กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 16-01-2014, 10:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๗

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไปจนสุด หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมาจนสุด จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่ดั้งเดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมรับปีใหม่ สำหรับท่านที่ไม่ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด ระยะนี้อาตมาเองก็สุขภาพชำรุด เนื่องการทำงานติดต่อกันไม่ได้พัก ประกอบกับอากาศหนาวมาก จึงเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องของความปกติ เพียงแต่ว่าถ้าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นกับท่านใดก็ตาม ให้ฉกฉวยประโยชน์จากเรื่องนี้ไว้ให้ได้

ความเจ็บป่วยนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่เลิศ เป็นสิ่งที่ประเสริฐ มีคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะสามารถช่วยบรรเทาความเมาในวัยของเรา สามารถช่วยบรรเทาความเมาในการไม่เจ็บไข้ได้ป่วยของเรา ความเมาในวัยคือรู้สึกว่าตัวเองยังหนุ่มยังสาว แข็งแรงอยู่ ความเมาในการไร้โรค ไร้ความเจ็บป่วย ทำให้เกิดความประมาท

เมื่อมีความเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดขึ้น เราต้องฉวยโอกาสพิจารณาให้เห็น ว่าธรรมดาของร่างกายเป็นเช่นนี้ สังขารัง โรคะนิทธัง ร่างกายนี้เป็นรังของโรค ปะภังคุณัง ต้องเน่าเปื่อยไปเป็นธรรมดา ตัวตนของเราก็เป็นเช่นนี้ ตัวตนของคนอื่นก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเราเห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา ก็แปลว่าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงความทุกข์ของร่างกายว่า พยาธิปิทุกขา ความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นทุกข์ เป็นความจริงแท้แน่นอน เราต้องยอมรับนับถือ เพราะพิสูจน์ทราบด้วยตัวเองแล้ว ว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยนี้เป็นทุกข์จริง ๆ

ขณะเดียวกัน ความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ใช่จะมาถึงทุกคน ถ้าไม่ใช่วาระของกรรมมาถึง ต่อให้เรียกร้องอย่างไร ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ปรากฏ องค์สมเด็จพระบรมสุคต ก่อนจะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงสร้างบุญสร้างบารมีมาถึง ๒๐ อสงไขยกับอีกแสนกัป ก็คือสร้างบารมีในช่วงที่คิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ ๗ อสงไขย สร้างบารมีช่วงที่กล่าวว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขย หลังจากนั้นก็พยายามทำกายวาจาใจของตนเอง เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า อีก ๔ อสงไขยกับแสนกัป ถ้านับการเกิดแต่ละชาติของพระองค์ท่าน ซึ่งนับชาติไม่ถ้วน แต่ละชาติใช้ทรัพยากรสิ้นเปลืองไปเป็นจำนวนมหาศาล แล้วต้องเกิดมากมายหลายล้านอนันตชาติ ไม่ทราบว่าล้างผลาญทรัพยากรเป็นจำนวนงบประมาณสักเท่าไร คาดว่าจำนวนเงิน ๒ ล้านล้าน ๒ แสนล้านบาทที่เป็นงบประมาณซึ่งประเทศของเราจะปรับปรุงพัฒนาประเทศของเรา เป็นแค่ส่วนเสี้ยวเดียวเท่านั้น

ในเมื่อต้องใช้งบประมาณมหาศาลขนาดนั้น แล้วพระองค์ท่านถึงจะได้รู้เห็นความทุกข์อย่างชัดเจน ก็แปลว่าโรคภัยไข้เจ็บที่เกาะกินร่างกายของเรานี้ มีคุณค่าเหลือเกิน ประมาณเป็นเงินทองไม่ได้ เพราะว่าซื้อไม่ได้ ถ้าไม่ใช่วาระกรรมมาถึงจริง ๆ ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้

เมื่อสิ่งที่มีคุณค่าขนาดนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องใช้เวลาเนิ่นนานขนาดนี้ ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณไปขนาดนี้ เพื่อที่จะได้รู้เห็นตามความเป็นจริง ได้ปรากฏชัดขึ้นเบื้องหน้าของเราแล้ว ก็แปลว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเป็นของที่ประเสริฐ เป็นของที่เลิศ เป็นของที่หาได้ยาก เป็นตัวเสริมปัญญาบารมี จะได้เห็นอย่างชัดเจนว่า ร่างกายนี้เป็นทุกข์ ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ เพราะคำว่าอนัตตานั้น แปลว่าไม่ใช่ตัวตนก็ได้ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราก็ได้ อยู่นอกเหนือการบังคับบัญชาก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2014 เมื่อ 15:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 18-01-2014, 11:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..เมื่อเกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้น เราจึงควรที่จะหยิบฉวยเอาประโยชน์จากตรงนี้มาใช้งาน ให้สภาพจิตของเราเห็นความเป็นจริง ว่าธรรมดาของร่างกายเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติ ในเมื่อธรรมชาติคือธรรมดาเป็นอย่างนี้ ถ้ามีโอกาสเราก็รักษาไปตามหน้าที่ แต่ว่าจิตใจของเราอย่าไปกังวลอยู่กับอาการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือรักษาหายก็หาย ถ้ารักษาไม่หายจะตายก็ช่างเถิด เพราะขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยาก เต็มไปด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยเช่นนี้ เราไม่ปรารถนาอยู่แล้ว สิ่งที่เราต้องการคือพระนิพพาน

เมื่อพิจารณาเห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกาย ที่เกิดจากความเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างชัดเจน สภาพจิตก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ในเมื่อเบื่อร่างกายตนเองก็ต้องเบื่อร่างกายคนอื่นด้วย ถ้าเบื่อทั้งร่างกายตนเอง เบื่อทั้งร่างกายคนอื่น ก็ต้องเบื่อการเกิดมามีร่างกายอย่างนี้ด้วย เมื่อเบื่อการเกิดมามีร่างกายอย่างนี้ ก็ให้วิ่งเข้าหา ศีล สมาธิ ปัญญา มุ่งไปสู่ความหลุดพ้นที่ตนปรารถนา

ก็ต้องทบทวนศีลทุกสิกขาบทของตนให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ อย่าล่วงศีลด้วยตนเอง อย่าสนับสนุนคนอื่นให้ล่วงศีล อย่ายินดีเมื่อเห็นคนอื่นล่วงศีล ให้สร้างสมาธิภาวนาให้เกิด อย่างน้อยในระดับปฐมฌาน เพื่อจะได้มีกำลังในการตัดกิเลสอย่างน้อยระดับโสดาบันขึ้นไป พยายามใช้ปัญญามองให้เห็น ว่า ร่างกายเรานี้มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา เราไม่อาจจะล่วงพ้นความเจ็บไข้ได้ป่วยไปได้ ร่างกายนี้มีความตายเป็นธรรมดา เราไม่อาจล่วงพ้นจากความตายไปได้ ท้ายที่สุดทุกคนต่างก็ล่วงลับดับขันธ์ แยกย้ายไปตามความดีความชั่วที่ตนเองกระทำมา ถ้ายังไม่ล่วงพ้นจากความทุกข์ ต้องมาเกิดใหม่ ก็ต้องมาทุกข์ยากลำบากกับร่างกายที่เจ็บไข้ได้ป่วยเช่นนี้อีก

ดังนั้น..ให้ทุกคนตั้งเป้าไว้ว่า ถ้าเราตายลงไปเพราะความเจ็บไข้ได้ป่วยดังนี้ก็ดี ถ้าเราตายไปเพราะหมดอายุขัยก็ดี ถ้าเราตายลงไปเพราะอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ที่เกิดจากกรรมเก่าก็ดี เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น แล้วเอาจิตจดจ่อเกาะพระนิพพานไว้

ถ้าไม่เคยชิน เกาะพระนิพพานไม่ได้ ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบมากที่สุด ตั้งใจว่านั่นคือองค์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เรานึกถึงท่านคือเราอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน คือเราอยู่บนพระนิพพาน ให้ทุกคนรักษากำลังใจอย่างนี้เอาไว้ แล้วกำหนดการภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2014 เมื่อ 15:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 05-04-2014, 15:18
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 259
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,227 ครั้ง ใน 1,280 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2557-01-03

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:41



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว