กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 01-08-2013, 17:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันศุกร์ที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖

ขอให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตัว ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้เฉพาะหน้า ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราแนบชิดติดกับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ตามที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

ระยะนี้ต้องบอกว่าเป็นระยะที่อาตมากำลังชดใช้กรรมเก่า เพราะว่าอาการเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ ต่อเนื่องกันมา ๒ - ๓ ครั้ง ไม่มีเว้นเลย พระบางรูปท่านก็สงสัยว่า หลวงพ่อทนได้อย่างไรครับ ? เนื่องจากท่านเองก็เคยแขนหลุด ไหล่หลุด เจ็บปวดจนร้องโอดโอย จนกระทั่งหมอดันเข้าที่ให้ถึงจะบรรเทาลง แต่หลวงพ่อดันให้เข้าที่เอง

อาตมาก็บอกว่า "ไม่มีอะไรมากไปกว่าทนเอา" แล้วท่านก็บอกว่า ท่านเองเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย พยายามต่อรองกับร่างกายเท่าไร ก็ไม่สามารถจะลุกไหว แต่เห็นอาตมาบิณฑบาตทุกวัน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเดินก็ต้องเจ็บ แต่ก็ไป ท่านถามว่าทำกำลังใจอย่างไร อาตมาก็บอกว่า "ก็แค่คิดว่าข้าจะไป"

ซึ่งความจริงสิ่งที่พูดไปนั้นก็พูดให้ฟังดูง่าย ถ้าใครก็ตามฝึกในอานาปานสติกรรมฐานไปถึงระดับหนึ่ง จิตกับประสาทร่างกายจะกลายเป็นคนละส่วนกัน ถึงร่างกายจะเจ็บ แต่สภาพจิตก็ไม่ได้ไปสนใจไยดีตรงจุดนั้น จึงทำให้สามารถทำหลายสิ่งหลายอย่าง ที่คนทั่วไปมองว่าเป็นเรื่องที่ยาก หรือเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ได้

แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องปกติของทุกคนที่มาฝึกปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าอานาปานสติทรงตัวจริง ๆ มีกำลังใจเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ เราก็สามารถที่จะระงับกายสังขาร คืออาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้ เมื่อถึงวาระที่จำเป็นจะต้องใช้ร่างกาย ก็ใช้กำลังใจข่มอาการเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ ลงชั่วคราว แล้วก็ใช้ให้ร่างกายทำหน้าที่ต่าง ๆ ไปตามที่ตนเองต้องการ

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องปกติของนักปฏิบัติ ถ้าทำถึงก็สามารถที่จะทำเช่นนี้ได้ทุกคน ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ในส่วนที่ดีมาก ๆ ของอาการเจ็บไข้ได้ป่วยก็คือ ทำให้เราไม่ลืมสติ ได้เห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาให้เป็นไปตามความต้องการของตนได้ ไม่ต้องการให้เจ็บก็เจ็บ ไม่ต้องการให้ป่วยก็ป่วย ถ้าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเราจริง ๆ ก็ต้องบังคับบัญชาได้ ไม่ให้เจ็บก็ต้องไม่เจ็บ ไม่ให้ป่วยก็ต้องไม่ป่วย ไม่ให้แก่ก็ต้องไม่แก่ แต่นี่เราบังคับบัญชาอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2013 เมื่อ 18:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 100 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 04-08-2013, 12:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...การเจ็บไข้ได้ป่วยที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นการชดใช้กรรมเก่าก็ตาม แต่ก็เป็นอาการเจ็บป่วยที่มีพระคุณอย่างมหาศาล คือทำให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า ร่างกายนี้ไม่ดีจริง ๆ ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้จริง ๆ ไม่ว่าจะตัวเราก็ดี บุคคลอื่นก็ดี สัตว์อื่นก็ดี ล้วนแล้วแต่มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติ อย่างที่ว่า พยาธิธัมโมมหิ พยาธิง อะนะตีโต เรามีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา ไม่อาจจะล่วงพ้นความเจ็บไข้ได้ป่วยไปได้

ถ้าเราทุกคนมองเห็นอย่างนี้ชัดเจน ก็จะเกิดนิพพิทาญาณ คือความเบื่อหน่ายในสังขารร่างกายนี้ ไม่มีความปรารถนาในร่างกายอีก เพราะว่าเกิดมากี่ชาติก็เจ็บอย่างนี้ ก็ป่วยอย่างนี้ ในเมื่อสังขารร่างกายของตนเองยังไม่ต้องการ การจะไปยึดถือในสังขารร่างกายคนอื่นนั้น ก็ย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นไปได้

ดังนั้น..ท่านใดก็ตามที่เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นกับตนเอง ก็ขอให้รีบฉวยโอกาสให้สมกับที่เป็นนักปฏิบัติ ก็คือพิจารณาให้รู้ให้เห็นสภาพความเป็นจริงของร่างกาย ว่าธรรมดาของร่างกายนั้นเป็นรังของโรค มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนไปไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ เกิดก็เป็นทุกข์ แก่ก็เป็นทุกข์ เจ็บก็เป็นทุกข์ ตายก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์ ประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์ ปรารถนาไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ กระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์ เหล่านี้เป็นต้น

ท้ายที่สุดสภาพร่างกายนี้ ก็เป็นเพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันขึ้นมาเป็นเรือนร่างให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไป ไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นว่า นี่เป็นตัวเรา นี่เป็นตัวเขา เพราะว่าท้ายที่สุดก็ต้องพังทลายกลับคืนไปเป็นสมบัติของโลกตามเดิม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-08-2013 เมื่อ 12:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 91 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 06-08-2013, 20:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,399 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าท่านทั้งหลายสามารถภาวนาจนกำลังใจทรงตัว สามารถระงับกายสังขารได้ ต่อไปก็ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า ร่างกายนี้เป็นโทษเป็นภัย เป็นของน่ากลัว มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติธรรมดา ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงพ้น จนสภาพจิตเกิดความเบื่อหน่าย ไม่มีความปรารถนาในร่างกายของตน ไม่มีความปรารถนาในร่างกายของคนอื่นอีก ก็ให้ตั้งใจว่า..เมื่อตายลงไปเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

แล้วเอากำลังใจของตน จดจ่ออยู่กับพระนิพพาน จะกำหนดเป็นสถานที่ก็ได้ เป็นวิมานของเราก็ได้ เป็นภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพานก็ได้ แล้วพิจารณาดูลมหายใจเข้าออกของตัวเองพร้อมกับคำภาวนา ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ให้ตามดูตามรู้ลมหายใจไป ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ให้กำหนดคำภาวนาไปด้วย

ถ้าลมหายใจเบาลงหรือว่าหายไป หรือว่าคำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดดูกำหนดรู้ไว้เฉย ๆ อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น แล้วอย่าไปดิ้นรนให้พ้นจากสภาพอย่างนั้น เรามีหน้าที่ตามดูตามรู้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกำลังใจทรงตัวตามที่ต้องการไปเอง

ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกาและเถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-08-2013 เมื่อ 02:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 22-02-2014, 18:03
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 260
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,189 ครั้ง ใน 1,278 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2556-07-05

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:50



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว