กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #81  
เก่า 30-06-2014, 17:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “เด็กยุคนี้มีใครกัดปลากัดกันบ้างไหม ? เด็กสมัยก่อนถ้าเลี้ยงปลากัด จะมีความสามารถในการดูแหล่งน้ำเพื่อหาแหล่งยุงหรือไรน้ำ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีอะไรเลี้ยงปลากัด แต่สมัยนี้เขาเล่นอาหารเม็ดยันเตเลย แต่อาหารเม็ดดีตรงที่ว่าสารอาหารครบถ้วน ทำให้ปลากัดสีเข้มมาก ถ้าเด็กบ้านนอกเขาจะแยกปลากัดเป็น ๓ ประเภท จะมีลูกป่า ลูกหม้อ แล้วก็ลูกสังกะสี ปลากัดลูกป่านี่ไปหาช้อนเอาตามแหล่งน้ำทั่ว ๆ ไป ตัวก็ไม่ใหญ่มาก ต้องบอกว่าใน ๓ ประเภท ปลากัดลูกป่าจะตัวเล็กที่สุด ส่วนปลากัดลูกหม้อเป็นปลาที่เขาเลี้ยงกันมาจนกระทั่งนับรุ่นไม่ถ้วน จะตัวใหญ่กว่าปลากัดลูกป่าเกือบ ๒ เท่า แล้วสีจะเข้มมาก แดงจัด เขียวจัด น้ำเงินจัด

ความที่เขาเลี้ยงในหม้อดินเขาเลยเรียกว่าปลากัดลูกหม้อ จนกระทั่งกลายเป็นสำนวนว่าใครก็ตามที่อยู่ในหน่วยงานไหนนาน ๆ ก็จะเรียกว่าเป็นลูกหม้อ ส่วนปลากัดลูกสังกะสีเป็นลูกผสมระหว่างลูกหม้อกับลูกป่า ถ้าหากว่าลูกหม้อใหญ่สักเบอร์ L ไอ้สังกะสีนี่จะเป็นเบอร์ M ส่วนลูกป่าจะเป็นเบอร์ S

ไอ้ที่กัดอึดที่สุดก็คือลูกหม้อ ปล่อยลงไปกัดกันเมื่อไรก็โน่น พระตีกลองเพลยังไม่เลิกเลย บางทีเด็ก ๆ ออกไปแข่งขันยิงนกตกปลา เล่นโยนหลุม ทอยกอง ตั้งเตกันจนเบื่อแล้ว กลับมาดูก็ยังกัดอยู่นั่นแหละ ต้องบอกว่าปลากัดลูกหม้ออึดที่สุดแล้วก็ทนที่สุด ฉะนั้น..คนไหนที่อยู่สังกัดในหน่วยงานนาน ๆ เขาถึงได้เรียกพวกลูกหม้อ เพราะอยู่ทน ไม่รู้จักไปสักที
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2014 เมื่อ 20:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #82  
เก่า 30-06-2014, 17:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แล้วปลากริมละครับ ?
ตอบ : ปลากริมนั้นมันอีกพันธุ์หนึ่งไม่ใช่ปลากัด ปลากริมนั้นเขาเรียกปลาจีน สวยอย่างเดียว ปล่อยลงไปกัดเมื่อไรก็ตาย เป็นลูกไล่ได้อย่างเดียว คือเวลาเลี้ยงปลากัดแล้วจะสอนให้ดุ เขาจะต้องมีไอ้ตัวที่ไม่ค่อยสู้ใครปล่อยลงไปให้ไล่กัด ดังนั้น..ใครก็ตามที่โดนคนอื่นเขารังแกอยู่ตลอด เขาจะเรียกว่าไอ้ลูกไล่ คือลงไปให้เขาไล่ฟัดอย่างเดียว แบบเดียวกับปลากัด

เรื่องของปลากัดนี่มีสำนวนเยอะ อย่างลูกหม้อก็มาจากเลี้ยงปลากัด ลูกไล่ก็มาจากเลี้ยงปลากัด ก่อหวอดนี่ก็ของปลากัดชัดเลย เพราะเวลาตัวเมียจะไข่ ตัวผู้จะพ่นฟองรวม ๆ กันเป็นก้อน เขาเรียกว่าหวอด ที่เขาบอกว่าเริ่มก่อหวอดแล้วก็คือเริ่มจะวางไข่แล้ว แต่ไอ้สถานการณ์การเมืองถ้าเขาบอกก่อหวอดแล้วก็คือจะหาเรื่องกันแล้ว

พอตัวเมียไข่แล้วตัวผู้ผสมเชื้อเสร็จ ก็จะคาบไข่ไปพ่นไว้ที่หวอด ไข่ก็จะอยู่ปริ่ม ๆ ผิวน้ำแล้วมีหวอดคลุมอยู่ จะได้ความอุ่นจากแดดพอดี ๆ พอถึงเวลาก็ออกเป็นตัว ตัวเล็กนิดเดียวแทบจะมองไม่รู้เรื่องหรอก เหมือนอย่างกับว่าเป็นจุดดำ ๆ แล้วมีขีดออกมาหน่อยเท่านั้นเอง แรก ๆ ก็ยังกินอะไรไม่ได้ ต้องเอารำโรยลงไปให้กินกันมุบมิบ ๆ พอเริ่มเป็นตัวเห็นชัดหน่อยก็เอาลูกไรให้กิน โตขึ้นมาพอกินลูกน้ำได้ก็เอาลูกน้ำให้กิน ปลาก็จะกินแต่ลูกน้ำตัวอ่อน ไม่กินไอ้โม่งเพราะจะเป็นยุงอยู่แล้ว ลูกน้ำไอ้โม่งตัวอย่างกับถั่วงอกเล็ก ๆ หัวแข็งโป๊กเลย..ขี้เกียจกิน

ส่วนใหญ่เด็กจะชอบปลากัดลูกป่า เพราะไปช้อนกันเองตื่นเต้นดี แล้วกัดกันเดี๋ยวเดียวก็รู้ผลแล้ว เหมือนอย่างกับว่าปลาลูกป่าเป็นปลานักเลง ถ้าอีกฝ่ายไม่สู้ก็ไม่รังแกซ้ำ แต่ปลาลูกหม้อนี่เป็นปลาหวงถิ่น ถึงเวลากัดกันตายไปข้างหนึ่ง กว่าจะแพ้ชนะแต่ละตัวนี่ล่อกันเยินไปตาม ๆ กัน ครีบขาด หางกุด ปากแหว่ง เกล็ดหลุดกระจายหมด บางทีกัดติดบิดกันอยู่ใต้น้ำเป็นนาที ไม่รู้ว่าอึดได้อย่างไรขนาดนั้น ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2014 เมื่อ 20:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #83  
เก่า 30-06-2014, 18:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนตอนที่ยังไม่ได้ไปเป็นทหาร อาตมาโดนเขาจองตัวเป็นลูกเขย สาวคนนั้นถ้าลมพัดแรง ๆ ก็ปลิวไปเลย ด้วยความที่เขาจองตัวเป็นลูกเขยหลายบ้านไปหน่อย เลือกไม่ถูกจึงไปบวชดีกว่า บวชไปสิบกว่าพรรษาแล้วแม่เขาเพิ่งพาตัวคนจองมาหา บอกเขาไปว่าคืนสัญญาได้นะ..ไม่ว่าหรอก"

ถาม : ไม่ชัด
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วเขามีแต่ลูกสาว ๒ - ๓ คน เสร็จแล้วเวลาไปหาหลวงพ่อวัดท่าซุงด้วยกัน คุยกันไปคุยกันมาก็ถูกอัธยาศัย บางทีก็ไปกินไปนอนเป็นลูกชายให้เขา คราวนี้บ้านโน้นบ้าง บ้านนี้บ้าง พวกน้องแบม จณิสตาสมัยนั้นขี้มูกราขี้ตากรัง เพราะคุณจิรา ลิ่วเฉลิมวงศ์เขาจะไปหาหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นประจำ

รายนั้นเรียกป้าไม่ได้ โกรธนะ..ต้องเรียกพี่อย่างเดียว อาตมาเรียกป้าเมื่อไรแกก็ให้เรียกพี่ทุกที ทำให้เห็นว่า คนเข้าวัดปฏิบัติธรรม ก็มีกำลังใจหลายระดับด้วยกัน อาตมาถือว่าเปิดเผย ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง ส่วนของเขาอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีในสังคมเขาพยายามปิด ๆ บัง ๆ แต่อย่างว่าแหละ..เขาอยู่ในวงสังคมอีกระดับหนึ่ง เขายอมลงมาคบเด็กกะโปโลอย่างอาตมา ก็ถือว่าเป็นความเมตตาอย่างสูงแล้ว ถ้าไม่ได้นั่งรับใช้อยู่ข้าง ๆ หลวงพ่อเขาคงไม่คุยด้วยหรอก แต่ว่าความที่สนิทกันมาก ก็เลยเห็นพวกลูก ๆ หลาน ๆ เขาก็เหมือนพี่น้องไปด้วย ตอนไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษี เขายังตามไปปฏิบัติธรรมตั้งหลายรอบ แล้วคราวนี้ไปโดนขนบุ้งเข้าก็เลยเข็ดไม่ไปอีก

เขาเป็นภูมิแพ้ บุ้งพอถึงเวลาหน้าที่จะทำดักแด้ ก็จะเอาขนตัวเองทำรัง บุ้งพวกนี้แสบมากเลย คือจริง ๆ แล้วขนบุ้งจะมีพิษอยู่ ถึงเวลาก็จะเอาขนมาสานเป็นรัง แล้วตัวกลายเป็นดักแด้อยู่ข้างใน พอเลิกใช้รังขนก็ปลิวว่อนไปหมด คุณจิราหายใจเข้าไปแล้วคอบวมขนาดหายใจไม่ออก ต้องรีบไปหาหมอ ตั้งแต่นั้นก็เลยเข็ด..ไม่ไปอีก

ก่อนหน้านี้พอวันอาทิตย์อาตมาก็จะขี่จักรยานไปบ้านเขา มีอยู่ ๓ - ๔ บ้าน วนไปบ้านโน้นบ้างบ้านนี้บ้าง ก็แปลกดีเหมือนกันนะ ส่วนใหญ่เขามีแต่ลูกสาว มีอยู่รายหนึ่งชื่อเจ้าตุ๊ก สูงเกือบเท่าอาตมาเลย เด็กผู้หญิงสูง ๑๗๐ เซนติเมตร สมัยนั้นก็เป็นตัวประหลาดนะสิ แกก็คงไม่รู้ว่าจะเดินกับใครมาเดินกับอาตมาค่อยยังชั่วหน่อย เดินกับคนอื่นต้องก้มมองเขา เวลานัดกันที่ป้ายรถเมล์นี่แกมาหรือยังอาตมาจะเห็นแต่ไกลเลย ผู้หญิงสูง ๑๗๐ ดูสูงมาก ผู้ชายสูง ๑๗๐ เซนติเมตร รู้สึกว่าไม่สูงเท่าไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-07-2014 เมื่อ 14:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #84  
เก่า 30-06-2014, 18:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อปลายเดือนรับสังฆทานอยู่ที่หาดใหญ่ แม่ชียิ้นเขาพาคุณเคนนี่จากมาเลเซียมาหา คุณเคนนี่เขาตั้งบริษัทผลิตพวกเครื่องปรุง พวกซอส ซีอิ๊ว น้ำปลา ปรากฏว่ากิจการไม่ค่อยดีก็เลยพามา น่าเสียดายที่คุณเคนนี่แกพูดไทยไม่ได้เลย แกสาธุได้อย่างเดียว ไม่อย่างนั้นจะให้แกไปภาวนาคาถาเงินล้าน ท้ายสุดไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยให้ลูกแก้วไป เขาส่งข่าวมาบอกว่ากิจการดีขึ้น คนซื้อสินค้ามากขึ้น ก็ดีใจกับแกด้วย

จะมีวิธีไหนล่ะ ? น่าจะต้องเปิดเสียงให้ฟัง แล้วให้แกเลียนแบบตาม ไม่รู้ว่าจะสวดได้หรือเปล่า เพราะว่าภาษาอังกฤษก็ไม่มีคำตรง ออกเสียงเพี้ยน ๆ แต่ถ้าหากว่าเขาศรัทธาก็น่าจะมีผล เพียงแต่ว่ายังไม่เคยลอง น่าเสียดายว่าถ้าเป็นคนไทยแนะนำไปอย่างนั้นนี่อย่างไรก็รุ่งแน่ ๆ คราวนี้เขาเป็นจีนมาเลเซีย แล้วพูดได้แต่ภาษาแคะลึก ที่ขำที่สุดก็คือแม่ชียิ้น เขาบอกว่าอาตมาเป็นลูกจีนแต่พูดจีนไม่ได้แล้ว แกก็อธิบายไปเรื่อย พอเขาอธิบายเสร็จ อาตมาก็อธิบายต่อให้โยมคนไทยฟัง แม่ชีก็ว่าของแกไปเรื่อย แกลืมไปว่าคนที่แปลได้ทุกคำจะพูดไม่ได้เลยหรือ ? ดีเหมือนกัน..อาตมาไม่ต้องเหนื่อยเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-07-2014 เมื่อ 13:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #85  
เก่า 30-06-2014, 18:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถามเรื่องการตั้งศาล (ไม่ชัด)
ตอบ : เรื่องของศาลส่วนใหญ่เขาให้ตั้งวันพฤหัสบดี ข้างขึ้น เดือนคู่ แต่ให้เว้นเดือนแปดข้างแรมกับเดือนสิบเพราะอยู่ในช่วงเข้าพรรษา เชิญเทวดาจ้างก็ไม่มาหรอก เพราะเขาถือศีลอยู่ข้างบน

ถาม : ไม่ชัด
ตอบ : เขาไม่นิยมกันจ้ะ เอาตามที่โบราณเขานิยมดีกว่า จะได้ไม่มีคนเขาตำหนิได้ แล้วสมัยนี้ก็มั่วไปหมด รู้ไหมว่าศาลพระพรหมควรมีแห่งเดียว ก็คือที่พระพรหมเอราวัณ ที่อื่นไม่ควรมี การที่จะมีพระพรหมดูแลสถานที่สักแห่งหนึ่งไม่ใช่หาง่าย ๆ เท่าที่เจอมาก็มีเจ้าพ่อหลักเมืองกาญจนบุรีเป็นพรหม นอกนั้นก็เป็นเทวดา ขนาดเจ้าพ่อหลักเมืองรักษากรุงเทพฯ ถือว่าดูแลทั้งประเทศยังเป็นแค่เทวดาชั้นดาวดึงส์เลย ไปเจอเจ้าพ่อหลักเมืองของมาเลเซียเขาก็ดูแลทั้งประเทศ นั่นเป็นอินทกะของท่านท้าววิรูปักข์ ของเนปาลยิ่งหนักเข้าไปใหญ่เป็นเจ้าแม่ ผู้หญิงดุน่าดู เขามาชุดส่าหรีสวยพริ้งไปเลย ถ้าผู้หญิงสวยขนาดนี้จะส่งไปประกวดนางงามอะไรดีหนอ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2014 เมื่อ 20:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #86  
เก่า 30-06-2014, 18:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า “นึกถึงคุณยายคนหนึ่ง สมัยนั้นยังทำงานที่ซอยอ่อนนุช คุณยายแกจะทำพวกขนม พวกขนมใส่ไส้ ขนมตาล ขนมถ้วย ใส่กระจาดแล้วกระเดียดขาย คุณยายพูดเพราะมาก แล้วพูดเป็นธรรมชาติจริง ๆ พอสนิทสนมกันก็ถาม คุณยายเขาก็เล่าให้ฟังว่า เคยรับใช้อยู่ในวังเจ้านายมาก่อน อายุ ๓๐ กว่าดันมีคนไปขอ พ่อแม่ก็เห็นด้วยว่าลูกจะได้เป็นฝั่งเป็นฝา ก็เลยไปขอตัวคืนจากเจ้านาย ขอให้ลูกมาแต่งงาน เจ้านายก็อุตส่าห์ประทานเงินสินสอดมาให้ตั้ง ๒ ชั่ง

แต่ก็อย่างว่า พอแต่งงานไปมีลูกหลายคนก็เลี้ยงไม่ไหว ฐานะจึงแย่ คุณยายก็เลยต้องอาศัยฝีมือในวังทำขนมขาย แต่แกพูดเพราะได้เป็นธรรมชาติ กริยามารยาทเรียบร้อยจริง ๆ ดูแล้วอาตมาอายแทน “คุณเจ้าค่ะ คุณเจ้าขา” ตลอด ของอาตมาพูดแบบนั้นต้องดัดจริต ของยายแกเป็นธรรมชาติเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2014 เมื่อ 20:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #87  
เก่า 30-06-2014, 18:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเกิดลัคนาสถิตราศีตุลย์ บังคับให้ต้องยุติธรรม เขาบอกคนเกิดราศีตุลย์ไม่แน่ว่าจะเป็นคนยุติธรรม แต่ผู้ที่ลัคนาสถิตราศีตุลย์ ดวงเกิดบังคับว่าต้องเป็นคนยุติธรรม เลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ แล้วก็ดันไปเกิดเอาวันที่กลางวันกับกลางคืนยาวเท่ากันพอดีอีก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-11-2014 เมื่อ 04:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #88  
เก่า 01-07-2014, 08:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “คนจีนสมัยก่อนมาเมืองไทยแบบเสื่อผืนหมอนใบ บางคนเสื่อยังไม่มีเลย เพราะว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ต้องรวมเป็นค่าเรือค่าอาหารให้กับไต้ก๋ง ไม่มีสตางค์พอจะซื้อเสื่อซื้อหมอนก็นอนดาดฟ้าเรือไป บางรายต้องเอาเชือกผูกตัวเองติดกับราวไว้ กลัวคลื่นตีตกน้ำ ถ้ามาผิดจังหวะเจอคลื่นลมแรงบางทีก็เรือล่มทั้งลำ

คนรุ่นนั้นมาถึงอันดับแรกก็ต้องหางานให้ได้ก่อน ส่วนใหญ่จะกินอยู่กับกงสี คำว่ากงสีถ้าเปรียบกับของเราก็คือบริษัท คราวนี้พอมีที่กินที่อยู่ก็ประหยัดกินประหยัดใช้ จะทำงานด้วยความขยันขันแข็งและซื่อสัตย์มาก แล้วคนจีนมีส่วนที่คนอื่นไม่ค่อยมีคือความกตัญญู ใครช่วยเหลือตัวเองไว้จะจดจำแล้วก็คอยทดแทน

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า คนจีนไปอยู่ที่ไหนก็เจริญเพราะมีความกตัญญู ความกตัญญูแม้แต่พระพุทธเจ้าก็สรรเสริญว่า นิมิตตัง สาธุ รูปานัง กตัญญูกตเวทิตา ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี ท่านบอกว่าคนจีนไปอยู่ที่ไหนก็ลำบากไม่นาน เดี๋ยวก็ตั้งหลักได้ ถ้าดูอย่างบ้านเราก็รุ่นแรก ๆ ที่มา เดี๋ยวก็เป็นเถ้าแก่ เดี๋ยวก็เป็นเจ้าสัวกันหมดแล้ว คำว่าเจ้าสัวมาจากคำแต้จิ๋วว่า "จ่อซัว" คือ ฐานะมั่นคงเหมือนภูเขา แต่คนไทยเรียกเพี้ยนเป็นเจ้าสัว

คราวนี้พอรุ่นตัวเองประหยัดกินประหยัดใช้มา ก็เลยเข้มงวดกับลูก มีอยู่ครอบครัวหนึ่งดังมากเลย ถ้าเอ่ยชื่อตอนนี้ก็อ๋อทันที ลูกใช้เงินเป็นเบี้ยพ่อก็ดุเอา ลูกเขาก็บอกว่า “พ่อเป็นลูกคนจน พ่อต้องประหยัด แต่ผมเป็นลูกคนรวย พ่อเป็นเจ้าสัว ผมมีสิทธิ์ใช้” คนจีนเขาถึงมีคำคมหรือภาษิตอยู่ว่า "รุ่งเรืองขนาดไหนไปไม่เกิน ๓ รุ่น"

ถ้าหากว่ารุ่นปู่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาด้วยความสามารถ รุ่นพ่อไม่ลำบากเท่า อย่างเก่งก็ประคับประคองเอาไว้ มารุ่นลูกยิ่งสบายเข้าไปใหญ่ก็ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เลย ถ้าไม่ใช่บุญกุศลดีจริง ๆ ก็มักจะมาล่มสลายเอารุ่นลูกรุ่นหลานนี่แหละ เพราะว่าไม่เคยลำบาก รุ่นที่เคยลำบากมานี่เขาลำบากชนิดที่ต้องกินข้าวต้มกับก้อนกรวดคั่วน้ำเกลือ
"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2014 เมื่อ 13:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #89  
เก่า 01-07-2014, 08:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า “พวกเราที่อยู่เมืองไทยอุดมสมบูรณ์ ที่เขาบอกว่าพอเรือเข้าปากอ่าวเจ้าพระยา คนจีนเห็นต้นไม้เขียวชอุ่มไปหมดเขาก็บอกว่ารอดตายแล้ว บ้านเขาไม่มีอย่างนี้ ไม่มีกินจริง ๆ บ้านเราไม่มีอย่างไรนี่หัวไร่ชายนายังพอหาได้ ฉะนั้น..เขาลำบากมาก็ขวนขวายเต็มที่ ส่วนเราอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ก็ไปเรื่อยเปื่อย โดยเฉพาะว่าคนไทยเราไม่นิยมค้าขาย คนไทยเรามีภาษิตประจำใจว่า “สิบพ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง” ในเมื่อไม่นิยมค้าขาย นิยมแต่ส่งลูกรับราชการ หวังพึ่งใบบุญลูก แล้วจะมีสักกี่คนที่จะไปเป็นพระยาหรือเจ้าพระยาได้ ?

ก็เลยทำให้ครอบครัวคนไทยมาระยะหลังเหมือนกับว่า พอความเป็นใหญ่เป็นโตในหน้าที่การงานลดความสำคัญ มือที่กุมเศรษฐกิจกลายเป็นคนจีนหมด แล้วช่วงนั้นก็มีการบีบบังคับต้องเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลกันให้ยุ่งไปหมด เพราะถ้ายังมีเค้าบอกว่าเป็นคนจีน อาจจะโดนเนรเทศกลับไปเลยก็ได้ เพราะว่ายุคนั้นมีการปฏิวัติรัฐประหารกันทุกบ่อย ถึงขนาดมีการลอบฆ่านายกสมาคมพ่อค้าจีนไป ๒ คน ถือว่าเป็นเรื่องสะเทือนขวัญหมู่ชาวจีนมาก หลายรายถึงขนาดหนีกลับเมืองจีนไปเลย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ากลับไปก็ลำบากเพราะจีนเป็นคอมมิวนิสต์ แต่กลัวว่าอยู่เมืองไทยโดนหมายหัวเดี๋ยวก็ตาย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-07-2014 เมื่อ 14:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #90  
เก่า 01-07-2014, 08:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนจีนก็มีเข้ารับราชการไม่ใช่หรือครับ ?
ตอบ : มีน้อย ต้องเป็นลูกจีนที่เก่งจริง ๆ แล้วหลุดเข้าไปรับราชการ อย่างหลวงวิจิตรวาทการ สมัยอาตมาเองเข้าเรียนนักเรียนนายสิบ ยังโดนสอบประวัติ เพราะว่าพ่อเป็นต่างด้าว ตอนแรกเขาจะไม่เอา แต่อาตมาโวยวายด้วยเหตุ ๒ ประการ ประการแรกผมสมัครตามสิทธิ์ ประการที่ ๒ พ่อผมตายแล้วเกี่ยวอะไรกับผมด้วย ? ถ้าไม่ใช่คนปากหมาอย่างอาตมาก็ไม่ได้เรียนหรอก คราวนี้อาตมากล้าโวยเขาเลยต้องให้เรียน ปัจจุบันนี้ตระกูลสำคัญ ๆ ที่กุมเศรษฐกิจนี่ไล่ขึ้นไป เอาแค่รุ่นปู่จะต้องมีอากงอาม่าแน่นอน

ประเทศไทยเราเป็นประเทศเดียวก็ว่าได้ ที่คนจีนอพยพเข้ามาแล้วผสมกลมกลืนกลายเป็นเชื้อชาติเดียวกันแบบไม่แบ่งแยก ประเทศอื่นอย่างไรก็แบ่งแยก เขาจะมีไชน่าทาวน์ตรงโน้นตรงนี้ ของไทยไม่ต้องหรอก ทั้งประเทศ ไล่ไปเถอะ ถึงเวลาแล้วคุณจะเป็นเจ้านาย เป็นเจ้าคุณ คุณพระอะไรก็จริง แต่ถึงเวลาต้องใช้เงินใช้ทอง ก็ต้องพึ่งพาบรรดาเจ้าสัว ต้องส่งลูกแต่งข้ามกันไปข้ามกันมา บรรดาเจ้าสัวถ้าได้ลูกเขยมีพ่อเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ หรือว่าได้ลูกสะใภ้ที่พ่อเขาเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ ก็ได้พึ่งพาอาศัยได้ จึงกลมกลืนกันไปเองโดยอัตโนมัติ

โดยเฉพาะของบ้านเราหลักยึดก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันพระมหากษัตริย์ของเราต้องบอกว่าเป็นที่พึ่งได้จริง ๆ ทำให้คนจีนเขารักเมืองไทยเหมือนบ้านเกิดตัวเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2014 เมื่อ 13:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #91  
เก่า 01-07-2014, 08:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในวังยังมีการทำกงเต็กด้วย ?
ตอบ : อันนั้นเป็นเรื่องปกติ ในช่วงรัชกาลที่ ๕ สมาคมคนจีนยังร่วมกันสร้างพระตำหนักถวายในหลวงรัชกาลที่ ๕ อยู่ที่บางปะอิน พระที่นั่งเวหาสน์จำรูญ เขาเรียกเทียนเหม็งเต่ย (พระตำหนักฟ้ารุ่งเรือง) แปลเป็นไทยก็เวหาสน์จำรูญ แต่จริง ๆ คนจีนเข้ามาเมืองไทยมากตั้งแต่สมัยอยุธยา แล้วมามากสุด ๆ ช่วงกรุงธนบุรี เพราะเขาถือว่าคนจีนเป็นฮ่องเต้ เพราะว่าพระเจ้าตากสินมหาราชนี่มีพ่อเป็นคนจีน เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย คนจีนนี่เขารักแซ่ รักญาติ รักพวกพ้อง ถึงเวลารู้ว่ามีญาติเป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่ ต้องไปมาหากินได้แน่ก็มาเลย แห่กันมามืดฟ้ามัวดิน แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นจีนแต้จิ๋วเพราะว่าพวกนี้อยู่ริมทะเล เดินทางได้สะดวก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2014 เมื่อ 13:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #92  
เก่า 01-07-2014, 08:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า “ตามหลักฮวงจุ้ยถ้าเป็นแอ่งน้ำใหญ่อยู่หน้าบ้านจะดี แต่ถ้าเป็นน้ำไหลถ้าจากหน้าบ้านหรือหลังบ้านนั้นหาดีไม่ได้เลย ยกเว้นอย่างเดียวว่าจะเป็นถุง แบบเดียวกับช่วงก่อนที่เขาจะตัดคลองลัดโพธิ์ ถ้าลักษณะอย่างนั้นตามหลักฮวงจุ้ยเขาจะเรียกถุงเงิน หรือที่เขาเรียกกระเพาะหมู แล้วในหลวงให้ตัดกระเพาะหมูลอยไปเลย ตั้งแต่นั้นมาน้ำไม่ท่วมพระประแดงอีก เนื่องจากว่าไหลลงทะเลได้ทัน ไม่ต้องอ้อมไปไกล ตัดตรงไปเลยไม่กี่กิโลเมตร พื้นที่ในลักษณะกึ่งเกาะ หรือกระเพาะหมูที่ว่าก็ต้องดูให้ดี ๆ ว่าอยู่ลักษณะที่น้ำไหลอ้อมเข้าหรืออ้อมออก ถ้าไหลออกก็อย่าไปเอาเลย”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2014 เมื่อ 13:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #93  
เก่า 01-07-2014, 09:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “ตอนที่หลวงปู่ทองเทศที่วัดท่าซุง อายุ ๙๖ พวกเราก็เป็นห่วงท่าน บอกให้หาลูกหลานมาดูแลหน่อย หลวงปู่ก็เห็นความหวังดีก็เลยจดหมายไปเรียกลูกชายมาดูแล ลูกชายอายุ ๗๗ เดินสั่นแหง็ก ๆ หลวงปู่อายุ ๙๖ ยังเดินตัวปลิวเลย ตกลงก็เลยไม่รู้ใครดูแลใคร ตอนนั้นอาตมาคุมโรงครัววัดอยู่ หลวงปู่ท่านขยันมาก ๙๐ กว่าแล้วยังออกบิณฑบาตทุกวัน แล้วคราวนี้ท่านไปหกล้ม คนแก่อายุขนาดนั้นแล้วเนื้อไม่เกิดแล้ว แผลกว่าจะหายตั้ง ๒ เดือนกว่า

ก็เลยบอกหลวงปู่ว่าไม่ต้องบิณฑบาตหรอก เดี๋ยวพวกผมจะบิณฑบาตเลี้ยงเอง ถ้าไม่มีใครบิณฑบาตเลี้ยง ผมสั่งให้โรงครัวไปส่งก็ได้ แต่ว่าหลวงปู่หาลูกหลานสักคนมาอยู่เป็นเพื่อน ถึงเวลาจะได้มาหิ้วปิ่นโตจากโรงครัวไปถวาย หลวงปู่ส่งจดหมายไปบอกลูกชายมา เจ้าประคุณเอ๋ย..คนอายุ ๗๗ เดินถือปิ่นโตสั่นแหง็ก ๆ ไอ้เรากลัวกับข้าวจะหกหมด หลวงปู่ทองเทศท่านบวชตอนอายุ ๘๐ ท่านเอาเงินถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงไว้สามพัน บอกว่า “ถ้าผมตายช่วยจัดงานศพให้ผมด้วย” หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ บอกว่า “ไม่รู้ใครจะได้เผาใคร” ปรากฏว่าหลวงปู่ ๙๐ กว่า หลวงพ่อ ๗๖ มรณภาพก่อน หลวงปู่อยู่มายัน ๑๐๓ ปีค่อยตาย

อาตมาออกจากวัดมาปีกว่าค่อยมีโอกาสไปได้เยี่ยมท่าน พอไปถึงหลวงปู่ก็ว่า “โอ๊ย..คิดถึงจังเลย ไปไหนมาตั้งนานไม่แวะมาดูกันบ้าง” บอกท่านไปว่า “ผมออกจากวัดไปเป็นปีแล้วครับ” หลวงปู่ก็บอกว่า “ไม่เห็นมีใครเขาบอกปู่เลย” ตอนแรกท่านอยู่ที่กุฏิ ๑๐ หลัง ทางด้านหลังโบสถ์ แล้วคราวนี้กุฏิเป็นบันได ขึ้นลงไม่สะดวก แล้วอากาศค่อนข้างจะร้อน มาระยะหลังเลยย้ายท่านไปอยู่ตรงสวนไผ่ อย่างน้อย ๆ อากาศร่มรื่นกว่าเยอะ แล้วอยู่ชั้นล่าง มีอาคารกั้นด้านบนอยู่ชั้นหนึ่ง แล้วอยู่ติดต้นไม้ก็เลยเย็นมาก หลวงปู่ท่านก็นั่งอ่านหนังสือ นั่งภาวนาของท่านไปเรื่อย อายุ ๙๐ กว่าแล้วไม่ต้องใช้แว่น นั่งอ่านหนังสือพิมพ์สบายใจเฉิบ หลวงปู่ท่านร่างเล็กนิดเดียว หนังสือพิมพ์ไทยรัฐเป็นเล่มจัมโบ้ หลวงปู่ท่านก็นอนบนหนังสือพิมพ์แล้วก็อ่านเลย เวลาท่านอ่านหนังสือพิมพ์ดูมีความสุขมาก ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่รู้ท่านยิ้มเยาะหรือเปล่าที่อาตมาต้องใส่แว่น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-11-2014 เมื่อ 04:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #94  
เก่า 01-07-2014, 09:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อาตมาได้ไปงานศพหลวงปู่ทองเทศ ได้ไปงานศพหลวงตาสมชาย งานศพหลวงพี่สมพงศ์ งานศพหลวงพี่ประทีป รู้สึกว่าพระที่วัดท่าซุงตายนี่จะได้ไปทุกศพนะ ของหลวงตาสมชายพอไปถึง ท่านก็มาทุบหลังพลั่ก "ทำไมมาเอาป่านนี้วะ ?" แหม..ทำอย่างกับผมอยู่ใกล้ ๆ นี่ แล้วถามท่านว่า "หลวงตาตายแล้วไปไหน ?" ท่านบอกว่า "หลวงพ่อบอกให้ไปไหนข้าก็ไปที่นั่นแหละ"

ได้ยินว่าเดือนที่แล้วหลวงน้าอมรก็เพิ่งจะตาย แต่ของหลวงน้าอมรนี่ไม่ได้ไปงานแน่เลย เพราะช่วงนี้ภารกิจเยอะเหลือเกิน พวกรุ่นเก่า ๆ นี่ยังคิดถึงกันอยู่ ท่านจำอาตมาแม่นเพราะความแสบของอาตมา ส่วนที่อาตมาจำท่านแม่นเพราะท่านเคยให้ความอนุเคราะห์สงเคราะห์ ช่วยกันไปช่วยกันมา


ส่วนใหญ่แล้วพระผู้ใหญ่ท่านพออายุมากแล้ว มีพระลูกพระหลานคอยอำนวยความสะดวกอะไรให้แล้วรู้สึกดี อย่างหลวงตาสมชายท่านดูแลระบบน้ำประปาของวัดอยู่ แล้วอายุ ๗๐ แล้วต้องปีนขึ้นไปบนหอประปา ไปเติมคลอรีน เลยบอกท่านว่า "หลวงตาผสมอย่างไรบอกผมแล้วกัน เดี๋ยวผมขึ้นไปจัดการให้" เพราะว่าประมาณ ๓ วันถึงเติมคลอรีนที หลวงตาท่านก็สอน "ถ้าระดับน้ำแค่นี้ให้เติมเท่านี้ ๆ ถ้าเต็มถังเติมหมดถ้วยเลย" อาตมาก็รอให้น้ำสูบเต็มถังแล้วเติมทีเดียวก็หมดเรื่องไม่ต้องปีนขึ้นปีนลงบ่อย ๆ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 23-08-2022 เมื่อ 23:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #95  
เก่า 01-07-2014, 14:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "แต่ไม่ไหว..ใหม่ ๆ ขึ้นไปนี่หมาหลวงตาจะฟัดตาย หมาวัดแต่ละตัวรู้ว่าควรจะทำหน้าที่ตรงไหน พวกเฝ้าหอประปานี่นอนเฝ้า ๔ มุมเลยนะ ใครจะเอาอะไรไปเติมส่งเดชมีหวังโดนหมากัดตาย หอประปาสูงขนาดไหน ถ้าโดนหมารุมกัดมีอย่างเดียวคือต้องโดดหนี ลงไปก็ไม่เหลือหรอก ตอนแรกก็ไม่นึกว่าหมาจะกล้าขึ้นบันได เพราะว่าเป็นบันไดที่เป็นแผ่นเหล็กใหญ่ประมาณฝ่ามือแล้วขึ้นไปสูงลิบเลย แต่หมาก็ขึ้น เขารู้ว่าต้องทำหน้าที่ตรงไหนขึ้นไปก็นอนเฝ้า

อย่างของหลวงน้าอมรท่านมีชื่อเสียงในความเป็นคนใจร้อนใจเร็ว แล้วติดนิสัยฝรั่ง เพราะว่าท่านอยู่อเมริกาจนได้กรีนการ์ดมา การติดนิสัยฝรั่งของท่านคือว่า ถ้ามีปัญหาต้องเคลียร์กันตรงนั้น ซึ่งไม่ใช่นิสัยคนไทย นิสัยคนไทยไม่ใช่อย่างนั้น นิสัยคนไทยถ้ามีเรื่องแล้วเคลียร์กันตรงนั้นได้ต่อยกันแน่นอน คราวนี้หลวงน้าอมรพอมีเรื่องก็จะไปจับมือจับแขนคู่กรณี แล้วก็บอกว่ามีปัญหาอะไรให้ว่ามาตรงนี้เลย คนอื่นก็ยิ่งโกรธใหญ่ เพราะคิดว่าไปเอาเรื่องไม่ยอมเลิก อาตมาพอเห็นก็รู้ท่าว่าท่านติดนิสัยฝรั่งมา

ฉะนั้น..มีโอกาสก็ไปเลียบ ๆ เคียง ๆ หลวงน้าอมรชอบอ่านหนังสือ ท่านสะสมหนังสือเป็นห้อง ๆ เลย ก็ไปเที่ยวหา "หลวงน้ามีเรื่องนั้นไหม ? มีเรื่องนี้ไหม ? ผมเคยอ่านนาน ลืมไปแล้ว ขอยืมหน่อยเถอะ" หลวงน้าท่านคุยเรื่องหนังสือมีความสุข ท่านก็คุยไปเรื่อย ไป ๆ มา ๆ ระยะหลังท่านไม่รู้จะคุยกับใคร ก็หอบกาน้ำร้อนมาฉันน้ำร้อนไปคุยไปด้วย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-07-2014 เมื่อ 01:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #96  
เก่า 01-07-2014, 14:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"กลายเป็นว่าบรรดาพระอายุมาก ๆ ที่ค่อนข้างจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง ส่วนใหญ่ในวัดตอนนั้นอาตมามีหน้าที่ชวนคุย กลัวว่าท่านอยู่เงียบ ๆ แล้วจะเครียด จะมีหลวงน้ามีชัย หลวงน้าอมร หลวงตาสมชาย หลวงน้าสัมฤทธิ์ แล้วแต่ละท่านนี่ขวานผ่าซากทั้งนั้น พอนิสัยขวานผ่าซากแล้วคนอื่นเขากลัวโดนผ่าเลยไม่เข้าใกล้ อาจจะเป็นเพราะว่าอาตมาเป็นคนประเภทขวานผ่าซากเหมือนกัน เลยคุยกันรู้เรื่อง จนพี่ ๆ บางท่านเขายังสงสัย ว่าอาตมาไปตั้งนานแล้วทำไมไม่โดนสักที..!

หลวงน้าสัมฤทธิ์สึกไปครั้งหนึ่งแล้วไปบวชใหม่ เคยไปวัดท่าขนุน ๒ ครั้ง ไปเยี่ยม..แต่ว่าท่านก็แก่เต็มทีแล้ว ตอนไปครั้งสุดท้ายก็เกือบ ๘๐ แล้ว นี่ไม่ได้ข่าวไม่ได้คราวว่าเป็นอย่างไรบ้าง ลูกชายท่านบวชพรรษาเดียวกันแต่คนละรุ่น เพราะของอาตมาบวชนอกพรรษา บวชก่อนเข้าพรรษานานมาก แต่ว่าถือว่าปีเดียวกัน หลวงพ่อท่านจัดบวชหมู่ให้ แล้วคนอื่นก็ไปบวชตอนเข้าพรรษาอีกที"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-07-2014 เมื่อ 14:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 142 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #97  
เก่า 01-07-2014, 14:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาเชื่อกันว่า คนเรากินยาลงไปแล้วไปทำลายจุลินทรีย์ในกระเพาะอาหารไปมาก ก็เลยเอาน้ำหมักจากพลูคาวมาถวาย อาตมารับไปไม่ถึงร้อยขวดก็ใกล้เคียง ก็ฉันให้เขาดู ถึงเวลาก็ยกกรอกอั้ก ๆ ลงไป ฉันเพื่อที่เขาจะได้ว่าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาก็ว่า “เพราะไม่ฉันยาของผมก็เลยไม่หาย” ฉันให้รู้ว่าของเอ็งฉันลงไปก็เท่านั้นแหละ บางอย่างแรงกรรมก็มากกว่า แต่โยมก็มักจะคิดว่าตัวเองเก่งเกินกรรม พยายามจะช่วย เอาไม้จิ้มฟันไปงัดภูเขาชัด ๆ

ไปนึกถึงที่พญาวสวัตตีมาราธิราชด่าธิดาพญามาร ที่ดื้อไปรบกับพระพุทธเจ้าว่า “เหมือนอย่างกับขุดภูเขาด้วยเล็บมือ คงจะมีวันสำเร็จหรอก” ดุลูกสาวตัวเอง นางตัณหา นางราคา นางอรดี บอกว่า “พ่อแพ้พระพุทธเจ้ามา เดี๋ยวลูกไปจัดการให้ ไม่มีผู้ชายคนไหนในโลกรอดมือลูกไปได้” พ่อห้ามแล้วห้ามอีกว่าอย่าเลย “มหาสมณะนั้นไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่เธอคิด” ลูกสาวก็ไม่เชื่อ พอแพ้พระพุทธเจ้ายับเยินกลับมา พญาวสวัตตีมาราธิราชเลยดุเอาว่าเตือนแล้วไม่ฟัง จะไปสู้กับพระมหาสมณะองค์นั้นก็เหมือนไปขุดภูเขาด้วยเล็บมือ จะถอนตอไม้ใหญ่ด้วยการเอาอกไปกระแทก..คงจะหลุดหรอก

แต่ต้องบอกว่า ๓ ท่านนั้นสุดยอดเลยนะ ชายบางคนชอบหญิงวัยรุ่น ชายบางคนชอบหญิงสาว บางคนชอบหญิงโตเต็มสาว ชอบหญิงวัยกลางคน ชอบหญิงวัยแก่ เขาแปลงได้ทุกแบบ แต่ไม่สำเร็จสักแบบ จนพระพุทธเจ้าเหนื่อยแทน พระองค์จึงตรัสว่า พอเถอะ..ไม่มีประโยชน์หรอก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2014 เมื่อ 17:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 142 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #98  
เก่า 01-07-2014, 14:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่าที่วัดมีพระใหม่ท่านหนึ่งบอกว่า “อาจารย์ครับ ผมบวชได้ ๓ พรรษาแล้ว ขออนุญาตลาสึกครับ” อาตมาสะดุ้งเฮือก บอกว่า อะไรวะ ? เพิ่งเห็นบวชได้ไม่นาน ๓ พรรษาแล้ว” เขาบอก “ได้ ๙ เดือนแล้วครับ” อาตมาถอนหายใจเฮือกเลย เป็นการเข้าใจผิดเอง เขาไปเข้าใจว่า ๑ พรรษาคือ ๓ เดือน เขาไม่ได้เข้าใจว่าพรรษาของพระหมายถึง ๑ ปี แต่ต้องผ่านช่วงเข้าพรรษา ๓ เดือนนั้นด้วย อาตมาก็ว่าบวชพักเดียวท่านบอกว่าได้ ๓ พรรษาแล้ว มีอะไรเข้าใจผิดกันเยอะแยะเกี่ยวกับเรื่องของศัพท์แสงทางพระ

ถาม : อย่างการจะเรียกทิดจริง ๆ ก็ต้องบวชให้ได้พรรษาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : อย่างน้อยก็ต้องบวชได้พรรษา แต่สมัยนี้เขาถือว่าสึกมาก็เป็นทิดหมดแหละ เพราะคำว่าทิดก็มาจากคำว่าบัณฑิต แต่สมัยก่อนคนเขาออกเสียง ฑ เป็น ท ก็เลยกลายเป็น “บัณทิด” แล้วก็ตัดเลยแค่ทิดคำเดียว อุบาสกเมื่อย่อลงเหลือ ประสก อุบาสิกาย่อลงเหลือ สีกา ที่เราสงสัยว่าคำว่าประสกกับสีกามาจากไหน

พระใหม่กับพระเก่าเราจะเห็นต่างกัน ความเป็นธรรมชาติ กลมกลืนกับเพศภาวะของตนยังไม่มี ก็ต้องค่อย ๆ ขัดเกลาไปเรื่อย ๆ แรก ๆ ก็ไม่เคยชิน พระใหม่เยอะต่อเยอะด้วยกัน เจอญาติโยมอาวุโสกว่าก็ยกมือไหว้ เล่นเอาโยมสะดุ้งเฮือก

พระอาจารย์กล่าวให้โอวาทพระที่บวชใหม่ว่า “เป็นพระเรา อยู่ต่อหน้าโยมให้สงบเหมือนอยู่ตัวคนเดียว อยู่ตัวคนเดียวให้ระมัดระวังเหมือนอยู่ต่อหน้าโยม พอเคยชินเข้าแล้วจะสบาย ๆ ไปเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-07-2014 เมื่อ 01:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 136 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #99  
เก่า 01-07-2014, 14:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมามีสีผึ้งหลวงปู่ครูบาอ่อนอยู่ครึ่งตลับ เพราะว่าตอนนั้นหลวงปู่ครูบาอ่อนท่านชวนไปปิดทองหลวงปู่ครูบาครอง ผู้เฒ่าท่านยกย่องกันเอง หัวเราะกันซะไม่มี ไปถึงก็กราบงาม ๓ ทีขออนุญาตเปิดสบง หลวงปู่ครูบาครองก็ถามว่าทำไม ? หลวงปู่ครูบาอ่อนท่านบอกว่า “พระผู้เฒ่าทรงความดีพอที่จะปิดทองบูชาได้แล้ว” แล้วท่านก็ส่งขี้ผึ้งให้อาตมาตลับหนึ่ง ช่วยกันถูช่วยกันทาเป็นการใหญ่ แล้วท่านก็ปิดทองตั้งแต่หัวเข่าไปยันหน้าแข้งเลย

เสียดายหลวงปู่ครูบาครองท่านอายุมากขนาดนั้น จึงไม่กล้านิมนต์ท่านไปงานที่วัด ครั้งล่าสุดปีก่อนที่ส่งฎีกาไปก็บอกหลวงพี่เอกแล้วว่า ถ้าหลวงปู่ไม่สะดวกด้วยธาตุขันธ์ไม่จำเป็นต้องมา นึกแล้วก็ขำ ๆ หลวงปู่ท่านเป็นผู้เฒ่าที่น่ารักมาก ถึงเวลาไปกราบลาท่านทีไร กราบ ๆ พอทำท่าจะขยับลุกท่านก็กอดหมับ คนเห็นก็เฮกัน แต่ถ่ายรูปไม่ค่อยจะทัน

จริง ๆ ถ้าอยู่ใกล้จะไปอยู่อุปัฏฐากดูแลท่านเลย เพราะว่าเคยชินกับการดูแลพระผู้ใหญ่มา ตั้งแต่หลวงปู่องค์นั้นองค์นี้จนถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง แม้กระทั่งหลวงพ่อวัดท่ามะขาม จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็เจ้าคณะจังหวัดรูปใหม่ก็เหมือนกัน เลขาท่านส่วนใหญ่ปล่อยให้ท่านเดินจากรถไปจนถึงที่ แล้วท่านเป็นอัมพฤกษ์ไปซีกหนึ่ง ท่านคิดอยู่อย่างเดียวว่าพระผู้ใหญ่จะแสดงความอ่อนแอไม่ได้ เดี๋ยวถ้าผู้บังคับบัญชาเห็นว่าทำงานไม่ได้แล้วจะปลดออกจากตำแหน่ง โอ๊ย..ใครจะไปหวงตำแหน่ง เจ็บไข้ได้ป่วยปานนั้น ถ้าคนนั้นรับไปได้เร็วเท่าไหร่ก็ดีเท่านั้น ฉะนั้น..ของอาตมาเห็นเมื่อไรก็วิ่งเข้าไปประคองท่านก่อน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2014 เมื่อ 17:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #100  
เก่า 01-07-2014, 14:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,404
ได้รับอนุโมทนา 4,405,965 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อีกองค์ที่น่ารักมากเลยคือหลวงปู่ครูบาอุ่น วัดโรงวัว พระผู้เฒ่ามีไฟนี่หายากจริง ๆ ๘๐ กว่าแล้วอะไรจะคึกคักปานนั้น นั่งรับแขกได้ทั้งวัน มีหน้ามาแซวอาตมาอีกว่าหนุ่มกว่ายังสู้ท่านไม่ได้ โห..ผมไม่ได้ทำบุญมาดีอย่างหลวงปู่นี่ครับ แล้วท่านนั่งตอบคำถามคน คำถามเดียวตอบทั้งวันไม่เบื่อ เขามาถาม “หลวงพ่อมาจากไหนครับ ? ครูบามาจากไหนคะ ?” ท่านก็ “โอ้..ชื่อครูบาอุ่น วัดโรงวัว สันกำแพงโน้น” ตอบได้ทั้งวันไม่มีรำคาญใคร

สายหลวงพ่อฤๅษีฯ กับสายเหนือผูกพันกันมานับชาติไม่ถ้วน จนทิ้งกันไม่ขาดหรอก ถึงเวลาเห็นก็รู้สึกคุ้นเคยแล้ว ไม่ใช่แค่ยุคใกล้ ๆ ไล่มาโน่นเลย ตั้งแต่ยุคตาลีฟู น่านเจ้า หนองแส ลงมายันเชียงแสน ไกลลิบโลก คนรุ่นใหม่เอาศัพท์พวกนี้แล้วก็ไปหาในกูเกิลนะ จะได้รู้ว่าประวัติของสถานที่เกี่ยวข้องกับคนไทยอย่างไร ส่วนใหญ่เด็กรุ่นหลังเขาไม่ให้เรียนประวัติศาสตร์แล้ว..ใช่ไหม ? ไม่ให้เรียนประวัติศาสตร์ก็ด้วนไปเฉย ๆ ไม่รู้หรอกว่าคนไทยเป็นอย่างไร วิชาศีลธรรมก็ไม่มีแล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-07-2014 เมื่อ 14:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:11



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว