กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 29-10-2018, 21:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,117 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๑

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกทั้งหมดของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ส่วนหนึ่งจากการที่ญาติโยมทั้งหลายมาทำบุญกันที่บ้านเติมบุญแห่งนี้ จะเห็นได้ชัดว่าในส่วนของทานบารมีนั้น พวกเราทำได้โดยที่ไม่มีอะไรบกพร่อง เราก็ควรที่จะไปเน้นในเรื่องของศีลและการภาวนา

การรักษาศีลของเรานั้น เราต้องตั้งใจรักษา เพราะว่าการที่เราตั้งใจงดเว้นจึงจะมีอานิสงส์ โดยเฉพาะคำว่า ตั้งใจ ตัวนี้ คือการเอาสติจดจ่ออยู่กับศีล ระมัดระวังศีลเป็นปกติ ขยับตัวก็รู้ว่าศีลแต่ละข้อจะขาดหรือไม่ พยายามระมัดระวังไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นล่วงศีลเช่นกัน

ถ้าหากว่าสติของเราจดจ่ออยู่ลักษณะอย่างนี้ สมาธิก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ จัดว่าเป็นสมาธิในสีลานุสติ เราก็แค่ตั้งใจกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนาไปด้วย สมาธิของเรายิ่งทรงตัวเท่าไร สติที่จะระมัดระวังไม่ให้ศีลบกพร่องก็ยิ่งว่องไว ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น

เมื่อสมาธิทรงตัวถึงระดับแล้ว โดยธรรมชาติเลยก็จะคลายตัวออกมา ตรงช่วงนี้ต้องระมัดระวังให้ดี เพราะว่าเมื่อสมาธิคลายตัวออกมาถ้าเราไม่หาสิ่งที่ดี ๆ ให้คิด ก็จะคิดไปใน รัก โลภ โกรธ หลง เองโดยอัตโนมัติ และจะเป็นการคิดที่เรารั้งกลับได้ยาก เพราะว่าเป็นการเอากำลังในสมาธิที่เราทำได้ไปคิดฟุ้งซ่าน

ดังนั้น..เมื่อสมาธิเริ่มคลายตัวออกมาแล้ว ต้องรีบหาวิปัสสนาญาณมาพิจารณา อย่างเช่นพยายามดูให้เห็นชัดเจนว่า ร่างกายนี้ไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตาลงไป เราเดิน นั่ง ยืน นอนอยู่บนกองทุกข์ตลอดเวลา และพิจารณาให้เห็นขั้นสุดท้ายว่า ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา สักแต่ว่าเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราอาศัยอยู่ได้ชั่วคราวเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 30-10-2018 เมื่อ 19:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 30-10-2018, 19:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,117 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การพิจารณานั้น ต้องให้สภาพจิตเรายอมรับจริง ๆ ว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง ร่างกายนี้เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา คำว่ายอมรับในที่นี้ก็คือไม่มีการขัด ไม่มีการเถียงขึ้นมา ว่าร่างกายนี้ยังมีความเที่ยง มีความไม่ทุกข์ ยังมีจุดที่เป็นสุขอยู่ และท้ายที่สุดว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา เป็นต้น เป็นการยอมรับเพราะปัญญาเห็นแจ้งว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คือไม่เที่ยงจริง ๆ เป็นทุกข์จริง ๆ ไม่มีอะไรให้เรายึดถือมั่นหมายจริง ๆ

เมื่อเราเห็นชัดเจนแล้ว ก็เอาจิตสุดท้ายเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพานเอาไว้ ให้ตั้งใจว่า ถ้าหากสภาพร่างกายนี้เสื่อมสลายตายพังลงไปตามอายุขัยก็ดี หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ มาตัดรอนจนถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอไปอยู่ที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น พยายามเอาจิตสุดท้ายจดจ่ออยู่กับภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน

ถ้าหากว่าเราทบทวนพิจารณาลักษณะอย่างนี้ กำหนดกำลังใจสุดท้ายของเราเอาไว้อย่างนี้ ถ้าทำได้ทุกวัน ๆ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติจะมีมาก สภาพจิตก็จะจืดจางเคลื่อนคลายจากสิ่งรอบข้างที่เคยยึดเคยถืออยู่ ท้ายที่สุดก็ปลดตนเองหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ดังที่ปรารถนา



ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๑

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2018 เมื่อ 19:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:26



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว