#1
|
|||
|
|||
วิธีแก้ปากเสีย
หลวงพ่อ (หลวงพ่อฤๅษีหรือพระราชพรหมยานมหาเถระ) มาสอนวิธีแก้ปากเสีย (วจีกรรม ๔) โดยให้หลักไว้ดังนี้
โรคปากเสีย คือ โรคชอบต่อกรรม เมื่อถูกกระทบทางทวารทั้ง ๖ (ประตูทั้ง ๖ , อายตนะ ๖) (ประตูทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ อายตนะสัมผัส ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่มากระทบผิวกายและธรรมารมณ์) เพราะอุเบกขาหรือวางเฉยไม่เป็น เบรกจึงแตกอยู่เป็นปกติ มีผลให้ทำกรรมบถ ๑๐ หมวดวาจา ๔ ไม่เต็มสักที (กรรมบถ ๑๐ หมวดวาจา ๔ มี ไม่พูดโกหก , ไม่พูดคำหยาบ , ไม่พูดส่อเสียดหรือพูดนินทาผู้อื่น และไม่พูดเรื่องไร้สาระไม่เกิดประโยชน์) วิธีปฏิบัติ ๑) พยายามคิดเสียก่อนจึงค่อยพูด ๒) พยายามคิดอยู่ตลอดเวลาที่ฟังคนอื่นเขาพูด ๓) พยายามดึงจิตอย่าไปไหวตามคำพูดของผู้อื่น (โดยฟังอย่างเดียว ห้ามปรุงแต่งธรรมนั้น ๆ ) ๔) พยายามฟังแล้วกรองเอาสาระจากคำพูดนั้น ๆ ของเขา ว่ามีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ (ด้วยปัญญา) ๕) เวลาคนอื่นเขาพูด จะยาวหรือสั้น ปล่อยเขาพูดให้จบก่อน เราใช้ความคิดฟังไปแล้วจะรู้ว่า คำพูดนั้น ๆ มีสาระหรือไม่มีสาระ ควรพูดหรือไม่ควรพูดต่อ หรือควรวาง ควรตัด ก็รู้ได้ด้วยความคิด ไม่ใช่ประโยคไหนมากระทบหูแล้ว กูอยากจะพูดก็ว่าไปเรื่อย ๆ โดยไร้ความคิดพิจารณา ๖) หากทำตาม ๕ ข้อแรกแล้ว คิดอยากพูดบ้าง ก็ให้พิจารณาว่า พูดแล้วเป็นคุณหรือโทษ มีสาระหรือไม่มีสาระ ยิ่งเป็นสาระธรรมในพระพุทธศาสนายิ่งสำคัญ จะต้องมั่นใจเสียก่อนว่าเป็นความจริง ไม่ผิดศีล ไม่ผิดพระวินัย ไม่ผิดพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ผิดก็พูดได้ สรุปว่าต้อง นิสสัมมะ กรณัง เสยโย หรือใคร่ครวญด้วยปัญญาเสียก่อนจึงค่อยพูด เพราะแม้ว่าจะเป็นจริงแต่พูดแล้วคนฟังไม่เชื่อไม่ศรัทธา ก็ไร้ประโยชน์ที่จะพูด แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ฅนเมืองพริบพรี : 01-10-2009 เมื่อ 11:55 |
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
|||
|
|||
สมเด็จองค์ปฐมทรงพระเมตตาแนะนำต่อและสั่งสอนต่อ มีความสำคัญโดยย่อดังนี้
๑) "วาจาเป็นเหตุให้เกิดศัตรู และสร้างศัตรู ผู้รู้พึงกล่าววาจาด้วยความตริตรองเสียก่อน เพื่อยังประโยชน์ให้แก่ตนเอง แต่ผู้ไร้สติสัมปชัญญะขาดปัญญาจักกล่าววาจาให้เกิดโทษแก่ตนเองแลผู้อื่นอยู่เนือง ๆ เพราะฉะนั้นให้รู้สำรวมวาจาให้มาก ๆ โดยการพิจารณาเสียก่อนจึงพูด" ๒) "กำลังใจของคนไม่เท่ากัน จงอย่าไปตำหนิใคร เพราะทำไปหรือตำหนิไปก็รังแต่จักเพิ่มกิเลสขึ้นในจิต และสร้างศัตรูให้เกิดขึ้นแก่จิตของผู้อื่น ดังนั้นจึงควรสงบถ้อยคำไว้เป็นดีที่สุด แม้จักกล่าวว่า ด้วยความหวังดีก็ตาม มันก็เป็นเนื่องด้วยกิเลสอยู่ดี" ๓) "สังขารุเปกขาญาณ เป็นธรรมเบื้องสูงของผู้ถึงจุดสุดยอดแห่งมรรคผลนิพพาน ขอให้พวกเจ้าหมั่นซ้อมหมั่นปฏิบัติเข้าไว้ วางอุเบกขาให้ถูกลักษณะของมัชฌิมาปฏิปทา โดยอาศัยศีลเป็นพื้นฐานที่ตั้งของสมาธิและปัญญา ตัวสังขารุเปกขาญาณก็จักเกิดขึ้นได้ไม่ยาก หมั่นอัตตนา โจทยัตตานัง สอบจิต สอบกาย สอบวาจาเข้าไว้ว่า คิดเช่นนี้ ทำเช่นนี้ พูดเช่นนี้ มันผิดหรือถูกในหลักธรรมที่ตถาคตได้สั่งสอนมา พิจารณาให้มาก ๆ ถ้าผิดก็จงอย่าทำเป็นอันขาด ถ้าถูกก็จงรีบทำด้วยความมั่นใจ ขยันพากเพียรเข้าไว้ มรรคผลที่ได้จากการกระทำของตนเองนั้นเป็นของแท้ ดีกว่าฟังคนอื่นพูดหรือเล่าว่า เขาทำเช่นนั้นได้ผลเช่นนี้" แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ฅนเมืองพริบพรี : 01-10-2009 เมื่อ 12:15 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
|||
|
|||
๔) "มาเถิดเจ้า เข้าสู่หลักปฏิบัติธรรม อันเข้าสู่โลกุตรธรรมเบื้องสูงอย่างแท้จริง ตั้งใจไปเลยทิ้งทวนของชีวิตเสี้ยวที่เหลือนี้ให้แก่พระธรรม ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป จงหมั่นคุมสติกำหนดรู้กริยาของกาย วาจา ใจ ให้แน่วแน่มั่นคง อานาปานุสสติกับคำภาวนา อย่าทิ้งเป็นอันขาด ใครจักพูดอะไร ขอให้มีสติฟังให้ดี ๆ พิจารณาเข้าอิงพระธรรมคำสั่งสอน กลั่นกรองหาสาระให้ได้ แล้วเวลาที่จักพูด ก็จงคิดพิจารณาให้ดีว่ามีสาระหรือไม่ ถ้าไม่มีจงอย่าพูด อย่าทำเช่นนั้นเป็นอันขาด"
(หลวงปู่บุดดา) "ไอ้คนเรานี้มันก็แปลก ชอบเอาลมปากเผากัน เอาไฟกิเลส โมหะ โทสะ ราคะเผากัน เผาตนเองเผากายเผาใจตนเองยังไม่พอ ชอบเผื่อแผ่ไปเผาชาวบ้านชาวช่องเขาด้วย เผาจิตเผากายของเขามันสนุกหรืออย่างไร วิสัยชาวโลก ชอบนินทา สรรเสริญ ไฟร้อน ไฟเย็น ก็เผาได้เผาดี" ที่มา : หนังสือ "ระลึกถึงความดีของหลวงพ่อในอดีต" เล่ม ๒ หน้า ๑๗๗ - ๑๘๐ หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง (พระราชพรหมยานมหาเถระ) รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 02-11-2012 เมื่อ 17:03 |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|