กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #81  
เก่า 28-01-2014, 20:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่นี่เป็นวัด เป็นสถานที่ภาวนาเพื่อความสงบใจ ไม่มีกิจจำเป็น ไม่ควรมาเที่ยวเพ่นพ่าน เพื่อนพระท่านไปถึงวัด ถามว่าวัดนี้มีพระกี่รูป อาตมาบอกว่า ๓๐ กว่ารูป เขาตกใจ เพราะไม่เห็นมีพระออกมาเดินเลย อาตมาบอกว่าเจ้าอาวาสดุ มาเดินเกะกะเดี๋ยวก็เจอดี..!

ช่วงปฏิบัติธรรม มีพระมหาสมคิด ยสพโล เปรียญธรรม ๙ ประโยค ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปฐมเจดีย์ ท่านไปอยู่ปฏิบัติด้วยจนครบ ๕ วัน จากนั้นขอไปอยู่ต่อที่วัดพุทธบริษัท อาจจะแวะไปเกาะฤๅษีกับถ้ำทะลุด้วย ท่านบอกว่ามาดูว่าที่นี่ปฏิบัติกันอย่างไร พอวันรุ่งขึ้นพระมหาอนุวัชร์ อภิชาโต เปรียญธรรม ๙ ประโยค วัดสองพี่น้องไปอีกท่าน อาตมาว่าพวกนี้ชักจะติดใจกันใหญ่แล้ว ...(หัวเราะ)... ตกลงที่โดนเฉ่งกันไป ๑๐ กว่าวันตอนปฏิบัติธรรมประจำปีนี่ยังไม่เข็ดใช่ไหม ? อาตมาได้เปรียบตรงที่ว่าถ้าดักทางถูก ท่านทั้งหลายจะให้ความเชื่อถือ คราวนี้ท่านจะไปซอกไหนมุมไหนโดนต้อนไว้หมด ท่านก็เลยต้องยอมรับ

ส่วนใหญ่ท่านเป็นเจ้าคณะปกครองกัน มีพวกเจ้าคุณ พวกเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล อย่างน้อยก็เจ้าอาวาส ก็แปลว่าตอนนี้ในเขตคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ก็คือนครปฐม กาญจนบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร บวกกับกรุงเทพฯ นนทบุรี
และปทุมธานีบางส่วน ที่ไปเรียนด้วยกัน ต่อไปท่านคงจะยึดแนวปฏิบัติตามแบบที่อาตมาสอน คืออาตมาไม่ให้ท่านไป พองหนอ..ยุบหนอ ตลอด

เริ่มต้นเช้ามืดขึ้นมา ก็ปฏิบัติแบบที่สอนตอนพวกเราเจริญกรรมฐานเลย พอใจสงบแล้วก็ไม่ดิ้นรนไปไหน พออาตมาให้เขา ๒ - ๓ วันเท่านั้นแหละเงียบกริบ จนกระทั่งผอ. บุญเลิศท่านมา ถามว่า “นิ่งได้ขนาดนี้เลยหรือ?”

เพียงแต่พวกเราส่วนใหญ่เข้าใจผิด มีหลายส่วนที่อาตมาอยากจะพูดมากเหลือเกิน แต่ถ้าพูดไปเท่ากับไปตีเขาว่าคนอื่นเขาทำผิด อย่างเช่นในมหาสติปัฏฐานสูตรที่ว่า เอกายะโน อะยัง ภิกขะเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา เขาแปลกันว่า เป็นทางสายเดียวที่ทำให้คนล่วงพ้นจากความทุกข์ ทำให้สัตว์ก้าวไปสู่ความบริสุทธิ์ แปลอย่างนั้นก็บ้าชัด ๆ..!

เอกะ คือหนึ่ง อยนะ คือหนทาง หนทางนี้เป็นทางหนึ่งที่นำสัตว์ไปสู่ความบริสุทธิ์ ไม่ใช่ทางเดียว ถ้าเป็นทางเดียวพระพุทธเจ้าท่านจะเทศน์ทำไมตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ? แล้วครูบาอาจารย์ก็มาตีความว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา พระพุทธเจ้าว่าต้องเสมอกัน กรรมฐานถึงจะเจริญ การปฏิบัติถึงจะเจริญ ในปัจจุบันก็คือ เขาให้ใช้สมาธิแค่อุปจารสมาธิ หรือขณิกสมาธิ ซึ่งไม่พอป้องกันตัวเองจากกิเลส โดนกิเลสตีตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอาตมาเห็นว่า ถ้าสายนี้ใครประสบความสำเร็จผมถือว่าเป็น ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฎิบัติก็ลำบาก บรรลุก็ยาก

ลองอ่านประวัติของเขาผู้ปฏิบัติสายพองยุบดูสิ ครูบาอาจารย์แต่ละท่านบวชตั้งแต่อายุ ๒๐ ปี พอปฏิบัติไปจนอายุ ๘๐ ปีแล้วบรรลุมรรคผล ตลอดเวลา ๖๐ ปี แม้แต่เงยมองฟ้ายังไม่เคยเงยเลย แล้วถ้าอายุไม่ยืนขนาดนั้นจะมีโอกาสได้บรรลุไหม ? เขาบอกว่าศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ต้องเสมอกัน อาตมาไม่เถียง ในเมื่อพวกเรามีสมาธิอยู่ตั้งมากมายมหาศาลขนาดนั้น ทำไมไม่ยกศรัทธา วิริยะ สติ ปัญญา ขึ้นมาให้เท่ากับสมาธิ ? ทำไมคุณต้องลดสมาธิของคุณลงไปด้วย ? ”

สายนี้อาตมาเขียนวิจารณ์ไว้เป็นเล่มหนังสือเลย แต่ออกมาไม่ได้ ออกมาเมื่อไรก็โยนระเบิดใส่เขา..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2014 เมื่อ 03:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #82  
เก่า 28-01-2014, 20:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในสายตาของโยมที่เป็นฆราวาสก็จะเข้าใจว่าต้องปฏิบัติอย่างนี้ ?
ตอบ : ต้องดูหลวงปู่กินรีสิ หลวงปู่กินรีสอนหลวงปู่ชาว่า "คุณต้องพิจารณาช้า ๆ เดินช้า ๆ ต้องฉันช้า ๆ" แต่หลวงปู่กินรีเองทำอะไรรวดเร็วเสร็จหมด หลวงปู่ชาทนไม่ได้ "สอนผมอย่างหนึ่งแล้วทำไมตัวเองทำอีกอย่างหนึ่ง" หลวงปู่กินรีบอกว่า “คนขับรถเร็วแล้วเขาปลอดภัยก็มี แต่คุณยังมือใหม่ ต้องหัดขับช้า ๆ ไปก่อน”

นอกจากนี้สายพองยุบเขาบอกว่า พระอัสสชิเถระเดินแบบสติปัฏฐานนี่แหละ ทำให้พระสารีบุตรเห็นแล้วเกิดความเลื่อมใส จึงตามไปฝากตัวเป็นศิษย์ อาตมาบอกว่า ถ้าท่านเดินแบบสติปัฏฐาน รับรองว่าอดเพล มัวแต่ยกย่างเหยียบอยู่ ๓๐ เมตรกว่าจะเดินถึง ใช้เวลา ๒ ชั่วโมงกระมัง ? บุคคลที่ปฏิบัติไปแล้ว สภาพจิตมีความแหลมคมว่องไวมากขึ้น ๆ ตามลำดับ มีแต่จะทำอะไรเร็วขึ้น แต่ว่าเร็วโดยไม่ผิดพลาด

ก่อนปฏิบัติอาตมาก็จะอธิบายให้พระฟัง แล้วอธิบายแบบไม่กลัวกระทบใคร เพราะตรงนั้นอาตมาใหญ่สุด เป็นประธานของพระวิปัสสนาจารย์ทั้ง ๑๑ รูป คราวนี้พูดแล้วไปตรงกับกำลังใจส่วนใหญ่ของเขา เขาก็ชอบใจ แล้วอีกอย่างก็ต้องบอกว่า เป็นความดีของหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ท่านสอนกรรมฐานให้พวกเราครบทุกเรื่อง ไม่ว่าเขาจะติดขัดตรงไหน หรือว่ามาแง่ไหนมุมไหน อาตมาก็แก้ไขให้เขาได้หมด ผู้ที่จะเป็นวิปัสสนาจารย์ต้องได้อย่างนั้น ต้องไม่ไปลบล้างความดีเก่าของเขา เราดูโบราณาจารย์เริ่มจากไสยศาสตร์ทั้งนั้น แต่ว่าท่านสามารถพาเลี้ยวไปพุทธศาสตร์ได้ จนกระทั่งจบกิจไปตาม ๆ กัน ไม่ใช่ไปบอกว่า เฮ้ย..ของเขาไม่ดี ใช้ไม่ได้ คุณต้องเปลี่ยนใหม่อย่างเดียว..แบบนั้นตาย คนเขาขุดบ่อไปตั้ง ๗ - ๘ วาจะถึงน้ำอยู่แล้ว ดันไปบอกให้เขาเริ่มต้นขุดใหม่

ที่สำคัญที่สุดคือการปฏิบัติช่วงเช้า ถ้านำให้ท่านเต็มที่ ใจทรงตัวแล้วจะเย็นทั้งวัน ท่านก็ไม่หนีกันหรอก แล้วอีกอย่างหนึ่งสิ่งที่อาตมาบอกไปเป็นประโยชน์ทั้งนั้น ท่านจึงอยากปฏิบัติกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2014 เมื่อ 03:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #83  
เก่า 28-01-2014, 20:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บางทีก็นึกไม่ออกว่าจะถามอะไร เพราะยังทำไม่ถึง ?
ตอบ : ทำต่อไป ถ้าสั่งสมศีล สมาธิ ปัญญาให้พอ ท้ายสุดก็จะถึงเอง แค่ดูว่าในส่วนของรัก โลภ โกรธ หลง อะไรที่ยังกินใจเราได้ ก็พยายามลดละเลิกไป ถ้าเห็นว่ายากเกินไป ดูแค่นิวรณ์ ๕ ก็พอ ในแต่ละวันถ้านิวรณ์ ๕ กินใจเราได้ ก็แปลว่าเรายังสู้กิเลสไม่ได้ ถ้าสามารถรักษาใจให้พ้นจากนิวรณ์ได้ ก็แปลว่าตอนนั้นกำลังใจเราเหนือกว่า ค่อย ๆ ดูไปทีละระดับ อย่าไปตะกายฟ้าเอาส่วนที่เรายังไปไม่ถึง

ถาม : บางทีแวบขึ้นมา เห็นโทษเห็นภัยของการเกิด แต่ไม่ได้ทำให้เรามั่นคงในการที่จะหลุด ?
ตอบ : ยังไม่เข็ด..! ถ้าเราเข็ดจะเกิดความกลัว เป็นความกลัวแบบฝังจิตฝังใจ ประเภทจ้างเท่าไรก็ไม่เอาอีกแล้ว แบบนี้แปลว่ายังไม่เข็ด ต้องทนไปก่อน สมัยก่อนอาตมารู้ตัวเองว่าเป็นเพราะอย่างนี้ บางทีวันหนึ่งอารมณ์ใจขึ้น ๆ ลง ๆ ตกแล้วตกอีก เป็น ๘ รอบ ๑๐ รอบ แต่ยังไม่เข็ด พอถึงเวลากำลังใจทรงตัวหน่อยก็ แหม..แพลมไปดูหน้ากิเลสหน่อย โดนสอยร่วงทุกทีเลย จนกระทั่งเข็ดขึ้นมาจริง ๆ แล้วค่อยมาระวังรักษาตัวเอง ไม่ไปยุ่งกับกิเลสอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 29-01-2014 เมื่อ 12:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #84  
เก่า 28-01-2014, 20:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ไปนึกถึงตอนให้พระนิสิตปฏิบัติธรรมไปนั่งตากแดด ท่านก็ยังยินดีพอใจอยู่ตรงนั้น ให้พระท่านออกไปผ่อนคลายข้างนอก แยกกลุ่มให้วิปัสสนาจารย์นำไป แล้วเขาพาไปนั่งอาบแดด นั่งกรรมฐาน โอ๊ย...เพลินไม่อยากจะเลิกเลย อาตมาบอกว่า พอแล้ว กลับมาได้แล้ว เริ่มติดสุขแล้ว จะได้รู้ว่ากระทบอารมณ์ที่ไม่ชอบใจเป็นทุกข์เป็นอย่างไร กลับเข้ามาเสียดี ๆ

มีอยู่คืนหนึ่ง ไม่รู้ใครเปิดไอโฟนดูบอลซีเกมส์ตอนที่ไทยชนะพม่า คราวนี้พอยิงประตูเข้า เขาเฮกันเสียงดัง อาตมาบอกว่าพรุ่งนี้เจอกัน..! รุ่งเช้าประกาศตั้งแต่ตี ๔ เลย "เนื่องจากว่าปล่อยให้เลิกเร็วแล้วไม่พักผ่อนกัน เพราะฉะนั้น..วันนี้ห้ามออกจากศาลา ถ้าใครออกจากศาลา ผมไม่รับรองว่าเวลาที่เหลือจะได้ไปที่อื่นหรือเปล่า แต่ถ้าวันนี้ทนอยู่ในศาลาได้ตลอด ก็เท่ากับพรุ่งนี้เราค่อยกลับไปในลักษณะเดิม" ท่านอาจารย์ ผอ.บุญเลิศบอกว่า ผมนั่งเหงาเลย ไม่มีใครโผล่มาทางนี้สักคน นั่งก็อยู่ในศาลา เดินจงกรมก็อยู่ในศาลาเช้ายันค่ำ

แล้วก็ยกตัวอย่างว่า จริง ๆ แล้วกิเลสอยู่เฉย ๆ เราตะกายไปหากันเอง กิเลสอยู่ตั้งประเทศพม่า เราอุตส่าห์เอาไอโฟนไปต่อมาดู เห็นหรือยังว่าส่วนใหญ่เราตะกายไปหากิเลส ไม่ใช่กิเลสมาหาเรา พอมีตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ แล้วท่านก็จะเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองปฏิบัติมา

คุณบอกว่าคุณไม่เข้าใจจิตในจิตใช่ไหม ? ตอนที่คุณออกไปข้างนอกไม่ได้ จะอกแตกตายไหมเล่า ? ดูเอาไว้ว่าอารมณ์ของคุณเป็นอย่างไร นั่นเรียกว่าจิตในจิต ต้องยกตัวอย่างชัด ๆไปเลย


ถาม : แล้วมีใครออกนอกไปหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไปเป็นปกติ อาตมาเตือนท่านเป็นระยะ ๆ ก็ยังแหกคอกออกนอกเรื่อย เตือนแล้วบางทีท่านก็อายกัน ไปได้ดีที่พระใหม่กับสามเณร เห็นแววจะเป็นเกจิอาจารย์ใหญ่อยู่หลายท่าน สามเณร ๒ รูปนั่งกรรมฐานสุดยอดเลย ตัวตรงแน่วทั้งแต่นาทีแรกถึงนาทีที่ ๖๐ ไม่มีขยับเลย ๒ รายนี้สุดยอด ถ้าสมาธิขนาดนี้ต่อไปจะเรียนปริญญาโท ปริญญาเอกอะไรก็เรียนไปเถอะ ส่วนพระผู้ใหญ่นี่ศักดิ์ศรีท่านค้ำคออยู่ ถ้าพระใหม่ไม่ขยับ พระผู้ใหญ่ก็ไม่กล้าลุก อายเด็ก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2014 เมื่อ 03:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #85  
เก่า 28-01-2014, 20:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เห็นเขาบอกว่าเจดีย์ชเวดากองบรรจุพระเขี้ยวแก้วอยู่ ?
ตอบ : พม่าเขามีเจดีย์บรรจุพระเขี้ยวแก้วเป็นสิบ ๆ เลย แต่พระมหาเจดีย์ชเวดากองบรรจุพระเกศาธาตุ

ถาม : แต่เห็นมีบางองค์เป็นของปลอม ?
ตอบ : เท่าที่เจอไม่ใช่ปลอมหรอก เขาทำเทียมขึ้นมา สำคัญอยู่ตรงที่ว่าใจคนนึกถึงหรือเปล่า ? ไม่อย่างนั้นพระพุทธรูปทุกองค์ปลอมหมดแหละ เพราะองค์จริงไปพระนิพพานแล้ว

ถาม : สมัยพระเจ้าบุเรงนองก็ไปซื้อพระเขี้ยวแก้วมาจากศรีลังกา ?
ตอบ : นั่นเป็นประวัติชาวบ้านเล่ากัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2014 เมื่อ 03:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #86  
เก่า 31-01-2014, 11:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "โรคภัยจริง ๆ ไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเหมือนกับตัวเราที่อยู่ในโลกนี้ แล้วเราก็ทำลายธรรมชาตินี้ไปเรื่อย ตัดต้นไม้บ้าง เปลี่ยนทางน้ำบ้าง เชื้อโรคในตัวเราก็เหมือนกัน อาศัยอยู่ข้างในก็ทำนั่นสร้างนี่ เราอยู่ก็เกิดภาวะโลกร้อน เชื้อโรคก็ทำแบบเดียวกัน เกิดโรคเกิดภัยขึ้นกับร่างกาย ก็แปลว่ามนุษย์เรามีนิสัยแบบเดียวกับเชื้อโรค ไปอยู่ที่ไหนก็ทำลายที่นั่น

อาตมาเป็นมาเลเรียเรื้อรัง เป็นคนไข้ตัวอย่างของเวชศาสตร์เขตร้อน ที่ถือว่าเป็นมือหนึ่งในการรักษาโรคมาลาเรียของประเทศไทย เขาใช้เวลารักษามา ๓๔ ปีแล้ว ถ้ารักษาได้คงหายไปนานแล้ว ทุกครั้งที่มียาตัวใหม่ก็จะเรียกไปทดลอง เพราะฉะนั้น..ไม่จำเป็นต้องพยายามหายามาให้อาตมา เพราะไม่ใช่มาลาเรียธรรมดา แต่เป็นโรคเวรโรคกรรม

มีบริษัทประก
ันภัย เสนอกรมธรรม์ประกันสุขภาพให้อาตมา ต้องการรักษาโรงพยาบาลดีขนาดไหนก็ได้ นอนคืนหนึ่งชดเชย ๔,๐๐๐ บาท ให้เวลานอน ๑,๓๕๐ วันต่อเนื่องกัน มีใครกล้าซื้อกรมธรรม์แบบนี้บ้างไหม ? แปลว่าอาตมาสามารถนอนเล่นได้ ๓ ปีครึ่งเลย แล้วก็รับวันละ ๔,๐๐๐ บาท แต่อาตมาไม่มีเวลาไปนอนเท่านั้นเอง ฉะนั้น..ไม่ต้องหายามา และไม่ต้องให้คำแนะนำประเภทพักผ่อนมาก ๆ ถ้ามีเวลาพักอาตมาพักทันที ไม่ต้องห่วงหรอก เพราะว่าเป็นคนหวงเวลามาก เป็นลูกค้าบริษัทประกันที่ยอดเยี่ยมมาก ส่งเบี้ยประกันตรงเวลาไม่เคยขาด ป่วยให้ตายก็ไม่มีเวลาไปใช้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 01-02-2014 เมื่อ 13:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #87  
เก่า 31-01-2014, 11:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เคยมีฝรั่งวางแผนปล้นหลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตร เขาบอกว่าจะเจาะอุโมงค์จากริมแม่น้ำจนถึงใต้องค์พระ แล้วก็เอาสิบล้อไปรอไว้ พอเจาะพื้นแล้ว องค์พระหล่นลงมาที่สิบล้อก็วิ่งลงเรือเลย ตอนนั้นหลวงพ่อทองคำยังอยู่ที่ศาลาหลังเก่า"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2014 เมื่อ 16:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #88  
เก่า 31-01-2014, 12:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายท่านคงจะเกรงปัญหาที่กรุงเทพ ฯ ต้องบอกว่าการปิดกรุงเทพของนายหัวเทพเป็นการปิดตัวเอง การปฏิวัติต้องเป็นสัจจะคือความจริงแท้ จึงจะสำเร็จ หากไม่ใช่ความจริงแท้ ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้

พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ทางมรรค ๘ หรือทางสายกลาง เป็นความจริงแท้ ในขณะที่สังคมยุคนั้นถือสายสุดโต่ง คือกามสุขัลลิกานุโยค หมกมุ่นอยู่กับเรื่องกิน กาม เกียรติทุกประเภท เชื่อว่าทำเต็มที่แล้วจะเบื่อ หลุดพ้นได้ อีกสายหนึ่งก็หมกมุ่นกับการทรมานตัวเอง เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค เชื่อว่าการทรมานตนทำให้พระเจ้าพอใจ แล้วรับไปอยู่กับปรมาตมันของพระองค์ เป็นความเชื่อที่ฝังหัว ฝังลึกมาหลายพันปี

ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ความจริงแท้ในอริยสัจ จะไม่สามารถปฏิวัติความเชื่อของเขาได้ แต่สิ่งที่พระองค์ท่านตรัสรู้อริยสัจ คือความเป็นจริงแท้ พอบอกกล่าวไป บุคคลที่มีปัญญาได้ยิน ก็จะฉุกใจคิด เมื่อปฏิบัติตามก็จะได้ผลตามภูมิธรรมของตัวเอง ลองมานึกถึงว่า ถ้าสังคมวุ่นวายบรรลัยโลกอย่างปัจจุบัน แล้วอยู่ ๆ มีคนไปชี้แนวทางสันติ บุคคลนั้นต้องเป็นคนที่กล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง แม่นประเด็นเป็นอย่างยิ่ง และชัดเจนกับแนวทางเป็นอย่างยิ่ง ถามว่าชัดเจนขนาดไหน ? ชัดเจนขนาดที่ใช้ได้ผลกับตัวเอง

ตั้งแต่ก้าวแรกที่พระพุทธเจ้าออกผนวชแสวงหาโมกขธรรม พระองค์ท่านก็แลกด้วยชีวิตและเกียรติยศทั้งปวง ยอมสละฐานันดรกษัตริย์ ทั้งที่อีกไม่กี่วันความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิจะมาถึง ยอมโกนผมที่ทางพราหมณ์เขาถือว่าเป็นเครื่องหมายของบุคคลชั้นสูง กลายเป็นคนผมสั้นหรือไม่มีผม หรือกาลกิณีในความรู้สึกของคนทั่วไป

ความรู้สึกเหล่านี้ฝังรากลึกมาเป็นพัน ๆ ปี ที่พระองค์ท่านยอมลงทุนขนาดนั้น เพราะว่าถอยไม่ได้ ถ้าถอยแม้แต่ก้าวเดียว ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนแสวงหา จึงต้องแลกด้วยเกียรติยศและฐานันดรศักดิ์ที่ตนมีอยู่ ทำตัวเป็นบุคคลที่ต่ำติดดิน ในระดับชั้นที่ไม่มีใครคบหาด้วยเลย พระองค์ยอมแลกด้วยของเหล่านั้น จึงประสบความสำเร็จ ทำให้พระองค์ท่านกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า บุคคลพึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต พึงสละทั้งทรัพย์ อวัยวะและชีวิตเพื่อรักษาธรรม

เมื่อท่านประสบความสำเร็จกลับมา ยังต้องประกอบไปด้วยความแกล้วกล้า ความกล้านี่ต้องกล้าเกินคน เพราะสิ่งที่พระองค์ท่านบอกกล่าวคัดค้านกับความเชื่อทั้งปวง ไม่มีอะไรเหมือนของเก่าเลยแม้แต่นิดเดียว โอวาทปาฏิโมกข์ของพระองค์ถึงได้กล่าวว่า ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ขันติคือความอดทนจัดเป็นตบะอย่างยิ่งในศาสนานี้ เพราะในลัทธิอื่น ศาสนาอื่น ความเชื่ออื่น เขาเชื่อว่า การทรมานตนคือการบำเพ็ญตบะ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 31-01-2014 เมื่อ 18:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #89  
เก่า 31-01-2014, 18:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อุดมการณ์ของพระพุทธศาสนา คือ ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ขันติ คือความอดทน จัดเป็นตบะอย่างยิ่งในศาสนาพุทธ นิพพานัง ปรมัง วะทันติ พุทธา พระนิพพานเป็นเป้าหมายสูงสุด ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์กล่าวถึง นะ หิ ปัพพชิโต ปะรูปะฆาตี ถ้ายังฆ่าผู้อื่นอยู่ไม่ถือว่าเป็นบรรพชิต เพราะว่าศาสนาอื่นโดยเฉพาะศาสนาพราหมณ์ มีการบวงสรวง บูชายัญ ฆ่าสัตว์ทีละเป็นร้อย ๆ ถ้าระดับเศรษฐีหรือพระมหากษัตริย์ อาจจะถึงระดับฆ่าคนเพื่อบูชายัญด้วย

สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต ถ้ายังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ถือว่าเป็นสมณะ เพราะถือว่าผู้มีบาปอันลอยแล้ว เท่ากับตบหน้าศาสนาอื่นเขาเต็ม ๆ เลย ว่าศาสนาของเขานั้นไม่ได้เรื่อง

ในเมื่อทำอย่างนั้น ถ้าศาสนาอื่นเขาไม่มีปัญญา ไม่มีความเลื่อมใส จะกลายเป็นการสร้างศัตรูทั้งประเทศในทันทีทันใดเลย ถึงได้ว่าการประกาศศาสนาของพระองค์ท่าน ต้องอาศัยความแกล้วกล้าเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่ความกล้าธรรมดา แต่เป็นความกล้าชนิดเอาชีวิตเข้าแลก ต่อให้มั่นคงมั่นใจว่า ในความเป็นพระพุทธเจ้าของพระองค์ท่าน ไม่มีใครสามารถทำร้ายพระองค์ท่านให้ถึงแก่ชีวิตได้ แต่กว่าจะมั่นใจได้ขนาดนั้น พระองค์ท่านต้องแลกด้วยการบำเพ็ญบารมีต่ำสุดก็ ๒๐ อสงไขย กับแสนมหากัป ในเมื่อสิ่งที่พระองค์ท่านกล่าวมาเป็นความเป็นจริง เป็นสัจธรรม จึงสามารถปฏิวัติความเชื่อของคนส่วนใหญ่ได้

แต่การประกาศชัตดาวน์กรุงเทพ ไม่ใช่สัจธรรม ประเทศของเราหลักการที่ชัดเจนที่สุดคือ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แม้แต่องค์พระมหากษัตริย์ ก็อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แล้วใครที่บังอาจทำตนอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ก็แปลว่าผู้นั้นกำลังหาความแตกดับใส่ตัวเอง เป็นที่น่าเสียดายว่าพรรคการเมืองที่ยึดแนวทางระบอบประชาธิปไตยมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า ๖๐ ปี อยู่ ๆ ก็ออกทะเลไปสนับสนุนการปกครองนอกระบบ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-02-2014 เมื่อ 02:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #90  
เก่า 31-01-2014, 19:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เมื่อวานได้กล่าวถึงองค์การยูเนสโกที่กล่าวว่า หลักการศึกษาของโลกนั้นควรจะศึกษาอยู่ใน ๔ ลักษณะ คือ

๑. Learning to know เรียนแล้วต้องรู้ ไม่ใช่สักแต่ว่าเรียนให้จบ เมื่อเรียนแล้วต้องรู้ ก็แปลว่าต้องเอาความรู้ไปใช้งานได้ เขาถึงได้กำหนดหลักการที่สองว่า

๒. Learning to do ซึ่งสมัยนี้บอกว่าเอาวิชาการไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตจริง

๓. Learning to live together ส่วนใหญ่แล้ว
ไปไม่ค่อยถึงตรงนั้น เรียนรู้แล้วต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข ในปัจจุบันนี้ที่บ้านเราวุ่นวาย เพราะส่วนใหญ่บรรดาคนที่ถือว่าตัวเองเป็นชนชั้นสูง เป็นคนชั้นมันสมอง ศึกษาหาความรู้จากต่างประเทศมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งเคยเป็นผู้ที่ชี้แนวทาง ชี้นำการปกครองประเทศ รู้สึกว่าสถานภาพของตนเองกำลังสั่นคลอน

เนื่องจากชาวไร่ชาวนาตระหนักในสิทธิของตนเอง ว่าถึงเวลาแล้วต่างคนต่างมี ๑ คน ๑ เสียงเท่ากัน ในเมื่อคนพวกนี้รู้สึกว่าตนเองโดนสั่นคลอนสถานภาพ ด้วยความที่รักตัวเอง ยึดตัวเองเป็นใหญ่ มีอัตตาสูง ที่ภาษาอังกฤษเขาว่าอีโก้ ก็ต้องหาทางรักษาสถานภาพของตัวเอง ด้วยการสนับสนุนการใช้กำลังนอกระบบในการปกครองประเทศ

จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก ไม่ได้สงสารบุคคลเหล่านั้น แต่สงสารประชาชนทั้งประเทศ ที่ประชาชนทั้งประเทศสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและหลายช่องทาง แต่ข้อมูลทั้งหมดไม่มีความจริงแท้เลย เป็นความจริงเพียงส่วนเดียวที่เขาแสดงออกเพื่อประโยชน์ทางฝ่ายเขาเท่านั้น ก็เลยทำให้ประชาชนจำนวนมากโดนแหกตาทั้งประเทศ คิดว่าตนกำลังปกป้องในหลวง หารู้ไม่ว่าโดนใช้เป็นบันไดเหยียบขึ้นไปสู่เป้าหมายที่เขาต้องการ

อาตมาเคยถามบางคนว่า คุณไปสนับสนุนเขา อาตมาไม่ว่าหรอก อยากจะบอกว่าอายุขนาดคุณเคยผ่านเหตุการณ์มาหมดแล้ว ทั้งช่วง ๑๔ ตุลา ๑๖ ช่วง ๖ ตุลา ๑๙ ช่วง เมษา ๒๔ ช่วง พฤษภา ๓๕ ตลอดจนกระทั่งปฏิวัติรัฐประหาร กันยายน ๔๙ คุณเคยเห็นนักการเมืองตายตอนประท้วงบ้างไหม ? มีแต่พวกคุณนั่นแหละที่ไปตาย ขนาดนี้ยังไม่มีปัญญาพอ ยังหูหนวกตาบอด ไปสนับสนุนให้บ้านเมืองวุ่นวาย ถ้าคุณรักและอยากปกป้องในหลวง ก็นอนอยู่กับบ้าน ถ้าหากบ้านเมืองไม่วุ่นวาย ในหลวงจะสบายพระทัยที่สุด

ในเมื่อหลักการของยูเนสโกคือ Learning to live together เรียนรู้แล้วต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุขได้ แล้วขนาดพวกจบปริญญาเอกจากต่างประเทศ มีอำนาจในการชี้นำ ยังไม่สามารถเรียนรู้แล้วอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุขได้ แล้วคนระดับไหนถึงจะทำได้ ฉะนั้น..ก็ป่วยการที่จะกล่าวถึงระดับสุดท้ายคือ

๔. Learning to be เรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เพราะไม่มีทางที่จะเข้าถึงได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-02-2014 เมื่อ 02:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #91  
เก่า 31-01-2014, 19:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์มีอย่างเดียวคือการเป็นพระอริยเจ้า ถ้าจะให้สมบูรณ์จริง ๆ คือต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น ซึ่งไม่มีหลักการเรียนรู้ในโลกชนิดไหนที่ทำให้เป็นได้ ยกเว้นหลักการในพุทธศาสนานี้เท่านั้น ดังนั้น..ในปัจจุบันส่วนที่ต้องใช้ให้มากที่สุดคือสติสัมปชัญญะ หัดตั้งคำถามกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แล้ววิเคราะห์ว่าสาเหตุมาจากอะไร แล้วจะรู้ว่าที่วุ่นวายฉิบหายวายป่วงอยู่ทุกวันนี้ มีแต่คนที่ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น โดยเอาประเทศชาติและประชาชนเป็นตัวประกัน และที่สำคัญที่สุด คนที่ถูกจับเป็นตัวประกันคือในหลวง

ถ้าอยากช่วยในหลวงจริง ๆ คือต้องให้ในหลวงพ้นจากสภาพตัวประกัน ก็คือด้วยการอย่าสนับสนุน อย่าลืมว่าความบริสุทธิ์ยุติธรรมที่แท้จริงในโลกนี้ไม่มีในความรู้สึกของคน ขอใช้คำว่าความรู้สึกของคน เพราะไม่มีอะไรที่ทำให้คนทุกคนพอใจได้เท่ากัน ประเทศอังกฤษหรือสหรัฐอเมริกาที่เป็นต้นแบบประชาธิปไตยก็มีพรรคฝ่ายค้าน แต่เขาเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น ก็คือศึกษาแล้วไปใช้อย่างมีคุณภาพ

เรียนแล้วต้องรู้ เขาเรียกว่าศึกษาอย่างมีสมรรถภาพ เมื่อเรียนรู้แล้วสามารถนำไปใช้งานได้จริง คือศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ เรียนรู้แล้วอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุข คือการศึกษาอย่างมีคุณภาพ ดังนั้น..พรรคฝ่ายค้านของเขาจะอดทนอดกลั้น นำเสนอแนวทางของตนไป จนกว่าคนเขาจะเห็นประโยชน์ แล้วมาเลือกฝ่ายของตน นั่นคือการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น เคารพเสียงส่วนใหญ่ว่าเขาต้องการอย่างไร

บางขณะของสหรัฐ พรรครีพับลิกันครองตำแหน่งประธานาธิบดีต่อเนื่องกันทีหลาย ๆ สมัย ๒๐ - ๓๐ ปี แต่พรรคเดโมแครตก็อดทนอดกลั้น พยายามเสนอแนวทางของตนที่เห็นว่าชัดเจน ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นหลักการไม่ใช่หลักกู และท้ายสุดพอประชาชนเห็นด้วยก็หันมาเลือกเขาเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2014 เมื่อ 03:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #92  
เก่า 31-01-2014, 19:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ขณะเดียวกัน..พรรคที่ครองอำนาจอยู่ ก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับบุคคลอื่นอย่างมีคุณภาพ ก็คือให้เกียรติฝ่ายค้าน ไม่เห็นว่าเสียงส่วนน้อยเป็นเรื่องไร้สาระ พยายามให้ความสำคัญ ประเทศชาติของเขาถึงเป็นอารยประเทศ ประเทศที่เจริญแล้ว แต่บ้านเราไม่มีตรงจุดนี้ ประเทศอังกฤษต้นแบบประชาธิปไตย แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญยังไม่มี แต่ทุกคนรู้ว่าตัวเองต้องทำหน้าที่อย่างไร เป็นสิ่งที่จารึกอยู่ในใจของชาวบ้านทุกคน ว่าตนเองต้องทำอย่างไร กลายเป็นว่า คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม อยู่ในจิตในใจของแต่ละคนเอง

บางทีเราอาจจะแยกแยะไม่ออกว่า ๓ ตัวนี้ต่างกันอย่างไร ศีลธรรมจะเป็นตัวเริ่มต้น ศีลคือข้อห้าม ธรรมคือข้อควรปฏิบัติ ในเมื่อพยายามที่จะละเว้นในสิ่งที่ไม่ดี ทำในสิ่งที่ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อทำไป ๆ กลายเป็นความดีเฉพาะตัว เรียกว่าคุณธรรม เมื่อกลายเป็นความดีประจำตัว กาย วาจา ใจ ของเขาที่แสดงออก ก็จะอยู่ในกรอบของศีลของธรรม จึงกลายเป็นจริยธรรม คือความดีที่เป็นแบบอย่างให้คนอื่นเขาเลียนแบบ หรือปฏิบัติตามได้ ดังนั้น..ทุกอย่างต้องเริ่มต้นที่ศีลธรรม เมื่อศีลธรรมทรงตัวเป็นคุณธรรมประจำใจ การปฏิบัติของตนเองก็จะกลายเป็นจริยธรรม คือแบบอย่างให้คนอื่นทำ

คนอังกฤษไม่มีรัฐธรรมนูญ แต่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ถึงจะถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ไหม ? พรรคฝ่ายค้านกับพรรครัฐบาลทำงานร่วมกัน เมื่อมีรัฐบาลก็มีรัฐบาลเงา มีนายกรัฐมนตรี ก็มีนายกรัฐมนตรีเงา มีรัฐมนตรีก็มีรัฐมนตรีเงา ทั้งสองฝ่ายทำงานร่วมกัน ถึงเวลาประชุมร่วมกัน พรรคฝ่ายค้านมีแนวคิดที่ดี รัฐบาลก็รับไปทำ แต่ให้เครดิตว่าเป็นความคิดของพรรคฝ่ายค้าน ถ้ารัฐบาลมีอันเป็นไป ฝ่ายค้านสามารถเป็นรัฐบาลได้โดยไม่มีอะไรสะดุดเลย เพราะว่าเรียนรู้ระบอบที่รัฐบาลทำอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว นั่นแหละ..ถึงจะเป็นต้นแบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง บ้านเราเกือบจะก้าวถึงแล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-02-2014 เมื่อ 02:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #93  
เก่า 31-01-2014, 19:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ความงดงามในการหาเสียง เชิดชูนโยบาย ไม่โจมตีข้อผิดพลาดของคนอื่น ปรากฏให้เห็นในการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานครที่ผ่านมา พล.ต.อ. ดร.พงศพัศ จบปริญญาเอกจากต่างประเทศ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นเชื้อพระวงศ์ ต่างฝ่ายต่างเล่นเกมกันอย่างสุภาพบุรุษ แต่พอถึงระยะท้าย ๆ สักอาทิตย์กว่า เมื่อพรรคหนึ่งเห็นว่าจะแพ้ก็ไปกลับไปใช้วิชามารเหมือนเดิม ความงดงามที่เราจะพึงเห็นได้ จากการต่อสู้กันแบบสุภาพบุรุษก็หมดไป ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ถ้าเป็นคำโบราณเขาเรียกว่า เขียนด้วยมือ ลบด้วยตีน..!

ในเมื่อมีตัวอย่าง ตั้งแต่การเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่พรรคเพื่อไทยชูนโยบายแก้ไข ไม่แก้แค้น ใครว่าอะไรไม่เถียงด้วย แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็อยู่ในลักษณะเดิม คืออดทนอดกลั้นทุกอย่าง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จะเป็นต้นแบบที่คนเขาเห็นดีเห็นงามแล้วปฏิบัติตาม ถ้าสามารถทำถึงในลักษณะสุดท้าย โดยเอาหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือมรรค ๘ หรือไตรสิกขามาปฏิบัติ จะค่อย ๆ ก้าวสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ถึงเวลานั้นความเห็นแก่ตัวจะเหลือน้อยมาก จะเอาส่วนรวมเป็นใหญ่ นั่นถึงจะเป็นการศึกษาเพื่อสันติภาพอย่างแท้จริงอย่างที่ยูเนสโกต้องการ ซึ่งศาสนาอื่นไม่มี และคาดว่ายูเนสโกก็คงจะกำหนดขึ้นจากหลักธรรมในศาสนาพุทธนี่แหละ เพราะเขาประกาศยกย่องพุทธศาสนา เป็นศาสนาเพื่อสันติภาพของโลก

นี่คือสิ่งที่อยากจะบอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ให้ละอคติที่บังตาเสีย ให้ละมายาคติที่ปกปิดสายตา ปกปิดปัญญาของตัวเอง ไม่อย่างนั้นเราจะรับข่าวสารเฉพาะส่วนที่ชอบใจ ไม่สามารถรับในส่วนที่เราไม่ชอบใจได้ แล้วเราก็จะโดนหลอกลวงด้วยข่าวสารที่บอกความจริงไม่หมด ทั้ง ๆ ที่เราอยู่ในยุคโลกาภิวัตน์ สามารถเข้าถึงข่าวสารได้อย่างง่ายดาย แต่กลายเป็นว่าเข้าถึงความจริงไม่ได้สักที

อยากให้ประเทศชาติของเราดี ก็ต้องเปิดใจให้บ้าง ยอมลำบากบ้าง ยอมกัดฟันกลืนเลือดตัวเองบ้าง รอโอกาสที่เป็นทีของตนบ้าง ถ้าทำอย่างนั้นได้บ้านเมืองก็จะไปรอด ถ้าทำไม่ได้ก็เหมือนลักษณะไล่หมาให้จนตรอก ถึงเวลาโดนหมากัดเอาบ้าง เราจะไปโทษหมาไม่ได้ ฉะนั้น..ขอให้ทุกคนดูว่าในสถานการณ์ปัจจุบันของเรา ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าไปช่วยกันสุมฟืนใส่ไฟเผาประเทศของเราเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-02-2014 เมื่อ 02:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #94  
เก่า 01-02-2014, 13:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"บ้านเมืองเราเคยเป็นเสือตัวที่ ๕ ของเอเชีย ในยุครัฐบาลน้าชาติ เราแค่วิ่งตามหลัง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงค์โปร์ ในอาเซียนทั้งหมดนอกจากสิงค์โปร์ที่เป็นอันดับ ๑ ของโลกในปัจจุบันนี้แล้ว เราไม่ได้ล้าหลังใคร แต่ปัจจุบันนี้เราเป็นเต่าตัวสุดท้ายของอาเซียนแล้ว ก็เพราะการอยู่อย่างปราศจากสติสัมปชัญญะ การอยู่อย่างไม่ยอมเปิดใจให้กว้าง รับเอาแต่ส่วนที่ตัวเองชอบใจ ไม่ยอมรับในส่วนที่ตัวเองไม่ชอบใจ ก็เลยเป็นเรื่องลำบากที่จะแก้ไขสถานการณ์บ้านเมืองของเรา

ถ้าเราขาดสติเมื่อไร จะขาดหลักยึด ในเมื่อขาดหลักยึด จะขาดความยุติธรรม ที่ขาดความยุติธรรม เพราะเราไปทิ้งหลักการ จำให้แม่น ๆ ว่าหลักการบ้านเราคือการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ใช่ไอ้บ้าที่ไหนนำพวกเราไปประท้วงปิดประเทศฯ จนกลายเป็นล้าหลังคลั่งชาติ ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เขาทำก็เพื่อเอาตัวรอดจากกฎหมายที่รัดตัวเข้ามาทุกวัน

ลองเอาสิ่งที่อาตมาพูดไปค่อย ๆ พิจารณากันดู แล้วจะเห็นว่าความวุ่นวายในบ้านเมืองของเราเกิดจากคนไม่กี่คน แล้วคนทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ได้มาตายกับคุณหรอก อาตมาเห็นเหตุการณ์พฤษภาคม ๓๕ ชัดเจนที่สุด ทันทีที่หน่วยทหารจู่โจมเข้าไป พลตรีจำลอง ศรีเมือง ยกมือยอมแพ้เป็นคนแรก ตกลงคนที่ตายก็เป็นชาวบ้าน ขอยืนยันว่าไม่มีนักการเมืองตาย
ในตอนนำการประท้วง เรือตรีฉลาด วรฉัตร อดข้าวประท้วง ยอมตาย ๆ มาเป็นสิบครั้งแล้ว เคยตายสักทีไหม ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2014 เมื่อ 03:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #95  
เก่า 01-02-2014, 13:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีการร่วมกันกราบขอขมาขอขมาพระอาจารย์เนื่องในวาระขึ้นปีใหม่
"เนื่องในวารดิถีขึ้นปีใหม่ ๒๕๕๗ ญาติโยมทั้งหลายก็ได้พร้อมจิตพร้อมใจกันกระทำสามีจิกรรม ก็คือการขอขมาต่อพระรัตนตรัย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นความประพฤติที่จักควรได้กระทำอยู่บ่อย ๆ เพราะว่าตัวพวกเราทั้งหลายนั้นมีสติไม่สมบูรณ์ ก็อาจจะมีการล่วงเกินต่อพระรัตนตรัยด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ โดยที่รู้เท่าถึงการณ์หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม เมื่อเป็นเช่นนั้น กรรมที่เราปรามาสพระรัตนตรัย ก็จะกลายเป็นตัวปิดกั้นมรรคผลของเรา ทำให้เข้าไม่ถึงความเป็นพระอริยเจ้า จึงควรจะมีการกราบขอขมาพระรัตนตรัยอยู่บ่อย ๆ

ถ้าตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนเอาไว้ก็คือ ทุกครั้งที่เราจะสวดมนต์ไหว้พระหรือเจริญกรรมฐาน ให้ขอขมาพระรัตนตรัยไว้ก่อน เพื่อเราจะได้เข้าถึงธรรมในส่วนที่เราจะพึงปรารถนาได้

สำหรับในปี ๒๕๕๗ ของเรา เป็นปีที่ชะตากรรมของประเทศเราสะดุดติดขัดอยู่เล็กน้อย แต่ว่าด้วยอำนาจบารมีของคุณพระศรีรัตนตรัยก็ดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี ตลอดจนพระสยามเทวาธิราชที่ท่านปกปักรักษา เรื่องร้ายทั้งหลายก็จะกลับกลายเป็นดี โดยเฉพาะพวกเราที่ตั้งใจปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาระดับเข้มข้น ก็ขอให้พวกเราตั้งใจอุทิศส่วนกุศลที่พวกเราได้กระทำนี้ แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตลอดจนกระทั่งเทพเจ้าที่ปกปักรักษาตัวเรา เทพเจ้าที่รักษาศาลหลักเมืองทุกแห่ง พระสยามเทวาธิราชทุก ๆ พระองค์ เพื่อที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จะได้มีกำลังในการที่จะช่วยประคับประคองสถานการณ์ ให้ผ่านจากช่วงเลวร้ายไป และกลับกลายเป็นดี มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองสืบ ๆกันต่อไป

ท้ายสุดนี้อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ เป็นประธาน มีบารมีของครูบาอาจารย์คือหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นที่สุด ขอได้โปรดดลบันดาลให้ท่านทั้งหลาย ประสบความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูลผลไปด้วยจตุรพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ตลอดจนปฏิภาณและธนสารสมบัติอันเป็นที่พึงใจทั้งปวง หากประสงค์จำนงหมายสิ่งใดที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัยแล้วไซร้ ขอความประสงค์จำนงหมายของท่าน จงพลันสำเร็จทุกประการด้วยเทอญ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-02-2014 เมื่อ 16:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #96  
เก่า 01-02-2014, 13:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนเวลาญาติโยมทำมาหากินเจริญรุ่งเรืองแล้ว เขาก็จะหล่อพระเงินประจำตระกูลของตัวเอง แต่ละองค์ก็หนักหลายกิโลกรัมอยู่ นั่นขนาดสมัยก่อนนะ ใช้เงินแท้ทั้งองค์เลย โดยเฉพาะทางด้านพ่อค้าหรือบรรดาพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงของทางเหนือ ถึงเวลาร่ำรวยขึ้นมาเขาก็หล่อพระประจำตระกูล คราวนี้ถ้าหากทำเป็นเงินทั้งองค์ไม่ได้เขาก็ทำเป็นพระบุเงิน บุทอง คือตีเงินตีทองแล้วก็หุ้มองค์พระแทน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-02-2014 เมื่อ 16:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #97  
เก่า 01-02-2014, 15:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องอ่านหนังสือ เพื่อน ๆ เขาสงสัยว่าเอาเวลาที่ไหนมาอ่าน อาตมาก็บอกว่า “อ่านก่อนนอน อ่านตื่นนอน อ่านบนรถ” เพื่อนเขาบอกว่า ก่อนนอนกับตื่นนอนยังพอทำตามได้ แต่อ่านบนรถทำตามไม่ได้ อ่านทีไรเมารถทุกทีเลย

การอ่านหนังสือบนรถ ถ้าสมาธิเราอยู่ที่เดียว สายตาจะไม่เห็นอย่างอื่นแล้วจะไม่เมารถ ถ้าสมาธิไม่ได้อยู่ที่เดียว เราจะเห็นภาพวูบวาบ ๆ ข้าง ๆ แล้วจะเมารถ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-02-2014 เมื่อ 16:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #98  
เก่า 02-02-2014, 12:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "มีพระอรหันต์อยู่องค์หนึ่ง เกิดขึ้นในยุคสมัยแรก ๆ เลย หลังปัญจวัคคีย์ ก่อนพระยสะเถระ ก็ต้องบอกว่าถ้านับแล้วก็เป็นหนึ่งใน ๖๑ พระอรหันต์องค์แรกของโลก แต่ว่าอายุท่านสั้นมาก ก็เลยไม่ได้ออกประกาศพุทธศาสนา

เมื่อครั้งที่ท่านกาฬเทวิลดาบส หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อสิตดาบสจำพรรษาอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นั่นฤๅษีนะ..ไปนอนดาวดึงส์เล่น ไปทั้งตัวด้วย ก็ได้ยินเทพบุตรเทพธิดาส่งเสียงสาธุการจนกระทั่งโลกธาตุสะเทือน สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น สอบถามแล้วก็รู้ว่าองค์มหาสัตว์เกิดขึ้นแล้วในโลก กาฬเทวิลดาบสก็รีบลงจากดาวดึงส์มา เข้าเฝ้าพระเจ้าสุทโธทนะ ขอดูพระราชกุมารที่เพิ่งประสูติ พอเห็นมหาปุริสสลักขณะครบถ้วน ก็ทั้งหัวเราะและร้องไห้

พระเจ้าสุทโธทนะก็ถามในฐานะคนคุ้นเคยว่า ทำไมหัวเราะแล้วก็ร้องไห้ด้วย ? ท่านบอกว่าดีใจที่มีชีวิตอยู่ทันได้เห็นพระมหาสัตว์มากำเนิด และจะได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่ แต่ที่ร้องไห้เพราะว่าตัวเองแก่เกินไปแล้ว กว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จออกบวชและตรัสรู้ ตนก็คงจะตายไปเสียก่อน กาฬเทวิลดาบสก็เลยไปแจ้งให้หลานชายชื่อนาลกะ บอกว่าให้บวชเป็นดาบสไว้ ถ้าพระมหาสัตว์เสด็จออกบวชและบรรลุธรรมเมื่อไร ให้มาขอฟังธรรม

ท่านนาลกะเป็นคนฉลาดมาก ถามว่าทำอย่างไรถึงจะบวชแล้วได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า กาฬเทวิลดาบสจึงสอนหลานว่า ให้ตั้งใจว่าการบวชนี้อุทิศเฉพาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ในเมื่อกำลังใจมุ่งตรงอย่างนั้นเท่ากับฝากตัวเป็นสาวกตั้งแต่แรกแล้ว

เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์บรรลุอรหัตผล ก็จำพรรษาอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน นาลกดาบสมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลถามโมเนยยปฏิปทา คือปฏิปทาการเข้าถึงความเป็นมุนีคือพระผู้ประเสริฐเป็นอย่างไร ? พระพุทธเจ้าท่านก็แสดงโมเนยยปฏิปทาให้ มีทั้งกาย วาจาแล้วใจ ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะประกอบกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นต้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2014 เมื่อ 17:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #99  
เก่า 02-02-2014, 12:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พระนาลกะฟังเทศน์แล้วเข้าป่าเลย คนโบราณเขาทำกันอย่างนั้น ฟังทีเดียวพอเลย รู้หลักว่าปฏิบัติอย่างไรแล้ว ในพระไตรปิฎกกล่าวว่าท่านบิณฑบาตจากบ้านสู่บ้าน อยู่อาศัยจากโคนไม้สู่โคนไม้ แปลว่าไม่เคยอยู่ซ้ำที่เลย บิณฑบาตจากหมู่บ้านนี้ ฉันเสร็จก็หลบไปหาที่เหมาะแก่การปฏิบัติใต้ร่มไม้ ถึงเวลาเดินต่อไปบิณฑบาตอีกหมู่บ้านหนึ่ง

เมื่อปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์ ไม่กี่วันก็บรรลุอรหัตผล แต่ท่านพิจารณาดูแล้ว ปรากฏว่างานอื่นไม่มี ในเมื่อบรรลุแล้วงานอื่นไม่มี ก็เลยส่งจิตไปกราบทูลลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน เสร็จแล้วพนมมือยืนมรณภาพ ท่านก็เลยเป็นพระอรหันต์รุ่นแรก ถามว่าเป็นรุ่นแรกขนาดไหน ? ก็ตามหลังปัญจวัคคีย์ติดเลย แต่ไม่ได้มีบทบาทในพุทธศาสนา นอกจากเป็นเนตติ คือแบบอย่างที่วางเอาไว้ ให้เห็นถึงความมักน้อย สันโดษ เอาจริงเอาจัง

โดยเฉพาะเขาใช้คำว่า มีความปรารถนาน้อยในคำถาม มั่นใจว่าทำไปเถอะ ถ้าหลักการถูกต้องอย่างไรก็ต้องได้ผลแน่ ไม่เสียเวลามาถามเลย ลุยยาวตั้งแต่ต้นยันจบม้วนเดียว แล้วท่านก็เข้าพระนิพพาน ก็ต้องบอกว่าเป็นบุญของโลกที่มีพระอรหันต์ไปพระนิพพานตั้งแต่แรก ๆ ขณะเดียวกันก็เป็นแบบอย่างที่คนอื่นจะได้ดูปฏิปทาของท่านด้วย

ไม่ห่วงอาลัยที่อยู่ มักน้อย สันโดษ ไม่ติดข้องด้วยตระกูล บิณฑบาตจากบ้านนี้ รุ่งขึ้นก็อีกหมู่บ้านหนึ่ง รุ่งขึ้นก็อีกหมู่บ้านหนึ่ง ไม่อยู่ซ้ำที่ พักโคนไม้ต้นนี้ คืนถัดไปก็ต้นไม้อีกต้นหนึ่ง คืนถัดไปก็อีกต้นหนึ่ง

ฉะนั้น..สิ่งที่ท่านทำ ตรงกับหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกประการเลย ที่ว่าปฏิบัติไปแล้วต้องประกอบด้วย อัปปิจฉตา เป็นผู้มักน้อย สันตุฏฐิตา เป็นผู้สันโดษ สัลเลขตา เป็นผู้ตั้งหน้าขัดเกลากาย วาจา ใจของตน ปวิเวกตา หลีกออกจากหมู่ ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ

จะเห็นว่าท่านเองทำตรงหลักการทุกอย่าง ทั้งที่พระพุทธเจ้าท่านยังไม่ได้บัญญัติหลักธรรมทั้งหลายเหล่านี้ในช่วงนั้น บาลีบอกว่าพอท่านนิพพาน พระพุทธเจ้าเสด็จไปทำการฌาปนกิจให้ หายากนะ..เสร็จแล้วก็ก่อสถูปบรรจุอัฐิเอาไว้ให้ ถ้านึกถึงพระอรหันต์ที่ไปพระนิพพานเป็นองค์แรกในพระพุทธศาสนาของเรายุคนี้ ต้องนึกถึงพระนาลกเถระที่เป็นหลานของอสิตดาบสหรือกาฬเทวิลดาบส"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2014 เมื่อ 17:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #100  
เก่า 02-02-2014, 12:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,125
ได้รับอนุโมทนา 4,405,129 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เก็บตกเดือนมกราคมปี ๕๗ หมดแล้วค่ะ

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:13



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว