กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องบูรพาจารย์ > ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน

Notices

ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 14-12-2009, 00:44
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ตัวอย่างเปรียบเทียบ

มรรค ผล นิพพาน เป็นสิ่งปัจจัตตัง คือ รู้เห็นได้จำเพาะตนโดยแท้
ผู้ใดปฏิบัติเข้าถึง ผู้นั้นเห็นเอง แจ่มแจ้งเอง หมดสงสัยในพระศาสนาได้โดยสิ้นเชิง
มิฉะนั้นแล้วจะต้องเดาเอาอยู่ร่ำไป
แม้จะมีผู้สามารถอธิบายให้ลึกซึ้งอย่างไร ผู้ฟังก็รู้ได้แบบเดา สิ่งใดยังเดาอยู่สิ่งนั้นก็ยังไม่แน่นอน

ยกตัวอย่างเช่น เต่ากับปลา เต่าอยู่ได้ทั้งสองโลก คือ โลกบนบกกับโลกในน้ำ
ส่วนปลาอยู่ได้โลกเดียว คือ ในน้ำ ขึ้นมาบนบกก็ตายหมด

วันหนึ่ง เต่าลงไปในน้ำแล้วก็พรรณนาความสุขสบายบนบกให้ปลาฟัง ว่ามันมีแต่ความสุขสบาย
แสงสีสวยงาม ไม่ต้องลำบากเหมือนอยู่ในน้ำ

ปลาพากันฟังด้วยความสนใจ และอยากเห็นบก จึงถามเต่าว่า...
บนบกนั้นลึกมากไหม เต่าว่ามันจะลึกอะไร ก็มันบก
เอ.. บนบกนั้นมีคลื่นมากไหม มันจะมีคลื่นอะไร ก็มันบก
เอ.. บนบกนั้นมีเปือกตมมากไหม มันจะมีเปือกตมอะไร ก็มันบก

ให้สังเกตดูคำถามที่ปลาถาม เอาแต่ความรู้ที่มีอยู่ในน้ำมาถามเต่า เต่าก็ได้แต่ปฏิเสธ

"จิตปุถุชนที่เดา มรรค ผล นิพพาน ก็ไม่ต่างอะไรกับปลา"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 14-12-2009, 01:23
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

คนละเรื่อง

มีชายหนุ่มสามสี่คนเข้าไปหาหลวงปู่ขณะที่ท่านนั่งพักผ่อนอยู่ที่มุมศาลาการเปรียญ
เขาพูดถึงถึงชื่อเกจิอาจารย์อื่น ๆ ว่าให้ของดีของวิเศษแก่ตนหลายอย่าง
ในที่สุดก็งัดเอาของมาอวดกันเองต่อหน้าหลวงปู่
คนหนึ่งมีเขี้ยวหมูตัน คนหนึ่งมีเขี้ยวเสือ อีกคนมีนอแรด
ต่างคนต่างอวดอ้างว่าของตนดีวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้
มีคนหนึ่งเอ่ยถามหลวงปู่ว่า
หลวงปู่ครับ อย่างไหนแน่ดีวิเศษกว่ากันครับ

หลวงปู่ก็ยิ้ม ๆ แล้วตอบว่า

"ไม่มีดี ไม่มีวิเศษอะไรหรอก เป็นของสัตว์เดียรัจฉานเหมือนกัน"

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย มายา : 17-12-2009 เมื่อ 03:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 58 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 15-12-2009, 00:47
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

เปรียบเทียบให้ฟัง

ความอยากรู้อยากเห็น เพื่อบรรเทาความสงสัยของตนให้ได้นั้น ย่อมมีอยู่ในชนผู้เจริญโดยทั่วไป
วิชาแต่ละศาสตร์ แต่ละสาขา ตั้งไว้เพื่อให้มนุษย์เกิดสงสัยอยากรู้
แล้วเพียรพยายามศึกษาปฏิบัติเพื่อรู้ถึงจุดหมายปลายทางของแต่ละศาสตร์นั้น

แต่พุทธศาสตร์ต้องศึกษาและปฏิบัติอย่างสมดุล และความเพียรขั้นอุกฤษฏ์
เพื่อเข้าถึงสิ่งสูงสุดของพุทธธรรมด้วยตนเอง หมดข้อสงสัยได้เองโดยสิ้นเชิง

เปรียบเหมือนคนบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นกรุงเทพฯ มีคนอธิบายให้ฟังว่า ที่กรุงเทพฯ นั้น
นอกจากมีความเจริญอย่างอื่นแล้ว ยังมีกำแพงแก้วและภูเขาทองทั้งลูกอันมหึมาอีกด้วย
เขาตั้งใจไปกรุงเทพฯ ให้ได้ โดยคิดว่าจะไปเอาแก้วที่กำแพงและไปเอาทองที่ภูเขา
ครั้นเพียรพยายามไปจนถึงแล้ว ผู้รู้ก็ชี้บอกว่า นี่คือกำแพงแก้ว นี่คือภูเขาทอง
เพียงแค่นี้ความตั้งใจและความสงสัยของเขา ก็สิ้นสุดลงทันที

"มรรค ผล นิพพาน ก็เช่นนั้นเหมือนกัน"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 17-12-2009, 22:09
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

สิ่งที่อยู่เหนือคำพูด

อุบาสกผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง สนทนากับหลวงปู่ว่า
"กระผมเชื่อว่า แม้ในปัจจุบันพระผู้ปฏิบัติถึงขั้นได้บรรลุมรรค ผล นิพพานก็คงมีอยู่ไม่น้อย
เหตุใดท่านเหล่านั้นจึงไม่แสดงตนให้ปรากฏ
เพื่อให้ผู้สนใจปฏิบัติทราบว่าท่านได้บรรลุถึงคุณธรรมนั้น ๆ แล้ว
เขาจะได้มีกำลังใจและมีความหวัง เพื่อเป็นพลังเร่งความเพียรในทางการปฏิบัติให้เต็มที่"

หลวงปู่กล่าวว่า

"ผู้ที่เขาตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดว่าเขารู้แล้วซึ่งอะไร เพราะสิ่งนั้นมันอยู่เหนือคำพูดทั้งหมด"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 17-12-2009, 22:28
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

มี แต่ไม่เอา

ปี ๒๕๒๒ หลวงปู่ได้ไปพักผ่อน และเยี่ยมพระอาจารย์สมชายที่วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี
ขณะเดียวกันก็มีพระเถระอาวุโสรูปหนึ่งจากกรุงเทพฯ คือ
พระธรรมวราลังการ วัดบุปผาราม เจ้าคณะภาคทางใต้ได้ไปอยู่ฝึกกัมมัฏฐานเมื่อวัยชราแล้ว

เมื่อท่านทราบว่าหลวงปู่เป็นพระฝ่ายกัมมัฏฐานอยู่แล้ว
ท่านจึงสนใจขอศึกษาและถามถึงผลของการปฏิบัติธรรมกันเป็นเวลานาน
และกล่าวถึงภาระของท่านว่า มัวแต่ศึกษาและบริหารงานการคณะสงฆ์มาตลอดจนถึงวัยชรา
แล้วก็ลงท้ายถามหลวงปู่สั้น ๆ ว่า "ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม"

หลวงปู่ก็ตอบโดยเร็วว่า

"มี แต่ไม่เอา"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า 17-12-2009, 22:36
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

รู้ให้พร้อม

ระหว่างที่หลวงปู่อยู่รักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์นั้น
มีผู้ไปกราบนมัสการ และขอฟังธรรมเป็นจำนวนมาก
คุณบำรุงศักดิ์ กองสุข เป็นผู้หนึ่งที่สนใจในการปฏิบัติสมาธิภาวนา
ได้ปรารภการปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ ถึงเรื่องการละกิเลสว่า
"หลวงปู่ครับ ทำอย่างไรจึงจะตัดความโกรธให้ขาดได้"

หลวงปู่ตอบว่า

"ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทัน เมื่อรู้ทันมันก็ดับไปเอง"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า 21-12-2009, 21:18
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ภาระและปัญหาประจำ

การปกครองและการบริหารหมู่คณะใหญ่ นอกจากจะต้องแก้ปัญหาเล็กใหญ่อย่างอื่นแล้ว
ก็มีปัญหาขาดแคลนพระเจ้าอาวาส เราเคยได้ยินแต่การแย่งเป็นสมภารกัน
แต่ลูกศิษย์หลวงปู่นั้น ต้องปลอบ ต้องบังคับให้ไปเป็นสมภาร
ไม่เว้นแต่ละปีที่มีญาติโยมยกขบวนมาขอให้หลวงปู่ส่งพระไปเป็นเจ้าอาวาส
เมื่อหลวงปู่เห็นว่าองค์ไหนสมควรไปก็ขอร้องให้ไป
ส่วนมากเมื่อไม่อยากไปก็มักจะอ้างว่า กระผมก่อสร้างไม่เก่ง อบรมไม่เป็น เทศน์ไม่ได้
ประชาสัมพันธ์หรือรับแขกไม่คล่อง เป็นต้น จึงยังไม่อยากไป

หลวงปู่ก็สอนว่า

"สิ่งเหล่านั้นไม่จำเป็นเท่าไหร่หรอก เรามีหน้าที่ปฏิบัติกิจวัตรเท่านั้นเอง
บิณฑบาต ฉัน แล้วก็นั่งภาวนา เดินจงกรม ทำความสะอาดลานวัด เคร่งครัดตามธรรมวินัย แค่นี้ก็พอแล้ว
การก่อสร้างอะไร ๆ มันแล้วแต่ญาติโยม เขาจะทำหรือไม่ทำแล้วแต่เขา"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #28  
เก่า 21-12-2009, 21:40
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ปรารภธรรมะให้ฟัง

หลวงปู่สรงน้ำวันละหนึ่งครั้ง เวลาบ่ายห้าโมงเย็น
เฉพาะน้ำร้อนที่ผสมให้อุ่นแล้ว กระทำอยู่อย่างนี้จนตลอดอายุขัยของท่าน
หลังจากเช็ดตัวแห้งดีแล้ว ท่านมักจะปรารภธรรมะให้ฟัง
แล้วแต่จะมีธรรมะข้อใดปรากฏขึ้นในขณะนั้น เช่น ครั้งหนึ่งท่านปรารภว่า

"ภิกษุเรา ถ้าปลูกความยินดีในเพศภาวะของตนแล้ว ก็จะมีแต่ความสุข เยือกเย็น
ถ้าตัวเองอยู่ในเพศภิกษุ แต่กลับไปยินดีในเพศอื่น ภาวะอื่น ความทุกข์ก็จะทับถมอยู่ร่ำไป
หยุดกระหาย หยุดแสวงหาได้นั่นคือภิกษุภาวะโดยแท้
ความเป็นพระนั้น ยิ่งจน ยิ่งมีความสุข"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #29  
เก่า 21-12-2009, 22:04
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ปรารภธรรมะให้ฟัง

จบพระไตรปิฎกหมดแล้ว จำพระธรรมได้มากหลาย พูดเก่ง
อธิบายได้อย่างซาบซึ้ง มีคนเคารพนับถือมาก ทำการก่อสร้างวัตถุไว้ได้อย่างมากมาย
หรือสามารถอธิบายถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้อย่างละเอียดแค่ไหนก็ตาม

ถ้ายังประมาทอยู่ ก็นับว่ายังไม่ได้รับรสชาติของพระศาสนาแต่ประการใดเลย
เพราะสิ่งเหล่านี้ยังเป็นของภายนอกทั้งนั้น เมื่อพูดถึงประโยชน์ก็เป็นประโยชน์ภายนอก คือ
เป็นไปเพื่อสงเคราะห์สังคม เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น เพื่อสงเคราะห์อนุชนรุ่นหลัง
หรือเป็นสัญลักษณ์ของศาสนวัตถุ ส่วนประโยชน์ของตนที่แท้นั้น คือ ความพ้นทุกข์


"จะพ้นทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อ รู้ จิตหนึ่ง"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #30  
เก่า 22-12-2009, 20:30
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

อย่าตั้งใจผิด

นอกจากหลวงปู่จะนำธรรมที่ออกจากจิตของท่านมาสอนแล้ว โดยที่ท่านเคยอ่านพระไตรปิฎกจบมาแล้ว
ตรงไหนที่ท่านเห็นว่าสำคัญและเป็นการเตือนใจในทางปฏิบัติให้ตรง และลัดที่สุด
ท่านก็จะยกมากล่าวเตือนอยู่เสมอ เช่น หลวงปู่ยกพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

"ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติมิใช่เพื่อหลอกลวงคน
มิใช่เพื่อให้คนมานิยมนับถือ มิใช่เพื่ออานิสงส์ลาภสักการะและสรรเสริญ
มิใช่อานิสงส์เป็นเจ้าลัทธิ หรือแก้ลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้
ที่แท้พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อสังวระ ความสำรวม เพื่อปหานะ ความละ
เพื่อวิราคะ ความหายกำหนัดยินดี และเพื่อนิโรธะ ความดับทุกข์
ผู้ปฏิบัติและนักบวชต้องมุ่งตามแนวทางนี้ นอกจากแนวทางนี้แล้ว ผิดทั้งหมด"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #31  
เก่า 22-12-2009, 20:43
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

พระพุทธพจน์

หลวงปู่ว่า ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ตราบนั้นย่อมมีทิฏฐิ และเมื่อมีทิฏฐิแล้วยากที่จะเห็นตรงกัน
เมื่อเห็นไม่ตรงกัน ก็เป็นเหตุให้โต้เถียงวิวาทกันอยู่ร่ำไป
สำหรับพระอริยเจ้าผู้เข้าถึงธรรมแล้ว ก็ไม่มีอะไรสำหรับมาโต้แย้งกับใคร
ใครจะมีทิฏฐิอย่างไร ก็ปล่อยเป็นเรื่องของเขาไป
ดังพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

"ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลกกล่าวว่ามีอยู่
แม้เราตถาคตก็กล่าวว่าสิ่งนั้นมีอยู่
สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลกกล่าวว่าไม่มี
แม้เราตถาคตก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่วิวาทโต้เถียงกับโลก แต่โลกย่อมวิวาทโต้เถียงกับเรา"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #32  
เก่า 22-12-2009, 20:58
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

คิดไม่ถึง

สำนักปฏิบัติแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสาขาของหลวงปู่นั่นเอง
อยู่ด้วยกันเฉพาะพระประมาณห้าหกรูป อยากจะเคร่งครัดเป็นพิเศษ
ถึงขั้นสมาทานไม่พูดจากันตลอดพรรษา คือ ไม่ให้มีเสียงเป็นคำพูดออกจากปากใคร
ยกเว้นการสวดมนต์ทำวัตร หรือสวดปาฏิโมกข์เท่านั้น
ครั้นออกพรรษาแล้ว ก็พากันไปกราบหลวงปู่ เล่าถึงการปฏิบัติอย่างเคร่งของพวกตนว่า
นอกจากปฏิบัติข้อวัตรอย่างอื่นแล้ว สามารถหยุดพูดได้ตลอดพรรษาอีกด้วย

หลวงปู่ฟังแล้วยิ้มหน่อยหนึ่ง แล้วพูดว่า

"ดีเหมือนกัน เมื่อไม่พูดก็ไม่มีโทษทางวาจา
แต่ที่ว่าหยุดพูดได้นั้น เป็นไปไม่ได้หรอก
นอกจากพระอริยบุคคลผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติขั้นละเอียด
ดับสัญญาเวทนาเท่านั้นแหละที่ไม่พูดได้ นอกนั้นพูดทั้งวันทั้งคืน
ยิ่งพวกที่ตั้งปฏิญาณว่าไม่พูดนั่นแหละยิ่งพูดมากกว่าคนอื่น
เพียงแต่ไม่ออกเสียงให้คนอื่นได้ยินเท่านั้นเอง
"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #33  
เก่า 19-01-2010, 23:14
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ผู้ที่เข้าใจธรรมะได้ถูกต้องหายาก

เมื่อไฟไหม้จังหวัดสุรินทร์ครั้งใหญ่ได้ผ่านไปแล้ว ผลคือความทุกข์ยาก
สูญเสียสิ้นเนื้อประดาตัว และเสียใจอาลัยอาวรณ์ในทรัพย์สิน ถึงขั้นเสียสติไปก็หลายราย
บางคนวนเวียนมาลำเลิกให้หลวงปู่ฟังว่า
อุตส่าห์ทำบุญเข้าวัดปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ทำไมบุญกุศลจึงไม่ช่วย
ทำไมธรรมะจึงไม่ช่วยคุ้มครอง ปล่อยให้ไฟไหม้บ้านวอดวายหมด
แล้วเขาเหล่านั้นก็เลิกเข้าวัดทำบุญไปหลายราย เพราะธรรมะไม่ช่วยพวกเขาให้พ้นจากไฟไหม้บ้าน

หลวงปู่ปรารภว่า

"ไฟมันทำตามหน้าที่ของมัน ธรรมะไม่ได้ช่วยใครในลักษณะนั้น
หมายความว่า ความอันตรธาน ความวิบัติ ความเสื่อมสลาย
ความพลัดพรากจากกัน สิ่งเหล่านี้มันมีประจำโลกอยู่แล้ว
ทีนี้ผู้มีธรรมะ เมื่อประสบกับภาวะเช่นนั้นแล้ว จะวางใจอย่างไรจึงไม่เป็นทุกข์ อย่างนี้ต่างหาก
ไม่ใช่ธรรมะช่วยไม่ให้แก่ ไม่ให้ตาย ไม่ให้หิว ไม่ให้ไฟไหม้ ไม่ใช่อย่างนั้น
"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #34  
เก่า 19-01-2010, 23:31
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

มีปกติไม่แวะเกี่ยว

อยู่รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่เป็นเวลานานสามสิบกว่าปี จนถึงวาระสุดท้ายของท่านนั้น
เห็นว่าหลวงปู่มีปฏิปทาตรงต่อพระธรรมวินัย ตรงต่อการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์อย่างเดียว
ไม่แวะเกี่ยวกับวิชาอาคม ของศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งชวนสงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย เช่น
มีคนขอให้เป่าหัวให้ ก็ถามว่าเป่าทำไม มีคนขอให้เจิมรถ ก็ถามเขาว่าเจิมทำไม
มีคนขอให้บอกวันเดือนหรือฤกษ์ดี ก็บอกว่าวันไหนก็ดีทั้งนั้น
หรือเมื่อท่านเคี้ยวหมาก มีคนขอชานหมาก

หลวงปู่ว่า

"เอาไปทำไม ของสกปรก"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #35  
เก่า 19-01-2010, 23:44
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ปรารภธรรมะให้ฟัง

"คำสอนทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น
เป็นเพียงอุบายให้คนทั้งหลายหันมาดูจิตนั่นเอง
คำสอนของพระพุทธองค์มีมากมายก็เพราะกิเลสมีมากมาย
แต่ทางดับทุกข์ได้มีทางเดียวคือ นิพพาน
การที่เรามีโอกาสปฏิบัติธรรมที่ถูกทางเช่นนี้มีน้อยนัก
หากปล่อยโอกาสให้ผ่านไปเราจะหมดโอกาสพ้นทุกข์ได้ทันในชาตินี้
แล้วจะต้องหลงอยู่ในความเห็นผิดอีกนานแสนนาน เพื่อจะพบธรรมอันเดียวกันนี้

ดังนั้น เมื่อเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว รีบปฏิบัติให้หลุดพ้นเสีย
มิฉะนั้นจะเสียโอกาสอันดีนี้ไป เพราะว่าเมื่อสัจจธรรมถูกลืม
ความมืดมนย่อมครอบงำปวงสัตว์ให้อยู่ในกองทุกข์สิ้นกาลนาน"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #36  
เก่า 19-01-2010, 23:55
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ปรารภธรรมะให้ฟัง

มิใช่ครั้งเดียวเท่านั้นที่หลวงปู่เปรียบเทียบธรรมะให้ฟัง มีอยู่อีกครั้งหนึ่งหลวงปู่ว่า

"ปัญญาภายนอกคือปัญญาสมมติ ไม่ทำให้จิตแจ้งในพระนิพพานได้
ต้องอาศัยปัญญาอริยมรรคจึงจะเข้าถึงพระนิพพานได้
ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ เช่น ไอน์สไตน์ มีความรู้มาก
มีความสามารถมาก แยกปรมาณูที่เล็กที่สุดจนเข้าถึงมิติที่ ๔ แล้ว
แต่ไอน์สไตน์ไม่รู้จักพระนิพพาน จึงเข้านิพพานไม่ได้
จิตที่แจ้งในอริยมรรคเท่านั้นจึงเป็นไปเพื่อการตรัสรู้จริง ตรัสรู้ยิ่ง ตรัสรู้พร้อม
เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เป็นไปเพื่อนิพพาน
"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #37  
เก่า 22-01-2010, 20:30
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ปรารภธรรมะให้ฟัง

คราวหนึ่ง หลวงปู่กล่าวปรารภพระธรรมให้ฟังว่า
เราเคยตั้งสัจจะอ่านพระไตรปิฎกจนจบ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕
เพื่อสำรวจดูว่าจุดจบของพระพุทธศาสนาอยู่ตรงไหน
ที่สุดแห่งสัจจธรรม หรือที่สุดของทุกข์นั้นอยู่ตรงไหน
พระพุทธองค์ทรงกล่าวสรุปไว้ว่าอย่างไร
ครั้นอ่านไป ตริตรองไปกระทั่งถึงจบ ก็ไม่เห็นตรงไหนที่มีสัมผัสอันลึกซึ้งถึงจิตของเรา
ให้ตัดสินได้ว่า นี่คือที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ ที่สุดแห่งมรรคผล หรือที่เรียกว่านิพพาน

มีอยู่ตอนหนึ่ง คือ ครั้งพระสารีบุตรออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ ๆ
พระพุทธเจ้าตรัสถามเชิงสนทนาธรรมว่า สารีบุตรสีผิวของเธอผ่องใสยิ่งนัก
วรรณะของเธอหมดจดผุดผ่องยิ่งนัก อะไรเป็นวิหารธรรมของเธอ
พระสารีบุตรกราบทูลว่า "ความว่างเปล่าเป็นวิหารธรรมของข้าพระองค์"
ก็เห็นมีเพียงแค่นี้แหละ ที่มาสัมผัสจิตของเรา
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #38  
เก่า 22-01-2010, 20:55
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ประหยัดคำพูด

คณะปฏิบัติธรรมจากจังหวัดบุรีรัมย์หลายท่าน มีร้อยตำรวจเอกบุลชัย สุคนธมัต อัยการจังหวัด
เป็นหัวหน้ามากราบหลวงปู่เพื่อฟังข้อปฏิบัติและเรียนถามถึงวิธีปฎิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ซึ่งส่วนมากก็เคยปฏิบัติกับครูบาอาจารย์แต่ละท่านมาแล้ว และแนวทางปฏิบัติก็ไม่ค่อยจะตรงกัน
เป็นเหตุให้เกิดความสงสัยยิ่งขึ้น จึงขอกราบเรียนหลวงปู่โปรดช่วยแนะแนวปฏิบัติที่ถูกต้อง
และทำได้ง่ายที่สุด เพราะหาเวลาปฏิบัติธรรมได้ยาก หากได้วิธีง่าย ๆ แล้วก็จะเป็นการดีอย่างยิ่ง

หลวงปู่บอกว่า

"ให้ดูจิต ที่จิต"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #39  
เก่า 22-01-2010, 21:21
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ง่าย แต่ทำได้ยาก

คณะของคุณดวงพร ธารีฉัตร จากสถานีวิทยุทหารอากาศ ๐๑ บางซื่อ
เดินทางไปถวายผ้าป่าและกราบนมัสการครูบาอาจารย์ตามสำนักต่าง ๆ ทางภาคอีสาน
และได้แวะกราบนมัสการหลวงปู่ หลังจากการถวายผ้าป่า
ถวายจตุปัจจัยไทยทานแด่หลวงปู่ และรับวัตถุมงคลเป็นที่ระลึกจากท่านแล้ว
ต่างคนต่างก็ออกไปตลาดบ้าง พักผ่อนตามอัธยาศัยบ้าง
มีอยู่กลุ่มหนึ่งประมาณ สี่ห้าคน เข้าไปกราบขอให้หลวงปู่แนะนำวิธีปฏิบัติง่าย ๆ
เพื่อแก้ไขความทุกข์ความกลุ้มใจ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ
ว่าควรปฏิบัติอย่างไรจึงได้ผลเร็วที่สุด

หลวงปู่บอกว่า

"อย่าส่งจิตออกนอก"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #40  
เก่า 05-02-2010, 20:57
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,649 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

พุทโธเป็นอย่างไร

หลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปโปรดญาติโยมที่กรุงเทพฯ เมื่อ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๑
ในช่วงสนทนาธรรม ญาติโยมสงสัยว่า พุทโธ เป็นอย่างไร หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า

เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออกนอก ความรู้อะไรทั้งหลายทั้งปวงอย่าไปยึด
ความรู้ที่เราเรียนกับตำรับตำรา หรือจากครูบาอาจารย์ อย่าเอามายุ่งเลย
ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วก็ภาวนาไปให้มันรู้ รู้จากจิตของเรานั่นแหละ
เมื่อจิตของเราสงบ เราจะรู้เอง ต้องภาวนาให้มาก ๆ เข้า เวลามันจะเป็น จะเป็นของมันเอง
ความรู้อะไร ๆ ให้มันออกจากจิตของเรา

ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด
ให้มันรู้ออกจากจิตเองนั่นแหละมันดี คือจิตมันสงบ

ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว อย่าส่งจิตออกนอก ให้จิตอยู่ในจิต และให้จิตภาวนาเอาเอง
ให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธ พุทโธอยู่นั่นแหละ แล้วพุทโธนั่นแหละจะผุดขึ้นในจิตของเรา
เราจะได้รู้จักว่า พุทโธ นั้นเป็นอย่างไร แล้วรู้เอง...เท่านั้นแหละไม่มีอะไรมากมาย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย มายา : 25-02-2010 เมื่อ 23:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:37



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว