|
ใต้ฟ้าอิระวดี การท่องไปในเมืองพม่า โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
|||
|
|||
ใต้ฟ้าอิระวดี ตอนที่ ๘
ตื่นขึ้นมาสรงน้ำตีสี่ ทำวัตรเช้าตีห้า อุทิศส่วนกุศลให้แก่เหล่าเทวดาและบรรดาเจ้าที่ ซึ่งมาโมทนาบุญกันแน่นขนัด รอจนสว่างดีแล้วจึงลงไปเดินดูรอบวัด มีศาลาและกุฏิผุโทรมอยู่หลายหลัง อายุของวัดตกสมัยปลายอยุธยาหรือต้นรัตนโกสินทร์เห็นจะได้ เสนาสนะทั้งหลายจึงทรุดโทรม ขนาดปลวกกินโบสถ์ทั้งที่ผนังเป็นปูนแท้ ๆ..!
รอบบริเวณเป็นบ้านไทยลาวทั้งหมด ๖ หมู่บ้าน คือ บ้านสองแคว บ้านหนองบัว บ้านใหม่ บ้านสามพระยา บ้านป่าหวาย และ บ้านป่าลาน ชาวบ้านพูดภาษาลาวเป็นพื้น น่าเสียดายที่บ้านสองแควและบ้านป่าลานกลายเป็นบ้านชองนาคัวะและบ้านปาตะแลของพม่าไปแล้ว เนื่องจากขาดพระที่เป็นลูกหลานชาวบ้านอยู่อย่างต่อเนื่อง เมื่อทางการส่งพระพม่าเข้ามาอยู่แทน เลยกลายเป็นพม่าไปหมด... การแปรรูปไม้ในวัดหนองบัว ในวัดมีท่อนซุงนับเป็นร้อย ๆ ท่อน มีการตั้งโรงเลื่อยแปรรูปกันในวัดนั่นเอง ท่านนาวินบอกว่า ทางการเปิดป่าให้ชาวบ้านตัดไม้มาทำบ้านเรือนได้ ให้บ้านละ ๓ - ๔ ต้น ห้ามซื้อขายเด็ดขาด และให้รวมกันเพื่อแปรรูปไม้ ป้องกันการลักลอบนำไปขาย จึงต้องมารวมกันแปรรูปในวัด จากจำนวนไม้ที่เห็น เลื่อยกันเป็นปีก็ยังไม่หมด..! ญาติโยมมาถวายอาหารเช้ากันมาก ต่างบ่นอัศจรรย์ว่ามากันได้อย่างไร ตอนสามทุ่มยังไม่เห็นมีใครมา พอตีห้าเสียงทำวัตรเช้าดังมาซะแล้ว อาหารที่ถวายออกไปทางพม่าปนลาว มีปลาเป็นส่วนใหญ่ อยู่ใกล้น้ำก็ต้องกินปลาเป็นธรรมดา นั่งรถมาระบมไปทั้งตัว ฉันเสร็จมันทำท่าจะหลับซะให้ได้ ต้องฝืนใจนั่งคุยกับโยมกันเสียมารยาท... ท่านพรนั่งลำดับญาติกับญาติโยมที่มาเยี่ยม กว่าจะรู้ว่าลูกเต้าเหล่าใคร ต้องซักประวัติย้อนหลังกันหลายตลบ ส่วนท่านนาวินแจกจ่ายเงินทองที่มีคนฝากกันมาแก่ญาติของเขา อาตมาได้โอกาส หลบไปซักผ้าผ่อนที่เต็มไปด้วยฝุ่น ห้องน้ำนี้เป็นของใหม่ที่ท่านนาวินสร้างขึ้นด้วยเงินสนับสนุนของอาตมา รวมทั้งหมด ๕ ห้องด้วยกัน แต่กระนั้นก็ยังต้องสร้างห้องน้ำรวมให้เขาตามความเคยชิน... สร้างห้องน้ำเดี่ยวให้เป็นอย่างดี แต่ญาติโยมไม่ชอบเพราะไม่เคยชิน..! ทั้งพระทั้งฆราวาสของพม่า ถนัดกับการอาบน้ำในห้องน้ำรวม ใครขืนปิดประตูอาบอยู่คนเดียว มีหวังโดนพวกทุบประตูประท้วง ซ้ำยังมองหน้าด้วยสายตาแปลก ๆ แบบไม่เคยพบไม่เคยเห็น “ผมมาทำห้องน้ำเดี่ยว เขาบ่นกันใหญ่ เลยต้องตามใจด้วยการทำห้องรวมให้ ขนาดนั้นเขายังบ่นว่าสิ้นเปลือง ทำไปทำไมทีละห้าหกห้อง...” ท่านนาวินว่า... หลังเพลปล่อยให้ท่านนาวินสั่งงานพระเณรเรียบร้อยแล้ว อาตมา ท่านนาวิน ท่านพร ก็ลาญาติโยมออกเดินทาง โปไลไม่ได้ไปด้วย คงมีแต่เจ้าโตน้องชายของท่านนาวินไปแทน ลุงทองแดงมัคคนายกเอาเรือหางยาวไปส่งที่ฝั่งเมืองจะอีน เห็นเรือเมล์ที่วิ่งระหว่างเมืองจะอีนกับมะละแหม่ง กำลังรับคนรับของขึ้นเรือจนแน่นเอี๊ยด ลำโตกว่าเรือเขียวเรือแดงของเราสมัยก่อนมาก...
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2010 เมื่อ 14:36 |
สมาชิก 114 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
|||
|
|||
พวกเราตรงไปยังวัดปัตตะเมีย (วัดมณี) สองข้างทางเป็นบ้านเรือนแบบเก่า มีร้านขายพลอยอยู่หลายร้าน ขึ้นไปกราบปฏิสันถารกับครูบาญาณ เจ้าอาวาสวัดมณี ท่านรู้จักอาตมาในนามอาจารย์ของท่านชาติชาย อุตส่าห์แนะนำเส้นทางการท่องเที่ยวให้ พร้อมกับอวยพร หื้อไปซำบายเน้อ อยู่หื้อมีไซ ไปหื้อมีโซค..
กราบลาครูบาญาณ ข้ามน้ำมาฝั่งชองนาคัวะ เรือลำนิดเดียวมันยัดคนลงไปเป็นสิบ จักรยาน ๒ คัน ข้าวสาร ๕ - ๖ กระสอบ แถมพระอีก ๓ รูป ยังดีที่พระไม่ต้องเสียค่าโดยสาร ข้ามมาขึ้นรถสองแถวที่ข้าวของล้นขึ้นไปบนหลังคา กระนั้นยังวิ่งรับคนรับของไปตลอดทาง รถถึงจะเก่าแต่มีอินเตอร์คอมข้างใน ดีกว่าเมืองไทยที่มีแต่อินตะโกน รถเรือของพม่าเขาบรรทุกกันแบบนี้ทั้งนั้น..! ผ่านบ้านตองกะเล บ้านจันตอ บ้านไลกะไม บ้านจูนหยั่ว คนขึ้นจนรถหน้าเชิดท้ายติดดิน ต้องค่อย ๆ คลานไปช้า ๆ พอดีกับโรงเรียนเลิก เด็ก ๆ เต็มไปหมด ผู้หญิงนุ่งผ้าถุง ผู้ชายนุ่งโสร่ง ใช้สีเขียวเหมือน ๆ กัน ส่วนเสื้อไม่บังคับแบบ ขอให้เป็นสีขาวก็ใช้ได้ ครูนุ่งสีเขียวเหมือนนักเรียน ชาวบ้านให้เกียรติครูมาก รถจะแน่นขนาดไหน ถ้าครูขึ้นมาจะมีคนลุกให้ครูนั่ง ตัวเองไปห้อยโหนโจนทะยานแทน รถม้า เกวียน และจักรยานเยอะแยะไปหมด... ตะกายขึ้นเขาเจ็ดโค้งแล้วดิ่งมาลงตัวอำเภอมุด่ง เจ้าประคุณเถอะ...มันชันลิบลิ่ว แถมโค้งแต่ละโค้ง มันโค้งชนิดม้วนกลับหลังเลย..! เมื่อคืนมามืด ๆ มองอะไรไม่เห็น มากลางวันชัด ๆ แบบนี้ เขารัง หรือ เขาพับผ้าของเรา เห็นทีจะกินเขายากอยู่เหมือนกัน นับเข้าจริง ๆ มีตั้ง ๑๙ โค้ง แสดงว่าเขานับเฉพาะโค้งใหญ่ชนิดม้วนเป็นเลขแปดเท่านั้น..! ระยะทางแค่ ๒๐ ไมล์ รถมันคลานซะชั่วโมงครึ่ง ควักย่ามจ่ายค่ารถไป ๓๘๐ จั๊ต อาตมากับท่านนาวิน นั่งข้างหน้าเขาคิดคนละ ๑๐๐ จั๊ต ท่านพรกับเจ้าโตนั่งหลัง เขาคิดคนละ ๙๐ จั๊ต ของพี่ไทยเราเก็บเท่ากันทั้งข้างหน้าข้างหลัง (มีบางรายเก็บข้างหน้าแพงกว่าเพราะมีแอร์) จากนั้นย่ำต๊อกผ่านตัวตลาดที่ค่อนข้างจอแจไปยังบ้านของ โกไล พี่ชายของท่านนาวิน... บ้านของโกไลเป็นร้านทำทอง มีช่างฝีมือนั่งทำทองรูปพรรณอยู่เกือบสิบราย มีคนนำทองมาขายตลอดเวลา ราคาทองบาทละ ๔๙,๐๐๐ จั๊ต อาตมาถามว่า ถ้าเอาคทาศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อฤๅษีมาหุ้มทองทั้งอันแล้วแกะลาย ต้องใช้ทองเท่าไรจึงจะพอ โกไลกะเอาจากขนาดที่ประมาณให้ แล้วบอกว่า ๒ บาท แบบนี้ก็สบายหน่อย เพราะอาตมามีแต่ทองแท่งละ ๕ บาท..! พี่ชายของท่านนาวินคนนี้ ระลึกชาติย้อนหลังได้ ๓ ชาติ แกเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดเป็นคนทุกชาติ สามชาติก่อน ตายก่อนอายุ ๒๐ ทุกที พ่อแม่พี่น้องของชาติก่อนก็ตามพบกันหมด มาชาตินี้รับปากว่าจะอยู่ช่วยเลี้ยงดูพ่อแม่ เลยอยู่มาจนอายุ ๔๒ เข้าไปแล้ว คนที่ตายจากคนแล้วเกิดเป็นคนทันที มักจะระลึกชาติได้แบบนี้ทุกคนไป...
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2010 เมื่อ 17:05 |
สมาชิก 122 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
|||
|
|||
พระเณรวัดเจ้าไวกำลังทำงาน เดินจากบ้านโกไลมายังวัดเจ้าไว (หินล้อม) มากราบท่านอาจารย์ใหญ่ธัมมะเสนะ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านจันทิมา ท่านเป็นรองเจ้าคณะรัฐมอญด้วย เทียบแล้วคงเท่ากับรองเจ้าคณะภาคของไทย กราบขออนุญาตพักที่นี่ เพื่อรอโยมที่ไปหารถให้เดินทางไปไหว้พระ ท่านแนะนำว่าควรจะมีโยมไปด้วย เพื่อจะได้เหมือน ๆ คนอื่นเขา... ท่านอาจารย์ใหญ่ให้พวกเราพักในโบสถ์ สังเกตมาหลายที่แล้วว่า ทางพม่าไม่ให้ความสำคัญกับโบสถ์เลย มักใช้เป็นที่พักกันซะทั้งนั้น มีหิ้งพระตั้งพระองค์เล็ก ๆ หน้าตักสัก ๕ นิ้ว เอาไว้สำหรับกราบไหว้เวลาทำสังฆกรรม พระประธานองค์ใหญ่มักสร้างเอาไว้บนศาลารับแขก ท่านนาวินให้คำจำกัดความว่า เอาไว้อวดแขก โบสถ์หลังนี้สร้างมาตั้งแต่ปี ๑๙๕๐ อายุมากกว่าอาตมาตั้งหลายปี เก่าแก่คร่ำคร่าเต็มที สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ตั้งอยู่บนตอม่อปูนเก่า ๆ... คะหยิ่นจี เด็กวัดที่ท่านอาจารย์ใหญ่ให้มาคอยรับใช้ อยู่ ๆ ก็ล้มตึงชักตาตั้งไปเฉย ๆ..! ท่านนาวินวิ่งไปตามคนมาช่วย อาตมาจับตัวดู มันเกร็งแน่นแบบคนเป็นตะคริว จึงว่าคาถา นะโมพุทธายะ เป่าจากหัวลงไปทางเท้า มันหายเกร็งลุกพรวดขึ้นทำท่าจะวิ่ง อาตมาล็อกคอเอาไว้ ว่าคาถา ภะสัมสัมวิสะเทภะ ตบกระหม่อมเปรี้ยงเดียวรู้สึกตัวทันที..! พระ เณร เด็กวัด วิ่งกรูกันตามท่านนาวินมา พอเห็นเหตุการณ์ปกติ เลยยืนงงกันหมด ปกติแล้วพอชักขึ้นมา มันจะทำร้ายคนอื่น ท่านอาจารย์ใหญ่สงสาร จึงให้มาอยู่วัด จะได้ไม่ทำความเดือดร้อนให้กับครอบครัวตัวเอง..! ท่านนาวินบอก อ้อ...แล้วคุณก็เผ่นโดยไม่บอกผมเลย..! คะหยิ่นจีควักยาออกมากิน มันรู้ตัวขนาดพกยาติดไว้ประจำ แต่ปุ๊บปั๊บเป็นขึ้นมา ยาก็ช่วยไม่ได้ พวกเขาสงสัยกันใหญ่ว่าทำไมคราวนี้มันหายง่ายนัก..! อาตมาตัดบทว่า เห็นมันชักเลยล็อกเอาไว้จนหายเป็นปกติ ทุกคนทำท่าไม่เชื่อ แต่เห็นอาตมาไม่พูดเลยต้องกลับกันไปแบบงง ๆ ถ้ามันเป็นอาการทางสมองคงจะกำเริบอีก แต่ถ้าเป็นเพราะไสยศาสตร์ รับรองว่าหายขาดแน่นอน ขืนบอกพวกเขาไปแบบนี้ มีหวังต้องมาเป็นหมอเถื่อนรักษาโรคพิลึกพิลั่น ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี..!
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2010 เมื่อ 17:05 |
สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
|||
|
|||
ไปสรงน้ำที่ห้องน้ำรวมหลังโบสถ์ เป็นบ่อโพงแบบเก่า ต่อท่อให้น้ำไหลเข้าไปในห้องอาบ เจ้าโตทำหน้าที่ตักน้ำเทเข้าไปให้ น้ำบ่อเย็นเจี๊ยบชื่นใจ ฉวยโอกาสซักผ้าไปด้วย เสร็จแล้วตากในโบสถ์นั่นแหละ ถ้าเป็นวัดท่าซุงมีหวังโดนหลวงพ่อฟาดกบาลแยก..! แต่ที่นี่เขามีราวตากผ้าอยู่ตั้งสามเส้นแน่ะ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม..
ท่านอาจารย์ใหญ่กรุณามาสนทนาด้วย ท่านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เพราะเรียนแค่ชั้นป.๒ ของพม่าก็มาบวชซะก่อน ท่านนาวินจึงต้องเป็นล่ามคอยแปลให้ฟัง ท่านประทับใจในหลวงของเรามาก ยกย่องว่าเป็น ธรรมราชา บอกว่าไม่เพียงแต่คนไทยในประเทศ ที่พร้อมใจกันทำบุญถวายเป็นพระราชกุศลเท่านั้น คนในอีกหลาย ๆ ประเทศ ก็อธิษฐานขอให้พระองค์ทรงพระเจริญเช่นกัน... ในหลวงอันเป็นที่รักยิ่งทั้งของชาวไทยและชาวต่างประเทศ เรื่องของนักบวชหากินกับชาวบ้านทางพม่าก็มีมาก ทั้งบอกใบ้ให้หวย ทั้งเรี่ยไรเอาไปกินไปใช้เอง ทั้งนี้เกิดจากตัวชาวบ้านเองด้วย สอนธรรมะให้มักจะแสลงหู ทีวัดไหนบอกใบ้ให้หวยละแห่กันไปเต็มวัด..! เกี่ยวกับเศรษฐกิจของไทย ท่านไม่ทราบเหมือนกันว่ามันล้มไปได้อย่างไร ทั้งที่เห็นว่าเฟื่องฟูอยู่ดี ๆ อาตมากราบเรียนไปตามตรงว่า เกิดจากนักการเมืองโกงกินกันแบบไม่บันยะบันยัง และการหวังรวยทางลัด กู้เงินมาลงทุนที่ไม่ก่อรายได้ สรุปว่าขาดสันโดษ ไม่รู้จักพออย่างที่พระพุทธเจ้าสอน ท่านชอบใจว่าสรุปได้ตรงประเด็นดีมาก..! กราบเรียนท่านว่า มาเมืองพม่ารู้สึกคุ้นเคยเหมือนกับมาบ้านของตัวเอง อารมณ์ทรงตัวแนบแน่นโดยไม่ต้องภาวนา ปกติเห็นใครทำอะไรช้าไม่ได้ แต่มาที่นี่แล้วใจมันสบาย พลอยทำอะไรช้าลงไปด้วย ท่านบอกว่า คงเป็นเพราะเคยเกิดที่นี่มาหลายชาติก็เป็นได้..! คุยกันจนตีสองกว่า ท่านทำท่าไม่ไหวขอตัวไปจำวัด ขณะที่อาตมาอารมณ์กำลังทรงตัวดีอยู่ทีเดียว..! คลิกเพื่ออ่านตอนต่อไป
__________________
ไม่ติดในสุข ไม่กังวลในทุกข์ วางเฉยในร่างกายนี้ ปล่อยวางภาระทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2010 เมื่อ 17:05 |
สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ คิมหันต์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|