แล้วใส่บาตรมากน้อยแค่ไหน แต่จากที่เห็นก็คือเขาให้วัดท่าขนุนเดินด้านหนึ่ง แล้ววัดที่เหลือเดินอีกด้านหนึ่ง เพราะวัดที่เหลือทั้งหมดเดินรวมกันแล้วยังไม่มากเท่าพระวัดท่าขนุน ปีนี้ไปในฐานะประธานของงานฝ่ายสงฆ์แทนท่านอาจารย์มิตซูโอะ

อาตมาก็มาไล่นับอายุตัวเอง อีก ๘ ปี ท่านเป็นจนอายุ ๖๓ ปี แล้วท่านสึก ส่วนอาตมา ๕๕ ปี ก็เหลืออีก ๘ ปี ไปนั่งเป็นประธานก็มีปู่ไลมาเป็นผู้จัดการส่วนตัว ถึงเวลาแกก็ประเคนทองโยะ ประเคนกาแฟรอไว้ให้ บอกให้ฉันทุก ๆ ๓ นาที ๕ นาที เขาเห็นอาตมาไม่แตะเลย เขาไม่รู้ว่าอาตมาแสลงกับของหวานและกาแฟมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอฉันของหวานแล้วความดันจะขึ้น จะรำคาญตัวเอง ความดันขึ้นไป ๒ - ๓ วัน ส่วนกาแฟพอฉันเข้าไปแล้วหลับเลย

ตอนแรกพี่ ๆ ที่วัดท่าซุงไม่มีใครเชื่อ ประมาณปี ๒๕๒๙ หรือ ๒๕๓๐ ช่วยกันคัดแยกวัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุง องค์ไหนชำรุดจะได้ส่งคืนให้เขาไปซ่อมแซมได้ เขาเอากาแฟมาถวายก็รับไว้แล้วก็ส่งคืน บอกว่าไม่ฉัน เพราะฉันแล้วจะหลับ ก็มีแต่คนไม่เชื่อ ในสุดก็มีการท้าทายกันขึ้น “หลับไปเลย เดี๋ยวงานที่เหลือผมทำเอง” อาตมาก็เลยฉันให้ดู ไม่ถึง ๒ นาทีก็หัวไถพื้นหลับไปเลย เหมือนกับว่าผ่อนคลายอย่างมาก คล้ายยาคลายกล้ามเนื้อ แต่ได้ยินผู้เชี่ยวชาญเขาบอกว่า ถ้าฝืนไว้ได้สักครึ่งชั่วโมงคราวนี้ตื่นยาวเลย แต่ว่ามักจะฝืนไม่อยู่ มักจะหลับไปเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-01-2014 เมื่อ 19:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 235 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #28  
เก่า 16-01-2014, 08:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "การเรียนเราเรียกว่า การศึกษา ภาษาบาลีว่าสิกขา ในคารวะ ๖ พระพุทธเจ้าตรัสถึง สิกขาคารวตา มีความเคารพต่อการเรียน ก็ในเมื่ออาจารย์มีแก่ใจสอน ลูกศิษย์ก็ต้องทุ่มเทเรียน ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมี

อาตมาเองขนาดสอนแล้ว ประเภทลูกศิษย์ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ ก็ยังมีประเภทเด็กหลังห้อง สนใจแต่กิจกรรมหลังห้อง ไม่สนใจหรอกว่าอาตมาสอนอะไร แล้วถ้าไปเจออาจารย์ที่สอนแล้วไม่สนใจเขาด้วย ก็เจ๊งทั้งห้อง การศึกษาที่สมบูรณ์ต้องศึกษาตามแบบพระพุทธเจ้า คือไตรสิกขา ศึกษาในศีล ศึกษาในสมาธิ ศึกษาในปัญญา

องค์การยูเนสโก กำหนดแนวทางการศึกษาไว้ ๔ ประการ ถ้าจะว่าไปตามความจริงแล้ว ประการสุดท้ายไม่ได้เรื่อง คงไม่มีใครเรียนถึง เขาบอกว่าประการที่ ๑ Learning to know เรียนแล้วต้องรู้จริง แต่สมัยนี้เรียนแค่ให้จบ ไม่สนใจหรอกว่ารู้หรือไม่รู้ เอาแค่จบ แล้วยิ่งไม่มีการสอบตกด้วย ก็แปลว่าที่ทางด้านยูเนสโกเขากำหนดขึ้นมาก็คือ ต้องเรียนอย่างมีสมรรถภาพ อย่างแย่ที่สุดถ้าอาจารย์บอกเท่าไรเราต้องรู้เท่านั้น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว เขาถือว่าไม่ประสบความสำเร็จตามนี้ คือต้องศึกษาอย่างมีสมรรถภาพ

ประการที่ ๒ บอกว่า Learning to do เรียนแล้วต้องไปใช้งานจริงได้ คือสมัยนี้เขาย้ำกันนักย้ำกันหนาว่า ต้องเอาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ เขาเรียกว่าเป็นการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะถ้าเอาไปใช้งานไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม

ข้อที่ ๓ ส่วนใหญ่แล้วประชากรโลกยังเอื้อมไม่ถึง ไม่ต้องพูดถึงข้อที่ ๔ ข้อที่ ๓ เขากำหนดว่า Learning to live together เรียนอย่างไรที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ สหรัฐทำโครงการไอสไตน์น้อย เอาเด็กที่มีอัจฉริยภาพ ไอคิวตั้งแต่ ๑๑๐ ขึ้นไปมาเรียนรวมกัน พังเละเทะหมด โครงการต้องล้มกลางคัน เพราะพวกเก่งไม่ฟังใคร ออกแนวปทปรมะ แล้วอย่างปัจจุบันของเรา ถ้า Learning to live together ก็จบ ก็ไม่ต้องมาตั้ง กปปส. มาไล่เดินขบวนปิดกรุงเทพฯ ถ้าเรียนถึงระดับนี้ได้ ถึงจะกล่าวได้ว่าเป็นการศึกษาอย่างมีคุณภาพ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2014 เมื่อ 15:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #29  
เก่า 16-01-2014, 08:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ย้อนกลับไปข้อ ๑ ศึกษาอย่างมีสมรรถภาพ เรียนแล้วต้องรู้ ข้อที่ ๒ ศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ เรียนรู้แล้วต้องเอาไปใช้งานได้ ข้อที่ ๓ ศึกษาอย่างมีคุณภาพ สามารถใช้ผลการเรียน ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ในลักษณะการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ถึงจะก้าวถึงข้อที่ ๔ ได้ ข้อที่ ๔ เขาบอกว่า Learning to be เรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ บุคคลที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ต้องเป็นพระอริยเจ้า ถ้าสมบูรณ์จริง ๆ ต้องเป็นพระอรหันต์เลย ซึ่งดูตามกฎเกณฑ์ของยูเนสโกแล้ว คงไปกันไม่ถึง

เรียนรู้ในการที่จะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ ต้องเรียนรู้ภายในจิต ภายในใจของตนเอง ต้องรู้ว่าใจของตนเองตอนนี้เป็นอย่างไร ถ้าไม่มีความดี ก็เพียรพยายามสร้างความดีขึ้นมา ถ้ามีความดีอยู่แล้ว ยิ่งพยายามทำความดีนั้นให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้ามีความชั่วอยู่ ก็พยายามขับไล่ออกไป แล้วพยายามอย่าให้ความชั่วนั้นเกิดขึ้นอีก จึงจะประสบความสำเร็จในการเรียนจริง ๆ

สรุปแล้วว่า Learning to be การเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้น มีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น เรียกว่าการศึกษาเพื่อสันติภาพ ศึกษาอย่างมีสมรรถภาพ นำเอาการศึกษาไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ดำเนินชีวิตตามแนวทางการศึกษาอย่างมีคุณภาพ เพื่อก้าวไปสู่การเป็นมนุษย์สมบูรณ์ ซึ่งจะถึงสันติภาพ ของตำราอื่นเรียนอะไรเรียนไม่ถึงตรงนี้ แค่ข้อที่ ๓ ก็ไปไม่รอดแล้ว ไม่ทราบเหมือนกันว่า ยูเนสโกเขาไปแอบขโมยของใครมา อาจจะเอาไปจากพระพุทธศาสนานี่แหละ แล้วกำหนดเป็นหลักการศึกษา เขาเรียกว่า จตุสดมภ์ในการศึกษา ต้องพยายามเรียนให้ถึงตรงนี้ให้ได้

พระพุทธเจ้าของเรากล่าวถึงสีลสิกขา การควบคุมกายวาจาของเราเป็นอย่างน้อย จิตสิกขา ควบคุมใจของเราด้วย ก้าวล่วงข้อที่ ๑-๒ ของยูเนสโกไปอีก เกือบจะก้าวพ้นข้อที่ ๓ ด้วย เพียงแต่ว่าข้อที่ ๓ ศีลนี่เห็นชัด ๆ เลย ก็คือเรียนรู้ที่อยู่ร่วมกับคนอื่น ด้วยการไม่เบียดเบียนเขาด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ การที่เราจะไม่เบียดเบียนเขาด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ จะต้องออกมาจากจิตที่ประกอบด้วยเมตตา บุคคลที่ทรงเมตตาบารมีได้ต้องมีสมาธิเป็นพื้นฐาน ก็ก้าวจากสีลสิกขามาเป็นจิตสิกขา

คราวนี้ก็มาที่ปัญญาสิกขา ทำอย่างไรที่เราจะเล็งเห็นโทษ ในการที่ดำเนินชีวิตอยู่ในโลก แล้วทำอย่างไรที่จะเห็นประโยชน์ ในการชีวิตอยู่โดยสร้างคุณประโยชน์ให้แก่โลกอย่างมากที่สุด โดยไม่เห็นแก่ตัวตนของตัวเอง ถ้าทุกคนสามารถทำอย่างนี้ได้ การมีสันติภาพแม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่าเป็นไปได้ แต่คราวนี้ถ้าเราไปหวังว่าให้ได้ทุกคน โอกาสที่จะเป็นไปได้ก็มีน้อยมาก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2014 เมื่อ 16:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #30  
เก่า 16-01-2014, 08:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เราสามารถยกตัวอย่างบุคคล อย่างอเมริกาที่เขารบกันหนัก ๆ ฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ จบลงได้ก็เพราะอับบราฮัม ลินคอล์น แล้วการกระทบกระทั่งของผิวดำกับผิวขาวจบเพราะมาร์ติน ลูเธอร์ คิง แม้กระทั่งเนลสัน แมนเดลลา การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสันติภาพด้วยความสงบ ต้องนึกถึงมหาตมะ คานธี การช่วยเหลือคนยากจนโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เราจะนึกถึงแม่ชีเทเรซ่า ท่านทั้งหลายที่กล่าวถึงนี้ ตายหมดแล้ว..!

ตอนนี้ถ้าพูดถึงการทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ เพื่อสงเคราะห์ให้ทุกคนอยู่ดีกินดีเสมอกัน ก็จะนึกถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระองค์ยังอยู่ แต่ทรงชราภาพมากแล้ว พวกเราเองโชคดีที่เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนา ได้เจอสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งที่อื่นไม่มี หรือมีแต่ก้าวไม่ถึง แต่เราเองแทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ทางการศึกษาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง รักษาศีลส่วนใหญ่ก็กะพร่องกะแพร่ง สมาธิก็ทรงตัวบ้างไม่ทรงตัวบ้าง ตามแต่อารมณ์

ดังนั้น..ถ้าศีลกับสมาธิไม่ทรงตัว ปัญญาย่อมไม่เกิด เพราะว่าศีลสร้างสมาธิ สมาธิสร้างปัญญา เพราะฉะนั้น..เราต้องทำทุกอย่างให้สมบูรณ์บริบูรณ์ ถึงจะก้าวไปสู่สันติภาพได้ คำว่า สันติ เป็นไวพจน์ คือคำที่ใช้แทนคำว่าพระนิพพาน นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี เราก็เปลี่ยนความสงบเป็นพระนิพพาน สุขอื่นยิ่งกว่าพระนิพพานไม่มี ใช้แทนกันได้เลย

ไวพจน์ที่ใช้แทนกันได้มีอยู่หลายคำ สันติก็เป็นคำหนึ่ง วิราคะ ความสิ้นจากราคะ สุขอื่นยิ่งไปกว่าความสิ้นจากราคะไม่มี ใช้แทนกันได้ วฏฺฏูปจฺเฉท การตัดขาดซึ่งการเวียนว่ายตายเกิด หรือการตัดขาดซึ่งวัฏฏะ ก็เป็นคำที่ใช้แทนได้อีกคำหนึ่ง สุขอื่นยิ่งกว่าการตัดการเวียนว่ายตายเกิดนั้นไม่มี ตณฺหกฺขย การถอนเสียซึ่งจากตัณหาก็ใช้แทนได้ การถอนซึ่งตัณหาคือความอยากทั้งปวง สุขอื่นยิ่งกว่าการถอนเสียซึ่งตัณหา ได้แก่ความอยากทั้งปวงนั้นไม่มี อาลยสมุคฺฆาต การถอนซึ่งความอาลัย ไม่มีอะไรให้ห่วงใยให้กังวล

เราเนาว์สราญสุข นิรทุกข์เกษมสันต์
เฉกเช่นลดาวัลย์ สะพรั่งติด ณ แผ่นผา
ความทุกข์แลกำหนัด ก็สลัดมินำพา
วิเวกและเอกา ดุจทิพย์ที่ลอยลม
ผิว์แม้นจะลอยล่อง ก็มิต้องอาลัยสม
บ่คิด บ่ปรารมภ์ บ่มิห่วงอาลัยมีฯ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2014 เมื่อ 06:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #31  
เก่า 16-01-2014, 09:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เพราะฉะนั้น..สุขอื่นยิ่งไปกว่าการถอนเสียซึ่งความอาลัยนั้นไม่มี ใช้แทนกันได้ นิโรธ การเข้าถึงการดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง สุขอื่นยิ่งไปกว่าการดับความทุกข์ทั้งปวงนั้นไม่มี เพราะฉะนั้นไวพจน์ก็คือคำที่ใช้แทนพระนิพพานได้นั้นมีเยอะ

การจะก้าวให้ถึงต้องลงทุน ลงแรง พากเพียร บากบั่น ท่านบอกว่า อาตาปี สัมปชาโน สติมา อาตาปีคือพากเพียรในการเผากิเลส ถามว่าต้องเพียรขนาดไหน ถึงเผากิเลสให้ตายได้ ? ถ้าถึงระดับนั้นก็คงต้องเผาเหล็กให้ละลาย

ความเพียรของเราพอไหม ? ประเภทฝนทั่งให้เป็นเข็ม ที่ศิษย์ขอไปเรียนวิชากับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ อาจารย์ทิศาปาโมกข์บอกว่า เจ้ามีความพยายามจะศึกษาเท่าไร ? คนแรกบอกว่า ต่อให้อาจารย์เอาทั่งเหล็กมาให้ก็จะพยายามฝนจนกระทั่งเป็นเข็ม อาจารย์บอกอย่างนั้นมาเรียนได้ ถามลูกศิษย์คนที่สอง คนที่สองบอกว่า ถ้าอาจารย์จะใช้ตัวเขาต่างหินบด ฝนไปตั้งแต่ศีรษะไปตลอดจนปลายเท้า เขาก็ยินดี อาจารย์บอกถ้ากำลังใจอย่างนี้เรียนได้ เหมือนหินบดยา บดไปก็สึกไปเรื่อย สึกตั้งแต่หัวตลอดเท้า

สัมปะชาโน ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราทำอะไร เพื่ออะไร ในเมื่อเราดิ้นรนจะหนีทุกข์ ต้องรู้จักเข็ด ถ้าเป็นคนไม่รู้จักเข็ด เราจะเป็นคนแวะเวียนกลับไปหากิเลสเอง

อย่างที่บอกว่าต้องทรมานพระนิสิตท่านสักวัน การปฏิบัติที่ทำตั้งหามรุ่งหามค่ำไปหลายวัน พอเจอทีมไทยเตะบอลเข้าประตูเดียว พังหมดเลย เผลอเฮกันขึ้นมา คงไม่รู้ว่าพระอาจารย์หูไวเป็นบ้า ได้ยินทุกอย่าง เขาคิดว่าอาตมาหลับไปนานแล้ว เลยบอกท่านอาจารย์ ผอ. บุญเลิศว่า “ขอเล่นไอ้พวกนี้สักยก” “เอาเลย จะได้รู้ฤทธิ์บ้าง”

ในเมื่อจัดการได้ไม่เป็นไร เลยอ้างคำสั่ง ผอ.ว่า ให้พักแล้วพวกเราไม่พักกัน เพราะฉะนั้น..วันนี้ไม่ต้องไปไหน อยู่ในนี้ อาบแดดตอนเช้าก็ไม่ต้อง ตากอากาศตอนบ่ายก็งด นั่นเพราะว่าเขายังไม่เข็ด รู้อยู่ว่าสิ่งที่อาตมามอบให้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ปฏิบัติแล้วมีความสุขมาก แต่เผลอสติก็ตะกายกลับไปหากิเลสตามเดิม อยากดูบอล อาตมาอุตส่าห์ไม่ยึดเครื่องมือสื่อสาร ดันเสือกทะลึ่งเอาไอโฟนมาเปิดมุงดูกัน เพราะตามปกติถ้าตามระเบียบของมหาวิทยาลัย เขาจะยึดพวกเครื่องมือสื่อสารไว้เลย

สะติมา นอกจากมีสัมปชัญญะ ความรู้ตัวแล้ว สติต้องจดจ่อต่อเนื่องอยู่ตลอด ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ท่านทรงฌานทุกวินาทีเลย คือถ้าทรงฌานไม่ได้ทุกวินาที แสดงว่าสติยังไม่จดจ่อต่อเนื่อง เผลอเมื่อไรก็หลุด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2014 เมื่อ 16:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #32  
เก่า 16-01-2014, 09:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เพราะฉะนั้นพวกหลักการต่าง ๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนเอาไว้หมด ทุกอย่างสามารถเอามาโยงเป็นเนื้อหาเดียวกันได้หมด หลักธรรมของพระองค์ท่านเป็นของจริง เป็นของแท้ ไม่มีใครคัดค้านได้

แต่ยังขำตอนที่พระนิสิตท่านตั้งหน้าตั้งตาทำความดีลบล้างความผิด นั่งกันเงียบ ไม่มีกระดิกไปไหนเลย อยู่มาตั้ง ๗ - ๘ วัน เพิ่งเห็นพระอาจารย์เล็กด่า บอกท่านว่า "พวกคุณโชคดี หน้ายักษ์ของผมมักจะไปใช้ที่วัด ท่านอาจารย์พระมหาสมคิด (พระมหาสมคิด ยสพโล ป.ธ.๙ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์) ตามไปปฏิบัติต่อที่วัดท่าขนุน เจอเข้าพอดีเลย พระครูน้อยต้องบอกท่านว่า นี่พระอาจารย์ท่านใจดีขึ้นเยอะแล้วนะ สมัยพวกผมท่านเล่นกันตายไปข้างหนึ่งเลย"

ตอนนั้นให้พระท่านผลัดกันยถาฯ สัพพีฯ พอดีคิวของพระใหม่ท่าน ถ้าขึ้นบทมงคลจักรวาลน้อยมายาวยืด ในลักษณะนี้สวดเองไม่ได้หรอก ก็เลยบอกพระอื่นว่า เงียบให้หมด ให้ท่านรับผิดชอบคนเดียว แต่ท่านรับผิดชอบคนเดียวไม่ไหว จึงบอกว่า ต่อไปใครยถาฯ สัพพีฯ แล้วขึ้นบทให้พร ถ้าไม่ใช่บทที่ตัวเองสวดได้ อย่าทะลึ่งขึ้นมา ไม่อย่างนั้นกลายเป็นเรายังอาศัยคนอื่นอยู่ เป็นการปรามคนอื่นไปด้วย แล้วท่านปอมก็ซวย คือดันมาเป็นลิงโดนเชือดให้ไก่ดู ต้องเอาอย่างทิดอู๋ “โอ๊ย..ท่านอาจารย์เล็กด่า อย่าไปถือสาเลย แกอยู่ในวัยทองก็เป็นอย่างนั้นแหละ..!”

เมื่อตอนผ้าป่าซื้อเครื่องมือแพทย์ เพื่อตึกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลทองผาภูมิ ถ้าทิดอู๋รู้ว่างานนี้สามารถโชว์หน้าได้ ก็วิ่งมาเลย “สวัสดีครับท่านอาจารย์เล็ก” อาตมาเมิน..ไม่มองหน้า ไม่ทักด้วย แล้วบอกกับท่านกอล์ฟว่าใช้วิธีของทิดอู๋กับตัวมันเอง ถ้าวันไหนทิดอู๋มีอารมณ์ ก็จะวิ่งเข้ามาไหว้ ถ้าวันไหนทิดอู๋ไม่มีอารมณ์ จะทำเป็นเมินไม่เห็นอาจารย์เล็ก ก็เลยทำให้ดูว่า ที่ทิดอู๋ทำนั้นรสชาติเป็นอย่างไร

ตอนฉันเพลทิดอู๋วิ่งเข้ามาจะมาประเคนอีก “สวัสดีครับอาจารย์” อาตมาเฉยอีก เขาต้องถอยไปโต๊ะอื่น รู้แล้ว..ถ้าอาจารย์เล็กเงียบ ๆ นี่ใกล้โดนตีนแล้ว..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2014 เมื่อ 16:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #33  
เก่า 16-01-2014, 09:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "คนเราถึงวาระที่กรรมจะมาสนอง อย่างไรเขาก็ทำให้เราโดนจนได้ อาตมาอยู่วัดจะระมัดระวังมาก พอถึงเวลาต้องพัก ไม่ยอมให้ใครกวนเลย ประเภทคนสำคัญยิ่งใหญ่มาจากไหนมาขอพบ ไม่เคยได้พบหรอก บางรายก็บอกเป็นญาติมา แต่สั่งพระสั่งโยมเอาไว้ว่า อาตมาเป็นคนไม่มีญาติ

วันก่อนก็มีรายหนึ่ง มากัน ๔ - ๕ คน บอกว่ารู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนบวช รู้จักกันที่วัดท่าซุง บอกเลยว่าประเภทนี้ไล่ไปไกล ๆ เลย ๓๐ ปีกว่าแล้วไม่เคยมา รู้จักตั้งแต่ก่อนบวช ๓๐ ปีให้หลังค่อยคิดถึง น่าให้พบไหมเล่า ? ไปนึกถึงสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงเหมือนกัน มาถึงก็ยื่นบัตรประชาชน มาจากพัทลุง นามสกุลสังข์สุวรรณ บอกว่าเป็นญาติของหลวงพ่อ อาตมาก็เสี่ยงกับการหัวขาด โทรศัพท์เข้าไปถามเดี๋ยวนั้นเลย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่สมควร

“หลวงพ่อครับ มีโยมมาจากพัทลุง นามสกุลสังข์สุวรรณ บอกเป็นญาติของหลวงพ่อ” ท่านบอกว่า “กูไม่รู้จัก ญาติมีเฉพาะที่ตำบลสาลี พี่น้อง ๙ คนของแม่ เขาสร้างบ้านติด ๆ กัน จนกระทั่งตำบลนั้นทั้งตำบลแทบจะนามสกุลสังข์สุวรรณหมด ถ้ามาจากที่อื่นไม่รู้จัก” พอท่านออกมาพักตอนฉันเพล ก็เข้าไปกราบเรียนซ้ำอีกทีหนึ่ง ท่านบอกว่าให้ไปรอตอนเวลารับแขก ท่านบอกว่า “พวกนี้ข้าไม่ถือว่าเป็นญาติหรอก ตอนข้าตกระกำลำบาก ข้าวแทบจะไม่มีกิน ไม่เห็นจะโผล่หัวมา พอตอนนี้ข้าดังแล้วเสือกมา”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2014 เมื่อ 16:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #34  
เก่า 16-01-2014, 09:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ภาระทุกอย่างอาตมาจะพยายามแบกรับไว้แทน ไม่ให้หลวงพ่อท่านจะต้องเดือดร้อน แล้วมักจะตัดสินใจแทนเลย ซึ่งคนอื่นเขาไม่กล้าทำตรงนี้ แต่บางอย่างก็ตัดสินใจไม่ได้จริง ๆ ช่วงที่ตัดสินใจให้ไม่ได้ก็คือช่วงที่ผู้ว่าฯ อุทัยธานีท่านมา

ปี ๒๕๓๐ ในหลวงเจริญพระชนมายุครบ ๕ รอบ วัดท่าซุงทำงานใหญ่หลายชิ้นร่วมถวายเป็นพระราชกุศล นำเข้าโครงการของจังหวัด ก็มีสร้างโรงพยาบาลแม่และเด็ก สร้างโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา สร้างตึกรับแขกใหม่ สร้างมณฑปแก้ว สร้างวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร สร้างมณฑปสมเด็จองค์ปฐม ถ้าเป็นงบประมาณหลวงก็หลายร้อยล้านบาท ทางจังหวัดเขาก็กระตือรือร้นกัน อยู่ ๆ ได้ผลงานขนาดนี้ แต่มาผิดเวลา มาตอน ๘ โมงกว่า ๆ มาขอเข้าพบหลวงพ่อ เรื่องโครงการที่จะถวายในหลวง

หลวงพ่อท่านรู้ ก่อนที่ท่านจะเข้าไปพัก ท่านบอกว่า “เล็ก..วันนี้พ่อจะให้น้ำเกลือ ใครมาอย่าให้รบกวนนะ บอกว่าไปพบเวลารับแขกอย่างเดียว” ก็เรียนท่านผู้ว่าฯ ไป “หลวงพ่อให้น้ำเกลืออยู่ครับ รอไว้พบตอนบ่ายดีกว่า” ท่านผู้ว่าฯ หลุดปากมาว่าอย่างไรรู้ไหม ? ท่านบอกว่า “ให้น้ำเกลืออยู่ก็คุยได้ไม่ใช่หรือ ?”

ตอนนั้นอาตมาตีหน้าไม่ถูก ไม่ได้โกรธคนมาหลายปีแล้ว ตอนนั้นรู้ว่ากูโกรธมึงฉิบหายเลย แต่ว่าปั้นหน้าไม่ถูก ลืมไปว่าความโกรธเป็นอย่างไร ในเมื่อปั้นหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็เลยหันหลังเดินกลับไปหน้าตาเฉย ปล่อยเขายืนหัวโด่อยู่นั่นแหละ ทั้งคณะก็ละล้าละลัง นายทวารไม่เปิดประตูให้ จะเข้าอย่างไรเล่า ? ท้ายสุดเห็นว่าอาตมาไม่คุยด้วยจริง ๆ ท่านก็กลับ

ก็เลยทำให้เห็นว่า คนเราต่อให้เก่งกล้าสามารถขนาดไหน แต่ถ้าถึงเวลาก็จะเอาผลประโยชน์ตนเป็นใหญ่ เล่นถึงขนาดให้น้ำเกลืออยู่ก็พูดได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาตมาตัดรายชื่อผู้ว่าฯ ท่านนี้ออกจากสารบบความจำไปเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2014 เมื่อ 07:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #35  
เก่า 18-01-2014, 11:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อพระครูสิริบุญโสภิต วัดใหม่ยายนุ้ย ได้เลื่อนเป็นพระครูสัญญาบัตรเทียบเท่าผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอก ท่านจัดงานฉลอง ๓ วัน แสดงว่างานที่อาตมาจัดงานนั้นผิด เพราะว่าจัดแค่ ๓ ชั่วโมง อาตมาเป็นคนไม่ค่อยชอบงานเอิกเกริกเฮฮา โดยดูต้นแบบมาจากหลวงพ่อวัดท่าซุง

หลวงพ่อวัดท่าซุงจัดงานไม่เคยมีมหรสพ มีหลุดไปอยู่ ๒ ปี ก็คือปี ๒๕๒๗ มีวงดนตรีของทหารม้าไปเล่นให้ เพราะว่าผู้การสถาพรนำไป พอมาปี ๒๕๒๘ ไม่ทราบว่าลุงเพชรไปบนอะไรไว้แล้วสำเร็จ ต้องแก้บนด้วยลำตัดหวังเต๊ะแม่ประยูร คราวนี้พระก็อยากดู แต่หลวงพ่อท่านห้ามดู ตอนนั้นพระจึงต้องขยัน ไปเป็นช่างคุมเครื่องไฟ ปรากฏว่าคุมไปคุมมา แม่ประยูรหยุดรำหยุดร้องหันมา "หลวงพี่..ไปนอนเสียทีสิ อยู่แล้วเล่นไม่ออก" พระอยู่แล้วเล่นหยาบไม่ได้ โดนไล่ ต้องยอมเขา เพราะเป็นเวทีของเขา

ช่วงหลัง ๆ อาจารย์บุปผาชาติ จากวิทยาลัยครูนครสวรรค์ เอานิสิตไปเล่นกลองยาวบ้าง เล่นอะไรบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีงาน พวกละครไม่ต้องเสียเวลาหรอก วัดท่าซุงไม่จ้าง วัดท่าขนุนก่อนหน้านี้งานประจำปีทุกปีต้องมีละครพม่า พอปี ๒๕๔๔ อาตมาไปอยู่เพื่อช่วยเขาบูรณะวัด ตอนนั้นไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดท่านให้ไปช่วยบูรณะวัดหน่อย เขามีละครพม่าตามปกติ ละครพม่าเขาก็คล้าย ๆ ลิเกบ้านเรา พี่น้องทั้งมอญ ทั้งพม่า รู้ข่าวเขาก็มาดูละครกัน ไกลแค่ไหนก็ไป ไปดูกันมืดฟ้ามัวดิน

อาตมาสั่งพระเณรทั้งหมด ห้ามแม้แต่เดินผ่านบริเวณนั้น คืนนั้นเล่นละครพม่าตรงบริเวณที่เป็นลานธรรมปัจจุบัน ก่อนหน้านี้เป็นสนามหญ้าลึกลงไปศอกกว่า ๆ ถ้าหน้าฝนก็มีน้ำขัง ก็ปรากฏว่าพระเณรที่พักอยู่กุฏิประจวบดี ซึ่งอยู่ข้างสนาม มีเพื่อนมาอาศัยที่ห้องเพียบเลย กุฏิอื่นมาอาศัยอยู่ด้วย เพื่อเปิดหน้าต่างดูละคร พระอาจารย์ห้ามไม่ให้เดินผ่าน ไม่เดินก็ได้ อยู่บนกุฏิเลย เปิดหน้าต่างดูเอา

พอเห็นว่าอาตมาไม่เอาด้วยจริง ๆ ท้ายสุดก็ต้องเลิกไป เพราะว่าละครพม่าจริง ๆ ดึงคนได้ แต่เสียเงินเยอะ ค่าจ้างครั้งหนึ่งเป็นแสนบาท แล้วจะไปได้อะไรนักหนา เพราะเก็บที ๒๐ บาท ต้องคนดูเป็นหมื่น ถึงจะคุ้มทุน ท้ายสุดจึงเลิกไปโดยปริยาย

ตอนนี้เวลามีงานก็มีแต่ญาติโยมที่ตั้งใจไปรำถวาย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีมหรสพอะไรกับใคร แล้วที่บรรดาเพื่อนพระวัดอื่น ๆ เขาสงสัยมากเลยก็คือ แม้แต่ธงยังไม่ปักเลย แล้วจัดงานได้อย่างไร ? ป้ายโฆษณาสักแผ่นก็ไม่มี ธงก็ไม่มี แต่จัดงานได้ทุกปี เลยบอกกับเขาว่า ถ้าปักธงเดี๋ยวเจ้าหนี้รู้ เห็นธงเยอะ ๆ รู้ว่าวัดมีงาน เดี๋ยวเขามาทวงหนี้..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2014 เมื่อ 03:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #36  
เก่า 18-01-2014, 11:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปี ๒๕๕๖ ทำบัญชีเสร็จเมื่อสิ้นปี ปิดงานไป ๒ รายการ คือสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก กับหลวงพ่อพุทธลีลาประทานพร สร้างมณฑปถวายท่านเสร็จแล้ว รายรับทั้งปี ๓๑ ล้านเศษ รายจ่ายทั้งปี ๔๘ ล้านเศษ ขาดอีกประมาณ ๑.๒ ล้านบาท จะได้ ๕๐ ล้านบาท เดี๋ยวปี ๕๗ ต้องจ่ายให้ถึงห้าสิบล้าน..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2014 เมื่อ 03:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #37  
เก่า 18-01-2014, 11:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าพรุ่งนี้อาการยังไม่ดีขึ้น แล้วอยู่ ๆ ญาติโยมได้ข่าวว่าเข้าโรงพยาบาลก็ไม่ต้องแปลกใจ หมอเขาพยายามจะล็อกตัวเข้าโรงพยาบาลมาครึ่งเดือนแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาไป โรคนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่ขาดเวลาพัก โดยเฉพาะกลางคืนหลับ ๆ อยู่ ก็ไอจนตื่น เมื่อคืนก็ตื่น ๔ ทุ่ม ปกติตื่นตี ๒ แล้วภาวนาไปเรื่อย คราวนี้ตื่น ๔ ทุ่ม อาตมาก็ภาวนาจนไม่มีอะไรจะภาวนาแล้ว

ไม่ต้องเอายามาเผื่อนะ ดีแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ เพราะเป็นโรคเวรโรคกรรม ยาที่ให้ ๆ มา พอที่จะฝังตัวเองแล้ว รู้ไหมว่าทำไมไม่หาย ? เจ้ากรรมนายเวรบอกว่าหมดยาเมื่อไรก็หายเมื่อนั้น แล้วญาติโยมก็เอามาให้วันละเยอะ ๆ อาตมาก็นั่งหัวเราะอยู่ทุกวัน ช่างกลั่นแกล้งกันจริง ๆ ยาหมดเมื่อไรก็หายเมื่อนั้น แล้วเมื่อไรจะหมด ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2014 เมื่อ 03:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #38  
เก่า 18-01-2014, 11:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนพิธีแต่งงานจัดขึ้นเพื่อประกาศให้รู้ว่าบุคคลนี้มีคู่แล้ว คนอื่นจะได้ไม่มายุ่งด้วย มาระยะหลัง ๆ ประเพณีเปลี่ยนไป กลายเป็นหน้าเป็นตาไปแทน สมัยก่อนเขายึดหลักธรรมเป็นหลัก มีคู่แล้วประกาศให้คนอื่นเขารู้ จะได้ไม่มีใครมาละเมิดคู่ของตัวเอง อย่างอีสานเรียกว่า งานกินดอง เกี่ยวดองกัน จากคนละครอบครัว กลายเป็นครอบครัวเดียวกัน แล้วมีงานกินเลี้ยงในหมู่ญาติ บางทีใช้คำว่า เกี่ยวดองข้องญาติ โดนล่ามติดกัน มาเป็นญาติกันแล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2014 เมื่อ 03:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #39  
เก่า 21-01-2014, 11:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ แล้วมีอีกหนึ่งภัทรกัปที่มีอีก ๕ พระองค์ แปลว่ามีภัทรกัปต่อเนื่องกัน ๒ ภัทรกัป เป็น ๑๐ พระองค์ ไม่มีโอกาสไหนที่มนุษย์เราจะมีหนทางหรือว่าบุญที่ยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาทำบุญเอาไว้สักหน่อย ขอแค่หลุดเข้าไปแค่สวรรค์ชั้นต่ำสุดก็พอ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพุทธมารดาท่านอีกตั้ง ๕ - ๖ พระองค์ อย่างไรเสียเราต้องไปได้สักองค์หนึ่งแหละ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2014 เมื่อ 16:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #40  
เก่า 21-01-2014, 12:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเป็นรุกขเทวดาจะได้ด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ต่ำ ๆ เอาเป็นอากาศเทวดาดีกว่า รุกขเทวดาบางทีอยู่ไม่ถึงกัป เพราะวิมานโดนโค่นไปแล้ว กัปที่มีพระพุทธเจ้าส่วนใหญ่จะเป็นกัปข้างที่ดีมาก เขาจะมีสารกัป คือกัปที่เป็นแก่นสาร มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๑ พระองค์ มัณฑกัป กัปที่มีความผ่องใสยิ่ง มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ๒ พระองค์ วรกัป กัปที่มีความประเสริฐยิ่ง มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ พระองค์ สารมัณฑกัป กัปที่ทั้งเป็นแก่นสารและมีความผ่องใสอย่างยิ่ง มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ๔ พระองค์ และภัทรกัป กัปที่มีความเจริญอย่างยิ่ง มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ๕ พระองค์

ไม่ต้องไปหาที่อื่น เกิดขึ้นในโลกนี้เท่านั้น เพราะว่าโลกเรานี้เขาเรียกว่ามงคลจักรวาล พระพุทธเจ้าเวลาท่านจะเสด็จประสูติ ท่านจะต้องพิจารณาปัญจมหาวิโลกนะ ก็คือสิ่งที่เหมาะสม ๕ ประการก็จะมี

๑. กาล คือเวลา ว่าเหมาะสมที่พระองค์ท่านจะตรัสรู้หรือยัง โดยเฉพาะว่าเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์สั่งสมสติปัญญามาสมควรแก่การบรรลุมรรคผลหรือยัง ถ้ายังไม่ถึงระยะเวลาที่เหมาะสมขนาดนั้น เกิดมาก็เสียเวลาเปล่า เพราะเทศน์ไปเขาก็ไม่รู้เรื่อง

๒.ทวีป มีทวีปใดที่เหมาะสมที่จะเกิด รับประกันซ่อมฟรีมีแต่ชมพูทวีปเท่านั้น ก็คือโลกนี้ เพราะว่ามี
ความสุข ความทุกข์ ความรวย ความจนที่ต่างกันอย่างชัดเจน

๓. ตระกูล จะเกิดขึ้นในตระกูลใด ในมธุรัตถะวิลาสีนี อรรถกถาพุทธวงศ์ กล่าวไว้ว่า จะเกิดอยู่ในสองตระกูลระหว่างกษัตริย์และพราหมณ์เท่านั้น ในช่วงนั้นนับถือว่าตระกูลใดประเสริฐกว่าก็จะเกิดในตระกูลนั้น อันนี้ลักษณะแบบประเภทที่เรียกว่าข่มกันไว้เลยว่า ในเมื่อเกิดมาจากตระกูลที่สูงขนาดนั้น ยังยอมสละตนออกบวช คนก็เห็นเป็นอัศจรรย์กันอยู่แล้ว

๔. มารดา ผู้ที่เป็นพุทธมารดามีแล้วหรือไม่ ผู้หญิงที่จะเป็นพุทธมารดาหายากสุด ๆ เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดใน ๓ โลกด้วย ถ้าปกติเบญจกัลยาณีเราว่าสวยในทุกสภาพแล้ว บุคคลที่จะเป็นพุทธมารดานอกจากมีเบญจกัลยาณี ๕ อย่างแล้วยังมีอิตถีลักษณะอีก ๖๔ อย่าง อย่างเช่นไม่อ้วนเกินไป ไม่ผอมเกินไป ไม่สูงเกินไป ไม่เตี้ยเกินไป เขาจะบอกรายละเอียดไว้หมด ถ้าสูงเกินไปพระโพธิสัตว์ต้องยืดคอดื่มนมเดี๋ยวจะเสียทรง เขาจะมีบอกรายละเอียดไว้หมด

๕. อายุ คืออายุขัยของสัตว์ ถ้าไปดาวอื่น เอาแค่ข้าง ๆ ของเราไม่ต้องไกลหรอก พุธ ศุกร์ โลก ดาว ๓ ดวงเอาไปเรียงกันไว้นี่บ้านเราอายุนิดเดียว บ้านอื่นเขาอายุเป็นหมื่น ๆ ปี ถ้าอายุขัยเหมาะสม เทศน์ถึงอนิจจังความไม่เที่ยงเขาจะเห็นได้ง่าย ลองไปเทศน์ที่ดาวพฤหัสบดีดูสิ บอกว่าเกิดมาไม่เที่ยง เขาอยู่กันเป็นแสนปี จะรู้ไหมว่าไม่เที่ยงเป็นอย่างไร แล้วแสนปีของเขานี่คนบนโลกเขาหน้าตาอ่อนกว่าเราอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2014 เมื่อ 17:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:12



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว