กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 12-09-2013, 06:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,354 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๖

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ในเรื่องของการปฏิบัติกรรมฐานนั้น ส่วนสำคัญที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือ เราต้องรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่อง ส่วนใหญ่แล้วอารมณ์ในการปฏิบัติของเราที่ไม่ต่อเนื่อง จึงทำให้รัก โลภ โกรธ หลงตีกลับ ทำให้การปฏิบัติของเราถดถอย

อาตมาเองในสมัยก่อนที่ปฏิบัติ ก็เป็นเช่นเดียวกับโยมทั้งหลาย ก็คือตอนเช้าภาวนาเต็มที่ เสร็จแล้วก็ทิ้งไปเลย ปรากฏว่าสามารถทรงอารมณ์ได้ประมาณชั่วโมงกว่าสองชั่วโมงก็พัง เพราะว่าการประกอบกิจการงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ต้องมีการกระทบกระทั่งกับผู้อื่นอยู่เสมอ ครั้นจะมาภาวนาอีกทีหนึ่งก็ต้องเป็นเวลาก่อนนอน ซึ่งบางทีก็ไม่สามารถที่จะภาวนาให้ดีได้ เพราะว่าเหนื่อยกับงานมาทั้งวันแล้ว

เพียงแต่ว่าอาตมาเป็นคนช่างสังเกต ก็มาคิดว่า ในเมื่อเราภาวนาช่วงเช้าแล้วกำลังไม่เพียงพอที่จะทรงตัวอยู่ได้ทั้งวัน ก็ควรที่จะเพิ่มช่วงกลางวันขึ้นมาด้วย ก็อาศัยช่วงเวลาพักเที่ยง หลังจากกินอาหารเรียบร้อยแล้วก็เข้าสู่ที่ภาวนา ก็ทำให้สามารถรักษากำลังใจต่อเนื่องมาได้อีก แต่ก็ได้ไม่ถึงตอนเย็น จึงต้องอาศัยภาวนาตอนเย็นเพิ่มขึ้น เนื่องจากว่าส่วนใหญ่ตอนเย็นเราทำการทำงานมาทั้งวันแล้ว ความเหนื่อยความเพลียย่อมปรากฏ จึงต้องใช้วิธีง่าย ๆ กำหนดใจคิดว่า เรานอนลงไปแล้วก็มีลักษณะเหมือนกับคนตาย ถ้าไม่ได้ตื่นขึ้นมาเห็นพระอาทิตย์ในวันรุ่งขึ้นก็ช่างเถอะ เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว แล้วจับภาพพระภาวนาไปจนกระทั่งหลับ

ในเมื่อร่างกายได้พักผ่อนมาทั้งคืน การปฏิบัติในช่วงเช้าจึงเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด เราต้องกอบโกยให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้พอกินพอใช้ทั้งวัน โดยเฉพาะว่ากำลังใจของเรานั้น จะรับความดีหรือความชั่วได้ทีละอย่างเดียวเท่านั้น ในเมื่อช่วงเช้าได้สติรู้ตัวขึ้นมา รีบเอาความดีคือการเจริญภาวนาเข้าไป ความชั่วต่าง ๆ ก็เข้าไปไม่ได้ เพราะสภาพจิตเสวยอารมณ์ก็รับอารมณ์เดียวเท่านั้น เมื่อเรานำความดีเข้าไป รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะมากินใจของเรา สภาพจิตก็มีความผ่องใส และประคับประคองไปจนถึงกลางวันก็ปฏิบัติภาวนารอบใหม่ ไปถึงตอนค่ำปฏิบัติภาวนาอีกรอบหนึ่ง กำลังก็พอที่จะอาศัยได้

เหมือนกับเราจุดเทียนตอนช่วงเช้าหนึ่งดวง แสงอาจจะสาดส่องมาไม่ถึงช่วงกลางวัน แต่เราจุดเทียนในช่วงกลางวันหนึ่งดวง แสงสอดประสานกับช่วงเช้า สามารถคลุมพื้นที่ได้เต็มแต่ไม่ถึงช่วงเย็น ก็ต้องมาจุดเทียนตอนช่วงเย็นอีกหนึ่งดวง เพื่อให้แสงสว่างประสานกับช่วงกลางวัน คลุมพื้นที่ตั้งแต่กลางวันถึงเย็นได้ แต่ก็จะไปพลาดท่าในตอนกลางคืนอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2013 เมื่อ 10:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-09-2013, 17:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,354 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เนื่องจากว่าสภาพจิตในตอนกลางวัน เราพยายามจะบีบคั้น ตีกรอบให้จิตของเราอยู่กับศีล สมาธิ ปัญญา อยู่ตลอดเวลา สภาพจิตก็พยายามดิ้นรนหาทางออก ในเมื่อสมาธิทรงตัว เวลากลางวันเขาทำอะไรเราไม่ได้ ก็กลายเป็นว่าตอนกลางคืนก็มาในรูปแบบของความฝัน

ตอนกลางวันรักษาศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ มดสักตัวก็ไม่กล้าเหยียบ ไม่กล้าบี้ แต่กลางคืนกลับฝันว่านำทหารออกรบ ฆ่าเขาตายเป็นกองทัพเลย..! ลักษณะอย่างนี้สภาพจิตของเราตอนกลางคืนก็จะมัวหมอง เนื่องจากว่าสภาพของการละเมิดศีลมีปรากฏขึ้น แม้เป็นในฝันก็ทำให้สภาพจิตของเรามัวหมองได้ จึงต้องพยายามฝึกหัดภาวนาจนกระทั่งเกิดสติ เมื่อมีสติสมบูรณ์ จะหลับหรือตื่นเราก็มีความรู้สึกเท่ากัน คือถึงร่างกายจะหลับ สภาพจิตก็ตื่นอยู่ สามารถระมัดระวังไม่ให้กิเลสมากินเราตอนหลับได้

ถ้าทุกคนสามารถทำอย่างนี้ได้ มีการปฏิบัติที่ต่อเนื่องกัน ไม่เว้นระยะให้รัก โลภ โกรธ หลงเข้ามาทำให้ใจของเราต้องมัวหมองลง ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะมีขึ้น ดังนั้น..ที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติภาวนาไปแล้ว หลายท่านก็มาถามว่า ทำไมปฏิบัติมาหลายปีแล้วไม่มีความก้าวหน้าเลย ? ก็ต้องบอกว่า เป็นเพราะเราทำแล้วทิ้ง ในเมื่อเราทำแล้วทิ้ง ไม่ได้ปฏิบัติให้ต่อเนื่อง ถีงเวลากิเลสก็กลบกลืนไปหมด เท่ากับเราต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อยู่ทุกครั้ง

เหมือนอย่างกับเราปัดกวาดเช็ดถูสถานที่หนึ่งจนสะอาด แต่ปรากฏว่าถึงเวลาแล้ว แล้วบรรดาขยะต่าง ๆ โดนลมหอบลงมาในสถานที่นั้นอีก ก็สกปรกใหม่ จำเป็นที่จะต้องขยันปัดกวาดวันละหลาย ๆ รอบ สภาพจิตของเราก็เช่นกัน เมื่อถึงเวลามัวหมองด้วยกิเลส เราก็ต้องขัดถูให้ผ่องใสขึ้นมาใหม่ พยายามที่จะรักษาความผ่องใสนั้นเอาไว้ให้ได้ตลอดทั้งวัน และถ้าเป็นไปได้ก็คือตลอดทั้งคืนด้วย เมื่อหลับและตื่นเรามีสติรู้เท่าทัน กิเลสกินใจของเราไม่ได้ นานไป ๆ สภาพกิเลสที่ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ สภาพจิตที่ผ่องใสมากขึ้นทุกที ๆ ท้ายที่สุดกิเลสก็จะโดนกลบกลืนสูญสลายไป ไม่สามารถที่จะปรากฏขึ้นมาใหม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-09-2013 เมื่อ 18:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 17-09-2013, 20:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,354 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถามว่ากิเลสหมดไปเลยใช่ไหม ? ก็ต้องตอบว่าความจริงแล้วกิเลสมีอยู่เท่าเดิม เพียงแต่เราไม่ไปสร้างสาเหตุให้กิเลสนั้นกำเริบขึ้นมาได้ เหมือนกับว่าเชื้อเพลิงมีอยู่เต็มที่ แต่ว่าเราสละทิ้งซึ่งไม้ขีดหรือว่าเปลวไฟที่จะไปจ่อเชื้อเพลิงทั้งหลายเหล่านั้น ในเมื่อเราไม่สร้างสาเหตุอย่างนั้น ไฟก็ไม่สามารถที่จะลุกไหม้เผาผลาญเราได้

ถ้าทุกคนสามารถทำเช่นนี้ได้ เราก็จะเป็นผู้เบากาย เบาใจ มีความสุขในการปฏิบัติ สามารถกระทำได้ไม่เบื่อ ไม่หน่าย ถ้าเรากระทำมาถึงตรงจุดนี้ ขึ้นชื่อว่าโอกาสที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ ก็จะมีแก่เราอย่างเต็มที่ เมื่อถึงเวลานั้นเราก็ใช้ปัญญาประคับประคองการปฏิบัติของเรา ให้ตรงตามที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้ ก็มีโอกาสที่จะก้าวล่วงจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้ดังที่ปรารถนาไว้

ลำดับต่อไป ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาหรือกำหนดพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๖

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2013 เมื่อ 03:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 22-02-2014, 18:09
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,189 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2556-08-03

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
สุธรรม (23-02-2014)
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:41



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว