กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 12-10-2012, 21:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๕

ถาม : หนูก็นอนกำหนดลมหายใจแบบปกติค่ะ อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าจิตค่อย ๆ ดิ่งลงเรื่อย ๆ รู้ว่าอีกนิดหนึ่งจะหลับแล้วค่ะ แต่อยู่ ๆ ก็เหมือนมีอะไรมาเกี่ยวจิตวูบขึ้นมา แล้วก็ตื่นเป็นอย่างนี้อยู่หลายรอบเลยค่ะ หนูทำอะไรผิดไปหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ได้ผิดหรอก ความรู้สึกตรงจุดนั้น พอหรี่ลง ๆ จะรู้สึกสะดุดนิดหนึ่ง แล้วสว่างโพลง คราวนี้เราจะอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน ความจริงร่างกายหลับ แต่จิตตื่นอยู่ เพราะฉะนั้น..เราไม่ต้องไปสนใจว่าจะหลับหรือไม่หลับ เรามีหน้าที่ภาวนาต่อไปเรื่อย ร่างกายนอนอยู่ก็ได้พักอยู่แล้ว

สภาพจิตของเราจะตื่นเป็นปกติ แต่มักโดนท่วมทับด้วยกิเลส สติขาดก็เลยตัดหลับ โดยปกติจะหลับไม่รู้เรื่อง ถ้าอะไรเข้ามาตอนนั้นจะรับไม่ได้ รับไม่ทัน โดยเฉพาะพวกกิเลสรัก โลภ โกรธ หลง แต่ถ้ารู้ในลักษณะนั้น คือ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ก็จะสามารถป้องกันกิเลสได้ทั้งหลับและตื่น ทำถึงตรงนั้นยากนะ เพราะส่วนใหญ่พอลง ๆ ๆ ก็จะหลับไปเลย แต่นี่มีจังหวะอยู่หน่อย เหมือนดีดตัวขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วก็จะทรงอยู่อย่างนั้นได้ทั้งวันทั้งคืน

ความจริงเราได้นอนแล้ว บางทีถ้าสติดี ๆ ได้ยินเสียงตัวเองกรนด้วย


ถาม : แล้วเวลาไปปฏิบัติธรรมหนูจะชอบตื่นขึ้นมากลางดึกค่ะ ทำอย่างไรถึงจะนอนรวดเดียวไปถึงเช้าไม่ตื่นขึ้นมากลางดึกคะ ?
ตอบ : ก็กลับไปชั่วอย่างเดิม แล้วจะไม่ตื่น..!

ถาม : เวลาตื่นขึ้นมาแล้วหนูกลัวผีค่ะ
ตอบ : ตอนเราภาวนาอยู่มีกำลังเท่ากับพรหม ผีที่ไหนจะกล้าหลอก ไอ้ผีที่กล้าหลอกไม่ใช่ผีหรอก ด่าไปได้เลย ส่วนใหญ่เป็นพรหมเทวดาเขามาลองใจ

ถาม : เวลาหนูแผ่เมตตาแล้วหมดแรงค่ะ
ตอบ : เมื่อเราแผ่เมตตาเป็นวงกว้าง ถ้าสมาธิไม่ดีเราจะหมดแรง เพราะฉะนั้น..ก่อนที่จะแผ่เมตตาให้ทรงสมาธิให้เต็มที่ก่อน แล้วค่อยแผ่ออกไป

ต้องบอกว่ากำลังจะได้ดี แล้วเราก็กลัวจะดี ตื่นอยู่กลัวผีหลอก หารู้ไม่ว่าหลับอยู่นั่นแหละผีหลอกถนัดนัก ตอนตื่นก็เหมือนกับขโมย เจ้าของบ้านตื่นอยู่ขโมยที่ไหนจะกล้าเข้ามา หลับเมื่อไรขโมยเข้าบ้านแน่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 13-10-2012 เมื่อ 18:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 272 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 12-10-2012, 21:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงเร็ว ๆ นี้จ่ายเงินเยอะมาก จ่ายจนเงินสำรองไม่เหลือเลยสักบาท มีเทคอนกรีตฐานพระสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกด้านล่าง ซึ่งตั้งใจว่าจะทำเป็นห้องสมุดประชาชน แต่จะไม่มีรายการยืม ให้มาอ่านที่วัดอย่างเดียว ตามที่วางแผนไว้ก็น่าจะมีอินเตอร์เน็ตสำหรับคนที่สนใจจะค้นคว้าความรู้ จะตั้งคอมพิวเตอร์สัก ๖ เครื่อง ต่อไปใครไปวัดก็มี WiFi เล่น

แล้วก็จ่ายค่าปิดทองพระชำระหนี้สงฆ์ไป ๘๐๐,๐๐๐ บาท ค่าวัสดุก่อสร้างร้านค้า ๓๖๖,๒๔๐ กว่าบาท ช่างก็มาเก็บงานเล็ก ๆ น้อย ๆ อีก ๓ - ๔ ราย เช่น เทพื้นคอนกรีต รื้อแล้วทำคลังพัสดุใหม่ ซ่อมหลังคากุฏิแดง สร้างห้องน้ำอีก ๓ ห้อง รวมแล้วก็ประมาณ ๑๘๕,๐๐๐ บาท พวกนี้วัสดุเป็นของเรา เขาคิดแต่ค่าแรงเท่านั้น

จนกระทั่งทำวัตรเย็นเสร็จ
จะ ๒ ทุ่มมุดเข้ากุฏิไป เตรียมนอนแล้วยังมีพระมาเคาะประตู ขอเบิกอีก ๔๐,๐๐๐ บาท ซื้อสีรองพื้นเพื่อทาสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ท่านกลัวว่าพระอาจารย์ไม่อยู่ เดี๋ยวจะเบิกไม่ได้ บางทีอาตมาก็สับสนในชีวิตเหมือนกัน ว่าเอาเงินที่ไหนมาจ่ายเยอะแยะขนาดนั้น

เรื่องงานของพระศาสนา ถ้าเรามอบความไว้วางใจให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเป็นงานของท่านจริง ๆ เงินจะมาเอง ก็เป็นเรื่องแปลก..มีอยู่ช่วงหนึ่ง ต้องใช้เงินประมาณหนึ่งล้านบาทเศษ ยังขาดเงินอยู่อีกมาก อยู่ ๆ ก็มีโยมคนหนึ่ง แบกเงินสดมา ๑ ล้านบาทมาถวาย

อาตมาก็ถามเขาว่า มีความจำเป็นต้องใช้อย่างอื่นไหม ? ในระยะใกล้ ๆ มีอะไรต้องใช้เงินจำนวนมากหรือเปล่า ? สอบถามจนกระทั่งมั่นใจแล้ว เขาบอกว่าเขาทำงานมาทั้งชีวิต อยากจะทำบุญให้สะใจเสียทีหนึ่ง แล้วเขาก็ถวายมา อาตมาก็มีเงินไปจ่ายเขาพอดี เพราะฉะนั้น..บางอย่างก็มาโดยที่เราคิดไม่ถึง

ในเมื่อเจอลักษณะนี้เข้าบ่อย ๆ ก็ยอมรับว่าในเรื่องของคุณพระรัตนตรัยนั้น ถ้าเรามีความเชื่อมั่น มั่นคงในคุณพระรัตนตรัย ถึงเวลาแล้วจะเป็นไปได้ทุกอย่าง เพียงแต่หลายท่านก็ค่อนข้างจะเครียด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2012 เมื่อ 03:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 278 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 13-10-2012, 09:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ตอนอาตมาออกจากวัดท่าซุงใหม่ ๆ ใช้เวลา ๑๓ เดือน สร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษีเสร็จสรรพเรียบร้อย มีอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสิบกว่าหลัง อาตมาเลิกคบกับร้านวัสดุที่ทองผาภูมิไปหลายร้าน เพราะสั่งของกว่าจะได้ก็หลายวัน ช่าง ๔๐ กว่าคน ค่าแรงแต่ละวันกินเงินไปตั้งเท่าไร ลองบวกลบคูณหารดู ไม่มีวัสดุให้เขาทำ เขาก็นั่งกินค่าแรงฟรีไปสิ

ในเมื่อออกมาแล้วทำอะไรได้สะดวกทันใจ หลวงตาวัชรชัยก็เอาบ้าง พอท่านออกจากวัดมาได้ไม่นานก็โทรศัพท์มาหา “เล็กโว้ย..มึงทำได้อย่างไรวะ กูจะหัวหงอกหมดแล้ว..!” อาตมากราบเรียนพี่ท่านไปว่า “ผมมอบความไว้วางใจให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปเลยครับ อะไรที่ทำ ท่านต้องหาเงินมาได้” หลวงตาบอกว่า “มึงพูดง่ายนี่ กูเครียด.!” อาตมาบอกว่า “แล้วจะเครียดไปทำไมครับ ผมวางกำลังใจว่า ถ้ามีเงินผมก็ทำ ถ้าไม่มีเงินผมก็นอน แต่ไม่ได้นอนสักที"

ช่วงแรก ๆ หลวงตายังตั้งตัวไม่ได้ ต้องคอยยืมเงินเรื่อย ๆ เดี๋ยว ๆ ก็โทรศัพท์มาขอยืมก่อน ช่วงแรก ๆ ต้องไปช่วยท่านขุดหลุมปลูกต้นไผ่ แล้วพื้นที่ก็คล้าย ๆ กับโรยกรวดอัดแน่น ขุดยากขุดเย็น มือไม้แตกหมด ที่พวกเราเห็นสวนไผ่ร่มรื่น กินอาหารกันสบาย ไม่รู้หรอกว่ารุ่นแรก ๆ มือแตกไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว

ช่วงนั้นเขายังระเบิดหินอยู่ วันดีคืนดีก็มีหินก้อนใหญ่ ๆ ปลิวโครมลงมา บางทีโดนอาคารบางหลังก็พังไปเลย เพราะหินลงพอดี หลวงตาต้องสู้กับเขามาตลอด จนกระทั่งโดนไล่ยิง โดนอะไรสารพัด พวกเราไปตอนที่สบายแล้ว เป็นวัดเรียบร้อยแล้ว สวยเช้งวับ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2012 เมื่อ 11:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 268 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 13-10-2012, 10:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อาตมาเองก็เหมือนกัน ตอนตกระกำลำบากไม่ค่อยมีใครมาช่วย ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง ทำวัดอยู่ ๒ ปี คือ ปี ๒๕๓๖ - ๒๕๓๗ พอวัดเริ่มเสร็จ เข้าพรรษาปี ๒๕๓๗ มีพระมาอยู่ด้วย ๕ - ๖ รูป มาตอนนี้ทำไม ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนนั้นอาตมาทำงานตัวดำปี๋อยู่คนเดียว ต้องบอกว่าบุญเขาดี พวกเขามาตอนงานหมดแล้ว

ปีที่ทิดรัตน์บวชที่วัดท่าขนุน งานท่วมวัดเลยปีนั้น เพราะทำลานธรรม ต้องถมดิน ปูทราย ปรับระดับ แล้วค่อยลงแผ่นอิฐ พระรุ่นนั้นทำงานกันหัวทิ่มหัวตำเช้ายันค่ำทุกวัน หลังจากนั้นที่วัดก็ว่างมา เพราะงานส่วนใหญ่เป็นงานช่าง พรรษาปี ๒๕๕๕ นี่แหละ ที่สร้างสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก พระต้องขัดแต่งกันเอง ไม่ต้องจ้างช่าง เพราะพระรับอาสาทำกันเอง วัน ๆ ปีนไปขัดพระกันเต็มไปหมด

ถ้าดูจากข้างล่างแล้วจะเห็นว่าองค์พระไม่ใหญ่เท่าไร แต่พอพระปีนขึ้นไปขัดกันแล้วเห็นตัวนิดหนึ่ง อย่างกับตัวไรไต่ภูเขา ทำให้นึกถึงพระพาหา (ต้นแขน) เขาใส่ถัง ๒๐๐ ลิตรไว้ ๕ ใบอยู่ข้างในแขน เพื่อลดน้ำหนักตอนเทคอนกรีต แล้วองค์พระจะใหญ่แค่ไหน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2012 เมื่อ 11:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 262 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 13-10-2012, 12:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาธรรมิกราช ๕๐ เล่มแรก น่าจะได้วันที่ ๒๐ ตุลาคมนี้ ใครจองไว้ให้ไปเบิกได้ ส่วนที่เหลือยังค่อนข้างนั่งลุ้นกันตัวเกร็ง ว่าจะเสร็จทันหรือเปล่า ?

เป็นวัตถุมงคลชิ้นเดียวที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุด ยากลำบากที่สุด เป็นสิ่งที่ควรจะภาคภูมิใจ เพราะขนาดเท่ากับ
พระแสงขรรค์ไชยศรีทุกกระเบียดนิ้ว ยกเว้นวัสดุที่ต่างกันนิดหนึ่ง อาตมาใส่บรรดาโลหะอาถรรพ์ต่าง ๆ ที่สะสมมา ๒๕ - ๒๖ ปี ลงไปหมดเลย ตรงจุดนี้ถ้าไม่ได้โรงงานของคุณวิทย์ ปกติแล้วไม่มีใครเขาทำได้

คุณวิทย์เขาเป็นนักหลอมโลหะมือหนึ่งของประเทศไทย เวลามีงานเกี่ยวกับโลหะศาสตร์ต่าง ๆ ของต่างประเทศ เขาจะเชิญคุณวิทย์ไปร่วมงานด้วย อาตมายอมจ่ายค่าแรงแพง ๆ คุณวิทย์ยังแทบจะปล้ำไม่อยู่ เพราะเวลาโลหะหลาย ๆ อย่างรวมกันแล้วเนื้อมักไม่ค่อยจะกลืนกัน


นอกจากนี้อาตมายังสูญเงินไป ๒๐๐,๐๐๐ กว่าบาทฟรี ๆ เนื่องจากจะเอาไม้พะยูงมาทำด้ามและฝักพระขรรค์ ไม้พะยูงทำด้ามได้ เวลากลึง ตัด การหดตัวจะมีน้อย แต่พอมาทำฝัก จะยาว ๆ แบน ๆ


ไม้ที่ได้มาในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นไม้สด ไม่ใช่ไม้ยืนต้นตาย พูดง่าย ๆ ก็คือโดนขโมยตัดนั่นแหละ พอเป็นไม้สด การหดตัวมีมาก เวลาทำให้แบน ยาว จะทั้งบิดทั้งหด ก็เลยต้องเปลี่ยนจากฝักไม้พะยูงมาเป็นฝักไม้สักทอง โยน
เงินค่าไม้พยุงทิ้งไป ๒๐๐,๐๐๐ กว่าบาทฟรี ๆ ไม่พอ ยังต้องจ่ายค่าไม้สักทองไปอีก ๓๐๐,๐๐๐ กว่าบาท"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2012 เมื่อ 02:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 255 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 13-10-2012, 12:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถึงได้บอกกับพวกเราว่า เล่มละ ๘๔,๐๐๐ บาท โคตรจะคุ้มเลย หักกลบลบล้างแล้วไม่รู้อาตมาจะเหลือบ้างหรือเปล่า ? ตอนนี้ที่ตีคร่าว ๆ ก็คือชุบลวดลายทองคำไมครอน เล่มละประมาณ ๑๕,๐๐๐ บาท แล้วชุบลูธิเนียมที่ตัวใบ เล่มละ ๕,๐๐๐ บาท สรุปว่าชุบอย่างเดียวราคาไป ๒๐,๐๐๐ บาทแล้ว

ลูธิเนียม บางคนก็เรียกว่าทองคำดำ เป็นโลหะธาตุตระกูลเดียวกับทองคำ แต่สีออกน้ำเงิน โบราณเขาเรียกว่าจ้าวน้ำเงิน เป็นหนึ่งในส่วนผสมของนวโลหะ ปัจจุบันนี้คนไม่ค่อยรู้จักกัน นี่ถ้าไม่ใช่อาตมาเปิดเผย เชื่อเถอะ..ป่านนี้เขาก็ไม่รู้ว่าจ้าวน้ำเงินคืออะไร

พอ ๆ กับสุวรรณขีด สุวรรณขีดของโบราณคือแพลตตินัมหรือทองคำขาว โลหะธาตุนั้นโบราณเขาเรียกอย่างหนึ่ง ปัจจุบันเรียกไปอีกอย่างหนึ่ง

งานนี้ถ้าไม่ได้หลวงพี่นิลของพวกเรา ไปช่วยตามงานชนิดกัดไม่ปล่อย จะไม่มีทางสำเร็จเลย เป็นพระคุณอย่างยิ่งที่ท่านเมตตาวิ่งงานให้ เดี๋ยวอีกสักครู่หนึ่งท่านจะมาเบิกเงิน งวดนี้ขอเบิก ๔๐๐,๐๐๐ บาท อาตมายังไม่ได้จ่ายค่าชุบเขาเลยสักบาท เพียงแต่ว่าวางมัดจำเขาไป ๕๐๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2012 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 254 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 13-10-2012, 12:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"งานนี้เขาหล่อใบพระขรรค์มาเผื่อเสีย ที่ต้องพยายามอย่างที่สุดก็คือ โลหะที่เป็นตามดเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเป็นปกติของโลหะผสมที่จะเกิด เพราะว่าประสานกันไม่สนิท กำลังเอาไปให้เขายิงเลเซอร์อุดหมด ค่ายิงเลเซอร์ก็อ่วมอรทัยเลย และแต่ละเล่มก็ไม่เท่ากัน อันไหนมีมากก็จ่ายมาก อันไหนมีน้อยก็จ่ายน้อย

พอขัดปัดเงาเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็ชุบลูธิเนียม ประกอบด้าม ประกอบฝัก ประกอบลาย ใครอยากดูว่าสวยแค่ไหน ไปเปิดดูในกระทู้จองพระขรรค์ ปกติแล้วอาตมาถือคติอย่างหนึ่งว่า วัตถุมงคลทำออกมาต้องสวยที่สุดเท่าที่ทำได้ ถ้าวัตถุมงคลออกมาสวย คนเห็นเขาก็ศรัทธา

แต่ต้องยอมรับว่าพระขรรค์โสฬสนี้ ศรัทธาอย่างเดียวไม่พอ ต้องรวยด้วย วัตถุมงคลชิ้นหนึ่งราคาเกือบแสน แล้วที่แน่ ๆ ก็คือ อาตมากับหลวงพี่นิลถือได้อย่างสบาย ๆ แต่คนอื่นต้องอุ้ม ๒ มือ เฉพาะใบอย่างเดียวตอนหล่อเสร็จใหม่ ๆ หนัก ๓.๕ กิโลกรัม ลองดูซิว่า..ถ้าเข้าด้ามเข้าฝักประกอบลวดลายเข้าไปแล้ว จะหนักแค่ไหน ส่งให้ใครมีแต่ต้องอุ้มทั้งนั้น ดีเหมือนกันนะ อุ้มแล้วดูเท่ดี..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2012 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 251 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 14-10-2012, 08:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตะกรุดกำลังแม่พระธรณี ค่าบูชาครูดอกไม้ธูปเทียน ผมควรตั้งใจบูชาพระรัตนตรัยหรือตั้งใจบูชาพระอาจารย์ดีครับ ?
ตอบ : บูชาพระไป ปัจจัยก็ถวายเป็นสังฆทาน

ถาม : ต้องขึ้นครูทุกครั้งหรือเปล่าครับ หรือแค่รอบเดียว ?
ตอบ : รอบเดียว

ค่าบูชาครูวิชานี้แพงโคตร เราลองนึกถึงสมัยที่ก๋วยเตี๋ยว ๒ ชามราคา ๕ สตางค์สิ แล้วเงิน ๑๐๐ บาทในสมัยตั้งเท่าไร ? ต้องบอกว่าหลวงปู่เนป่อง ท่านอยากได้วิชานี้มาก อุตส่าห์หาเงินได้ตั้งหนึ่งร้อยบาทไปขึ้นครู สมัยนั้นเงิน ๑ ชั่ง เท่ากับ ๘๐ บาท บ้านไหนมีเงิน ๑ ชั่ง เท่ากับเป็นเศรษฐีแล้ว นี่เขาเอาค่าครูตั้ง ๑ ชั่ง ๕ ตำลึง

ที่เขาคิดเป็นชั่งเพราะเงินสมัยก่อนเป็นแท่ง เป็นก้อน ก็เลยต้องคิดเป็นชั่ง ต้องบอกว่าโบราณเขาเก่งกว่าเรา เขารู้ว่าเงินและทองเป็นโลหะมีค่า โดยเฉพาะทองคำเป็นโลหะธาตุที่ไม่เป็นสนิม เป็นโลหะที่อยู่ยั้งยืนยงที่สุด ไม่กินตัวเอง แล้วโบราณเขารู้ได้อย่างไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2012 เมื่อ 15:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 248 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 14-10-2012, 09:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ความรู้ในปัจจุบันไม่ต้องอะไรมากหรอก รู้ให้เท่าคนโบราณก็พอแล้ว สมัยนี้ส่วนใหญ่รู้มากเกินไป นำหลักวิชาตะวันตกมาจับเท่าไรก็สู้ของเราไม่ได้ โดยเฉพาะพวกหลักการทางศาสนาซึ่งเป็นที่พึ่งทางใจ ถ้าพูดกันแบบไม่เกรงใจเลยก็คือ ศาสดาของทุกศาสนาเป็นชาวตะวันออกทั้งหมด ไม่มีศาสดาท่านไหนเป็นชาวตะวันตกเลย

ลองกล่าวมาสักศาสนาหนึ่งสิ พระเยซูเกิดในอิสราเอลซึ่งอยู่ตะวันออกกลาง พระมูฮัมหมัดอยู่ตะวันออกกลาง พระพุทธเจ้าอยู่ชมพูทวีป ขงจื๊อ เหล่าจื๊อ อยู่ประเทศจีน ศาสนาพราหมณ์ก็อยู่ในอินเดีย โซโรอัสเตอร์ บูชาไฟก็อยู่ในเปอร์เซีย

เพราะฉะนั้น..หลักการต่าง ๆ ตะวันออกของเราเจริญรุ่งเรืองมาก่อน โดยเฉพาะแหล่งอารยธรรมลุ่มน้ำฮวงโห แหล่งอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ เจริญมาก่อนตะวันตกหลายพันปี

ปัจจุบันนี้พวกหลักฐานวิชาการต่าง ๆ เขาก็สรุปออกมาแล้วว่า จีนค้นพบทวีปอเมริกาเป็นประเทศแรก ไม่ใช่โคลัมบัส กลายเป็นเจิ้งเหอ ที่คนไทยเรียกว่าซำปอกง เจิ้งเหอแวะมาอยุธยาด้วยนะ หลวงพ่อโตซำปอกงที่วัดพนัญเชิง เขาสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเจิ้งเหอมีดำริให้สร้างขึ้นมา เจิ้งเหอเอากองเรือมหึมาออกตระเวนไปยังขั้วโลกเหนือ จนกระทั่ง
ทนหนาวไม่ไหวต้องถอยกลับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2012 เมื่อ 15:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 249 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 14-10-2012, 09:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คนจีนเขาขยันบันทึกเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องที่บันทึกเอาไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว ถ้าจำไม่ผิดสมัยโจวเจาอ๋อง บอกว่าอยู่ ๆ มีปรากฏการณ์ประหลาด มีรัศมี ๕ สี พุ่งมาจากทางทิศตะวันตก แม่น้ำมีขึ้นในเวลาที่น้ำควรจะลง แหล่งน้ำธรรมชาติทุกแหล่งอยู่ ๆ มีน้ำเปี่ยมถึงขอบทั้งหมด

ปุโรหิตพิจารณาดวงดาวแล้วบอกว่า ขณะนี้บุคคลผู้เป็นศาสดาเอกของโลกเกิดขึ้นแล้ว เขามีบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว แล้วก็ยังทำนายต่อไปว่า อีกประมาณ ๑,๐๐๐ ปี ธรรมะของพระองค์ท่านจะเข้ามาถึงแผ่นดินจีน หลังจากนั้น ๘๐ ปีในสมัยของโจวมู่อ๋องก็มีบันทึกว่า มีแสงสว่างมาจากฝั่งฟากฟ้าตะวันตก ส่องสว่างเหมือนกับกลางวัน ปุโรหิตก็ทำนายว่า กายหยาบของพระอริยเจ้าท่านนั้นแตกดับแล้ว นั่นเขารู้ได้อย่างไร ?


อย่างพวกเราต้องใช้ฌานสมาบัติ หรือทิพจักขุญาณ แต่เขาอาศัยการโคจรของดวงดาวที่เป็นดาราศาสตร์ เป็นโหราศาสตร์คำนวณได้ ความชำนาญของเขาถึงระดับไหน ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2012 เมื่อ 15:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 255 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 14-10-2012, 09:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระเจ้าโจวเจาอ๋องสั่งให้จารึกเอาไว้บนแผ่นหิน ก็เลยตกทอดมาถึงยุคเราได้ หลังจากนั้นมาถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นของพระเจ้าฮั่นหมิงตี้ ระยะเวลาห่างกัน ๑,๐๐๐ ปีพอดี อยู่ ๆ พระองค์ท่านก็ทรงพระสุบินว่า มีบุรุษร่างใหญ่กายเป็นทองคำเดินเข้ามาหา

ปุโรหิตก็บอกว่า คำทำนายที่ว่าธรรมะของศาสดาเอกที่อยู่ทางทิศตะวันตกนั้น ควรจะมาถึงแล้ว ลักษณะที่พระองค์ท่านสุบินนิมิตเห็นมนุษย์ทองคำ ก็คือหลักธรรมที่มีคุณค่าขนาดนั้น สมควรที่จะเข้ามาถึงบ้านเราเมืองเราแล้ว จึงส่งราชทูตไป ๑๘ คน ปรากฏว่าไปเจอพระกาศยปะมาตังคะกำลังอัญเชิญพระไตรปิฎกกับพระพุทธรูปเข้าประเทศจีนพอดี เท่ากับว่าทางด้านนี้เตรียมราชทูตไปรับเลย

กาศยปะ เป็นภาษาสันสกฤต ถ้าภาษาบาลีก็คือพระกัสสปะ คราวนี้จีนเป็นทางสายมหายาน ซึ่งทุกอย่างจารึกด้วยภาษาสันสกฤต จึงเป็นกาศยปะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2012 เมื่อ 15:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 247 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 14-10-2012, 09:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเป็นลักษณะนั้นก็เลยทำให้สิ่งที่มีคุณค่านั้นได้รับการบันทึกไว้ แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจไปอ่าน บุคคลที่ได้ศึกษา สามารถรู้เท่าคนโบราณได้ก็เก่งมากแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดรู้มากกว่าคนโบราณหรอก

คนจีนสามารถคิดเครื่องวัดแผ่นดินไหวได้ ปัจจุบันเทคโนโลยีของเราลงทุนขนาดไหนกว่าจะวัดแผ่นดินไหวได้ จีนเขาทำเป็นกระถางทองแดง มีมังกรคาบแก้วอยู่ ๘ ทิศ ข้างล่างเป็นกบที่อ้าปากอยู่ ถ้าแผ่นดินไหวทิศไหน มังกรจะคายแก้วลงไปที่ปากกบในทิศนั้น โบราณเขาทำได้ขนาดนั้น

ประเทศจีนเป็นต้นกำเนิดของสารพัดสิ่ง อย่างเช่น ผ้าไหม ธนบัตร ก็คือเงินที่ใช้ทุกวันนี้ ประเทศจีนใช้มาก่อน เงินทองเป็นพัน ๆ ตำลึง เอาเกวียนขนไปก็ไม่ไหว คนจีนจึงคิดระบบตั๋วแลกเงินขึ้นมาก่อน พวกร้านใหญ่ ๆ รับซื้อเงินเขามา ออกตั๋วประทับตราของตัวเองให้ แล้วก็เอาไปเก็บเงินที่สาขาของปลายทาง เท่ากับเป็นธนาคารแรก ๆ ของโลกเลย

คิดกระดาษขึ้นมา คิดดินปืนขึ้นมา เริ่มมาจากทางฟากตะวันออกแทบทั้งนั้น ระบบการพิมพ์ แบบแท่นพิมพ์ไม้ก็เป็นจีนคิดขึ้นมา แกะตัวหนังสือแล้วก็พิมพ์ทีละหน้า เอาแม่พิมพ์จุ่มหมึกแล้วก็กดพิมพ์เอา ถ้าหนังสือมี ๑๐๐ หน้าก็แกะแม่พิมพ์ ๑๐๐ ตัว พิมพ์ให้ครบแล้วก็เย็บเล่ม เขาทำมาก่อน

แม้กระทั่งการผ่าตัดทางการแพทย์ ปัจจุบันนี้เขาไปเห่อการรักษาแบบทิเบต ซึ่งทิเบตรับอารยธรรมการรักษาโรคไปจากจีน พวกการรมควัน ใช้ความร้อน ฝังเข็ม พวกหมอปัจจุบันที่พยายามวิเคราะห์ตามจุดฝังเข็มต่าง ๆ เขาบอกว่ามีหลายต่อหลายจุดที่เป็นแหล่งผลิตฮอร์โมนตามธรรมชาติ ถ้าไม่ได้เครื่องมือสมัยใหม่ก็ตรวจไม่ออก แต่คนจีนสามารถฝังเข็มตามจุดเหล่านั้นได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2012 เมื่อ 15:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 234 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 14-10-2012, 09:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอควาญช้างของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ใช้เป็นอาวุธได้ สมัยอาตมายังเด็ก ๆ พวกเสือปล้นส่วนใหญ่จะหนังเหนียว ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า แต่ถ้าเจอมีดหมอหลวงพ่อเดิมก็ไม่เหลือ ถ้าเขารู้ว่าเจ้าทรัพย์มีมีดหมอหลวงพ่อเดิม เขาไม่ไปปล้นให้เสียเวลาหรอก...กลัวตาย เพราะถึงเหนียวขนาดไหนก็โดนแล้วเข้าทุกที"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2012 เมื่อ 15:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 246 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 14-10-2012, 10:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้เป็นลมพิษวันที่สามแล้ว คันคะเยอไปทั้งตัว ที่เห็นนั่งยิ้มอยู่นี่ ถ้าเป็นคนอื่นก็เกาตายชักไปแล้ว เนื่องจากเป็นวาระที่ต้องรับ อย่างไรเสียพระขรรค์โสฬสต้องเสร็จ ใครขวางได้ขวางไป อาตมาไม่ตื่นเต้นหรอก เพราะรู้ว่าเขาขวางได้ไม่ตลอด การตีหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้นี่อาตมาถนัดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในร่มผ้าไม่ต้องเปิดให้ดูเลย ถ้าเปิดให้ดูเหมือนอย่างกับโรคเรื้อนหรือไม่ก็หนังคางคก

กะว่า ๓ วันก็เลิก นี่วันที่ ๓ แล้ว ถ้าไม่หายจะอยู่ไปตลอดชีวิต อาตมาก็ไม่รังเกียจหรอก จะได้ซักซ้อมสมาธิว่ายังทำไม่รู้ไม่ชี้ได้หรือไม่ ? ตอนตื่นอยู่พยายามไม่เกาอาจจะพอได้ แต่ตอนหลับต้องไม่เกาด้วยนี่สิ.. บางคนตอนตื่นไม่เกา ตอนหลับเกาจนเสียหนังถลอกหมดเลย เป็นเครื่องทดสอบได้ว่าสติสมาธิทรงตัวจริงหรือเปล่า ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2012 เมื่อ 10:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 261 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 15-10-2012, 13:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์แนะนำโยมเรื่องการช่วยงานวัดว่า "ถ้าทีมงานไม่พร้อม อย่าไปรับงานใหญ่อย่างนั้น เราไม่มีทีมงานที่รับผิดชอบหน้าที่ ขนาดเงินเป็นขัน ๆ อาตมาถามว่าใครดูแล ก็ไม่มีใครรู้ อาตมาก็ต้องถือเอาไว้เอง จนกระทั่งส่งให้คนอื่นที่รู้จักเขาไปจัดการแทน ถ้าเราจะรับในลักษณะเป็นแม่งาน ทีมงานต้องพร้อม โดยเฉพาะคนที่เสียสละ

ทุกคนจะไปอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของงาน แต่การทำงานจะต้องแบ่งมาดูแลรอบนอกด้วย อย่างพวกงานด้านการจราจร เรื่องข้าวปลาอาหาร เรื่องสถานที่ ต้องแบ่งกันออกไปเลย ต้องเป็นคนเสียสละ

อย่างงานของวัดท่าซุง หลวงพ่อวัดท่าซุงจัดงานเป่ายันต์ ๑๘ ครั้ง อาตมามีโอกาสเข้างานเป่ายันต์ ๒ ครั้ง อีก ๑๖ ครั้งต้องไปดูแลงานข้างนอกหมด ถ้าเราไปประดังอยู่ที่เดียว งานจะไปไม่ได้ และจุดที่เห็นก็คือ ถ้าครูบาวิฑูรย์ท่านออกมาแล้ว เราแห่ท่านมาที่ศาลาทีเดียวจะจบเลย เพราะตรงนั้นที่แคบมาก คนไปประดังกันอยู่ ถ้าอาตมาไม่เจาะทางให้ออกนะ ก็ยังอัดกันอยู่อีกนาน

จุดที่น่าตายที่สุดก็คือ ดันไปนั่งนับเวลาให้ครูบาท่าน คนเราเหมือนกับพวกซาดิสม์ เวลามีเยอะกลับไม่ทำบุญ เวลามีน้อยยิ่งประดังกันเข้าไป คุณไปนับ ๑ - ๒๐ เขาก็ยิ่งวิ่งเข้าใส่ ไม่ต้องลุกกันพอดี ลุกก็คือลุกเลย อย่าไปนับอย่างนั้น

คราวหน้าถ้ามีทีมงานให้กระจายออก ว่าแต่ละคนรับผิดชอบงานส่วนไหน แล้วให้เขาหาทีมงานของเขามาเพิ่มเอง เราต้องมอบความไว้วางใจให้เขาไปเลย ดูแลเรื่องอาหารก็ดูแลไป ส่วนของโรงทานก็ดูแลไป ส่วนของอาหารถวายพระก็ดูแลไป ส่วนของการจราจร ส่วนของขบวนแห่ ให้แต่ละคนรับผิดชอบเป็นส่วน ๆ แล้วให้เขาหาทีมงานมาจะทำให้ง่ายขึ้น เรื่องนี้ถ้าไม่ได้ทำงานก็จะไม่เห็น ถ้าได้ทำงานแล้วจะเห็นว่ามีข้อบกพร่องอีกมาก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2012 เมื่อ 14:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 245 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 15-10-2012, 13:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อาตมาไปนั่งรออยู่ที่ศาลา พอได้ยินเสียงนับครั้งที่ ๒ ก็บอกกับน้องเล็กว่า “ไอ้นี่ถ้าไปนับที่วัดท่าขนุน โดนเตะตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว” เพราะคนเรานี่แปลก ยิ่งไม่มีเวลายิ่งตะบี้ตะบันเข้าไป กลัวว่าพระจะไป ยิ่งไปนับเขาก็ยิ่งแย่งกันทำบุญ ครูบาท่านก็ไม่ต้องลุกสักที คุณต้องตัดไปเลย หมดเวลาต้องลุกเลย ถ้าทำไม่เด็ดขาดก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ตอนเขาจะมาทำบุญกับอาตมาตรงข้างครูบาวิฑูรย์ อาตมาสั่งล้มโต๊ะไปเลย ไม่รับการทำบุญ ไม่อย่างนั้นคนก็จะมาอัดกันตรงนั้น คนอื่น ๆ ก็ไปกันไม่ได้

บางส่วนเราก็ต้องยอมเสียสละ อาตมาถือว่าตอนช่วงเช้าช่วยเขาได้เงินเข้าวัดมากแล้ว ตรงจุดนี้ไม่ต้องก็ได้ โละทิ้งไปเลย ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้เร็วด้วย อย่างเรื่องนางรำ เขาจะรำให้เขารำไป ทางด้านนี้ครูบาจะออก ร่างกายท่านโทรมมาก ยิ่งนั่งนานเท่าไรยิ่งแย่เท่านั้น ต้องปล่อยคนทำบุญผ่านให้เร็วที่สุด คุณไปกั้นคน อั้นเอาไว้ให้เขารำก่อน ท่านก็ตายพอดี

ครั้งหน้าต้องรอบคอบกว่านี้ ไม่เป็นไรหรอก..พอมีสักเที่ยวหนึ่งต่อไปจะดีขึ้น วัดท่าขนุนพอเลิกงานแต่ละครั้ง อาตมาจะมีการบอกพระเณรว่ามีจุดบกพร่องตรงไหน แล้วครั้งหน้าให้เขาแก้ไข งานก็จะคล่องขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งหลายวัดเขาบอกว่าอยากมีทีมงานอย่างวัดท่าขนุน อาตมาบอกว่าไม่ใช่หรอก ทีมงานวัดท่าขนุนที่มีขึ้นมาได้เพราะว่ามีการวิเคราะห์จุดบกพร่องทุกครั้งหลังทำงาน

ถ้าคุณไปรับจัดงานอย่างนั้น มอบให้ใครไปเสร็จสรรพ ต้องไว้วางใจเขาเลยว่าเขาทำได้แน่ แล้วคุณเองก็อาจจะอยู่ตรงศูนย์กลาง มีวิทยุหรือไมโครโฟนสักอันหนึ่งคอยควบคุม ยกตัวอย่าง “ตอนนี้ครูบาจะเคลื่อนขบวนแล้ว ใครดูแลเรื่องขบวนเสลี่ยงให้จัดเตรียมด่วนจี๋เลย” เขาจะรู้ว่าถึงงานของเขา ถึงเวลางานก็จะไปได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2012 เมื่อ 16:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 247 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 16-10-2012, 19:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานหลายอย่างที่เป็นการตัดเคราะห์กรรมของคนส่วนรวม หัวหน้าชุดมักจะโดนก่อน อย่างงานทำพระขรรค์โสฬสฯ ของอาตมา โดนเล่นจนเดี้ยงทุกราย แม้กระทั่งตัวเอง ยิ่งงานใหญ่เท่าไรเขาก็ยิ่งเอาหนักเท่านั้น

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้เตือนนักเตือนหนาว่า การพุทธาภิเษกวัตถุมงคลแบบพกติดตัวให้ใช้เครื่องบวงสรวงเต็มชุด ถ้าพุทธาภิเษกพระพุทธรูป ให้ใช้ชุดดอกไม้ ไม่ต้องมีหมู ไก่ ปลา ก็ได้ เพราะพระพุทธรูปเราตั้งบูชาอยู่ที่บ้าน คุ้มครองรักษาเฉพาะที่บ้าน แต่วัตถุมงคลที่ติดตัวนั้น เป็นการสะเดาะเคราะห์ไปในตัว ถ้าเคราะห์หนักก็เป็นเบา เคราะห์เบาก็เป็นหาย

ท้าวมหาราชท่านสั่งบังคับไว้เลยว่าเครื่องบวงสรวงต้องเต็มชุด อย่าเผลอเป็นอันขาด ขนาดหลวงพ่อวัดท่าซุงยังโดนไปเต็ม ๆ คลานออกมาเลย

ตอนนั้นพุทธาภิเษกพระแก้วใสอยู่ มีคนทำสมเด็จองค์ปฐมรุ่นสี่เหลี่ยม องค์คล้าย ๆ สมเด็จวัดปากน้ำ เอาไปเข้าพิธี ท่านท้าวมหาชมพูบอกว่า "สั่งแล้วทำไมไม่จำ..!" ความจริงหลวงพ่อท่านจำ แต่ไอ้ลูกระยำไม่ยอมจำนะสิ..เอาไปซุกเข้าพิธีไปด้วย ท่านจึงโดนอ่วมเลย ต้องสั่งเอาไปเข้าพิธีใหม่ สรุปว่ายังไม่ทันจะเข้าพิธีใหม่หลวงพ่อก็มรณภาพเสียก่อน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2012 เมื่อ 02:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 237 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 16-10-2012, 20:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"จริง ๆ แล้วหลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐมมีแค่ ๓ รุ่นที่ทันหลวงพ่อวัดท่าซุงเสก ก็คือรุ่นหนึ่งที่มีกริ่ง รุ่นสองที่เจาะรูไม่อุดกริ่ง และรุ่นที่เป็นซุ้มเอาไว้แขวนหน้ารถ รุ่นนั้นมีแค่ ๕๐๐ องค์เท่านั้น นอกนั้นมาพุทธาภิเษกทีหลังทั้งสิ้น รุ่นสามยังไม่ทันเลย

โดยเฉพาะรุ่นที่แขวนหน้ารถ มีแค่ ๕๐๐ องค์ แต่คนอยากได้มีเป็นแสน พอแขวนไว้หน้ารถ ก็โดนทุบกระจกข้าง เขาทิ้งเงินไว้ ๒,๕๐๐ บาทเป็นค่ากระจกแล้วเอาพระไป ถ้าทุบกระจกหน้า ๒,๕๐๐ บาทก็ไม่พอ ต้องบอกว่าลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ขโมยหรอก ขอดื้อ ๆ และทิ้งค่ากระจกไว้ให้ด้วย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2012 เมื่อ 02:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 16-10-2012, 20:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนที่หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม จะมรณภาพ ช่วงวันเกิดของท่านอาตมาก็ไปกราบถวายสักการะท่าน ท่านกวักมือเรียกเข้าไปใกล้ ๆ ตอนนั้นท่านเจ้าคุณราชพุทธิวราภรณ์ วัดกวิศรารามที่ลพบุรี ดูแลท่านอยู่ ท่านเจ้าคุณฯ บอกว่า “เอียงหูเข้าไปเลย หลวงพ่อท่านจะได้ไม่ต้องพูดดัง”

หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ท่านพูดขาดเป็นช่วง ๆ แต่ความจำท่านแม่นมาก ท่านบอกว่า “เรื่องพระอุปัชฌาย์ ผมต้องขอโทษคุณด้วย ผมมีโควตาให้ภาค ๑๔ อยู่ ๓๐ รูป สุพรรณบุรีขอมาก็ ๒๑ รูปแล้ว พระอุปัชฌาย์เป็นโควตาของเจ้าคณะตำบล ต้องให้เขาก่อน คุณไปขอสัญญาบัตรมาก็แล้วกัน” อาตมาไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านจึงให้ขอสัญญาบัตรแทน อาตมาก็ตอบ "ครับ ๆ" แต่ก็ไม่ได้ขอไปเหมือนเดิม

หลังจากวันเกิดไม่นาน หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านก็มรณภาพ ตอนนั้นอาตมาก็ยังเกรงว่าท่านจะห่วงงาน มรณภาพแล้วจะไปดีหรือเปล่า ? ปรากฏว่าไปดี ต้องบอกว่าโรคมะเร็งช่วยพระไปดีหลายรูปแล้ว อย่างหลวงพ่อพระเทพวิสุทธิเวที วัดอนงคาราม หรือหลวงพ่อเจ้าคุณไสว ที่ร่วมวงน้ำปลาพริกป่นกับหลวงพ่อวัดท่าซุงนั่นแหละ ท่านก็เป็นมะเร็ง ท่านบอก.. (บอกหลังจากท่านเสียแล้ว)
ว่า

"พอจนแต้มขึ้นมาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็นึกถึงมหาวีระที่เคยสอนกรรมฐาน บอกว่าอานาปานสติระงับกายสังขารได้ เจ็บไข้ได้ป่วยก็เหมือนไม่ป่วย ก็เลยต้องภาวนา" ไปได้ดีตอนนั้น ภาวนาอารมณ์ใจทรงตัว มรณภาพแล้วไปได้ไปเป็นพรหม ไม่อย่างนั้นป่านนี้ไปไหนก็ไม่รู้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2012 เมื่อ 02:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 243 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 16-10-2012, 20:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,785 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ก่อนหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามมรณภาพวันหนึ่ง ท่านบอกกับพระที่ดูแลและญาติโยมที่อยู่ใกล้ว่า “ภาระของเราไม่มีแล้วนะ” ท่านบอกชัดเลย พอเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ต้องวิ่งเข้าไปหาการปฏิบัติของตนเองก่อน

ท่านเป็นศิษย์สายหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ จังหวัดอยุธยา เป็นสมเด็จพระราชาคณะรูปเดียวที่สักลายพร้อยเลย ท่านไม่เคยตำหนิใครเรื่องลายสัก ท่านบอกว่าลูกผู้ชายต้องมีบ้าง แต่ให้เป็นลายสักที่เป็นไปตามสายครูบาอาจารย์ มีแล้วต้องใช้ให้เกิดผลจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าสักจนลายไปหมด ลายสักของท่านเองก็ดูไม่น่าเกลียด ท่านมีลายสักที่แขนอยู่ ๓ แถว ส่วนอื่นอยู่ในผ้า ถูกปิดอยู่มองไม่เห็น แต่สมัยปัจจุบันที่เขาสักสวย ๆ บางทีแขนลายหมด ห่มจีวรก็ยังแขนลายพร้อยเลย

หลวงปู่พระธรรมเสนานีหรือหลวงปู่ชุณห์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านเป็นคนเด็ดขาด จัดการทุกอย่างตามเรื่องตามราวตลอด ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ว่ากันตามกฎระเบียบ มีคนไปถามหลวงปู่ว่า “พระสักได้ไหมครับ ?”

หลวงปู่บอกว่า “นั่นเป็นค่านิยมของลูกผู้ชายไทยมาตั้งแต่โบราณแล้ว รอยสักนี่ปกบ้านป้องเมืองมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว สักได้..แต่อย่าให้มากนัก มากแล้วจะดูเป็นนักเลงมากกว่าพระ” ท่านว่าตามตรงเลยนะ เห็นพระผู้ใหญ่ที่ท่านยึดหลักการแล้วก็ปลื้มใจ บางอย่างอาตมาเองก็ยังนึกไม่ถึง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2012 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 243 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:46



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว