กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 16-01-2014, 10:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,368 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๗

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไปจนสุด หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมาจนสุด จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่ดั้งเดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมรับปีใหม่ สำหรับท่านที่ไม่ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด ระยะนี้อาตมาเองก็สุขภาพชำรุด เนื่องการทำงานติดต่อกันไม่ได้พัก ประกอบกับอากาศหนาวมาก จึงเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องของความปกติ เพียงแต่ว่าถ้าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นกับท่านใดก็ตาม ให้ฉกฉวยประโยชน์จากเรื่องนี้ไว้ให้ได้

ความเจ็บป่วยนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่เลิศ เป็นสิ่งที่ประเสริฐ มีคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะสามารถช่วยบรรเทาความเมาในวัยของเรา สามารถช่วยบรรเทาความเมาในการไม่เจ็บไข้ได้ป่วยของเรา ความเมาในวัยคือรู้สึกว่าตัวเองยังหนุ่มยังสาว แข็งแรงอยู่ ความเมาในการไร้โรค ไร้ความเจ็บป่วย ทำให้เกิดความประมาท

เมื่อมีความเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดขึ้น เราต้องฉวยโอกาสพิจารณาให้เห็น ว่าธรรมดาของร่างกายเป็นเช่นนี้ สังขารัง โรคะนิทธัง ร่างกายนี้เป็นรังของโรค ปะภังคุณัง ต้องเน่าเปื่อยไปเป็นธรรมดา ตัวตนของเราก็เป็นเช่นนี้ ตัวตนของคนอื่นก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเราเห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา ก็แปลว่าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงความทุกข์ของร่างกายว่า พยาธิปิทุกขา ความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นทุกข์ เป็นความจริงแท้แน่นอน เราต้องยอมรับนับถือ เพราะพิสูจน์ทราบด้วยตัวเองแล้ว ว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยนี้เป็นทุกข์จริง ๆ

ขณะเดียวกัน ความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ใช่จะมาถึงทุกคน ถ้าไม่ใช่วาระของกรรมมาถึง ต่อให้เรียกร้องอย่างไร ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ปรากฏ องค์สมเด็จพระบรมสุคต ก่อนจะตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงสร้างบุญสร้างบารมีมาถึง ๒๐ อสงไขยกับอีกแสนกัป ก็คือสร้างบารมีในช่วงที่คิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ ๗ อสงไขย สร้างบารมีช่วงที่กล่าวว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขย หลังจากนั้นก็พยายามทำกายวาจาใจของตนเอง เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า อีก ๔ อสงไขยกับแสนกัป ถ้านับการเกิดแต่ละชาติของพระองค์ท่าน ซึ่งนับชาติไม่ถ้วน แต่ละชาติใช้ทรัพยากรสิ้นเปลืองไปเป็นจำนวนมหาศาล แล้วต้องเกิดมากมายหลายล้านอนันตชาติ ไม่ทราบว่าล้างผลาญทรัพยากรเป็นจำนวนงบประมาณสักเท่าไร คาดว่าจำนวนเงิน ๒ ล้านล้าน ๒ แสนล้านบาทที่เป็นงบประมาณซึ่งประเทศของเราจะปรับปรุงพัฒนาประเทศของเรา เป็นแค่ส่วนเสี้ยวเดียวเท่านั้น

ในเมื่อต้องใช้งบประมาณมหาศาลขนาดนั้น แล้วพระองค์ท่านถึงจะได้รู้เห็นความทุกข์อย่างชัดเจน ก็แปลว่าโรคภัยไข้เจ็บที่เกาะกินร่างกายของเรานี้ มีคุณค่าเหลือเกิน ประมาณเป็นเงินทองไม่ได้ เพราะว่าซื้อไม่ได้ ถ้าไม่ใช่วาระกรรมมาถึงจริง ๆ ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้

เมื่อสิ่งที่มีคุณค่าขนาดนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องใช้เวลาเนิ่นนานขนาดนี้ ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณไปขนาดนี้ เพื่อที่จะได้รู้เห็นตามความเป็นจริง ได้ปรากฏชัดขึ้นเบื้องหน้าของเราแล้ว ก็แปลว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเป็นของที่ประเสริฐ เป็นของที่เลิศ เป็นของที่หาได้ยาก เป็นตัวเสริมปัญญาบารมี จะได้เห็นอย่างชัดเจนว่า ร่างกายนี้เป็นทุกข์ ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้ เพราะคำว่าอนัตตานั้น แปลว่าไม่ใช่ตัวตนก็ได้ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราก็ได้ อยู่นอกเหนือการบังคับบัญชาก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2014 เมื่อ 15:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 18-01-2014, 11:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,368 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..เมื่อเกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้น เราจึงควรที่จะหยิบฉวยเอาประโยชน์จากตรงนี้มาใช้งาน ให้สภาพจิตของเราเห็นความเป็นจริง ว่าธรรมดาของร่างกายเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติ ในเมื่อธรรมชาติคือธรรมดาเป็นอย่างนี้ ถ้ามีโอกาสเราก็รักษาไปตามหน้าที่ แต่ว่าจิตใจของเราอย่าไปกังวลอยู่กับอาการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือรักษาหายก็หาย ถ้ารักษาไม่หายจะตายก็ช่างเถิด เพราะขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยาก เต็มไปด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยเช่นนี้ เราไม่ปรารถนาอยู่แล้ว สิ่งที่เราต้องการคือพระนิพพาน

เมื่อพิจารณาเห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกาย ที่เกิดจากความเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างชัดเจน สภาพจิตก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ในเมื่อเบื่อร่างกายตนเองก็ต้องเบื่อร่างกายคนอื่นด้วย ถ้าเบื่อทั้งร่างกายตนเอง เบื่อทั้งร่างกายคนอื่น ก็ต้องเบื่อการเกิดมามีร่างกายอย่างนี้ด้วย เมื่อเบื่อการเกิดมามีร่างกายอย่างนี้ ก็ให้วิ่งเข้าหา ศีล สมาธิ ปัญญา มุ่งไปสู่ความหลุดพ้นที่ตนปรารถนา

ก็ต้องทบทวนศีลทุกสิกขาบทของตนให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ อย่าล่วงศีลด้วยตนเอง อย่าสนับสนุนคนอื่นให้ล่วงศีล อย่ายินดีเมื่อเห็นคนอื่นล่วงศีล ให้สร้างสมาธิภาวนาให้เกิด อย่างน้อยในระดับปฐมฌาน เพื่อจะได้มีกำลังในการตัดกิเลสอย่างน้อยระดับโสดาบันขึ้นไป พยายามใช้ปัญญามองให้เห็น ว่า ร่างกายเรานี้มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา เราไม่อาจจะล่วงพ้นความเจ็บไข้ได้ป่วยไปได้ ร่างกายนี้มีความตายเป็นธรรมดา เราไม่อาจล่วงพ้นจากความตายไปได้ ท้ายที่สุดทุกคนต่างก็ล่วงลับดับขันธ์ แยกย้ายไปตามความดีความชั่วที่ตนเองกระทำมา ถ้ายังไม่ล่วงพ้นจากความทุกข์ ต้องมาเกิดใหม่ ก็ต้องมาทุกข์ยากลำบากกับร่างกายที่เจ็บไข้ได้ป่วยเช่นนี้อีก

ดังนั้น..ให้ทุกคนตั้งเป้าไว้ว่า ถ้าเราตายลงไปเพราะความเจ็บไข้ได้ป่วยดังนี้ก็ดี ถ้าเราตายไปเพราะหมดอายุขัยก็ดี ถ้าเราตายลงไปเพราะอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ที่เกิดจากกรรมเก่าก็ดี เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น แล้วเอาจิตจดจ่อเกาะพระนิพพานไว้

ถ้าไม่เคยชิน เกาะพระนิพพานไม่ได้ ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบมากที่สุด ตั้งใจว่านั่นคือองค์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เรานึกถึงท่านคือเราอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน คือเราอยู่บนพระนิพพาน ให้ทุกคนรักษากำลังใจอย่างนี้เอาไว้ แล้วกำหนดการภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2014 เมื่อ 15:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 05-04-2014, 15:18
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,189 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2557-01-03

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:53



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว