กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 02-05-2012, 13:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เก็บตกงานฉลองบ้านวิริยบารมี ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕

พระอาจารย์กล่าวว่า "อยากจะบอกกับทุกคนว่า อาตมาไปมาหลายแห่ง หลายวัด เวลาเจอพิธีกรหรือโฆษกเขาบอกว่า "ห้องน้ำห้องส้วมของวัดอยู่ทางทิศตะวันออกครับ" อาตมามองซ้ายมองขวา ฟ้าก็มืดตื๋อ แล้วทิศตะวันออกอยู่ทางไหนวะ ? เราไม่ได้อยู่ที่นี่ จะได้รู้ว่าทิศตะวันออกอยู่ด้านไหน เขาพูดในลักษณะที่รู้อยู่แล้วว่าอยู่ทางไหน แต่ขณะเดียวกันเราไม่รู้เพราะไม่เคยมา

ฉะนั้น..เวลาที่เราจะบอกกล่าวอะไรใคร ให้นึกอยู่เสมอว่าเขาไม่รู้ ถ้าเราไปคิดว่าเรารู้แล้วบอกทางแบบคนรู้นี่เขางง อาตมาบอกทางคนไปวัดท่าขนุนว่า วิ่งถึงกาญจนบุรี เสร็จแล้วก็ออกไปทางไทรโยค-ทองผาภูมิ วิ่งยาวไปจนเจอไฟแดง เลี้ยวขวาไปจะเจอวัดท่าขนุน แค่นี้ไปถูกทุกคนแหละ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าระยะทางที่บอกคือ ๑๔๐ กิโลเมตร เขาวิ่งไปจนท้อใจต้องโทรมา อาตมาต้องถามว่า เจอไฟแดงหรือยัง ? ถ้ายังก็วิ่งไปเรื่อย ๆ ทั้งอำเภอทองผาภูมิมีไฟแดงอยู่อันเดียว

เรื่องพวกนี้บางทีเราก็คิดไม่ถึง เวลาสื่อสารออกไป คนที่ไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ หรือไม่ได้อยู่สถานที่นั้นจะไม่เข้าใจ "
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-05-2012 เมื่อ 18:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 04-05-2012, 08:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านใดที่ไม่ได้พระปิดตาไม่ต้องเสียใจนะจ๊ะ ยังเหลืออีกสองรุ่น เดี๋ยวไปชิงกันใหม่ที่วัด เดี๋ยววัดแตกอีก แทนที่จะไปปฏิบัติธรรม ก็ไปแย่งพระกัน..!

ไม่ใช่ว่าอาตมาเจตนาทำน้อยนะโยม ถ้าโยมไม่ได้ไปนั่งเขียนตะกรุดเองจะไม่รู้หรอก พระองค์หนึ่งฝังตะกรุดไป ๓ ดอก ๔ สี ๔,๐๐๐ องค์ องค์ละ ๓ ดอก รวมเป็นตะกรุด ๑๒,๐๐๐ ดอก..! เขียนกันจนมือหงิกมือง่อย แต่ขอโทษเถอะ...ผู้ใหญ่ฉลาดสู้เด็กไม่ได้ เด็กดูตะกรุดบอกแม่ทันที "หนึ่ง ๓ ตัว" ออกจริง ๆ เสียด้วย..!

เด็กเห็นตะกรุดสามดอก บอกว่าหนึ่ง ๓ ตัว แต่แม่ไม่ฟัง แม่ไปไล่ซื้อเลขอะไรก็ไม่รู้ พอเลขออก ๑ สามตัว แม่ก็เลยตีอกชกหัวตัวเอง ฉะนั้น..สัญชาตญานเด็กยังมีของเดิมอยู่มาก เพราะสภาพจิตสะอาด ทำให้เด็ก ๆ สัมผัสอะไรได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ น่าเสียดายว่าถ้าเด็กรุ่นหลังได้รับการฝึก ส่วนใหญ่จะออกไปทางอภิญญา แต่ว่าน้อยคนที่จะได้รับการฝึก เพราะว่าอันดับแรก...ไม่รู้จะพาไปวัดไหน อันดับที่สอง...พ่อแม่ก็ไม่เคยเข้าวัด ก็เลยทำให้เด็ก ๆ เสียโอกาสไปมากต่อมากด้วยกัน

วันก่อนพออาตมาแจกวุฒิบัตรการปฏิบัติธรรมให้พวกเราเสร็จ ก็วิ่งไปงานวันเกิดหลวงพ่อมณฑลต่อ ออกมาวันรุ่งขึ้นก็ต้องรับเด็กนักเรียนเข้าอบรมอีก ก็แปลว่าไม่ได้พัก สำหรับเด็ก ๆ พออาตมาบอกว่า "เอ้า...พวกเรานั่งสมาธิสัก ๓ นาที เดี๋ยวหลวงตาจะเปิดหนังให้ดู" เด็ก ๆ นั่งกันเงียบฉี่ สรุปว่าเด็ก ๆ เขาทำสมาธิเป็นทุกคน เพียงแต่ว่าไม่มีคนคอยหลอกล่อเขา "หมดไปแล้วครึ่งนาที ใจเย็น ๆ หลับตา..นับลมหายใจตัวเองไป ใครทำได้เรียนเก่งเหมือนหลวงตาแน่นอนเลยลูก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2012 เมื่อ 08:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 04-05-2012, 08:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันก่อนไปงานวันเกิดหลวงพ่อมณฑล เอาพระพุทธรูปองค์หนึ่งกับปัจจัยไปถวายท่าน ท่านบอกว่า"คุณไปไหนก็ถวายแต่พระพุทธรูป มิน่าล่ะ...ถึงสร้างพระพุทธรูปได้เยอะแยะไปหมด" ท่านเห็นอาตมาสร้างพระพุทธรูปชำระหนี้สงฆ์ไว้ที่หน้าวัดเรียงเป็นแถว

ตอนนี้ถือว่าหลวงพ่อมณฑลเป็นเกจิอาจารย์อันดับหนึ่งของทองผาภูมิ เพราะว่าผู้คนให้ความศรัทธามาก ท่านเองเคยเป็นทหารมาก่อน เป็นทหารม้าแล้วเข้ามาบวชเหมือนกัน อาตมาเคยสอบข้ามเหล่าจากทหารราบไปเป็นทหารม้าอยู่ระยะหนึ่ง ตอนช่วงนั้น ๔๐ กองพัน ต้องการ ๑ ตำแหน่ง อาตมาก็ยังอุตส่าห์สอบได้อีก

เขาให้เปลี่ยนเหล่าได้ ๑ คน อาตมาไปอยู่เหล่าทหารม้าได้เจ็ดวัน เซ็งโลก...ขอย้ายกลับ เพราะไปอยู่ตรงนั้นแล้วอยากจะ "เล็ก" บ้าง ไปให้คนอื่นจิกหัวใช้บ้าง ปรากฏว่าอยู่ได้ ๒ - ๓ วัน เขาตั้งให้เป็นหัวหน้าตอนอีกแล้ว ทหารเขาจะดูภาวะผู้นำ ใครกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ ปฏิบัติอยู่ในกรอบของระเบียบวินัย เขามักจะให้เป็นผู้นำ แต่อาตมาเป็นจนเบื่อแล้ว อยากจะไปเริ่มต้นเป็นเด็ก ๆ บ้าง พอเขาจะให้เป็นผู้นำต่อ อาตมาจึงไม่เอา ลาออกกลับไปเป็นทหารราบตามเดิม

พอกลับไปถึง เพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อ เจริญ เคนแสนโคตร ดีใจจนร้องไห้ คงกลับบ้านไปแก้บนเลยแหละ เพราะว่าเขาต้องเลื่อนคนได้ที่สองขึ้นไปแทน เจริญเขาสอบได้ที่สอง และอยากย้ายไปเป็นทหารม้ามาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2012 เมื่อ 08:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 04-05-2012, 08:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านพระมหาธรรมทส ขนฺติพโล ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยพระอารามหลวง การแต่งตั้งนั้นมีทั้งที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัด รองจังหวัด เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง

มีคนตั้งเยอะตั้งแยะ แต่หนังสือพิมพ์ถ่ายรูปพระมหาธรรมทสเท่อยู่คนเดียว ไปลงรูปคนที่เด็กที่สุด แข่งเรือแข่งพายแข่งกันได้ แข่งบุญแข่งวาสนานั้นแข่งกันไม่ได้ บุญของท่านทำมาอย่างไรก็ต้องรับกันตรงจุดนั้นไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2012 เมื่อ 08:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 04-05-2012, 09:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ช่วงที่อาตมาปฏิบัติธรรมอยู่ ท่านเจ้าคุณพระศรีคัมภีรญาน รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยฝ่ายวิชาการ ท่านมาวิเคราะห์สถานการณ์พุทธศาสนา มีอยู่จุดหนึ่งที่ท่านพูดไว้น่าสนใจก็คือว่า ปัจจุบันนี้มีญาติโยมเปิดบ้านเป็นสถานปฏิบัติธรรมกันเยอะ และเขาจับกลุ่มกันได้หนาแน่นมาก ผมอยากให้พระไปพิจารณาตัวเองว่า เรื่องที่ควรจะเป็นหน้าที่ของพระ ทำไมกลายเป็นงานของฆราวาส แล้วพระเราจะเหลืออะไรไว้ทำ ?

โยมเขาเปิดบ้านเป็นที่ปฏิบัติธรรมกัน และโยมก็นำปฏิบัติ มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง บางทีมีการแตกสาขาไปต่างจังหวัด อย่างคุณแม่สิริ กรินชัย คุณแม่สิริไม่ได้ไปเอง แค่ติดป้ายว่าสถานปฏิบัติธรรมสาขาคุณแม่ดร.สิริ กรินชัย เปิดโครงการปฏิบัติธรรม ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน คนไปกันเต็มเลย นั่นแค่ใช้ชื่อเฉย ๆ

ท่านเจ้าคุณพระศรีคัมภีรญานถึงได้บอกว่า ให้พระเรากลับไปพิจารณาตนเองว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป แล้วพระจะทำอะไร ? เรื่องที่ควรจะเป็นหน้าที่ของพระ กลายเป็นหน้าที่ของฆราวาสไปแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 04-05-2012 เมื่อ 09:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 04-05-2012, 09:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ว่าความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัททั้งสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ถ้าหากว่าเราแยกแยะดูจะเห็นว่า พุทธบริษัททั้งสี่นั้น จะมีอนาคาริกะ คือผู้ที่ไม่ครองเรือน ได้แก่ ภิกษุ และภิกษุณี กับอาคาริกะ คือผู้ครองเรือน ได้แก่ อุบาสกและอุบาสิกา

ผู้ครองเรือนอย่างอุบาสก อุบาสิกา โอกาสที่จะปฏิบัติธรรมเต็มที่ก็ไม่ได้ เพราะว่าติดการทำมาหากิน จึงเป็นหน้าที่ของอนาคาริกะ ผู้ไม่ครองเรือนอย่างภิกษุหรือภิกษุณี ที่จะต้องเร่งขวนขวายปฏิบัติให้เต็มที่ เข้าถึงธรรมให้ได้ โดยได้รับการสนับสนุนในเรื่องปัจจัยสี่จากอุบาสกและอุบาสิกา เมื่อเข้าถึงธรรมแล้วก็ย้อนกลับมา นำเอาสิ่งที่ตนปฏิบัติด้วยตัวเองแล้ว นำมาบอกกล่าวสั่งสอนแก่อุบาสกและอุบาสิกา เพื่อให้เข้าถึงธรรมให้ได้ง่ายที่สุด ก็คือง่ายกว่าที่อุบาสกและอุบาสิกาจะไปปฏิบัติด้วยตนเอง เนื่องจากว่าบุคคลที่ปฏิบัติด้วยตนเองแล้วได้ผล ถึงเวลาบอกทางก็จะบอกง่าย

เมื่อเป็นดังนั้นเรื่องของพุทธบริษัททั้งสี่จึงเป็นเรื่องของการเกื้อกูลกัน ถ้าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ ก็แปลว่าพระพุทธศาสนาจะเป็นไปด้วยดี มีความเจริญรุ่งเรือง คราวนี้ตามที่ท่านเจ้าคุณพระศรีคัมภีรญานท่านบอกว่า ฆราวาสเขาเปิดบ้าน เขาเป็นเจ้าสำนัก เขามีลูกศิษย์เยอะแยะไปหมด แล้วต่อไปพระจะทำอะไร ? คงต้องหุงข้าวเลี้ยงโยมสินะ จะได้ทำหน้าที่สลับกัน ในจุดนี้จะว่าไปแล้วก็คือว่า ความเข้มแข็งของอุบาสกอุบาสิกามีมากขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2012 เมื่อ 10:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 04-05-2012, 09:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มหาวิทยาลัยพุทธศาสนาใหญ่ ๒ แห่งของประเทศไทย คือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เปิดโอกาสให้ญาติโยมเข้าศึกษาสาขาวิชาต่าง ๆ องค์ผู้ให้กำเนิดมหาวิทยาลัย ก็คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงระบุไว้เป็นพระราชพินัยกรรมว่า ให้สอนพระไตรปิฎกและวิชาการศึกษาชั้นสูง

เมื่อเปิดมหาวิทยาลัยมาโดยมีพระราชประสงค์ดังนั้น ก็ยังมีการมาตีความกันอีกว่า วิชาการชั้นสูงคืออะไร ? หลายคนก็บอกว่าเปิดหลักสูตรปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกไปเลย ก็ใช่นะ..แต่ก็ไม่น่าจะใช่มหาวิทยาลัยของพระ ดังนั้น..มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยก็เลยตีความว่า วิชาการชั้นสูงก็คือ วิปัสสนากรรมฐาน จึงมีการบังคับนักศึกษาให้ต้องปฏิบัติธรรมทุกปี

เมื่อเป็นดังนี้มหาวิทยาลัยของพระจึงมีจุดต่างกับของญาติโยมอยู่ ก็คือ มีการบังคับการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าคุณจะเป็นหรือไม่เป็นเราก็จะสอนจนเป็นให้ได้ เพียงแต่ว่าเป็นแล้วจะเข้าถึงได้แค่ไหนเท่านั้น มีญาติโยมบางคนที่จบการศึกษาปริญญาโทแล้วมาเปิดใจว่า วิชาการที่เขาเรียนไปก็อย่างนั้นแหละ ที่อื่นก็มีเหมือน ๆ กัน ไปเรียนจากที่ไหนก็ได้ แต่สิ่งที่เขาได้ และได้ใช้ไปตลอดชีวิตก็คือวิปัสสนาภาวนา

ทางประเทศฮังการีเที่ยวมาสืบหามหาวิทยาลัยในประเทศไทย เพื่อที่จะเข้าร่วมเป็นสถาบันการศึกษาสมทบในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เขากางรายชื่อมหาวิทยาลัยต่าง ๆ แล้วไล่สอบถามทีละมหาวิทยาลัย พอไปถึงมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถามว่าหลักสูตรที่จะต้องศึกษามีอะไรบ้าง ? ท่านเจ้าคุณอธิการรูปปัจจุบัน (พระธรรมโกศาจารย์) ก็ร่ายยาวไปเลยว่า หลักสูตรปริญญาโทมีอย่างนี้ ปริญญาเอกมีอย่างนี้ ถึงเวลาต้องสะสมวันปฏิบัติธรรมเท่านี้ จึงจะให้จบ

ปรากฏว่าอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮังการีบอกว่าใช่..ที่เขาต้องการคือแบบนี้ ต้องการให้ผู้เรียนได้ศึกษาภายในด้วย ไม่ใช่ศึกษาแต่ภายนอกอย่างเดียว ในเมื่อเป็นดังนี้ เราจะเห็นชัดว่าแม้กระทั่งต่างประเทศก็เน้นเกี่ยวกับเรื่องวิปัสสนาภาวนากันแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-05-2012 เมื่อ 03:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 04-05-2012, 12:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ถ้าเราดูสภาพสังคมของเรา เข้าแถวซื้อไอแพดสามยาวเป็นกิโลเมตรเลย ปัจจุบันนี้มหาวิทยาลัยของต่างประเทศ อย่างเช่น อังกฤษ มีหลักสูตรการศึกษาวิปัสสนาภาวนา เป็นวิชาที่ไม่ต้องสอบ แต่ต้องมีเวลาเรียนครบตามที่เขาระบุไว้ ระหว่างที่เรียนห้ามแต่งตัว ห้ามใช้เครื่องประดับ ห้ามใช้เครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ

เหลือเชื่อว่ามีเด็กลงทะเบียนเรียนมากกว่าที่คิด มีอยู่สองรายที่พอรู้ว่าห้ามใช้ไอแพดไอโฟน ก็ถอนชื่อออกจากทะเบียน เขาบอกว่าเป็นเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้น แต่ว่านักเรียนส่วนใหญ่ที่เข้ามาเรียน กลับเห็นคุณค่าของการปฏิบัติตัวให้สันโดษ อยู่ในการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือสื่อสาร ผู้หญิงผู้ชายห้ามสัมผัสถูกต้องเนื้อตัวกัน ห้ามกอดกัน ห้ามมองตากันนาน ๆ สงสัยกลัวจะท้องแบบปลากัดกระมัง ?

อ่านกติกาเขาแล้วก็ขำ ๆ ดีเหมือนกัน แต่ว่าบ้านเราที่เป็นต้นกำเนิดของวิปัสสนาภาวนาแท้ ๆ เป็นประเทศที่ปัจจุบันน่าจะมีความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาติดอันดับต้น ๆ ของโลก กลับไปไล่ตามไขว่คว้าเทคโนโลยีต่าง ๆ ส่วนฝรั่งต่างชาติทิ้งเทคโนโลยีแล้วกลับเข้าหาการอยู่การกินอย่างธรรมชาติ เราต้องคิดดูให้ดีว่า ถ้าเราเชื่อว่าฝรั่งเก่งกว่า มีเทคโนโลยีสูงกว่า มีความเจริญมากกว่า มีความฉลาดกว่า แล้วกลับมาดำเนินชีวิตแบบพออยู่พอกิน ขณะที่คนไทยเราตะเกียกตะกายไขว่คว้าสิ่งที่ฝรั่งโยนทิ้งแล้ว อย่างนั้นพวกเราทำถูกหรือเปล่า ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2013 เมื่อ 03:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 04-05-2012, 12:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีฝรั่งคนหนึ่งชื่อมาร์ติน (Martin Wheeler) เขามาอยู่เมืองไทยซื้อที่ไว้ ๖ ไร่ ทำนาทำสวนของเขาไปเรื่อย วัน ๆ ก็หาบน้ำรดต้นไม้ ตากแดดตัวแดง ใคร ๆ ก็เรียกเขาว่าฝรั่งกระจอกบ้าง ฝรั่งขี้นกบ้าง เขาไม่ร่ำไม่รวยเหมือนฝรั่งที่คนอื่นเห็น แต่หารู้ไม่ว่าเขาบอกว่าเขารวยมาก เขาอยู่ประเทศอังกฤษไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง เงินเดือนของเขาแทบจะเป็นค่าเช่าบ้านหมด แต่พอมาอยู่เมืองไทยเงินเดือนของเขาซื้อที่ได้ ๖ ไร่ ปลูกกระต๊อบได้อีก ๑ หลัง ปลูกผักปลูกหญ้าปลูกของกินเต็มไปหมด เขาบอกนี่ผมรวยมากเลย ผมบอกเพื่อนที่อังกฤษว่าผมมีที่ ๖ ไร่ เพื่อนตกใจตาโตกันทุกคน

ใครได้ยินข่าวนี้บ้างไหม ? มีข่าวเล็ก ๆ ข่าวหนึ่งออกมาว่า ที่ดินประเทศไทยประมาณ ๑๐๐ ล้านไร่อยู่ในเงื้อมมือต่างชาติหมดแล้ว เขามากว้านซื้อไปหมดแล้ว โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ

คุณมาร์ตินเขาปลูกต้นไม้ เขาบอกว่าเขาไม่หวังหรอกว่าจะได้ใช้ในรุ่นตัวเอง แต่ว่าลูกหลานเขาต้องได้ใช้แน่นอน เมืองไทยแดดดี น้ำดี ปลูกอะไรลงไปก็ขึ้น ไม่เหมือนอังกฤษ เวลาหิมะลงจะกลบทุกอย่างหมดเกลี้ยงเลย ถ้าต้นไม้เล็ก ๆ ก็อาจถึงขนาดแห้งกรอบตาย ต้นไม้ใหญ่ก็จะชะงักงันไม่โตไปครึ่งค่อนปี กว่าจะได้แดดค่อยโตไปอีกหน่อย หิมะก็ตกอีกแล้ว แต่เขาปลูกต้นไม้เมืองไทย ๒ - ๓ ปี ต้นไม้สูงขึ้นไป ๔ - ๕ เมตร

ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เราควรที่จะคิดพิจารณาตนเองกันใหม่ว่าบ้านเราจริง ๆ แสนที่จะดี แต่เรามองเห็นความดีตรงนี้ของบ้านเราไหม ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2012 เมื่อ 12:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 04-05-2012, 12:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคิดหลักเศรษฐกิจพอเพียงออกมา มีระบบนวเกษตรพึ่งพาตนเองได้ แบ่งพื้นที่ออกเป็น ๑๐ ส่วน ๑ ส่วนใช้ทำที่อยู่อาศัยและสวนครัว ๓ ส่วนเป็นแหล่งน้ำ ๓ ส่วนเป็นนาข้าว อีก ๓ ส่วนปลูกไม้ผลโตเร็ว และไม้ใช้สอยอื่น ๆ แหล่งน้ำยังสามารถที่จะใช้เลี้ยงปลาได้ แม้กระทั่งชายขอบบ่อก็สามารถที่จะปลูกต้นไม้ได้ อย่างเช่น กล้วย มะพร้าว

ต้นไม้ที่ปลูกก็เป็นต้นไม้ระยะสั้นอย่างพวกพืชผัก ระยะกลางอย่างเช่นพวกกล้วย มะละกอ ระยะยาวอย่างไม้ผลต่าง ๆ ถึงเวลาเกิดดอกออกผลจะได้มีของเอาไว้กินไว้ใช้เอง ถ้าเหลือก็ขายออกตลาด จะได้มีเงินเข้าทุกวัน ถ้าทำอย่างนั้นได้ พระองค์ท่านยืนยันว่า ต่อให้เศรษฐกิจล่มสลายอย่างไรเราก็ไม่เดือดร้อน เพราะเราพึ่งพาตนเองได้

ดังนั้น..ถ้าหากใครมีที่มีทางอยู่ต่างจังหวัด บอกพ่อบอกแม่ว่าฝืนใจเก็บหน่อย ถึงเวลาปลูกต้นไม้ทิ้ง ๆ เอาไว้ ทำเป็นลืมเสีย ๓-๕ ปี เดี๋ยวก็ได้กินแล้ว พวกเราที่อยู่กรุงเทพฯ ลองคิดดูว่าไฟดับเราก็แย่แล้ว เอาแค่บ้านวิริยบารมีนี้ก็พอ ไฟดับอย่างเดียวอยู่ไม่ได้เลย ต้องลงไปนั่งที่หน้าบ้าน ไฟดับขึ้นมาไม่พอ หิวขึ้นมาจะทำอย่างไร? ถ้าสมมติว่าไม่มีร้านอาหาร แทะรั้วบ้านกินก็ไม่ได้อีก

เราจะเห็นชัด ๆ ว่าที่เราไปวิ่งตามความเจริญของต่างประเทศนั้นผิด พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราท่านทำถูกมาโดยตลอด เพิ่งมาผิดในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมนั่นแหละ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 04-05-2012 เมื่อ 13:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 04-05-2012, 12:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ช่วงนั้นอาตมายังไม่เข้าชั้นประถมปีที่ ๑ เขาเน้นการส่งออกข้าว ข้าวโพด ดีบุก ยางพารา ในเมื่อเน้นการส่งออกก็ต้องผลิตเป็นจำนวนมาก การที่จะผลิตให้ได้จำนวนมาก ๆ ก็ต้องตัดไม้ทำลายป่ามาก โดยเฉพาะไม้สัก จะขุดดีบุกให้ได้มาก ๆ ก็ต้องถล่มพื้นดินจนเละเทะ จะปลูกข้าว ปลูกข้าวโพดมาก ๆ ก็ต้องเปิดป่าเพิ่ม

ตอนเด็ก ๆ รอบบ้านอาตมาเป็นป่าใหญ่ ใหญ่ขนาดขนาดเสือมารอดักตะครุบคน เดินจากไร่กลับบ้านมา อยู่ ๆ แม่ก็กระทุ้งหลังให้เดินเร็ว ๆ หน่อย อาตมาก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เดินจ้ำ ๆ แม่ก็เดินชิดมาเลย พอถึงบ้านปิดประตูโครม แม่บอกว่าเสือดำอยู่บนจอมปลวก จะไปกลัวแล้ววิ่งก็ไม่ได้ เพราะเสือจะโดดใส่เลย ผู้ใหญ่เขาต้องคอยจ้องตาเสือเอาไว้ เสือก็ไม่กล้าตาม เพราะเห็นว่าคนมองอยู่ อีกอย่างคือมีอยู่ ๒ คน ถ้าคนเดียวนี่บางทีเสืออาจจะเสี่ยงตะครุบไปแล้ว

เวลาหน้าหนาวจะหนาวมาก หนาวจนตัวแตกเป็นตารางเลย เพราะป่าเยอะมาก ถึงเวลาต้องก่อกองไฟกลางบ้าน เอาผ้าห่มมาห่ม ล้อมรอบกองไฟกัน นั่งหลับสัปหงกทีเสียงผมไหม้ดังเปรี๊ยะ..เหม็นตลบ..! พอเจอช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมเน้นการส่งออกไม่นาน ป่ารอบบ้านหมดเกลี้ยงเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2012 เมื่อ 14:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 04-05-2012, 13:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พออาตมาเข้าชั้นป.๕ ป่ารอบบ้านเริ่มหมดแล้ว แต่ว่ายังมีส่วนที่เรียกว่าป่าละเมาะอยู่ ป่าละเมาะจะเป็นลักษณะของป่าไผ่สลับกับไม้พุ่ม ยังพอที่จะยิงอีเห็น ล่าเสือปลา ดักกระต่ายได้อยู่ แต่พอหลังจากนั้นไม่นาน เขาเพิ่มการส่งออกอีกอย่างหนึ่งก็คืออ้อย หลายคนจึงปลูกอ้อยกันเพื่อที่จะส่งโรงงานผลิตน้ำตาล

บ่อน้ำภาษาอีสานเรียงว่า"ส่าง" บางคนเรียกว่า"บ่อสร้าง" ก็คือภาษาอีสานผสมกับภาษาไทยกันนั่นแหละ ความหมายคือบ่อน้ำทั้งคู่ ที่บ้านอาตมามีบ่อน้ำ แต่ชาวบ้านเขาเรียก "บ่อโพง" น่าจะมาจากคำว่า "โพรง" เพราะขุดเป็นหลุมลึกลงไป เวลาใช้ถังตักน้ำขึ้นมา เขาเรียกว่า "โพงน้ำ" ขุดลึกลงไปในดินประมาณ ๔ วากว่า ๆ น้ำจืดสนิท อาศัยดื่มกินได้ตลอดทั้งปีไม่เคยแห้ง แต่พอรอบข้างปลูกอ้อยกันหมด น้ำในบ่อกินไม่ได้ จากน้ำใสจืดกลายเป็นเค็ม ๆ เฝื่อน ๆ เพราะว่าน้ำปุ๋ยอ้อยซึมลงไปถึงระดับน้ำใต้ดิน

บ้านอาตมามีอาชีพทำไร่ทำสวนเป็นหลัก มีสวนมะพร้าว สวนมะม่วง ถึงเวลาก็ปลูกพริก ปลูกมะเขือ ปลูกกล้วย แล้วแต่ว่าช่วงนั้นของอย่างไหนราคาดี ส่วนหนึ่งที่เน้นคือปลูกผักขายส่งตลาด ไม่น่าเชื่อว่าสมัยอาตมาเด็ก ๆ มีอยู่ปีหนึ่ง ผักชีราคากิโลกรัมละ ๒๐ บาท..! แพงขนาดนั้นเพราะว่าหาซื้อไม่ได้ ปีต่อมาเหลือกิโลกรัมละ ๑ สลึง..! เพราะคนแย่งกันปลูกทั้งประเทศ

แต่พอรอบข้างปลูกอ้อยกันหมด ที่บ้านก็อยู่ไม่ได้ เพราะแมลงทั้งหมดในรัศมี ๒๐ – ๓๐ กิโลเมตร มาลงที่ไร่เดียว เพราะของอื่นแมลงกินไม่ได้ ที่อื่นเป็นต้นอ้อย แมลงจึงแทะไม่เข้า เราปลูกผักปลูกผลไม้ แมลงลุยกัดกินกระจายเลย ท้ายสุดที่บ้านก็ต้องปลูกอ้อยตามเขาไป เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ในเมื่อส่วนกลางเป็นไปอย่างนั้น เราก็ต้องเป็นไปตามเขา แต่ลองมานึกดูว่า ถ้าเกิดทุพภิกขภัยคือเกิดความอดอยาก หาของกินได้ยาก แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2012 เมื่อ 14:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 05-05-2012, 07:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยอาตมาเด็ก ๆ เจอทุพภิกขภัยอยู่สองครั้ง ครั้งแรกแค่สงสัยว่า เวลาหุงข้าวทำไมแม่ต้องเอามันเทศหั่นใส่ลงไปด้วย อร่อยดีหรอก เพราะเวลาหุงข้าวใส่มันเทศแล้วรสชาติหวาน ๆ ไม่รู้หรอกว่าข้าวจะหมด แม่ต้องเอามันเทศหั่นใส่ลงไปด้วย เพื่อให้มีข้าวมากพอกิน หลังจากนั้นก็ไม่มีข้าวกิน ต้องเอาข้าวโพดที่เขาทำพันธุ์มานึ่งกิน เจ้าประคุณเอ๋ย...เคี้ยวดินเปล่า ๆ เสียยังดีกว่า เพราะว่าแข็งสุด ๆ ไม่ใช่ข้าวโพดซูเปอร์สวีทแบบสมัยนี้หรอก เป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เขาเรียกว่าข้าวโพดเลี้ยงม้า ตากแห้งแล้วเขาเก็บไว้ทำพันธุ์ แต่พอไม่มีกินต้องเอามานึ่งกิน ฝักหนึ่งกว่าจะแทะหมดฟันแทบบิ่น แต่ก็ต้องกินเพราะไม่มีอะไรจะกิน

ที่บ้านยังติดไร่ ติดโคก ติดป่าละเมาะ ยังพอไปหากลอยมากินได้ แต่ถ้าทำกลอยกินไม่เป็นก็เมา ต้องหั่นกลอยเป็นชิ้นบาง ๆ ใส่ตะกร้าแช่น้ำไว้ ถึงเวลาก็ไปย่ำ ๆ เพื่อให้น้ำเมาออก พูดง่าย ๆ ก็คือแช่น้ำไว้ประมาณ ๒ วัน ย่ำอยู่ทุกวัน จนกระทั่งน้ำเมาหมดไปกับสายน้ำนั่นแหละ แล้วถึงเอามานึ่งกินได้ คนกินกลอยไปนาน ๆ จะเกิดอาการพุงโรก้นปอด ท้องจะโตแต่แขนขาลีบ ๆ

ครั้งที่ ๒ ที่เกิดทุพภิกภัยก็มาแบบเดิม พอถึงเวลาแม่ต้องใส่มันเทศบ้าง ฟักทองบ้าง ปนกับข้าวให้ลูกกิน พูดง่าย ๆ ว่าให้มีของอิ่มท้องเข้าไว้ เมื่อข้าวขาวหมดก็ต้องกินข้าวกล้อง ข้าวกล้องสมัยก่อนนี่สุดยอดเลย กลืนไม่ค่อยจะลง เพราะว่าส่วนใหญ่เกิดจากการตำจึงเป็นข้าวกล้อง ถ้าหากว่าใช้เครื่องสีจะเป็นข้าวขาว

พอตำข้าวก็ไม่สะอาดนัก พวกแกลบบางทีก็ยังติดอยู่ เป็นข้าวซีกหนึ่ง อีกซึกหนึ่งยังเป็นแกลบอยู่ หุงสุกขนาดไหนก็ตาม เคี้ยวไปแล้วก็กลืนไม่ค่อยจะลงหรอกเพราะว่าแกลบติดคอ ก็ต้องทนกินไปอยู่หลายเดือน กว่าที่ข้าวฤดูใหม่จะออกมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 08-05-2012 เมื่อ 10:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 144 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 05-05-2012, 09:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกครั้งหนึ่ง หลังจากอาตมาเรียนจบ มศ. ๓ เข้ากรุงเทพฯ มาทำงานแล้ว คิดว่าพวกเราจำนวนมากก็ได้เจอสถานการณ์นั้น ยังจำข้าวโอชาได้ไหม ? ข้าวเจ้าผสมข้าวเหนียว ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ต้องมีบัตรปันส่วนถึงจะซื้อได้ ในกรุงเทพฯ นี่แหละ มีใครยังนึกถึงรสชาติของข้าวโอชาได้บ้าง ? จะว่าไปก็กินอิ่มดีนะ เพราะว่าใส่ข้าวเหนียวลงไป ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องเอาทะเบียนบ้านไปซื้อ ถ้าหากว่าซื้อได้เรียบร้อยแล้ว อาทิตย์หน้าค่อยมาซื้อใหม่นะจ๊ะ ไม่ใช่อาทิตย์นี้หรือว่าพรุ่งนี้ไปซื้อ ที่เขาต้องบังคับอย่างนั้นเพราะว่าข้าวไม่พอกิน ขนาดในกรุงเทพฯ ยังอดเลย

ที่อาตมาพูดมาถึงตรงนี้ก็เพราะว่า ถ้าเกิดทุพภิกขภัยขึ้น แล้วเราจะหาอะไรกิน ? ปัจจุบันนิยมปลูกอะไรบ้าง ? ข้าว มันสำปะหลัง สองอย่างนี้พอกินได้ ข้าวโพดก็ยังพอไหว ส่วนยางพาราใครจะกินบ้าง ? ปาล์มน้ำมันลองดูซิว่าจะแทะเข้าไหม ? เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการเกษตรเชิงเดี่ยว ปลูกแต่พืชชนิดเดียว เห็นอยู่ชัด ๆ ว่า ถ้าพลาดเมื่อไรก็เยินเมื่อนั้น ถ้าราคาตกก็ตกทั้งประเทศ

แต่ถ้าหากทำเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริของในหลวง อยากราคาตกก็ตกไป มะพร้าวราคาตกเราก็ขายมะนาว มะนาวราคาตก..ไม่เป็นไรขายกล้วยก็ได้ ตามที่ในหลวงทรงดำริไว้นั้น เกษตรทฤษฎีใหม่อย่าทำเกิน ๓๐ ไร่ ถ้าทำเกิน ๓๐ ไร่ แรงงานจะไม่พอ เราลองมานึกดูว่า ๓๐ ไร่ ถ้าเราทำนา ๑๐ ไร่ ไร่นาสวนผสม ๑๐ ไร่ แหล่งน้ำ ๕ ไร่ เป็นสวนครัวเสีย ๔ ไร่ ปลูกบ้านอีก ๑ ไร่ เราดูแลไหวหรือไม่ ? ไม่ไหวหรอก

ฉะนั้น..ทำเกษตรทฤษฎีใหม่มากที่สุดในสายตาอาตมา ครอบครัวหนึ่งอย่าให้เกิน ๑๐ ไร่ ปลูกข้าวสัก ๕ ไร่ ให้ได้ข้าวเปลือกสัก ๒๐๐ ถัง ข้าวเปลือก ๒๐๐ ถัง สีเป็นข้าวสารก็น่าจะเหลือสัก ๑๐๐ ถังเศษ ๆ พอกินไป ๑ ปี เพราะว่าคนหนึ่งกินข้าวต่อมื้อหนึ่ง เป็นข้าวสารประมาณสองขีด ไม่เกินสองขีดครึ่งเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2013 เมื่อ 03:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 05-05-2012, 09:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ฉะนั้น..ใครมีที่มีทางอยู่เริ่มต้นได้แล้วจ้ะ อย่าช้า..ถ้าหากว่าช้า สถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงเร็ว เราจะตั้งหลักไม่ทัน มีที่มีทางก็ Back to the nature กลับคืนสู่ธรรมชาติได้แล้ว ใครที่อยู่กรุงเทพฯ แล้วตั้งใจจะยึดเป็นเรือนตาย ก็ควรหาทางขยับขยายไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นอาจจะได้ตายจริง ๆ..!

บางทีอาตมาเองยังหนักใจว่า เด็กรุ่นหลังของเรา ถ้าออกพ้นจากเครื่องอำนวยความสะดวกไปนี่ไม่รอดแน่..ตายหมด อาตมาพาไปเดินป่า ชี้ว่าอย่างนั้นกินได้ อย่างนี้ก็กินได้ แต่เด็กไม่รู้จักพืชผลสักคน เมื่อวานนี้ไปกิจนิมนต์ที่ฉะเชิงเทรา เพื่อนรุ่นเดียวกันนะ ไม่รู้จักหมากหลอด พวกเรารู้จักหมากหลอดไหม ? ลูกรี ๆ โตกว่าหัวแม่มือหน่อย หน้าตาก็คล้าย ๆ หัวแม่มือของเรานี่แหละ

เพื่อนอาตมาดันไปแกะเปลือก ฉันเสร็จแล้วก็ตีหน้าประหลาด อาตมาก็ขำ บอกว่า "เฮ้ย..เขาเคี้ยวทั้งเปลือก" เขายังคิดว่าอาตมาอำอีก ถึงเวลาพอเคี้ยวเข้าไป "เออ..กินทั้งเปลือกไม่เปรี้ยวนี่หว่า แล้วทำไมเมื่อกี้นี้เปรี้ยววะ ?" ใครจะไปรู้ว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันจะโง่ได้ขนาดนั้น เด็กบ้านนอกด้วยกันก็น่าจะรู้จัก


หมากหลอด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-05-2012 เมื่อ 13:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 135 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 05-05-2012, 10:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โยมในที่นี้มีกี่คนที่รู้จักว่าต้นไข่เต่าหน้าตาเป็นอย่างไร ? ไม่รู้จักเลยใช่ไหม ? ถ้าเข้าป่าเจอดงไข่เต่าอาตมาก็สบายอยู่คนเดียว หลอกให้คนอื่นไปไกล ๆ แล้วตัวเองนอนกินคนเดียวเลย ต้นไข่เต่าเป็นไม้สูงจากพื้นประมาณศอกเดียว ใบสีเขียวเข้ม ๆ โตสักประมาณ ๓ นิ้วมือ มีลูกรี ๆ สีเหลืองอ่อน ๆ อยู่ข้างใต้ ถ้าลูกสีเหลืองนี่สุกแล้ว เก็บกินไปเถอะ ทั้งหอมทั้งหวานเลย

ลูกไข่เต่า


ถ้าให้เด็กรุ่นใหม่เข้าป่าคาดว่าอดตายแน่ ต่อให้ของกินอยู่ข้างหน้า บางทีก็ไม่รู้ว่ากินอย่างไร อาตมาเคยหลอกลุงสุบินมาแล้ว ตอนนั้นประมาณปี ๒๕๒๓ อาตมาข้ามไปที่ฝั่งพม่า ตรงท่าขี้เหล็ก สมัยนั้นเขาเปิดด่านตลอดเวลา ไม่มีการจำกัดกลางวันกลางคืน ตี ๕ กว่า ๆ อาบน้ำเสร็จสรรพเรียบร้อย ชวนเพื่อนรุ่นพี่ชื่อพี่กัลยาเดินข้ามฝั่งไป

เดินไปเดินมาเจอข้าวเดือย ที่เราเรียกว่าลูกเดือยนั่นแหละ เขาก็ตัดมาเป็นช่อ ๆ นึ่งใส่เกลือ พวกเราก็ซื้อมานั่งแทะกัน ลุงสุบินเดินมาเห็น "ไอ้สองคนนี้ทำไมหน้าเหมือนคนไทยแท้วะ ?" "แล้วลุงเห็นผมเป็นพม่าหรือ ?" "อ้าว..คนไทยจริง ๆ นี่หว่า ทำอะไรกันอยู่ ?" "กินลูกเดือยครับลุง" "มันกินอย่างไรล่ะ ?" "ขบแล้วเอาข้างในทิ้ง แล้วก็เคี้ยวไอ้แข็ง ๆ ครับ มันกรอบดี" หลอกกระทั่งลุง บาปกรรมแย่เลย หลอกให้แกกินเปลือก เราจะได้กินเนื้อคนเดียว..!

อาตมานี่คบยากนะ มีคนให้ฉายาว่า "แสบแต่ซื่อ" ไม่ใช่ซื่อแต่แสบนะ เป็นคนตรงไปตรงมา แต่เผลอเมื่อไรหลอกชาวบ้านเขา ไม่ได้หลอกให้เขาเดือดร้อนอะไรมากมายหรอก หลอกเอาสนุก ลุงสุบินลองแทะกินอยู่ ๒ – ๓ เม็ด แกก็บ่นว่าไม่อร่อยเลย แกเลยไปหาของอย่างอื่นกิน จะได้ไม่ต้องมาแย่งของเรา

ถ้าหากว่ารู้จักของกินในป่าก็พอเอาตัวรอดได้ หัวไร่ชายนามีแต่ของกินทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ว่าเราจะรู้จักหรือไม่ ? อาตมาเคยพาคณะหนึ่งไปบึงลับแล ๒๗ คน ถึงเวลาจะให้เขาช่วย ก็ถามว่า "ใครหุงข้าวเป็นบ้าง ?" มียกมือตั้งหลายคน น่าชื่นใจมาก แล้วเขาก็ถามอย่างชัดเจนเลยว่า "เสียบปลั๊กตรงไหน ?" โอ้..อยู่กลางป่านี่นะ เอ็งจะเสียบปลั๊ก ? ท้ายสุดพระก็ต้องไปหุงข้าวให้เขากิน..! อยู่ที่บึงลับแลแล้วเสียบปลั๊ก คงต้องต้องลากสายเข้าไปสิบกว่ากิโลเมตรกว่าจะถึง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-05-2012 เมื่อ 13:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 05-05-2012, 12:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default



แผ่นพับประชาสัมพันธ์วัดท่าขนุน แจกวันนี้วันเดียวนะจ๊ะ สาเหตุที่ทำเพราะเวลามีฝรั่งมาที่วัด นอกจากตัวเจ้าอาวาสแล้ว พระที่วัดไม่ค่อยกล้าคุยกับฝรั่ง ในเมื่อไม่ค่อยกล้าคุยกับฝรั่งก็เลยต้องทำเป็นแผ่นพับ พอถึงเวลาแล้วจะได้ส่งให้ฝรั่งอ่านเอง
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg IMG_8395 re.jpg (79.2 KB, 833 views)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-05-2012 เมื่อ 13:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 135 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 05-05-2012, 13:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การรื่นเริงในธรรม ขณะเดียวกันให้ระมัดระวังจิตใจของเราด้วย อย่าให้ฟูมาก ถ้าหากว่าฟูมาก ถึงเวลาฟุบก็ฟุบแรง ต้องคอยระมัดระวังกำลังใจของเรา กระทบสิ่งที่ดีอย่าให้ฟู กระทบสิ่งที่ไม่ดีอย่าให้ฟุบ พยายามทรงกำลังใจเป็นกลาง ๆ ให้ได้ ถ้าทรงกำลังใจเป็นกลาง ๆ ได้ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย โอกาสที่เราหลุดพ้นก็จะมีมาก แต่ถ้าเรายินดียินร้ายกับอะไรง่าย โอกาสที่จะหลุดพ้นก็ยาก

เพราะทันทีที่ไปยินดีหรือยินร้ายก็ตาม จะตกเป็นทาสกิเลสทันที ยินดีเป็นโลภะกับราคะ ยินร้ายเป็นโทสะกับโมหะ กินเราทั้ง ๒ ฝั่งเลย ต้องผ่ากลางไปอย่างเดียวถึงจะรอด เพราะฉะนั้น..มัชฌิมาปฏิปทาต้องกลางทุกอย่าง ในขณะเดียวกันคำว่า "กลาง" ในหลักการปฏิบัตินั้น ไม่มี ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับกำลังใจ ขึ้นอยู่กับบารมีที่เราสั่งสมมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 11-05-2012 เมื่อ 20:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 130 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 05-05-2012, 13:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรานั่งกรรมฐาน ๓๐ นาที จิตก็เริ่มรู้สึกว่าหนัก ไปไม่ไหวแล้ว เราก็เลิกได้ ผ่อนอารมณ์แล้วคอยประคับประคองเอาไว้ ในขณะเดียวกันบางคนเขาสร้างบารมีมาเข้มข้น นั่ง ๓ วัน ๓ คืนก็สบายมาก เพราะฉะนั้นมัชฌิมาปฏิปทาของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน

แต่ถ้าร่างกายบอกไม่ไหวแล้วให้ลองฝืนดูนิดหนึ่ง ถ้าฝืนแล้วไปได้ แปลว่าเมื่อครู่นี้กิเลสหลอกให้เราขี้เกียจ ถ้าฝืนแล้วฝืนอีกไปไม่ได้จริง ๆ แล้วค่อยเลิก ให้รู้ว่ากำลังของเรามีแค่นี้ แต่ถ้าเราทำบ่อย ๆ เราก็จะมีเยอะเหมือนเขา เราทำครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวพรุ่งนี้อีกครึ่งชั่วโมง มะรืนนี้อีกครึ่งชั่วโมง ไล่ไปเรื่อย หรือไม่ก็เช้าครึ่งชั่วโมง กลางวันครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง รวม ๆ เข้าก็ได้เป็นวันเหมือนเขา

ปฏิปทาในการปฏิบัติของคนไม่เท่ากัน พระพุทธเจ้าท่านแบ่งเป็น ๔ อย่าง ก็คือ
ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติก็ลำบาก บรรลุก็ยาก
ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบากแต่บรรลุง่าย อย่างสายหลวงปู่มั่น เดินจงกรมจนทางลึกถึงแข้งเลย แต่ว่าบรรลุกันเยอะ
สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติง่าย สบาย ๆ แต่บรรลุยาก เพราะว่าส่วนใหญ่มัวแต่ไปหลงกับความสบาย
สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติสบาย บรรลุง่าย สบายแค่ชาติปัจจุบันนะ เพราะว่าอดีตลำบากมาตั้งเท่าไรก็ไม่รู้

แบบเดียวกับพระพาหิยะทารุจีริยะ ท่านฟังเทศน์สั้น ๆ แค่“ตาเห็นรูปอย่าไปสนใจ หูได้ยินเสียงอย่าไปสนใจ” สั้น ๆ เท่านั้น ท่านบรรลุมรรคผลเลย ใคร ๆ ก็ว่าท่านบรรลุง่ายสบายเหลือเกิน ที่ไหนได้ชาติก่อนท่านอดตาย เพราะว่าขึ้นไปปฏิบัติบนหน้าผา กะว่าถ้าหากบรรลุไม่ได้ก็ให้ตายไปเลย เพื่อนของท่านบรรลุแล้วเหาะไปบิณฑบาตมาเลี้ยง ท่านก็ไม่เอา เพราะถือสัจจะไว้แล้วว่า ถ้าหากว่าไม่บรรลุจะไม่ยอมกินอะไร ท้ายสุดก็เลยอดตาย

แต่ด้วยความมุ่งมั่นขนาดนั้นแหละ กำลังใจข้ามชาติข้ามภพมา กลายเป็นอุปนิสัย เป็นปัจจัยนำส่ง ทำให้ชาติปัจจุบันท่านบรรลุเร็วมาก ฟังแค่หัวข้อธรรมสั้น ๆ ก็บรรลุเลย เราจะไปว่าท่านปฏิบัติง่าย บรรลุง่ายก็ไม่ใช่ เราเห็นง่ายชาตินี้ แต่ก่อนนั้นยากถึงขนาดอดตายมาแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-05-2012 เมื่อ 13:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 05-05-2012, 13:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา หลวงพี่หนูท่านให้ขยายความอีกนิดหนึ่ง จริง ๆ แล้วมัชฌิมาปฏิปทาก็อยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา เพียงแต่ว่าศีล สมาธิ ปัญญาที่เราทำนั้น ความพอเหมาะพอดีของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน อย่างเรื่องของการรักษาศีล บางคนรู้สึกเหมือนแบกข้าวสารทั้งกระสอบ รู้สึกหนักเหลือเกิน ต้องระมัดระวังเหลือเกิน ตัวลีบกลัวศีลจะขาด

แต่ทำไมบางคนรู้สึกสบาย ๆ รู้สึกรื่นเริงบันเทิงใจมาก เหมือนไม่ต้องใช้ความพยายามเลย เพราะว่าการสั่งสมมาไม่เท่ากัน บารมีไม่เท่ากัน ท่านที่สั่งสมมามากกว่า ความพอดีของท่านในชาตินี้กลายเป็นของง่าย เป็นของสบายของท่าน แต่เป็นของยากลำบากของเรา ขณะเดียวกันเรื่องของสมาธิที่ได้ว่ามาแล้ว เรานั่ง ๓๐ นาทีก็แย่แล้ว แต่เพื่อนนั่งกันที ๓ - ๔ วันสบาย ๆ

เรื่องของปัญญาก็เหมือนกัน บางคนแค่มองไปก็เห็นแทงตลอดเลย นั่นเด็กนะ นี่กลางคน นั่นคนแก่ เห็นความไม่เที่ยงเป็นปกติแล้ว เขานั่งอยู่ก็เมื่อยก็ปวดเหมือนกับเรา เห็นเป็นทุกข์อีกแล้ว ท้ายสุดทุกคนก็ตายหมด ไม่มีใครดำรงทรงขันธ์อยู่ได้ก็เป็นอนัตตาหมด เรามองให้ตายก็มองไม่เห็น มองไม่เห็นไม่พอ ยังไปหลงไปยึดอีก ไอ้นี่ตัวกู ของกู คนนั้นก็สวย เดี๋ยวจีบมาเป็นแฟนกู เผลอไปมีลูกเข้าก็ลูกกูอีก เพิ่มขึ้นไปเรื่อย

เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของความพอดีมีไม่เท่ากัน คนที่สั่งสมมาน้อย ต้องใช้ความพยายามมากขึ้น คนที่สั่งสมมามากก็ประคับประคองตัวเองให้เดินหน้าไปเรื่อย ๆ อย่าไปประมาทแล้วปล่อย ไม่อย่างนั้นแล้วจะหนักเหมือนคนอื่นเขา ถ้าหากว่าเราพลาดแล้วจะถอยหลัง เรื่องของการปฏิบัติธรรมเหมือนกับว่ายทวนน้ำ ถ้าไม่จ้วงเอาไว้ตลอดเวลา เราก็จะไหลตามน้ำไป

เราจำเป็นต้องใช้ความอดทน มานะพยายาม พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสประโยคแรกของโอวาทปาฏิโมกข์ว่าขันตี ปรมัง ตะโป ตีติกขา เอาความอดทนอดกลั้นขึ้นมาก่อนเลย ต้องทนถึงจะประสบความสำเร็จ ถ้าหากว่าขาดความอดทน ถึงเวลาลำบากหน่อยก็ท้อ อย่างนั้นไม่มีหวังประสบความสำเร็จแน่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-05-2012 เมื่อ 13:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 125 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:04



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว