กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #141  
เก่า 27-05-2011, 18:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การที่พระโพธิสัตว์ให้ทานเป็นสุรา ?
ตอบ : สุราเป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ พระพุทธเจ้าสมัยเป็นพระเวสสันดรก็ให้สุราเป็นทาน พระอานนท์ทูลถามว่า ผู้ดื่มสุรานั้นผิดศีล แต่ทำไมถึงให้เป็นทาน ? อย่าลืมว่าท่านให้เฉย ๆ ไม่ได้บีบคอให้เขากิน จะกินหรือไม่กินนั้นอยู่ที่ตัวเขา

ท่านให้เพราะว่าท่านต้องการให้ในสิ่งที่คนเขาชอบ นักเลงเหล้าชอบแต่เหล้า ท่านก็ให้เหล้าเขาไป ส่วนเขาจะกินหรือไม่กินไม่ได้เกี่ยวกับท่านแล้ว เพราะฉะนั้น..ให้ได้ แต่ไม่มีอานิสงส์

ถาม : การขายสุรา ?
ตอบ : การขายสุราก็ไม่ผิด บอกแล้วว่าเราไม่ได้บีบปากเขากรอกลงไปเราไม่ผิดหรอก แต่คราวนี้คนที่ไม่รู้ จะไปตำหนิว่าเขาทำผิด แล้วก็เกิดโทษแก่คนที่ตำหนิ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยบอกว่า บุคคลผู้เป็นพุทธมามกะไม่ควรทำ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2011 เมื่อ 02:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #142  
เก่า 27-05-2011, 18:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ควรบูชาท่านแม่ทั้งสามอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าจะบนท่านแม่ ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ให้บนถวายผ้าไตร ถวายองค์ละชุดไปเลยก็ได้ แต่ขณะเดียวกันถ้าบูชาทั่ว ๆ ไป ก็ให้สวดมนต์และเจริญกรรมฐานเป็นปกติ ท่านจะชอบอย่างนั้น เพราะว่าท่านแม่ทั้งสามตอนนี้ท่านไปนิพพานหมดแล้ว

ถ้าเป็นสมัยก่อนท่านให้ถวายด้วยผ้าสไบ แต่ว่าพอไปนิพพานแล้วท่านบอกว่าเปลี่ยนเป็นจีวรแล้วกัน พระจะได้ใช้ประโยชน์ด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2011 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #143  
เก่า 27-05-2011, 18:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใน "หนังสือสมบัติพ่อให้" เล่มนี้ เราจะเห็นรูปหลวงปู่เนียม วัดน้อย ถ้าเป็นรูปจริงจะเป็นรูปที่เขาถ่ายหลังจากท่านมรณภาพแล้ว

หลวงปู่เนียมเป็นพระที่บรรดาช่างภาพกลัวมาก เครื่องมือดีแค่ไหนก็ตาม ขออนุญาตหรือไม่ขอก็ตาม ถ่ายไม่ติดทั้งนั้น รูปหลวงปู่เนียมมีอยู่ ๒ รูป ก็คือรูปนอนกับรูปนั่ง เขาจับท่านถ่ายหลังจากที่ท่านมรณภาพแล้ว"

รูป
ชนิดของไฟล์: jpg images.jpg (7.5 KB, 1213 views)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-06-2011 เมื่อ 08:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #144  
เก่า 27-05-2011, 18:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนที่วัดท่าซุง มีรุ่นพี่อยู่ ๑ ท่าน คือหลวงพี่บรรจง กวิวํโส แต่พวกเราเรียกว่า "หลวงปู่จง" เขามีหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ก็เลยต้องมีหลวงปู่จง วัดท่าซุงด้วย

หลวงปู่จงนี่ท่านบวชรุ่นเดียวกับหลวงพี่ชัยวัฒน์ เป็นนักสะสมพระเครื่อง เล่นมาตั้งแต่ก่อนบวช วัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงปู่จงจะมีทุกรุ่น ตั้งแต่รุ่นแรกยันรุ่นล่าสุด หลวงปู่จงออกกิจนิมนต์ได้เงินมาเท่าไร ถวายหลวงพ่อเพื่อรับเป็นวัตถุมงคลหมด จนพวกเราล้อกันว่า "หลวงปู่จง..ดูคานกุฏิซิว่าร้าวหรือยัง ?"

มีอยู่วันหนึ่ง "ไอ้โหน่ง" (น้องสาวหลวงปู่จง) เอาพระเครื่องมาไล่ถวายพระในวัดคนละองค์สององค์ ไอ้โหน่งอยากได้บุญ ก็เลยไปรื้อห้องของหลวงปู่จงที่บ้าน เจอพระเครื่องก็ขนเอามาถวายพระในวัด พระในวัดรับไปก็ดีอกดีใจ แต่หลวงปู่จงเกือบจะคลั่ง..!

เราจะได้เห็นว่า คนที่ปฏิบัติธรรมมานาน สติ สมาธิที่จะระงับยับยั้งเรื่องของกิเลสนั้นใช้ได้จริง ๆ ของรักของหวงขนาดนั้น แล้วโดนคนอื่นเอาไปแจก หลวงปู่จงสามารถระงับตัวเองไม่ให้ด่าน้องได้ ไม่ให้ตีน้องได้ อาตมาเห็นก็รู้สึกว่าหลวงปู่จงนี่ใช้ได้เลย ถ้าเป็นของรักของหวงของเราแล้วถูกเขาเอามาไล่แจก คงได้มีรายการตุ้บตั้บกันแน่เลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-06-2011 เมื่อ 08:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #145  
เก่า 27-05-2011, 18:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ส่วนอีกคนที่เห็นชัด ๆ ก็คือ หลวงพี่อาจินต์ วันหนึ่งหลวงพี่อาจินต์ก็เดินมา
"เฮ้ย..เล็ก..พี่ยังมีโทสะอยู่ว่ะ"
"อ้าว..ใครไปยั่วกิเลสพี่จนเกิดโทสะ ?"
"น้องชายของพี่เอง"

"เขาทำอะไร ?"
"รู้ไหมว่า พี่สละสมบัติทุกอย่างในบ้านหมดแล้ว เหลือเก็บไว้แต่กระบี่พระราชทานเล่มเดียว มันเอากระบี่ของพี่ไปจำนำ..!"

นาน ๆ จะเห็นรุ่นพี่เขาน็อตหลุดสักที หลวงพี่อาจินต์เป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายกรรมฐาน นั่งยิ้มทั้งวัน อาตมาก็สงสัยว่าพี่เขาท่าจะหมดโกรธแล้ว วันนั้นเดินมาบอกเองเลย ว่าพี่ยังมีโทสะอยู่"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2011 เมื่อ 02:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #146  
เก่า 27-05-2011, 19:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถ้าเป็นเรา ของพระราชทานจากในหลวงโดนน้องเอาไปจำนำจะรู้สึกอย่างไรบ้างหนอ..? เพราะถือว่าเป็นสิ่งมงคลสูงสุดในชีวิต

ก่อนบวชหลวงพี่อาจินต์เป็นอาจารย์สอนอยู่โรงเรียนนายเรืออากาศ ยศเรืออากาศโท ถ้าเป็นนายทหารตั้งแต่ยศร้อยตรี เรือตรี ร้อยตำรวจตรีขึ้นไป จะได้รับกระบี่พระราชทาน กระบี่แต่ละเล่มจะมีหมายเลขประจำตัวอยู่ว่าพระราชทานเมื่อไร รุ่นไหน สามารถที่จะตรวจสอบได้

ที่แสบที่สุดคือโรงจำนำที่กล้ารับจำนำด้วย เพราะมั่นใจว่าอย่างไรเขาก็ต้องมาไถ่คืนแน่"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2011 เมื่อ 02:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #147  
เก่า 27-05-2011, 20:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พอหลวงพี่อาจินต์พูดถึงเรื่องนี้ ก็นึกถึงตัวเองทันทีเลยว่าเหมือนกับตัวเองเลย ตอนนั้นปี ๒๕๓๐ ในหลวงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา แต่ละจังหวัดก็จะมีโครงการต่าง ๆ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

หลวงพ่อท่านก็นำวัดท่าซุงเข้าโครงการหลายอย่าง อย่างเช่นว่าโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา มหาวิหารแก้วร้อยเมตร มณฑปสมเด็จองค์ปฐม ทางจังหวัดก็รีบรับเข้าโครงการด้วยความยินดี ราคาตั้งร้อยล้าน พันล้าน..ใช่ไหม ?

ตอนนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี มาถึงประมาณ ๘ โมงนิดหน่อยเท่านั้น มาเร็วมากเลย แต่ว่าหลวงพ่อท่านขึ้นกุฏิไปแล้ว ช่วงเช้าหลวงพ่อท่านมาประมาณ ๗ โมงครึ่ง พอรับท่านขึ้นกุฏิ ท่านบอกว่า "เล็ก..วันนี้ใครมาหาพ่อก็บอกว่าให้รอตอนบ่ายนะ เพราะว่าจะให้น้ำเกลือ" อาตมาก็ "ครับ ๆ" แล้วส่งท่านเข้ากุฏิ

วันนั้นผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ บรรดาหัวหน้าส่วนราชการมากันเยอะมาก มาถึงก็ขออนุญาตเข้าพบหลวงพ่อ อาตมาเรียนท่านว่า "ไม่ได้หรอกครับ หลวงพ่อให้น้ำเกลืออยู่" ด้วยความที่ท่านผู้ว่าฯ กระตือรือร้นกับงานหรือไม่รู้จักกาลเทศะก็ไม่รู้ ท่านบอกว่า "ให้น้ำเกลืออยู่ก็พูดได้ไม่ใช่หรือ ?"

โอ้โห..ตอนนั้นบอกได้ว่า โกรธไฟแลบเลย แต่ด้วยความที่ไม่ได้โกรธคนมาหลายปีก็เลยตีหน้าไม่ถูก ลืมไปแล้วว่าต้องทำหน้าอย่างไร รู้อยู่อย่างเดียวว่าโกรธเขาฉิบหายเลย..! จึงหันหลังเดินหนีไปเฉย ๆ ปล่อยให้ท่านผู้ว่าฯ และคณะยืนเซ่ออยู่พักใหญ่ พอเขาเห็นว่าไม่ไปรายงานให้จริง ๆ ก็เลยกลับ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-06-2011 เมื่อ 08:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #148  
เก่า 27-05-2011, 20:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อาตมาก็ไปนึกว่า แบบเดียวกับหลวงพี่อาจินต์เลย หลวงพี่บอกว่าโกรธมากเลย แต่ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร ก็เลยเดินมาบ่นกับอาตมา เสียงพี่เขาบอกว่าโกรธ แต่หน้าตาไม่ได้บอกเลยว่าโกรธ ประเภทเดียวกันเลย ส่วนอาตมาเองไม่ได้โกรธมานาน จึงปั้นสีหน้าไม่ถูก

เรื่องที่นึกไม่ถึงก็คือ ระดับผู้ว่าราชการจังหวัดพูดอย่างนั้นได้อย่างไร เหมือนกับว่าท่านจะเอาแต่งานตัวเอง ไม่ได้สนใจเลยว่าพ่อเรากำลังจะตาย พูดออกมาได้ว่า "ให้น้ำเกลืออยู่ก็พูดได้ไม่ใช่หรือ ?" ตอนนั้นปั้นหน้าไม่ทัน ถ้าเขามาตอนนี้มั่นใจว่าปั้นหน้าทัน รับรองว่าโดนไปเต็ม ๆ แน่ ตอนนั้นวิทยายุทธ์ยังไม่สูงพอ..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2011 เมื่อ 02:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #149  
เก่า 29-05-2011, 17:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากพระอาจารย์ทำบังสุกุลให้โยมเสร็จ ท่านจึงกล่าวว่า "ที่โบราณท่านให้ทำบังสุกุลตายบังสุกุลเป็น จริง ๆ แล้วท่านให้เราปฏิบัติพระกรรมฐานโดยตรง เพียงแต่ว่าท่านแฝงเอาไว้ในพิธีกรรม เป็นมรณานุสติเต็ม ๆ เป็นอุปสมานุสติ นึกถึงพระนิพพานได้ เป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ คือนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเทวตานุสติ นึกถึงความดีของเทวดา กล่าวถึงสิ่งไหนเรานึกถึงสิ่งนั้น ก็เป็นการปฏิบัติในพระกรรมฐานกองนั้น ๆ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-05-2011 เมื่อ 17:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #150  
เก่า 29-05-2011, 18:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "สังคมอินเดียโบราณ ถ้าเศรษฐีไม่มีลูกชาย ถึงเวลาตายไปเขาจะยึดสมบัติเป็นของหลวงหมด เพราะอย่างนั้นพ่อแม่ของพระรัฐบาลเถระถึงได้เป็นลมตอนท่านออกบวช เพราะไม่มีใครดูแลสมบัติ สมัยก่อนเขาไม่เชื่อความสามารถลูกผู้หญิง ต้องเป็นลูกผู้ชายเท่านั้นจึงจะให้ปกครองตระกูลต่อไปได้

พระสุทินนกลันทบุตรออกบวช พ่อแม่เสียอกเสียใจ อ้อนวอนเท่าไรลูกก็ไม่สึก พอพระสุทินน์กลับไปเยี่ยมบ้าน พ่อแม่จึงเอาทรัพย์สมบัติมากองไว้เต็มบ้าน ขอให้สึกมารักษาสมบัติท่านก็ไม่สึก พ่อแม่จึงขอให้ท่านมีหลานไว้สักคนหนึ่ง ถ้ามีหลานเป็นผู้ชายจะได้รักษาสมบัติไว้ได้ ไม่อย่างนั้นจะโดนยึดเป็นของหลวงหมด

สมัยนั้นยังไม่มีศีลของพระ พระสุทินน์ก็เลยไม่รู้ว่าการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงเป็นสิ่งต้องห้าม ในเมื่อพ่อแม่ขอ ท่านก็ตกลง พ่อแม่จึงส่งภรรยาให้ไปนอนด้วย จนกระทั่งตั้งท้องขึ้นมา พระสุทินน์ก็สะกิดใจว่า เราเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์แล้วมาเสพเมถุนซึ่งเป็นเรื่องของคนคู่ ไม่น่าจะถูกต้อง

ท่านเกิดเครียด กังวลมาก ผอมดำดูไม่ได้เลย เพื่อนพระก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น พระสุทินน์ท่านจึงเล่าให้ฟัง เพื่อนพระก็ไปกราบทูลต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านจึงเรียกมาสอบถาม แล้วก็บัญญัติศีลข้อแรกขึ้นมาว่า ภิกษุเสพเมถุนต้องอาบัติปาราชิก ถ้าใครทำเช่นนี้อีกจะขาดจากความเป็นพระไปเลย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-06-2011 เมื่อ 08:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #151  
เก่า 29-05-2011, 18:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"รู้ไหมว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติศีลพระข้อแรกขึ้นมาในพรรษาที่เท่าไร ? ศีลพระข้อแรกของพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในพรรษาที่ ๒๑ ของพระพุทธเจ้า แสดงว่า ๒๐ ปีผ่านมาไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อยเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาเลย เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นพระอริยเจ้ากันหมด ท่านรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร

พระสุทินนกลันทบุตรท่านเป็นปุถุชน ท่านเองแม้จะสะกิดใจว่าไม่ควร แต่ไม่มีข้อห้าม ในเมื่อไม่มีข้อห้ามจึงกลายเป็นว่า ถึงแม้จะทำผิด แต่พระพุทธเจ้าท่านทรงยกให้ว่า บุคคลผู้เป็นอาทิกัมมิกะ คือเป็นต้นบัญญัติ ไม่ถือว่าผิด เหมือนกับว่ายังไม่มีกฎหมายห้ามไว้ ในเมื่อไม่มีกฎหมายก็ไม่ถือว่าทำผิด แต่ทันทีที่บัญญัติกฎหมายขึ้นมา คนต่อไปทำแล้วจะผิดทันที"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2011 เมื่อ 03:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #152  
เก่า 29-05-2011, 19:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำอย่างไรจะระงับโทสะได้ ?
ตอบ : เป็นพระอนาคามี..! นี่ตอบตรง ๆ เลย

อันดับแรก ภาวนาให้กำลังใจทรงตัวอย่างน้อยในระดับปฐมฌานละเอียด แล้วอย่าหลุดออกจากสมาธินั้น ก็จะไม่มีรัก โลภ โกรธ หลงอะไรกวนเราได้ หลุดออกมาเมื่อไรก็โดนอีกเมื่อนั้น ทันทีที่เรารู้ตัวว่าหลุดแล้ว ให้รีบวิ่งกลับมาหาลมหายใจเข้าออกใหม่ ภาวนาให้ทรงตัวใหม่ก็จะรักษาอารมณ์ไว้ได้ตามเดิม

แสดงว่าคุณมัวแต่ไปหงุดหงิดกลุ้มใจอยู่กับความโกรธ แล้วก็ทิ้งลมหายใจไปเลย ให้รีบวิ่งกลับมาภาวนาใหม่โดยด่วน อารมณ์ทรงตัวเมื่อไรก็เลิกโกรธ หลุดเมื่อไรก็โกรธใหม่อีก นี่แค่ขั้นแรก

พออารมณ์ทรงตัวแล้วต้องไปพิจารณาตัดให้ได้ด้วย แผ่เมตตาให้เขาให้ได้ แรก ๆ ก็ให้คนที่เรารักก่อน แผ่เมตตาให้คนที่เรารักก่อน หลังจากนั้นก็ไปคนที่เรารักน้อย คนที่เราไม่รักไม่เกลียด คนที่เราเกลียดน้อย คนที่เราเกลียดมาก

ถ้าหากว่าไปให้คนที่เราไม่ชอบหน้าเลยทีเดียว ไม่ไหวหรอก เพราะกำลังเราไม่พอ ก็ต้องเริ่มจากน้อยไปหามาก แต่ว่าต้องทำบ่อย ๆ รู้ตัวเมื่อไรอย่าไปมัวแต่ขุ่นมัวอยู่กับอารมณ์นั้น อย่าไปหงุดหงิดอยู่กับความโกรธ รีบวิ่งไปหาลมหายใจเข้าออก เครื่องช่วยชีวิตของเรานี้ทิ้งไม่ได้เลย กลับมาหาลมหายใจก่อน อยู่กับปัจจุบันก่อน เรียกสติคืนมาให้ได้

ถาม : ก่อนนี้ปฏิบัติได้ดี อารมณ์ทรงตัวง่าย แต่ตอนนี้ทำไม่ค่อยได้ ?
ตอบ : ต้องดูว่าตอนนั้นเราคิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน แล้วเราทำได้ดี ถ้าหากว่าเราคิด พูด ทำ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้องอย่างนั้นอีก สมาธิก็จะทรงตัวได้ง่าย ทำได้ดีเหมือนเดิม ถ้าเราคิด พูด ทำ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ถูกต้อง อารมณ์ก็เสียต่อไปอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2011 เมื่อ 03:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #153  
เก่า 29-05-2011, 19:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ใช้มโนมยิทธิดูเรื่องต่าง ๆ แล้วถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเคยถูก ให้จำด้วยว่าเราวางอารมณ์แบบไหนถึงถูก ถ้าเราจำได้แล้ว ถึงเวลาใช้อารมณ์อย่างนั้นก็จะถูกไปเรื่อย แต่ถ้าเราจำไม่ได้ ไปมั่วเข้าก็จะถูกบ้างไม่ถูกบ้าง

ถาม : ยกจิตไปเกาะพระนิพพาน มีอานิสงส์อย่างไร ?
ตอบ : อันดับแรกได้พุทธานุสติ ถ้ากำลังใจปักมั่นแน่วแน่ เชื่อว่าตรงนั้นคือพระนิพพานก็เป็นอุปสมานุสติ อยู่ที่ความเชื่อมั่นของเรา

สมัยก่อนบางทีอาตมาร่างกายแย่ ๆ จับภาพพระไม่เห็นองค์ท่านเลย จิตมัวมากเพราะร่างกายแย่ ป่วยหนัก เห็นแต่ยอดเกตุนิดเดียวแหลม ๆ ก็ตั้งใจน้อมกราบลงไปตรงนั้น มั่นใจว่าพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนั้นก็ใช้ได้แล้ว ดังนั้น..กำลังใจของเราแต่ละวันไม่เท่ากัน บางวันก็ชัดเจน บางวันก็มัว แต่ให้เรามั่นใจว่าตรงนั้นคือพระนิพพานแน่นอน

ถาม : การปฏิบัติมโนมยิทธิที่จะให้ดี มีขั้นตอนอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าหากว่ามีเวลา เราก็นั่งสมาธิจนทรงตัว พิจารณาตัดร่างกายได้แล้วค่อยส่งจิตไปจะดีมาก แต่ถ้าหากทำจนคล่องตัวจริง ๆ แค่นึกก็ถึงแล้ว ถ้าหากว่านึกก็ถึงแล้ว นั่นเป็นการตัดโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว นี่ว่ากันตามทฤษฎีพื้นฐานก่อน

ภาวนาให้อารมณ์ทรงตัวแล้วก็พิจารณาเพื่อความมั่นคงของเรา ให้ซ้อมทำจนคล่อง ตอนหลังก็ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว แค่บอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา พอจิตเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นเราก็ไปได้เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2019 เมื่อ 01:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #154  
เก่า 30-05-2011, 00:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว สามารถเป็นหมอดูได้ ?
ตอบ : ถ้าได้มโนมยิทธิแล้วไปเป็นหมอดู อย่าให้เขาถามเฉพาะหน้าแบบนี้ ถามเฉพาะหน้าแบบนี้จะต้องเก่งเท่าอาตมา เพราะเวลาเขาถามมาก ๆ เราเกิดรำคาญหงุดหงิดขึ้นมา คราวนี้เราจะเสียไปทั้งวันเลย พอจิตมัวตอบอะไรไปก็ผิด..!

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยแนะนำว่า ถ้าจะใช้มโนมยิทธิในลักษณะเป็นหมอดู อย่าไปนั่งต่อหน้าลูกค้า ให้เราอยู่ในห้องพระ แล้วเขาเขียนปัญหาให้คนส่งเข้ามาให้ ถึงเวลากำหนดใจนึกถึงพระ ขอคำตอบแล้วเขียนตอบทีละข้อ จากนั้นส่งคืนเขาไป ถ้าไปเผชิญหน้าให้เขาซักนั่นถามนี่ แล้วอารมณ์ของเราขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่ทรงตัว ก็จะพังในเวลาอันรวดเร็ว

ถาม : เห็นเขาใช้มโนมยิทธิกันผิด ๆ ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ทางผิดน่าสนุกกว่า มโนมยิทธิที่ถูกต้องจริง ๆ ก็คือรู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง การไปพระนิพพานนั้นเป็นการตัดกิเลสอัตโนมัติในตัวอยู่แล้ว ถ้าเราจดจำอารมณ์นั้นได้ แล้วเอามาปฏิบัติละให้ได้อย่างอารมณ์พระนิพพาน เราก็จะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้ง่าย

แต่ส่วนใหญ่ที่เจอก็คือ พอทำได้แล้วก็ไปเที่ยวดูว่า คนนั้นเป็นอย่างนั้นกับฉัน คนนี้เป็นอย่างนี้กับฉัน ดูเสร็จแล้วไม่เข็ด ยังไปฟื้นความสัมพันธ์กับเขาอีก ก็ยิ่งบรรลัยกันหนักเข้าไปใหญ่ นี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ จะต้องเจอทุกคนแหละ ถ้ายังไม่เข็ดก็ยังจะทำไปอยู่เรื่อย ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2011 เมื่อ 03:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #155  
เก่า 30-05-2011, 00:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาเองก็เคยไปสนุกอยู่กับเขา ๓ - ๔ ปี ใครถามอะไรก็ดูให้ตอบให้เขาหมด พอดีวันนั้นทำงานที่บ้านสายลม หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่าบุคคลที่ได้วิชชา ๒ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ถ้ายังไม่ใช่พระอริยเจ้าก็ยังแช่อยู่ในนรกทั้งตัว..!

อาตมาได้ยินนี่เหงื่อหยดติ๋งเลย ก็ตัวเองยังไม่ได้ขนาดนั้นแล้วไม่จมนรกมิดหัวเลยหรือ ? หลวงพ่อท่านก็บอกต่อไปว่า บุคคลที่จะพ้นนรกได้ อย่างน้อยต้องเกาะความเป็นพระโสดาบันให้ได้ แล้วท่านก็อธิบายให้ว่า พระโสดาบันต้องเคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพพระธรรมจริง ๆ เคารพพระสงฆ์จริง ๆ คำว่าจริง ๆ ก็คือไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

ต้องมีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์ คำว่าศีลบริสุทธิ์ก็คือไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นเขาทำ แล้วท้ายที่สุดต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ถ้าตายแล้วเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนี้ได้ คือเป็นพระโสดาบันได้ ถึงจะรอดจากอบายภูมิ ตั้งแต่นั้นมาอาตมาที่เหมือนกับคนหลับอยู่แล้วหลวงพ่อปลุกให้ตื่นขึ้นมารู้ว่าตกอยู่ในอันตราย ก็โกยสุดชีวิตเลย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะไม่เป็นขี้ข้าดูให้ใครอีกแล้ว มัวแต่ไปเพลินอยู่ ถ้าไปตายตอนนั้นเราก็ขาดทุนย่อยยับ..!

ถาม : ภาวนาพุทโธบ้าง นะมะพะธะบ้าง แต่พุทโธภาวนาแล้วไม่นิ่ง
ตอบ : สิ่งไหนเหมาะสำหรับเราให้ทำสิ่งนั้น โดยเฉพาะกรรมฐานอย่าเปลี่ยนกองบ่อย นอกจากว่าเราทำกองนั้นได้แน่นอนแล้ว จะขยับไปกองอื่นก็ไม่ว่า แต่ก่อนจะขยับไปกองอื่น ให้ซ้อมของเดิมให้คล่องตัวก่อนแล้วค่อยขยับไป อย่างเช่นว่าเราใช้พุทธานุสติ จะใช้อุปสมานุสติก็ขึ้นด้วยพุทธานุสติให้มั่นคงก่อน แล้วค่อยขยับไป

ถาม : พุทโธกับนะมะพะธะ ภาวนาแล้วมีผลเหมือนกันหรือไม่ ?
ตอบ : คนละเรื่องเลย พุทโธเป็นสายสุกขวิปัสโก นะมะพะธะเป็นสายอภิญญา แต่ถ้าหากคนมีพื้นฐานมาก่อนแล้ว เมื่อทำไปถึงท้ายสุดก็เหมือนกัน แต่ตอนแรกจะไม่เหมือนกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2011 เมื่อ 03:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #156  
เก่า 30-05-2011, 16:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมายังคิดที่จะสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้าหน้าตัก ๓๐ นิ้ว ทำด้วยเงินทั้งองค์อยู่ โครงการนี้เริ่มที่วัดท่าซุง ต่อมาที่วัดเขาวง ต่อมาวัดท่าขนุน ไม่รู้จะไปเสร็จที่วัดไหน ? แต่ต้องเสร็จจนได้

แรกเริ่มที่ทำ ปรึกษาหารือกันว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเหนื่อยเพราะพวกเรามามากแล้ว บางสิ่งบางอย่างที่ลูก ๆ สามารถจะแบ่งเบาภาระของหลวงพ่อได้ เราก็ควรที่จะทำ เมื่อปรึกษากันเสร็จ พวกเราคิดกันว่า สมัยปี ๒๕๑๗ พระเดชพระคุณหลวงพ่อนิมนต์หลวงปู่หลวงพ่อมา ๑๐ กว่ารูป ให้ลูก ๆ ได้ทำบุญกับพระสุปฏิปันโนที่มีความดีจริง ๆ ก็เลยคิดว่านั่นสมัยพ่อท่านทำ มาสมัยเราก็จะทำอย่างนั้นบ้าง

โดยการนิมนต์พระสุปฏิปันโนในยุคนั้นมา ซึ่งตอนนั้นก็เล็งไว้มากต่อมากด้วยกัน ที่ชัด ๆ ๒ องค์ คือหลวงพ่ออุตตมะกับหลวงพ่อคูณ อย่าลืมว่าเมื่อประมาณ ๒๐ ปีที่แล้ว หลวงพ่อคูณยังไม่ดังแบบนี้นะ

แต่ละคนนี่ไปไล่รายชื่อพระมาเลย ตรวจสอบกันแล้วตรวจสอบกันอีก ถ้าไม่แน่ใจพระองค์ไหนก็ไปไล่ถามหลวงพี่อาจินต์ (หลวงพี่อาจินต์เหนื่อยกว่าเพื่อน) ถ้าถามหลวงพี่อาจินต์แล้วยังไม่ได้ ก็ไปถามหลวงตาวัชรชัยต่อ ถ้าถามหลวงตาวัชรชัยยังไม่ได้ จะมาจบที่อาตมาทุกที จะเป็นอย่างนั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 30-05-2011 เมื่อ 21:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #157  
เก่า 30-05-2011, 17:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สมัยนั้นมีการตรวจสอบพระกันว่าจะนิมนต์องค์ไหนบ้าง วางโครงการกันว่า เมื่อนิมนต์ท่านมา นอกจากทำบุญแล้วควรเอาให้คุ้ม จึงคิดสร้างวัตถุมงคลกันขึ้นมา หลวงตาวัชรชัยปรารภว่า เมื่อก่อนแม่อ๋อยเคยบอกกับท่านว่า ถ้าเป็นไปได้ให้สร้างรูปของหลวงพ่อพระปัจเจกพุทธเจ้า เจ้าของพระคาถาเงินล้าน เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณท่าน

ก็ขออนุญาตดูพุทธลักษณะของท่าน แล้วก็ร่างแบบขึ้นมา นำรูปเข้าไปกราบเรียนหลวงพ่อ ท่านก็ให้ข้อแนะนำติติงแก้ไขมา พวกเราก็เริ่มประกาศงาน จากที่คำนวณกันเอาไว้ ถ้าวัตถุมงคลรุ่นนี้ทำเสร็จ หลังจากหักค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะส่วนที่ถวายหลวงปู่หลวงพ่อที่นิมนต์มาแล้ว จะเหลือปัจจัยถวายหลวงพ่อประมาณ ๒๔ ล้านบาท นั่นสมัยปี ๒๕๓๑ นะ

ทันทีที่ประกาศก็มีญาติโยมเข้ามาช่วยกัน เพียง ๒ วันมีเงินบริจาคเข้ามา ๔ แสนกว่าบาท ทองคำอีก ๒๐ บาท การทำงานนั้น พวกเราอาจจะคิดงานอย่างเดียว ไม่รอบคอบ ก็เลยมีคนที่เขาคิดรอบคอบกว่า ไปพูดกันว่าทำในลักษณะนี้เดี๋ยวก็มีการรั่วไหลเข้ากระเป๋ากัน พอเรื่องไปถึงหลวงพ่อท่านเลยต้องสั่งระงับโครงการ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2011 เมื่อ 17:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #158  
เก่า 30-05-2011, 17:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เรื่องนี้คาใจหลวงตาวัชรชัยมากเลย เพราะทุกคนตั้งใจทุ่มเททำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจริง ๆ แต่ทำไมเขาไปพูดกันอย่างนั้น ส่วนอาตมานั้น พ่อสั่งก็จบ ไม่เสียเวลาคิด แต่หลวงตาเครียดเสียหนวดหงอกไปหลายเส้น..!

พอหลวงตามาอยู่เขาวงก็ยังคงไม่ลืมที่จะสร้าง เพียงแต่ว่าเปลี่ยนมาเป็นทองคำหน้าตัก ๙ นิ้วแทน อาตมาคิดว่าตกลงมาตั้งแต่แรกแล้วว่าหน้าตัก ๓๐ นิ้ว ในเมื่อหลวงตาไม่สร้าง เดี๋ยวอาตมาสร้างเองก็ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2011 เมื่อ 17:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #159  
เก่า 30-05-2011, 17:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่าหนังสือ "คู่มือปฏิบัติกรรมฐานแบบง่าย ๆ กับหนีนรก จัดเป็นหนังสือที่อ่านง่ายมาก และคนทั่ว ๆ ไปก็จะทำได้ง่าย

หลวงพ่อท่านหวังผลสำหรับคนที่มีเวลาน้อยอย่างหนึ่ง คนที่มีข้าวของเงินทองในการทำบุญน้อยอีกอย่างหนึ่ง ท่านจะแนะนำวิธีการทำบุญง่าย ๆ ให้ได้บุญมาก พวกเรามีเวลาก็อ่านและกอบโกยประโยชน์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอาอย่างอาตมาก็ได้ อ่านไปชอบใจตรงไหนก็จำหน้าและบรรทัดนั้นไว้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2011 เมื่อ 17:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #160  
เก่า 30-05-2011, 17:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,472 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เมตตาที่พระโพธิสัตว์ทำมาในอดีต แล้วให้ผลเกิดในชั้นพรหมบ้าง ชั้นเทวดาบ้าง เป็นพระเจ้าจักรพรรดิบ้าง นี่เป็นผลของเมตตาภาวนา ซึ่งก็ไม่มีอานิสงส์ของทานที่เป็นสิ่งของใด ๆ ?
ตอบ : ปกติคนที่มีเมตตา ถ้าเจอคนลำบากอยู่ คุณจะให้เขาไหม ? อุตส่าห์บำเพ็ญเมตตาบารมีมาขนาดนั้นแล้ว พระโพธิสัตว์ท่านไม่ได้โง่ มีอย่างเดียวคือให้แค่หมดตัว

ถาม : เมตตาภาวนานี่หมายความว่า รวมทั้งการให้สิ่งของเป็นทานด้วย ?
ตอบ : คนที่มีเมตตาสามารถให้ทานได้เป็นปกติ ให้ได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง ให้ได้มากกว่าที่เราคิด ตัวอย่างของพระโพธิสัตว์มากต่อมากด้วยกัน อย่างที่ท่านเกิดเป็นกระต่าย ตั้งใจจะให้ทาน ปรากฏว่ามีพราหมณ์ผู้เฒ่าอดอาหารมา ท่านก็บอกให้พราหมณ์ก่อกองไฟขึ้น แล้วตัวเองก็กระโดดเข้ากองไฟ ให้ตัวเองเป็นอาหารของพราหมณ์

พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระฤๅษี เห็นว่าเสือหาอาหารไม่ได้ จะกินลูกตัวเอง ท่านก็กระโดดลงไปให้เสือกินแทน พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระมหากษัตริย์ เจอนกเหยี่ยวไล่นกพิราบมา ท่านช่วยนกพิราบเอาไว้ เหยี่ยวก็ต่อว่าท่านช่วยนกพิราบไว้แต่จะทำให้ตัวเขาอดตาย พระโพธิสัตว์ก็เชือดเนื้อให้นกเหยี่ยวแทน

เราจะเห็นว่าในเรื่องเมตตาบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น แม้แต่ชีวิตตัวเองก็สละได้ เรื่องทานอื่นที่จะไม่ให้นั้น เป็นไปไม่ได้หรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2011 เมื่อ 17:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:28



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว