กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม > ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #121  
เก่า 22-08-2014, 08:34
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๙. ให้ถือทุกอย่างเป็นกรรมฐาน ห้ามบ่นถึงสุขภาพไม่ดี ห้ามบ่นถึงโชคชะตาไม่ดี เพราะทุกอย่างล้วนเป็นครูทดสอบอารมณ์จิตของตน ทุกคนที่ปรารถนาจักไปพระนิพพาน ก็จักต้องมีข้อทดสอบทยอยเข้ามากระทบอยู่เนือง ๆ ให้พิจารณาเข้าหาทุกข์ อันเป็นอริยสัจ กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ อันเป็นตัวปัญญาสูงสุดในพุทธศาสนาเป็นหลักสำคัญ

พิจารณาเข้าหาสัทธรรมทั้ง ๕ ซึ่งทุกคนจักต้องพบ คือความปรารถนาไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ หากจิตไม่ยอมรับ.. จิตก็จักดิ้นรน ก็ยิ่งเพิ่มทุกข์ให้กับจิตตนเองเป็นธรรมดา ให้พิจารณาตามเหตุตามผลตามความเป็นจริง จิตที่ยอมรับในกฎของกรรมก็จักคลายความเดือดร้อนลงได้มาก คือรู้อย่างผู้มีปัญญา ฉลาดในธรรม รู้ว่าสิ่งใดเป็นบุญกุศล สิ่งใดเป็นบาปอกุศล รู้แล้วยอมรับในกฎของกรรม กฎของธรรมดาอันเป็นอริยสัจ จิตก็จักไม่ปรุงแต่ง หรือหวั่นไหวไปในกรรมนั้น ๆ ทุกอย่างเป็นธรรมดาหมด จิตก็สงบเป็นสุข เป็นอัพยากตธรรม หรืออัพยากตาธรรมา จำไว้พระตถาคตเจ้าทั้งหลายสอนให้พ้นทุกข์ ด้วยการให้รู้จักตัวทุกข์จึงจักพ้นทุกข์ได้ มิใช่สอนให้หนีทุกข์ และไม่รู้จักตัวทุกข์ก็พ้นทุกข์ไม่ได้ ก็คือ อริยสัจหรือกรรมทั้งหลายมาแต่เหตุนั่นเอง

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-08-2014 เมื่อ 09:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 52 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #122  
เก่า 27-08-2014, 09:01
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๐. ร่างกายที่ประกอบด้วยกายกับจิต คือตู้พระไตรปิฎกแสดงธรรมอยู่ตลอดเวลา พวกเจ้ามีปัญญาก็เห็น ไม่มีปัญญาก็ไม่เห็น เช่น มีความไม่เที่ยงอยู่เป็นปกติ กาย - เวทนา อารมณ์ของจิต และธรรมะที่เป็นสมมติธรรม ล้วนเกิด - ดับ ๆ เป็นสันตติธรรม เกิด - ดับ ๆ อยู่อย่างนั้น ยึดถือเข้าก็เป็นทุกข์ ผู้รู้ไปรู้ธรรมเกิด - ดับ หรือธรรมไม่เที่ยงทั้ง ๔ นี้ก็คือตัวเรา หรือจิตใจ หรือจุติวิญญาณที่มาอาศัยร่างกายที่ไม่เที่ยงนี้อยู่ชั่วคราวตามกฎของกรรม แล้วเห็นความตายของร่างกายนี้เป็นธรรมดา ทุกชีวิตหนีความตายไม่พ้น ให้พิจารณาไปจนจิตปล่อยวางร่างกาย เบื่อหน่ายในร่างกาย แล้วตั้งใจมั่นว่าจักไม่กลับมามีร่างกายอย่างนี้อีกต่อไป ในแนวทางของวิปัสสนาญาณ ๙ หรือตามปกิณกธรรมที่ให้ไว้มากมายหลายวิธี ล้วนเป็นอุบายในการพิจารณาเพื่อละ ปล่อย – วางร่างกาย หรือขันธ์ ๕ ว่ามันหาใช่เรา หาใช่ของเราไม่

จิตเราชอบอุบายใดก็ให้เร่งรัดปฏิบัติตามอุบายนั้น ๆ โดยมีสังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัด ซึ่งหากเข้าใจก็คือมุ่งให้เกิดอธิศีล-อธิจิต และอธิปัญญาตามลำดับนั่นเอง และมีบารมี ๑๐ เป็นเครื่องช่วย มีอานาปานุสติที่จักต้องเจริญอยู่ตลอดเวลา เพื่อระงับนิวรณ์ทั้ง ๕ ทำจิตให้สงบเป็นสุข ช่วยระงับเวทนาของกายไปด้วยในตัว พิจารณากายคตาฯ ควบอสุภกรรมฐาน และมรณาฯ ควบอุปสมานุสติอยู่เสมอ ด้วยความไม่ประมาทในชีวิต จิตใครจิตมัน จักต้องรีบปฏิบัติธรรมให้เห็นผลที่จิตของตนเอง เพราะธรรมของตถาคตเป็นปัจจัตตัง ทุกอย่างมุ่งหวังพระนิพพานเป็นหลักใหญ่ แต่อย่าคิดเอาตัวรอดแต่ผู้เดียว ในพุทธศาสนาจักเกื้อกูลกันเป็นทอด ๆ เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา ไม่ใช่สอนให้เห็นแก่ตัว แต่ที่สำคัญ จักต้องตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ ๓ ข้อแรกให้ได้ก่อน คือพ้นจากอบายภูมิ ๔ จิตเป็นพระโสดาบันแล้วจึงจักออกประกาศพระพุทธศาสนาได้ เพราะจักไม่สอนผิด ไม่พูดผิด ๆ ในพระธรรมคำสั่งสอนของตถาคต ไม่สงสัยในธรรมของตถาคตเรื่องพระนิพพานแล้ว จิตรู้แค่ไหนก็สอนแค่นั้น ไม่เดาส่ง ไม่คาดคะเนเอาแบบโหร ไม่แสดงธรรมที่ยังไม่มีในตนเป็นอันขาด

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-08-2014 เมื่อ 11:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #123  
เก่า 01-09-2014, 11:39
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๑. อย่าไปเอาวิชา - ความรู้ - ศักดิ์ศรี - ฐานะ - ตระกูล มาเป็นเครื่องตัดกิเลส เพราะนั่นเป็นเพียงสิ่งภายนอก มิใช่ตัวจิตแท้ ๆ ถ้าไปยึดถือเอาก็เป็นมานะกิเลส ให้พิจารณาถึงตัวจิตล้วน ๆ วิชาความรู้นั้นเกิดจากสัญญา แต่วิชาในพุทธศาสนา คนที่ไม่ได้ศึกษาวิชาทางโลกมาเลย เช่น ชาวนา - ชาวสวน – ชาวไร่ มาศึกษาวิชาทางธรรม ก็ยังจบกิจได้ โดยอาศัยปัญญาตัดกิเลสในจิตของตนเอง คือธรรมภายในอันมี ศีล – สมาธิ - ปัญญา ซึ่งเป็นธรรมภายใน หรือ ทาน - ศีล - ภาวนา ซึ่งเป็นปฏิบัติบูชา เป็นกรรมหรือการกระทำทาง กาย - วาจา - ใจ ของตนเอง หาได้เกี่ยวกับ วิชา - ความรู้ - ศักดิ์ศรี - ฐานะ หรือตระกูลแม้แต่อันใด

ดังนั้น จงอย่าไปติดแม้อันใดอันหนึ่งที่ว่ามานี้ เพราะปุถุชนมีความทะเยอทะยานอยาก ไม่รู้จักพอในสิ่งเหล่านี้ (จิตพร่องอยู่เป็นนิจ เพราะตกเป็นทาสของตัณหา) กล่าวคือ อยากมีวิชาดี - ความรู้ดี - ศักดิ์ศรีดี - ฐานะดี และตระกูลดี จักดีแค่ไหนก็ยังไม่รู้จักพอ ยังจักขอให้ดีกว่าบุคคลอื่น จำไว้..ในการปฏิบัติธรรมเพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้น จงอย่าหวังผลตอบแทนในการกระทำความดีทั้งหมด แม้แต่คำว่าขอบใจหรือคำสรรเสริญ เรามุ่งทำเพื่อพระนิพพานจุดเดียว หากทำได้จิตจักเป็นสุขเป็นที่สุด อย่าไปเอาอารมณ์ของปุถุชนมาเป็นอารมณ์ของตน เพราะปุถุชนทำอะไรนิดหนึ่งก็หวังผลตอบแทนเป็นธรรมดา และคำว่าทำดีแล้วจงอย่าติดดี ก็คือการกระทำดีที่เป็นกุศล แล้วไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น แม้แต่คำสรรเสริญจากบุคคลภายนอก แต่ก็ต้องไม่สรรเสริญตนเองด้วย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 02-09-2014 เมื่อ 15:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #124  
เก่า 04-09-2014, 09:03
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๒. คุณหมอสบสันต์มีโอกาสบวช ก็นับว่าโชคดี เพราะโอกาสอย่างนี้หาได้ยาก การปฏิบัติของคุณหมอก็ไม่ทิ้งกรรมฐานอยู่แล้ว เรียกว่าเข้าถึงพระพุทธศาสนาได้เต็มตัว ทั้งกาย - วาจา - ใจ เมื่อเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ก็เป็นโชคดี เพราะโอกาสอำนวย หนทางทุกอย่างเปิดช่องให้สะดวกหมด แต่สำหรับคุณหมอสมศักดิ์นั้น โอกาสยังไม่มี การบวชเป็นเรื่องของบุญวาสนาบารมีด้วย อยู่ที่ความพร้อมของกายหรือครอบครัวด้วย เมื่อคุณหมอยังไม่สะดวกก็บวชใจไปพลาง ๆ ก่อน ตัดสังโยชน์ ๑๐ ได้ขาด ก็เป็นพระอรหันต์ได้เช่นกัน ทุกอย่างเป็นบุญกรรมที่ทำเอาไว้ก่อนในอดีต การบวชใจบวชได้ทุกคน แต่การบวชกายนั้นมีได้แต่เฉพาะบางคนเท่านั้น

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-09-2014 เมื่อ 15:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #125  
เก่า 11-09-2014, 09:44
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

(พระธรรม ที่ทรงตรัสสอนในเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๐)

ปกิณกธรรม

สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนปกิณกธรรมไว้ มีความสำคัญดังนี้

๑. ร่างกายไม่มีสาระแก่นสารก็จริงอยู่ แต่ถ้าใช้ให้เป็นก็เป็นประโยชน์ได้ อย่างใช้ร่างกายไปสร้างความดีก็เป็นกุศล เรียกว่าใช้ร่างกายไปในทางที่ถูก เป็นหนทางของการสร้างบารมี แต่ถ้ากำลังใจเลว ก็ใช้ร่างกายไปทำบาปเป็นอกุศล ทั้งนี้ทั้งนั้น คนเราหรือร่างกายจักทำเลวหรือดีได้ ก็อยู่ที่จิตเป็นผู้บงการ เพราะฉะนั้น จงดูอารมณ์จิตของตนเองเอาไว้ให้ดี อย่าให้กรรมอกุศลเข้ามาครอบงำจิต ให้พิจารณาร่างกายย้อนไปย้อนมาจนกระทั่งเป็นหนุ่มเป็นสาว จนกระทั่งแก่ จนกระทั่งตาย ร่างกายนี้หาความเที่ยงไม่ได้เลย มีแต่ความแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา แม้เวทนาก็เหมือนกัน แต่เด็กมาก็เคยเจ็บ - ป่วยอยู่เสมอ มันก็ไม่เที่ยง มันเป็นได้มันก็หายได้ เป็น ๆ หาย ๆ ป่วยก็เป็นทุกขเวทนา พอหายก็เหมือนกับเป็นสุขเวทนา แต่จริง ๆ มันทุกข์น้อยลงเท่านั้นเอง

หากคิดให้ดี ๆ ร่างกายนี้ไม่มีเวลาสุขจริงเลย มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย แสดงธรรมที่ไม่เที่ยงอยู่ตลอดเวลา หากจิตพิจารณาบ่อย ๆ ทำอย่างต่อเนื่องก็จักเห็นสันตติธรรม เห็นกายมันเกิด - ดับ ๆ อยู่เหมือนกับสายน้ำไหล ไม่มีเวลาหยุด ระหว่างที่กายยังไม่ตาย ก็ต้องเป็นภาระดูแลมัน (ภาราหะเว ปัญจักขันธา) ให้ร่างกายเป็นสุขในทางสายกลาง พอยังอัตภาพให้เป็นไป ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป คือสบายเกินไป หรืออยู่อย่างเบียดเบียนร่างกายเกินไป จักต้องอยู่ในความพอดีโดยอาศัยพรหมวิหาร ๔ เป็นหลักในการปฏิบัติ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2014 เมื่อ 16:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #126  
เก่า 16-09-2014, 17:01
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๒. อย่าไปแก้กรรมของใคร อย่าไปรับกรรมของใคร ให้ปล่อยวาง กรรมใครกรรมมัน เพราะทุกคนต่างก็มีกรรมหนักที่จักต้องเลี้ยงดูร่างกายตนเองและครอบครัวซึ่งหนักอยู่แล้ว หากขาดปัญญาก็มักจักไปยุ่งกับกรรมของผู้อื่น ในบางครั้งทั้ง ๆ ที่มีเจตนาดี หากไปทำกรรมที่เป็นโทษ โดยคิดว่ามันไม่เป็นโทษ ก็ยังเป็นโทษอยู่ดี อนึ่ง.. จงอย่าไปบังคับศรัทธาของผู้อื่น เพราะการศรัทธาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน ให้จิตปล่อยวางกรรมของผู้อื่นด้วยปัญญา อย่าเอาแค่สัญญา

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2014 เมื่อ 01:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #127  
เก่า 18-09-2014, 10:41
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๓. อย่าเศร้าใจ อย่าเสียใจ เมื่อถูกกระทบโดยอายตนสัมผัส ให้เห็นทุกอย่างเป็นครูหรือบทเรียนสอนใจ ปรับจิตให้เห็นธรรมดาในเรื่องของทุกเรื่องไป ให้เอาเรื่องที่เข้ามากระทบนั้นเป็นพระกรรมฐานทั้งหมด และอย่าไปโทษใครว่าทำให้เราเป็นทุกข์ ให้โทษความโง่ของเราเองที่หลงเกิดมามีขันธ์ ๕ ทำให้ต้องพบกับความทุกข์กับสัทธรรมทั้ง ๕ อย่างหนีไม่พ้น ทุกๆ ครั้งที่เกิดมามีร่างกาย ใช้ปัญญาให้ยอมรับกฎของกรรมอันเป็นอริยสัจ ทำจิตของเราให้ผ่องใส บริสุทธิ์ใจเข้าไว้กับทุก ๆ คน จักทำให้เข้าถึงพระนิพพานได้โดยง่าย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2014 เมื่อ 14:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #128  
เก่า 23-09-2014, 16:50
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๔. ร่างกายไม่มีสาระแก่นสาร แต่เหตุไฉนจึงเป็นที่ผูกพันของจิตมาเป็นอสงไขยกัปนับไม่ถ้วน หากไม่หมั่นพิจารณาร่างกาย จักออกจากกองสังขารนี้ได้อย่างไรกัน ขอพวกเจ้าจงอย่าขี้เกียจ แม้จิตมันจักคร้าน ไม่ขยัน ก็ให้พยายามพิจารณาวันละนิด วันละหน่อย เหมือนดังสมัยรักษาศีล ตั้งใจไม่ให้ศีลขาด - ศีลด่าง - ศีลพร่อง ก็ระมัดระวังอยู่ การพิจารณาร่างกายก็เช่นกัน หรือแม้แต่การพิจารณาอารมณ์จิตก็เช่นกัน มีอะไรมากระทบจิต ทำให้ความทุกข์เกิดขึ้นแก่จิต ลักษณะอาการของความทุกข์ย่อมกำหนดรู้ได้ เพราะเป็นเครื่องเสียดแทง เมื่อรู้ก็พึงหมั่นละ - ปล่อย - วางอารมณ์ที่เป็นทุกข์ให้ออกไปจากจิต ต้องค่อย ๆ ทำไป มิใช่จักฝึกได้กันในวันสองวันเท่านั้น

อย่าลืม พระสาวกกว่าจักบรรลุได้ต้องอาศัยเวลาบำเพ็ญบารมีตั้งหนึ่งอสงไขยกำไรแสนกัป พวกเจ้าแม้จักบำเพ็ญบารมีตามท่านฤๅษีมามากก็จริงอยู่ แต่ก็เพิ่งจักมาลาพุทธภูมิตามท่านฤๅษีในชาตินี้ พุทธภูมิที่บำเพ็ญมาไม่ได้บำเพ็ญเพื่อเป็นพระอริยเจ้า เมื่อลาพุทธภูมิก็ต้องมาขึ้นต้นกันใหม่ แม้อารมณ์พุทธภูมิจักเข้มข้นกว่าพระสาวกก็ตาม การรู้มากก็มิใช่ว่าจักดีเสมอไป เพราะจับหนทางไม่ถูก เรียกว่ากรรมฐาน ๔๐ กองนั้น ตั้งท่าว่าจักชอบหมดทุกกอง เลยจับอะไรไม่ถูก เรียกว่าส่วนใหญ่รู้ดี แต่จิตยังเข้าไม่ถึงความดีอย่างแท้จริง คือ การกำหนดรู้ตัดสังโยชน์ ๑๐ ยังมีกำลังอ่อนไป จึงจำเป็นต้องหมั่นฝึกฝนการพิจารณาร่างกาย และอารมณ์ของจิตที่เข้ามากระทบให้เกิดทุกข์ขึ้นบ่อย ๆ

มาถึงจุดนี้แล้วก็จักเห็นว่า เกาะสุขก็เป็นทุกข์ เพราะสุขทางโลกก็ไม่เที่ยง หากไม่เข้าใจจุดนี้ จิตก็จักมีอุปาทาน หลงแสวงหาสุขที่ไม่เที่ยงนั้น ๆ ซึ่งต่างกับสภาวะจิตที่เข้าถึงพระนิพพาน ไม่สุข - ไม่ทุกข์ ไม่เกิด - ไม่ดับ เป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง กล่าวคือกิเลสทั้งปวงไม่มีเข้ามากล้ำกลายในจิต จิตไม่มีอาการเสียดแทงหรือหวั่นไหวด้วยประการทั้งปวง (มีผู้เข้าใจผิดเป็นอันมากว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์สาวกก็ดี เป็นผู้ไกลจากกิเลส) พึงพิจารณาจุดนี้ให้ดี เห็นอารมณ์แล้ว หมั่นสอบจิต สำรวมจิต ระมัดระวังจิต หากรู้ไม่เท่าทันก็สอบตกอยู่เป็นธรรมดา จงอย่าละความเพียรเสียอย่างเดียว แล้วที่สุดจิตจักรู้หนทางหลุดพ้นได้เอง

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-09-2014 เมื่อ 02:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #129  
เก่า 29-09-2014, 10:39
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๕. มองเห็นโทษของทุกขเวทนาแล้ว ก็พึงมองไปถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์นั้นด้วย เมื่อเห็นต้นเหตุ คือสมุทัยนั่นแหละ จึงพึงแก้ที่ต้นเหตุ ไม่มีทุกข์อันใดหรือโทษอันใดที่รู้ต้นเหตุแล้ว จิตนั้นจักล่วงทุกข์ไม่ได้ นอกเสียจากว่าเป็นอาภัพพบุคคล ที่ธรรมะของตถาคตเจ้าทั้งหลายโปรดไม่ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกำลังใจอย่างเดียวเท่านั้น หากบุคคลใดเดินให้ตรงทางของ ศีล - สมาธิ - ปัญญา หรือมรรค ๘ แล้ว จึงจักล่วงทุกข์ไปได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกำลังใจอย่างเดียว แม้ร่างกายจักไม่ดี ก็ขอให้รักษากำลังใจให้ดีไว้ก็แล้วกัน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-09-2014 เมื่อ 19:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #130  
เก่า 01-10-2014, 11:22
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๖. มองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกก็ไม่เที่ยง ยึดถือเข้าก็เป็นทุกข์ ทุกอย่างที่สุดเป็นอนัตตา โลกนี้ทั้งโลกในที่สุดแล้วไม่มีอะไรเหลือ อย่าคิดหวังพึ่งโลกอีกต่อไป และให้พิจารณาตัด - ปล่อย - วางอุปาทานขันธ์ ๕ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จักมากได้ กฎของกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำซ้อน ก็ให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะกรรมใดที่จิตเราไม่เคยก่อไว้ในอดีต วิบากนั้น ๆ จักเกิดขึ้นกับเรานั้นเป็นไปไม่ได้ ที่เป็นทุกข์นั้นเพราะจิตมันฝืน ไม่ยอมรับนับถือกฎของกรรมจึงทำให้ทุกข์ ต้องฝึกฝนอบรมจิต อย่าให้ดิ้นรนไปฝืนโลกฝืนธรรมแล้วจิตจักเป็นสุข โดยการยอมรับนับถือกฎของธรรม กฎธรรมดาของขันธ์ ๕ ทุกอย่างล้วนเป็นธรรมดาทั้งสิ้น สิ่งใดไม่ดีอย่าจำมาทำร้ายจิตของตนเอง ทิ้งออกไปให้หมด ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปตามศีล - สมาธิ - ปัญญาอย่างไม่หยุดยั้ง อย่าท้อถอย แล้วสักวันหนึ่งก็จักถึงจุดหมายปลายทางได้เอง
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #131  
เก่า 03-10-2014, 10:11
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๗. ร่างกายไม่มีแก่นสารก็จริงอยู่ แต่เมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนร่างกาย ก็จำเป็นที่จักต้องหาทางรักษาเพื่อบรรเทาทุกขเวทนาของร่างกาย จักได้ไม่ส่งผลมาถึงจิต ทำให้จิตพลอยถูกเบียดเบียนไปด้วย ให้พยายามแยกกาย - เวทนา - จิต – ธรรม ออกจากกัน ว่าสิ่งไหนเป็นเรื่องของกาย สิ่งไหนเป็นเรื่องของจิต ให้ตั้งใจทำให้ดี อย่าท้อแท้กับเหตุใด ๆ ทั้งปวง ให้พิจารณาลงตัวธรรมดาเสียให้ได้ แล้วทุกอย่างก็จักไม่เป็นเรื่องที่สร้างความหนักใจให้

เรื่องนี้ให้ดูท่านพระ... เป็นตัวอย่าง ร่างกายของท่านไม่ดี ท่านยิ่งตัดใจวางขันธ์ ๕ ให้มากขึ้น จิตอยู่ในอารมณ์สักแต่ว่าให้มันเป็นไปตามเรื่องของขันธ์ ๕ เท่านั้น จิตของท่านจึงเป็นสุข ร่างกายยิ่งใกล้จักพังยิ่งเป็นสุขใหญ่ แต่มิใช่แกล้งให้มันพัง จิตท่านมีเมตตากับร่างกายตนเองมาก แต่ในขณะเดียวกัน อารมณ์วางเฉยในร่างกายก็ทรงตัว.. เป็นเอกัคตารมณ์

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2014 เมื่อ 10:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #132  
เก่า 06-10-2014, 15:06
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๘. ร่างกายไม่ดีย่อมพาจิตให้ไม่ดีไปด้วย มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ร่างกายไม่ดี.. จิตใจไม่เกี่ยวเกาะร่างกาย จิตของท่านดีอยู่เสมอ อารมณ์ของท่านไม่มีไหลขึ้นไหลลง จิตคงที่ไม่มีความหวั่นไหวไปกับร่างกาย เพราะฉะนั้น..เจ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์ จึงยังมีอารมณ์ไหลขึ้นไหลลง ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ยิ่งวันไหนร่างกายแย่ จักเห็นอารมณ์ของจิตแย่ตามชัด ก็นับว่าเป็นปกติธรรมอยู่ เพราะผู้มีอารมณ์จิตไม่ไหลขึ้นไหลลง มีอยู่แต่พระอรหันต์เท่านั้น เวลานี้พวกเจ้าให้สังเกตท่านพระ...ให้ดี ปฏิปทาจริยาของท่านจักเป็นครูสอนพวกเจ้าสืบไป

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-10-2014 เมื่อ 16:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #133  
เก่า 07-10-2014, 11:17
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๙. งานทางโลกทำเท่าไหร่ไม่รู้จักจบ ต่างกับงานทางธรรมทำแล้วมีทางจบ ไม่ต้องกลับมาทำแล้วทำอีก และจงหมั่นพยายามปล่อยวางความกังวลใจในเรื่องทุกเรื่องลงเสีย ด้วยการพิจารณาให้เห็นทุกข์ และเห็นธรรมดาในเรื่องนั้น ๆ อย่าเอาจิตไปเกาะงานให้มากนัก ให้พิจารณาลงตัวธรรมดาเข้าไว้ เพราะนี่แหละคือความปรารถนาที่ไม่สมหวัง มันเป็นของธรรมดา พึงวางอารมณ์ให้อยู่ในความดี และเห็นเป็นกฎของกรรมลงเสีย จิตก็จักไม่ดิ้นรนฝืนโลก ฝืนธรรมให้เกิดความทุกข์ จิตปล่อยวางทุกอย่างลงตัวธรรมดาหมด ความสุขก็จักเกิดขึ้นได้ ให้พิจารณาค้นหาความจริงให้พบ น้อมจิตพิจารณาลงไป อย่าทิ้งอารมณ์แล้วจักเห็นหนทางไปได้ดีในการปฏิบัตินี้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-10-2014 เมื่อ 12:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #134  
เก่า 09-10-2014, 10:20
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๐. ร่างกายที่เห็นอยู่นี้ เป็นของใครก็ไม่รู้ มันเป็นสมบัติของโลก ซึ่งไม่มีใครเอาไปได้ อย่าไปดูว่ามันดีหรือมันเลว ให้เห็นมันเป็นธรรมดาทุกอย่าง จักแก่ จักเจ็บ จักตายด้วยโรค หรือด้วยเหตุประการใดก็เป็นธรรมดา อย่าไปวิตกอย่าไปกังวลให้มากนัก ร่างกายจักเป็นเช่นไรก็เป็นเรื่องธรรมดา ให้ใช้จิตพิจารณาคำว่าธรรมดาเข้าไว้ จิตจักไม่ดิ้นรน.. เยือกเย็นทุกอย่าง ความสุขจักเกิดขึ้นกับจิตมาก.. หากรักษาอารมณ์ที่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมเข้าไว้ ที่สุดแม้แต่ความตาย จักเข้ามาถึงร่างกายก็ยังเป็นของธรรมดา

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-10-2014 เมื่อ 10:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #135  
เก่า 13-10-2014, 10:00
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๑. ให้ดูร่างกายที่ไม่เที่ยงเข้าไว้ แล้วก็ให้ดูจิตที่มีอารมณ์ไม่เที่ยงเข้าไว้ แล้วหวนดูความปรารถนา หรือความทะยานอยากของจิตเข้าไว้ ใครจักเป็นผู้ดับความกระหาย หรือความทะยานอยาก หรือความปรารถนาของจิตได้ ถ้าดับด้วยการสนองตัณหาก็คือกิเลส ถ้าดับด้วยปัญญาก็จักเห็นแนวทางความสุขของจิตชัด ไม่มีความทะยานอยากด้วยกิเลส ไม่มีการสนองกิเลส จิตเห็นธรรมดาของอารมณ์ เห็นช่องทางที่จักไปให้พ้นได้จากวัฏสงสาร อย่าท้อถอย อย่าอ่อนแอ อะไรเกิดขึ้นกับร่างกาย อะไรเกิดขึ้นกับอารมณ์ นั่นเป็นของธรรมดา.. ปล่อยวางไปให้ถึงที่สุด ปล่อยวางด้วยปัญญาอันตั้งมั่นมาจากสมาธิ อันเกิดมาแต่ศีลบริสุทธิ์เท่านั้น ทำกำลังใจให้เต็มเข้าไว้ เรื่องของการปฏิบัติไม่มีใครช่วยใครได้ สำคัญอยู่ที่กำลังของตนเองเป็นสำคัญ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2014 เมื่อ 15:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #136  
เก่า 21-10-2014, 09:34
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๒. อย่ากังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งปวง ทำจิตให้สบาย ๆ ให้เห็นกฎของกรรมให้ชัด อย่าทำจิตให้เดือดร้อน ดูกรรมดี กรรมที่เป็นกุศลเข้ามาก็ส่งผลดีให้ (เป็นธรรมดา) อย่าให้หลงใหล ดูกรรมชั่ว กรรมที่เป็นอกุศลเข้ามาก็ส่งผลให้เป็นผลเสียเข้ามา (เป็นธรรมดา) ไม่ว่าทางด้านกาย - วาจา - ใจ ก็ให้เห็นเป็นของธรรมดา โลกนี้ทั้งโลกหาความเที่ยง หาความสงบไม่ได้ กำหนดจิตปล่อยวางโลกให้ได้มากที่สุดแล้วจิตจักเป็นสุข แต่ไม่ใช่ไม่รู้เท่าทันโลกเลยนะ ให้รู้แจ้งโลก จึงวางโลกได้ ไม่ว่าจักเป็นโลกภายนอกหรือโลกภายใน อะไรมันเกิดก็ให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา แล้วหมั่นดูจุดยืน คือกระทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานเอาไว้ให้ดี จิตจักได้มั่นคง ไม่อ่อนไหวง่าย เห็นทางไปพระนิพพานได้อย่างชัดเจนแจ่มใส อย่าลืมพระนิพพาน เขาเอาใจไปกัน..ใช่เอากายไปกัน อย่าห่วงร่างกายให้มากนัก และจงอย่าประมาทในกรรมทั้งหลายทั้งปวง เตือนเพียงเท่านี้แล้วนำไปพิจารณาเอาเอง

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2014 เมื่อ 09:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #137  
เก่า 29-10-2014, 10:45
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๓. เห็นโทษของการเกิดนั้นเป็นของดี ให้พิจารณาย้อนไปว่า การเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก จักทุกข์มากขนาดไหน ? พิจารณาย้อนไปให้เห็นชัดถึงตัวโทษของการเกิดอารมณ์ รัก - โลภ - โกรธ - หลงนั้น ๆ มีผลอย่างไร ? ทุกอย่างล้วนเป็นอริยสัจ กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุทั้งสิ้น ใครทำใครได้ กฎของกรรมนั้นเที่ยงเสมอและให้ผลไม่ผิดตัวด้วย จุดนี้หมั่นพิจารณาให้มาก การพูดการอ่านเท่าไหร่ก็ไม่ละเอียดเท่ากับการใช้จิตพิจารณาเอาเอง ให้จิตของเรารู้เอง ใครจักมาบอกเราให้รู้สัก ๑๐๐ ครั้ง ๑,๐๐๐ ครั้ง ก็สู้เรารู้ด้วยจิตของเราเองครั้งเดียวไม่ได้ ตถาคตไม่จำเป็นต้องตรัสให้มากไปกว่านี้ ตรัสเพียงเท่านี้ก็สามารถนำไปพิจารณาปฏิบัติได้แล้ว

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-10-2014 เมื่อ 13:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #138  
เก่า 03-11-2014, 11:26
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๔. การนินทาว่าร้ายคนอื่น จิตของผู้นั้นจักร้อนรุ่มเป็นที่สุด พิจารณาจุดนี้ให้มาก พยายามรักษากาย - วาจา - ใจให้สงบเป็นสุขเป็นสิ่งที่ดี คิดไว้เสมอว่ากรรมของใครก็กรรมของมัน เตือนใจไว้เสมอ อย่าไปสนใจกับกรรมของผู้อื่น ใครจักด่าจักนินทาก็เรื่องของเขา เรามิได้ดี หรือเลวไปกับคำด่าคำนินทาของเขา ดีหรือเลวอยู่ที่ศีล - สมาธิ - ปัญญา ของกาย - วาจา - ใจของเราเท่านั้น มิได้เกี่ยวกับบุคคลอื่นเลย ให้มีสติกำหนดรู้จุดนี้เอาไว้ให้ดี จักไปพระนิพพานต้องผ่านจุดนี้ให้ได้ ดูภายในคือกาย - วาจา - ใจของตน อย่าให้บกพร่องในศีล-สมาธิ-ปัญญา แม้แต่ชั่วขณะจิตหนึ่ง ดูภายนอกคือกาย-วาจา-ใจของบุคคลอื่น ปล่อยวางให้มากที่สุดเพราะไม่เกี่ยวกันเลย พยายามพิจารณาให้ลงตัวธรรมดา เห็นธรรมดาของร่างกาย เห็นธรรมดาของโลกธรรม ๘ เห็นธรรมดาของอารมณ์ให้มาก.. จิตจักได้ไม่ดิ้นรน เยือกเย็นลง เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง ไม่ทวนกระแสโลก (ไม่ฝืนโลก) ไม่ทวนกระแสธรรม (ไม่ฝืนธรรม) ทุกอย่างเป็นธรรมดาหมด วางอารมณ์ให้ถูกแล้วจิตจักเป็นสุข ยังมีชีวิตอยู่ก็ทำหน้าที่ทุกอย่างให้ครบด้วยกำลังใจเต็ม เพื่อพระนิพพานจุดเดียว

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-11-2014 เมื่อ 16:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #139  
เก่า 06-11-2014, 12:58
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๕. อย่าไปขวางกรรมหรือแก้กรรมของใคร ปล่อยวางทุกอย่างให้เป็นไปตามกรรม แม้แต่สภาพของร่างกายตนเองก็เช่นกัน ดูความเกิด ดูความดับของร่างกายเป็นของธรรมดา ไม่ควรอาลัยใยดีหรือกังวลให้มากจนเกินไป มองร่างกายตามสภาพความเป็นจริง แล้วปล่อยวางด้วยปัญญาให้มากที่สุดเท่าที่จักมากได้ หากร่างกายเราเกิดมีอาการเจ็บป่วยขึ้น จงคิดว่าเราอาจโชคดี รีบตัดร่างกายทิ้งไปให้ได้ เราก็ถึงซึ่งพระนิพพานได้เช่นกัน

ขอจงอย่าประมาทในชีวิต และอย่ากลัวความตาย เพราะถ้าไม่ตายก็เข้าถึงซึ่งพระนิพพานอย่างถาวรไม่ได้ เมื่อวาระนั้นมาถึง จงอย่าห่วงอะไรทั้งหมด ให้ตัดใจวางภาระและพันธะหน้าที่ทั้งหมด ทั้งภายนอกและภายใน เพราะมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่มีใครเอาสมบัติของโลกไปได้ จิตมุ่งสู่พระนิพพานจุดเดียวเท่านั้น (รู้ลม - รู้ตาย - รู้นิพพาน)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-11-2014 เมื่อ 14:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #140  
เก่า 10-11-2014, 09:04
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,549 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๖. เมื่อสอบถามอารมณ์จิตของพระ.... ที่ท่านวางอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้จริงแล้วมีความว่า หากมีผู้หญิงมาสนใจตัวท่าน ของใช้ส่วนตัวท่าน แม้แต่ห้องนอน - ห้องน้ำของท่านจนเกินพอดี ท่านจะคิดอย่างไร ? ท่านตอบว่าแม้แต่ร่างกายหรือ รูป - เวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณ ยังไม่ใช่ของเรา เราคือจิต แล้วห้องน้ำ - ห้องนอน สิ่งภายนอกกาย จะเป็นเราเป็นของเราได้อย่างไร การวางอารมณ์วางเฉย หรือสังขารุเบกขาญาณ คือวางทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับร่างกายว่า หาใช่เรา หาใช่ของเราไม่ โดยไม่มีอารมณ์ฝืนกระแสโลก ไม่ฝืนกระแสธรรม มองทุกอย่างเป็นธรรมดาหมด จิตก็จะไม่เป็นทุกข์

ท่านสอนให้ดูจิตที่เป็นดวงแก้วใสสว่าง ๆ นั่นแหละ คือเราดูอยู่เพียงอย่างเดียว หากยังมีอารมณ์ฝืนโลก - ฝืนธรรมอยู่ ก็ไม่แน่ว่าจะไปพระนิพพานได้ จึงต้องไม่มีอารมณ์ฝืนโลก ฝืนธรรม เหมือนว่ายตามน้ำ ไม่ว่ายทวนน้ำ โลกจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของโลก ให้รักษาอารมณ์จิตอย่างเดียว เพื่อไปให้ถึงพระนิพพานให้ได้ นี่ก็เป็นตัวอย่างของพระที่ท่านหมดความยึดมั่นถือมั่น ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก รวมทั้งร่างกายที่จิตท่านอาศัยอยู่ว่า ไม่ใช่ท่าน ไม่ได้เป็นของท่าน รู้ชัดว่าไม่มีใครเอาสมบัติของโลกไปได้ ทุกอย่างในโลกเป็นเพียงแค่สภาวธรรมที่เกิดดับ ๆ อย่างเป็นสันตติธรรม ทุกอย่างในโลกจึงเป็นแค่สมมุติธรรมที่แสดงอยู่ ล่อจิตที่โง่ (มีอวิชชา) ให้ติดและหลงใหลอยู่กับมัน หากวางจุดนี้ได้ก็จบกิจในพระพุทธศาสนา

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2014 เมื่อ 15:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:52



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว