กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 02-05-2011, 10:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๔

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัวจ้ะ หายใจเข้าออกยาว ๆ สัก ๒-๓ ครั้ง เพื่อระบายลมหยาบออกให้หมด จากนั้นก็ปล่อยให้หายใจตามปกติ เพียงแต่กำหนดความรู้สึกให้ไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา

หายใจเข้า.. ลมหายใจผ่านจมูก ผ่านกึ่งกลางอก ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออก.. ลมหายใจออกจากท้อง ผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่แค่นี้ ถ้าหากว่าเผลอไปคิดถึงเรื่องอื่นเมื่อใด รู้สึกตัวขึ้นมา ก็ให้รีบดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเราใหม่

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันแรกของเดือนพฤษภาคม ที่ต้องมาปลายเดือนเมษายนเพราะว่าอาทิตย์ถัดไปมีจะงานเป่ายันต์เกราะเพชร ถ้าหากเลื่อนไกลออกไปก็จะถึงกลางเดือนไปเลย และช่วงกลางเดือนนั้นก็มีงานบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รุ่นพิเศษ จึงไม่สามารถที่จะเลื่อนออกไปได้อีก ต้องเลื่อนเข้ามาเท่านั้น

โดยเฉพาะวันนี้ สิ่งที่เป็นข่าวใหญ่และทั่วโลกให้ความสนใจ ก็คือ พิธีอภิเษกสมรสของเจ้าชายวิลเลียมและแคทเธอรีน ที่ประเทศอังกฤษ เราจะเห็นได้ว่า สื่อมวลชนต่าง ๆ พากันให้ความสำคัญในข่าวนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะแสดงความตื่นเต้น ยินดีกับคู่บ่าวสาวทั้งสอง

ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว ตามภาษาของนักปฏิบัติของเราก็คือว่า ยินดีที่เขามีความทุกข์เพิ่มขึ้น เพราะคนทั้งหลายเหล่านั้นประกอบไปด้วยอวิชชาคือความไม่รู้ ว่าสิ่งที่เขาเห็นว่าน่ายินดีนั้น แท้จริงแล้วเป็นการเพิ่มทุกข์ให้แก่ตัวเอง

ความยินดีทั้งหลายเหล่านั้น ถ้าใช้ภาษาพระก็ต้องเรียกกันว่าปีติ แต่ว่าปีติในเรื่องนี้นั้น เกิดจากสิ่งกระตุ้นเร้าจากภายนอก อย่างเช่น งานอภิเษกสมรสเป็นเครื่องกระตุ้นทำให้คนเกิดปีติยินดีกัน บางท่านก็ต้องกระตุ้นด้วยแสงสีเสียงต่าง ๆ นานา บางท่านถึงกับกระตุ้นตนเองด้วยยาเสพติด..!

ปีติทั้งหลายเหล่านี้ไม่ยั่งยืน เพราะเมื่อสิ่งกระตุ้นเร้านั้นหมดไป ความรู้สึกยินดี อิ่มเอิบใจก็หมดไปด้วย จึงทำให้บุคคลจำนวนมากด้วยกันกลายเป็นนักเที่ยวกลางคืน เพราะว่าต้องวิ่งออกไปหาแสงสีเสียงต่าง ๆ ที่กระตุ้นเร้า โดยเฉพาะสุราและยาเสพติด

โดยที่เขาไม่รู้ตัวว่า เมื่อเขาเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้น เขาเกิดความสุขเพราะมีสิ่งกระตุ้นเร้าจากภายนอกเข้ามาช่วย เมื่อเป็นดังนั้นก็เลยเกิดการเสพติด ก็คือ ติดสิ่งต่าง ๆ ที่มากระตุ้นเร้าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และสิ่งเสพติดอย่างเช่น สุราและยาเสพติดต่าง ๆ เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-05-2011 เมื่อ 02:45
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 03-05-2011, 09:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ไม่เหมือนกับการปฏิบัติธรรมของเรา ถ้าหากว่าอารมณ์ใจเริ่มทรงตัว เกิดอาการปีติขึ้นมา ๕ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ ๑. ขณิกาปีติ มีอาการขนลุกเป็นพัก ๆ ๒.ขุททกาปีติ มีอาการน้ำตาไหล ๓.โอกกันติกาปีติ ร่างกายโยกไปโยกมา ดิ้นตึงตังโครมคราม บางรายก็หกคะเมนตีลังกาไปเลย ๔. อุเพ็งคาปีติ ลอยขึ้นได้ทั้งตัว ๕. ผรณาปีติ รู้สึกว่าตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวรั่วเป็นรู ตัวแตก ตัวระเบิด เป็นต้น

ปีติทั้งหลายเหล่านี้ เกิดจากเราเสริมสร้างขึ้นมาในใจของเราเอง ด้วยอำนาจของสมาธิที่เริ่มทรงตัว ดังนั้น..จึงเป็นปีติที่ยั่งยืน ไม่ต้องอาศัยสิ่งกระตุ้นเร้าจากภายนอก

บุคคลที่ปฏิบัติธรรมเริ่มเข้าถึงตัวปีติ ต้องระมัดระวังอย่างหนึ่งว่า อย่าปฏิบัติมากจนเกินไป เพราะว่าบุคคลที่เข้าถึงปีตินั้น จะไม่อิ่มไม่เบื่อไม่หน่ายในการปฏิบัติธรรม ถึงจะปฏิบัติหามรุ่งหามค่ำก็ไม่เป็นไร เพราะว่าจิตใจกำลังแช่มชื่นเบิกบานมาก

ดังนั้น..อาจจะเกิดการพักผ่อนไม่พอ พอสะสมมาก ๆ เข้าร่างกายทนไม่ไหว ก็เกิดอาการที่เรียกว่า สติแตกบ้าง กรรมฐานแตกบ้าง ทำให้กลายเป็นคนป้ำ ๆ เป๋อ ๆ บ้า ๆ บอ ๆ ไปเลยก็มี

สำหรับนักปฏิบัติ ถ้าเริ่มเข้าถึงปีติแล้ว ส่วนที่สำคัญก็คือ ต้องตั้งเวลาในการปฏิบัติ อย่างเช่นว่า จะเอาไม่เกินเช้า ๑ ชั่วโมง กลางวัน ๑ ชั่วโมง และเย็น ๑ ชั่วโมง เป็นต้น ไม่เช่นนั้นแล้ว ถ้าไปทุ่มเทกับการปฏิบัติมากเกินไป จนกลายเป็นอัตตกิลมถานุโยค ทรมานตนจนเกินพอดี

ในช่วงที่ปีติยังค้ำอยู่ เราสามารถที่จะผ่านไปได้โดยไม่รู้สึกลำบาก เพราะว่าจิตใจอิ่มเอิบแช่มชื่นอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากว่าปีตินั้นถดถอยลง หรือว่าเราปฏิบัติโดยไม่ได้พักไม่ได้ผ่อน ไม่ได้หลับไม่ได้นอนมากเกินไป ก็จะเริ่มเกิดผลร้าย หลายต่อหลายท่านถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวกันก็มี ก็เพราะว่าปฏิบัติเกินความพอดีของตนไปนั่นเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-05-2011 เมื่อ 11:30
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 03-05-2011, 23:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,199 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเรามาเปรียบเทียบว่า ปีติที่เกิดจากสิ่งกระตุ้นเร้าจากภายนอก อย่างเช่น งานอภิเษกสมรสของเจ้าชายวิลเลียม ที่ชาวบ้านเขาสนใจกันทั่วบ้านทั่วเมืองก็ดี หรือว่าการเป็นนักเที่ยวกลางคืนที่องค์สมเด็จพระสัมมาพระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นอบายมุขก็ดี หรือว่าการเสพสุรายาเสพติดซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดศีลก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่ปีติที่ยั่งยืนและไม่ใช่ปีติที่ถูกต้อง

ปีติที่ยั่งยืนและถูกต้อง เป็นปีติที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราจึงจำเป็นที่จะต้องระมัดระวัง หรือถ้าเห็นใครที่ไปหลงสิ่งกระตุ้นเร้าภายนอก จนกลายเป็นนักเที่ยว ถ้ามีโอกาสก็เมตตาตักเตือนเขาบ้าง ไม่อย่างนั้นเขาก็จะหลงเตลิดไปไม่รู้จักกลับ เพราะเห็นว่าทำแล้วมีความสุข แต่เป็นความสุขชั่วคราวที่ไม่ยั่งยืน

เมื่อพวกเรารู้เช่นนี้แล้ว ก็ให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติภาวนาของเรา ทำให้เต็มที่เท่าที่สามารถจะทำได้ โดยกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมแก่ตัวเอาไว้ โดยเฉพาะว่า การปฏิบัตินั้นสิ่งที่จะลืมไม่ได้ก็คืออานาปานุสติหรือการนึกถึงลมหายใจเข้าออก พุทธานุสติ หรืออุปสมานุสติ คือการระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือระลึกถึงพระนิพพาน

สำหรับพวกเราจำนวนมากไม่ใช่แค่ระลึกนึกถึงเฉย ๆ แต่เราสามารถที่จะยกจิตขึ้นไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถยกจิตขึ้นไปยังพระนิพพานได้ ก็ขอให้ทุกคนยกจิตของตนขึ้นไปยังพระนิพพาน เพื่อกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วรักษากำลังใจที่เกาะพระนิพพาน หรือเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเอาไว้

ถ้าหากว่ายังมีลมหายใจเข้าออก ก็กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกควบไปด้วย ถ้ายังมีคำภาวนาก็กำหนดรู้คำภาวนาควบไปด้วย ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออก ไม่มีคำภาวนา ก็เอาใจจดจ่อแน่วนิ่งอยู่กับพระนิพพาน หรือภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราไว้

ตั้งใจว่า ถ้าหากว่าเราสิ้นชีวิตลงไป จะด้วยเพราะหมดอายุขัยหรือว่าอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ก็ตามในเวลานี้ เราขอไปอยู่ที่พระนิพพาน เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ให้ทุกคนวางกำลังใจให้มั่นคง กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาของตนไป จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๔
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 08-05-2011 เมื่อ 17:53
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:00



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว