กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 21-05-2009, 11:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default ว่าด้วยเรื่องปัญญา

คนที่รู้ข้อธรรม รู้หลักการปฏิบัติแต่ไม่สามารถนำมาใช้จริงให้เกิดผลได้ โบราณเขาเรียกว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด

ปัญญานั้นมีสามระดับ สุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้สั่งสม จินตมยปัญญาเอามาขบคิดแล้วเกิดความรู้ความเข้าใจขึ้น แต่ก็ยังไม่ใช่ภาวนามยปัญญา ที่เอาไปใช้งานจริงได้

ประสบการณ์มีทั้งเรียนรู้ด้วยตนเองและก็เรียนลัด เรียนรู้ด้วยตนเองก็คือพบมาด้วยตนเอง ถึงเวลาแล้วแก้ไขอย่างไรให้หลุดพ้นไปได้ ก็นำไปบอกกล่าวสั่งสอนตักเตือนคนอื่นเขาต่อ เรียนลัดก็คือการที่เราศึกษาจากผู้อื่น อย่างเช่นศึกษาจากตำรา จากหนังสือที่เขาเขียนมา

หนังสือแต่ละเล่มกว่าคนเขียนจะเขียนออกมาได้ บางทีเป็นประสบการณ์แทบทั้งชีวิตของเขา เราเสียเวลาอ่านชั่วโมงสองชั่วโมงหมดเล่ม เราก็รู้เท่าเขาที่ลำบากมาหลายสิบปี แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์เดียวกันขึ้น เราก็สามารถนำไปใช้งานได้เลย

ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือการเข้าหาผู้ใหญ่ การเข้าหานักปราชญ์ มีการสนทนาธรรมกันตามวาระ พูดคุยกันตามวาระที่เรียกว่า ธัมมัสสากัจฉา ท่านคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ไปเรื่อย เราก็กำหนดจดจำเอาไว้ ศึกษาเรียนรู้เอาไว้ ถึงเวลาเกิดขึ้นจะได้ใช้แก้ไขทัน พระพุทธเจ้าจึงได้กล่าวว่า กาเลนะ ธัมมัสสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง การสนทนาธรรมตามวาระอันควร จัดว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง

วิชาโลกเรียนเท่าไรไม่รู้จบ แต่วิชาธรรมถ้าเราเรียนและปฏิบัติจะจบได้ง่าย ทางโลกเหมือนกับต้นธารออกทะเล มีแต่กว้างไปเรื่อย ๆ แต่ทางธรรมเป็นการทวนจากทะเลมาหาต้นน้ำ จะแคบลงเรื่อย ๆ ท้ายสุดก็สิ้นสุดลงจนได้ เราเรียนวิชาทางโลกจริง ๆ ก็คือเพื่อช่วยประกอบอาชีพ เพื่อช่วยประกอบการทำมาหากิน แต่การเรียนรู้ทางธรรม เพื่อเอาตัวรอดจากวัฏสงสารซึ่งน่ากลัวมาก ๆ

ปัญญาสาม (สุตตะ จินตะ ภาวนา) ที่ว่าไปเมื่อครู่เป็นปัญญาอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งก็เป็นปัญญาเหมือนกัน เริ่มจากสหชาติกปัญญา เป็นปัญญาที่มีมาพร้อมกับการเกิด จะเรียกว่าสัญชาตญาณก็ได้ ความรู้ที่สั่งสมข้ามชาติข้ามภพมาก็ได้ อย่างน้อยก็มีปัญญารู้จักเอาตัวรอดจากภัยต่าง ๆ รู้จักกิน รู้จักนอน รู้จักสืบพันธุ์

อย่างที่สองเรียกว่า ปาริหาริกปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการศึกษาและสั่งสมเอา ค่อย ๆ เกิดเป็นประสบการณ์ชีวิตและนำไปถ่ายทอดให้คนอื่นต่อได้ หรือว่าเอาไว้รักษาตนเองให้อยู่รอดในสังคมนี้ได้ แม้อยู่อย่างไม่มีความสุขมาก ก็อยู่ในสังคมได้แบบไม่ลำบากมากนัก

อย่างสุดท้ายเรียกว่า เนปักกะปัญญา เป็นปัญญาที่สอนให้เราเอาตัวรอดจากวัฏสงสาร จากทะเลทุกข์ ถ้าปัญญาอย่างสุดท้ายนี้ เราเรียนรู้ได้ ศึกษาได้ ถ้าสามารถทำได้ก็จะจบ แต่ปัญญาสองประการแรกเรียนไปเท่าไรก็ไม่จบ เรื่องของธรรมะ บางทีหมวดเดียวกัน พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้เป็นสิบ ๆ อย่าง

ส่วนใหญ่ของพวกเราแล้ว เป็นสุตตะมยปัญญา ไม่ค่อยจะจินตามยปัญญาเพราะขี้เกียจคิดกัน เหมือนกับอ้าปากรอ รอคนอื่นป้อนข้าวให้กิน พอไม่ป้อนก็หิวไส้กิ่ว.. หากินเองไม่เป็น ต้องพยายามหาให้เป็น จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลามาป้อนกันมาก

เทศน์ที่บ้านอนุสาวรีย์
๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-08-2013 เมื่อ 11:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:35



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว