กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

Notices

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #101  
เก่า 14-02-2011, 10:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนนี้ผมภาวนาสัมปะจิตฉามิวันละชั่วโมง ภาวนามาประมาณเดือนกว่า ๆ ตอนนั่งปวดท้องมาก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ?
ตอบ : ไม่ได้เป็นเพราะอะไร เขาแค่ทดสอบกำลังใจว่าจะเอาจริงหรือเปล่า ? อย่าลืมว่าคาถาสัมปะจิตฉามิเป็นคาถาอภิญญา คนที่จะฝึกอภิญญากำลังใจต้องเข้มแข็ง มั่นคง สม่ำเสมอ และสำคัญที่สุดก็คือต้องไม่กลัวตาย

เราต้องคิดว่า สภาพร่างกายจะเป็นอย่างไรช่าง เราทำความดีอยู่ แม้ต้องสิ้นชีวิตลงไปเพื่อแลกกับความดีนี้เราก็ยอม

ถาม : บางทีปวดจนกระทั่งอารมณ์จิตไม่สบาย
ตอบ : ปล่อยให้ตายลงไปเลย ถ้าตัดใจขนาดนั้นได้ถึงจะได้ดี เขาเรียกว่าขันธมาร แค่มาแหย่เล่นเท่านั้น

วันก่อนไปเลี้ยงพระที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมธรรมโมลี ที่ปากช่อง อาตมาต้องแวะเข้าส้วมเกือบทุกปั๊มที่เจอ เพราะปวดท้องบิดไปบิดมาเหมือนจะถ่าย แต่พอเข้าไปห้องน้ำกลับไม่ยอมถ่าย พอวิ่งออกมาก็ปวดใหม่ แวะอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ วันนั้นก็เลยมีโอกาสสำรวจห้องน้ำไปตลอดทาง

พอไปถึงพระพุทธฉายก็เดินขึ้นไปไหว้พระพุทธฉาย ปรากฏว่ามาเช้าเกินไป ศาลายังไม่เปิด ก็เลยไปปิดทองพระข้างนอก มีพระนอน พระศรีอาริยเมตไตรย พ่อปู่ฤๅษี ปิดทองเสร็จอาการปวดท้องหายเอาดื้อ ๆ เหมือนกับไม่เคยเป็นอะไรเลย จึงมานั่งหัวเราะ ดีเหมือนกัน อุตส่าห์ไม่สนใจไปตลอดทาง เขาเห็นว่าขวางเราไม่ได้แน่ ก็เลิกไปเอง ปิดทองพระเสร็จ เดินลงเขามา หายปวดไปเฉย ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 12:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #102  
เก่า 14-02-2011, 11:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๓๑ มีนาคมนี้ หลังจากเสร็จงานฉลองบ้านวิริยบารมีแล้ว ใครยังไม่กลับ จะถวายสังฆทานต่อก็เชิญนะจ๊ะ อาตมาจะนั่งรับต่อเลย เพราะวันนั้นเป็นวันเดียวที่จะแจกพระกับหนังสือ

พระที่จะแจก ก็คือ พระชัยวัฒน์เกราะเพชรเนื้อชุบทองพ่นทราย เข้าพิธีเมื่อเสาร์ห้าที่ผ่านมา หนังสือที่จะแจก คือปกิณกธรรม เล่ม ๑ ได้คัดเอาเนื้อหาของการอบรมพระที่เกาะพระฤๅษีบางส่วน การอบรมธรรมที่ปรียนันท์ธรรมสถาน การปฐมนิเทศมโนมยิทธิของพนักงานบริษัททริปเปิ้ลเอ การเทศน์ช่วงกรรมฐานของบ้านอนุสาวรีย์ และเทศน์สอนนาคอีกบทหนึ่ง

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ตั้งใจให้อ่านเนื้อหา ตั้งใจให้ดูรูป เพราะคัดเอารูปพระพุทธรูปใส่ไว้อย่างชนิดไม่เกรงใจตัวเอง ทำให้จำเป็นต้องพิมพ์สี ซึ่งหนังสือที่พิมพ์สีจะแพงกว่าปกติหลายเท่า"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 12:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #103  
เก่า 14-02-2011, 12:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงพระสายหลวงปู่มั่นให้ฟังว่า "หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล คนจะรู้จักท่านน้อย แต่หลวงปู่ทองรัตน์ท่านเป็นพระที่สุดยอดมาก ท่านเดินบิณฑบาตผ่านบ้านโยมหลังหนึ่งเป็นปี ๆ โยมไม่เคยทำบุญเลย หลวงปู่เดินแหวกรั้วเข้าไป บอกว่า "โยมใส่บาตรหน่อยสิ" โยมบอกว่า "โยมยังไม่ได้นึ่งข้าวเลย" หลวงปู่บอกว่า "ไม่เป็นไร รอได้..!"




พอโยมเจอพระตื๊ออย่างนี้เข้าก็ต้องไปนึ่งข้าว พอใส่บาตรเสร็จท่านก็ให้พร เดินยิ้มกลับวัด หลวงปู่ท่านทำอย่างนี้ก็เพื่อให้เขาได้บุญ เมื่อไปถึงวัดท่านหยิบข้าวก้อนนั้นส่งให้เณร เพราะถือว่าได้โดยไม่บริสุทธิ์ สำหรับพระแล้ว สัมมาอาชีวะคือการได้มาโดยศรัทธา แต่กรณีนี้เป็นการบังคับศรัทธาเขา

แล้วก็มีพระตั้งใจจะจับผิดท่าน เพราะเห็นจริยาพิลึกพิลั่นไม่เหมือนชาวบ้านของท่าน พระรูปนี้ไปอยู่ที่วัดหลวงปู่สามเดือน ระหว่างที่อยู่ในวัด ไม่เห็นหลวงปู่ผิดวินัยแม้แต่นิดเดียว เขาจับผิดไม่ได้ ก็พยายามที่จะใช้วาจากระทุ้งให้หลวงปู่ท่านโกรธ หลวงปู่ท่านบอกว่า "ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะผมไม่ได้นั่งทับอาวุธเหมือนคุณ" ทำเอาพระรูปนั้นสะดุ้ง เพราะใต้อาสนะท่านซุกมีดเอาไว้

ในสายตาของคนทั่ว ๆ ไป หลวงปู่เป็นพระที่รุ่มร่ามและขี้โมโห แต่ความจริงนั่นเป็นสิ่งที่ท่านแสดงออกให้คนอื่นเขาเห็น แต่พอเป็นเวลาที่อยู่ส่วนตัว ท่านระมัดระวังทุกสิกขาบท และเรื่องรู้ใจคนอื่น ท่านรู้เสียยิ่งกว่ารู้"
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg _5_329_resize.jpg (28.0 KB, 2088 views)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 12:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #104  
เก่า 14-02-2011, 12:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หลวงปู่ทองรัตน์ท่านอยู่วัดไหนครับ ?
ตอบ : ท่านเป็นพระธุดงค์ อยู่ไม่เป็นที่ ท่านธุดงค์ไปเรื่อย ๆ บางทีก็อยู่สงเคราะห์เขา ๒-๓ ปี แล้วก็ไปต่อ อาตมาก็ไม่ทันหลวงปู่ทองรัตน์หรอก หลวงปู่รูปอื่นท่านเล่าให้ฟัง สมัยก่อนอาตมามีโอกาสวิ่งรับใช้ท่านทั้งหลายเหล่านี้อยู่ เพราะโยมแม่ไปเป็นกรรมการวัดธรรมมงคล ช่วยหลวงพ่อวิริยังค์ท่านสร้างพระเจดีย์

จากผืนนาเปล่า ๆ พวกเราช่วยกันสร้างเป็นพระเจดีย์ที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ และพระเจดีย์หลังนั้น คุณช่วง มูลพินิจ เป็นคนออกแบบ ปกติเรารู้จักว่าเขาเป็นจิตรกร ไม่นึกว่าเขาจะเป็นสถาปนิกด้วย ออกแบบลายสวยมาก

ปีหนึ่ง ๆ ช่วงเดือนมกราคม จะมีการรวมลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่น ไปทำพิธีสวดลักขี ก็คือ สวดอิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ หนึ่งแสนจบ คำว่า "ลักขี" หรือ "ลักขัง" ก็คือ หนึ่งแสน จะมีการพุทธาภิเษกวัตถุมงคลต่าง ๆ

ทุกครั้งโยมแม่จะไปบวชชี ๑๐ วัน อาตมาก็ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ แต่จริง ๆ ก็คือไปให้หลวงปู่ หลวงพ่อท่านเรียกใช้ เพราะเป็นเด็กวิ่งคล่อง ท่านก็เรียกใช้ จนกระทั่งเกิดความเคยชิน รู้ว่าจะต้องล้างบาตร เช็ดบาตร เอาบาตรไปตั้ง ไปปูอาสนะ ตั้งน้ำใช้น้ำฉันรอไว้ตามลำดับพรรษาของท่านเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 12:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #105  
เก่า 14-02-2011, 12:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default


หลวงปู่กินรี จนฺทิโย วัดป่ากันตสีลาวาส


"หลวงปู่กินรี จนฺทิโย ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ช่วงแรก ๆ หลวงพ่อชาไปอยู่กับหลวงปู่กินรี หลวงปู่กินรีก็สอนให้หลวงพ่อชาฉันอาหารช้า ๆ ฉันไปและพิจารณาไปด้วย ส่วนหลวงปู่กินรีเองท่านฟาดเต็มที่ พักเดียวก็เสร็จ

หลวงพ่อชาข้องใจมาก มีอยู่วันหนึ่งก็กราบเรียนถามท่านว่า "หลวงพ่อครับ หลวงพ่อสอนผมอย่างนี้ แล้วหลวงพ่อทำอีกอย่างหนึ่ง ก็ไม่เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านว่า สอนอย่างไรต้องทำอย่างนั้น" (หลวงพ่อชาเรียกหลวงปู่ว่า หลวงพ่อ)

หลวงปู่กินรีท่านบอกว่า "คนหัดขับรถใหม่ ๆ ต้องขับช้า ๆ จึงจะปลอดภัย แต่ถ้าขับรถเก่งแล้ว ขับเร็ว ๆ ก็ปลอดภัยเหมือนกัน" บางครั้งหลวงปู่ท่านก็นั่งเย็บจีวร ย้อมผ้า ถักขาบาตร เหลาก้านกลด หลวงพ่อชาก็สงสัย เพราะไม่เห็นหลวงปู่นั่งกรรมฐาน เอาแต่ทำนั่นทำนี่อยู่ทั้งวัน อดทนไม่ได้ก็ไปถามอีก

หลวงปู่กินรีบอกว่า "งานทุกอย่าง ถ้าใส่สติอยู่เฉพาะหน้าเป็นปัจจุบันธรรม เป็นยิ่งกว่ากรรมฐานอีก เพราะสติที่อยู่กับปัจจุบัน จะไม่ปรุงแต่งไปในรัก โลภ โกรธ หลง ต่อให้คุณเดินจงกรมให้ตาย แต่ถ้าไปคิดรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ ก็ไม่เกิดประโยชน์" หลวงปู่ท่านทำงานของท่านไปเรื่อย ท่านไม่ได้ถนัดนั่งนิ่ง ๆ ท่านถนัดทำงานไปพร้อมกับกำหนดปัจจุบันธรรมไปด้วย

เราจะเห็นว่า พระสายหลวงปู่มั่นมีลีลาหลากหลายกันมาก แล้วแต่ว่าเราได้มีโอกาสกราบองค์ไหน"
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg _4_113_resize.jpg (55.3 KB, 1279 views)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 12:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #106  
เก่า 14-02-2011, 12:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระที่ทันหลวงปู่มั่น ที่เราน่าจะไปกราบ มีองค์ไหนบ้างครับ ?
ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ท่านยังอยู่หรือเปล่า ? หลวงปู่ทองบัว วัดป่าโรงธรรมสามัคคี อยู่สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ส่วนอีกรูปหนึ่งก็ หลวงปู่วิริยังค์ นี่ท่านทันหลวงปู่มั่นตอนเป็นสามเณร ส่วนหลวงตามหาบัวทันตอนเป็นพระ ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นได้ ๘ พรรษา หลวงปู่มั่นก็มรณภาพ

สายนั้นต้องยืนยันว่า ท่านเป็นผู้ที่ปฏิบัติกันจริง ๆ ปฏิบัติกันอย่างทุ่มเทชนิดเอาชีวิตเข้าแลก บางทีก็ผ่อนอาหาร ลดกันวันละคำ ๆ จนกระทั่งไม่ฉันเลย ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน ๑๕ วัน มีบางท่านในชีวิตได้เห็นหลวงปู่มั่นแค่แวบเดียวเท่านั้น หลวงปู่มั่นท่านเดินทางไปรักษาตัวที่อุบลราชธานี ท่านนั่งรถไฟไป พอพระเณรได้ข่าวก็ไปยืนรับตามสถานีรถไฟ รถไฟวิ่งผ่านก็ยกมือไหว้

หลวงปู่มั่นก็โบกมือทางหน้าต่าง "เอ้อ..ไปปฏิบัติเอาเน้อ" ทั้งชีวิตได้คำสอนนี้ประโยคเดียว พอมาปัจจุบันท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นหลักชัยให้แก่ชนหมู่มากได้ด้วย ถ้าเป็นเราทั้งชีวิตได้ประโยคเดียว ก็คงลงแดงตายไปแล้ว แสดงว่าพวกเรายังไม่เอาจริง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2011 เมื่อ 12:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #107  
เก่า 14-02-2011, 12:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default




"หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร บางทีเรียกกันว่า หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล (สันโค้ง) ก็เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่องค์นี้เป็นหนึ่งในหลวงปู่ไม่กี่องค์ ที่สมัยหลวงพ่อท่านล่าพระอาจารย์ พาลูกศิษย์ไปกราบ เขาลือว่าท่านเป็น เจ้าของ"รอยยิ้มพระอรหันต์" ท่านยิ้มทีคนเห็นร้องไห้โฮเลย เพราะปีติเกิด"
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg 4.jpg (57.7 KB, 34 views)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 14-02-2011 เมื่อ 16:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #108  
เก่า 14-02-2011, 12:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : กรณีที่เราสงสัยในคุณธรรมที่ครูบาอาจารย์ท่านได้ ถือเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : คุณมีสิทธิ์ที่จะสงสัย นี่เป็นตัววิจิกิจฉาในสังโยชน์ ในเมื่อเป็นตัววิจิกิจฉาในสังโยชน์ ก็แปลว่า กิเลสใหญ่ยังคาใจเราอยู่ ถ้าตราบใดที่ยังสงสัย เราก็จะไม่มอบกายถวายชีวิตจริง ๆ ในเมื่อไม่ทุ่มเทมอบกายถวายชีวิต โอกาสที่จะได้ดีก็มีน้อย

ในธรรมบท พระท่านไปฝากตัวกับอาจารย์เพื่อเรียนกรรมฐาน พระอาจารย์ถามว่า มีความตั้งใจแค่ไหน ? ท่านบอกว่า ถ้าอาจารย์สั่งท่านให้เอาตัวเองฝนกับหินตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศีรษะ ให้สึกหมดทีละน้อย ๆ จนกระทั่งสิ้นชีวิตไป ท่านก็ยอมทำ ต้องได้ขนาดนั้น

หรือไม่ก็คณะของพระพาหิยะเถระ ที่ท่านทำบันไดปีนขึ้นไปบนยอดเขา แล้วถีบบันไดทิ้ง ตั้งใจว่าถ้าไม่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เหาะได้ ก็ให้ตายอยู่ข้างบนไปเลย แต่นั่นท่านมั่นใจนะว่าท่านเป็นอรหันต์แล้วท่านจะเหาะได้ เกิดมีใครเป็นสุกขวิปัสสโกก็เป็นเรื่องเลย (หัวเราะ)

นึกถึงฮุ่ยเข่อโจวซือ ท่านเป็นสังฆปรินายกองค์ที่สองของจีน ถัดจากท่านตั๊กม้อ ท่านไปตามตื๊อขอให้ท่านตั๊กม้อสอนวิชาให้ ท่านตั๊กม้อถามว่า มีความตั้งใจจริงแค่ไหน ? ท่านก็เลยชักมีดฟันแขนตัวเองข้างหนึ่งถวายให้เลย ลีลานี้ไม่ต้องห่วง พุทธภูมิเก่าแน่ ๆ สามารถตัดแขนถวายเพื่อบูชาธรรมได้

พวกเราเองลองมาคิดดูว่า ถ้าเป็นเรา เราตัดใจทำเช่นนั้นได้หรือไม่ ? เรามีความจริงจังสักเท่าไร ? เปรียบเทียบโบราณาจารย์กับปัจจุบันของเรา สายหลวงปู่มั่นท่านเดินจงกรมจนกระทั่งทางเดินจงกรมสึกลึกถึงเข่า เราเองเดินสึกไปสักกี่หุน ? การที่ท่านได้ธรรม บรรลุธรรม จนกลายเป็นหลักชัยของคนหมู่มากได้ เพราะท่านทุ่มเทอย่างจริงจัง ทุ่มเทแบบเอาชีวิตเข้าแลก

ถาม : ต้องขอขมาพระรัตนตรัยเฉพาะข้อนี้โดยเฉพาะไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้ารู้สึกว่าเป็นโทษก็ขอขมา แล้วเราก็ตั้งหน้าตั้งตาเร่งรัดปฏิบัติ ไม่ใช่ขอขมาเสร็จก็ปล่อยเอ้อระเหยลอยชายต่อไป

เวลาฟังครูบาอาจารย์ ฟังให้เหมือนกับว่า ท่านสั่งให้เราทำ อย่าไปฟังว่าท่านกำลังสอนเรา ถ้าฟังว่าท่านกำลังสอนเรา บางทีเราก็ไม่คิดที่จะทำ แต่ถ้าเราฟังว่าท่านสั่งให้เราทำ เราจะต้องลงมือทำทันที เพราะฉะนั้น..การฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ ให้ฟังในลักษณะที่ท่านสั่งให้เราทำ แล้วก็เร่งลงมือตั้งหน้าตั้งตาทำ ถ้ามัวแต่ไปฟังว่าท่านสอนเรา สอนดีเหลือเกิน มัวแต่ไปชื่นชมกับคำสอนท่าน ไม่ได้ปฏิบัติอีกต่างหาก คงได้เกิดใหม่กันอีกหลายรอบ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 14-02-2011 เมื่อ 16:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #109  
เก่า 16-02-2011, 09:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จับลมหายใจอย่างเดียว กับบริกรรมพุทโธไปด้วย อย่างไหนจะได้ผลเร็วกว่า ?
ตอบ : อยู่ที่ความถนัด การจับอานาปานสติอย่างเดียว ถ้าจิตใจมั่นคงจริง ๆ ก็สามารถที่จะได้ฌานได้สมาบัติ การจับอานาปานสติพร้อมพุทโธเป็นการเพิ่มงานขึ้นมา เพื่อให้จิตมีความระมัดระวังมากขึ้น ไม่อย่างนั้นแล้วอาจจะเผลอ พลาดจากลมหายใจหรือคำภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งไป

ดังนั้น..ขึ้นอยู่กับความถนัดของตัวเราเอง ถ้าจิตใจไม่ยุ่งยากมากความ ถึงเวลาแค่ตามดูลมหายใจเข้าออกอย่างเดียวก็ทรงสมาธิได้ ก็ใช้อานาปานสติอย่างเดียว แต่ถ้ารู้สึกว่างานน้อยเกินไป จิตใจฟุ้งซ่านมาก ก็เพิ่มงานให้จิต

ถาม : ข้อวิจิกิจฉาในสังโยชน์ จะมีกับพระอริยเจ้าทุกขั้นไหมครับ ?
ตอบ : วิจิกิจฉาจะมีแต่ปุถุชนเท่านั้น ตั้งแต่โคตรภูญาณของพระโสดาบันจะไม่มีความสงสัยเหลืออยู่ เพราะจิตสามารถสัมผัสพระนิพพานได้ ในเมื่อจิตสัมผัสพระนิพพานได้ จะเกิดความมั่นใจอย่างแน่นแฟ้นว่าการปฏิบัตินี้มีผลแน่


เพราะฉะนั้น..ตัวสังโยชน์วิจิกิจฉา จะมีได้เฉพาะบุคคลที่ยังเข้าไม่ถึงโคตรภูญาณของพระโสดาบัน ก้าวเท้าเข้าไปก้าวเดียวก็พอแล้ว มั่นใจว่าก้าวไปถึง และถ้าถึงตรงนั้นก็ทำกันชนิดตายไปข้างหนึ่ง เพราะรู้แล้วว่าสิ่งที่เราทำนี้ดีอย่างไร ? มีค่ามหาศาลแค่ไหน ? ต่อให้แลกทั้งชีวิตก็คุ้มแสนที่จะคุ้ม

ตอนที่อาตมาปฏิบัติอยู่มีความรู้สึกว่า ต่อให้ต้องทนทุกข์ทรมานไปสัก ๑๒๐ ปี แล้วเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน ชีวิตนี้ก็ถือว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2011 เมื่อ 02:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #110  
เก่า 16-02-2011, 09:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในกรณีที่สงสัยคุณธรรมของครูบาอาจารย์ กับวิจิกิจฉา คืออย่างเดียวกันไหมครับ ?
ตอบ : จะเรียกว่าเป็นวิจิกิจฉาได้เหมือนกัน เพราะครูบาอาจารย์ท่านเป็นพระสงฆ์ ก็คือส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย

คุณจะไปสงสัยทำเกลืออะไร..! ท่านสอนอะไรมาเราก็ลงมือทำ ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นแล้วค่อยว่ากัน ไม่ใช่ท่านสอนมาแล้วเราก็ไปนั่งสงสัยว่าท่านดีจริงหรือเปล่า ? มีข้าววางไว้ตรงหน้า แทนที่จะรีบกินกลับไปนั่งสงสัย คนทำอาหารเขามีฝีมือหรือเปล่า ? แบบนี้มีหวังอดจนไส้กิ่ว..!

ถาม : ในกรณีที่สงสัยครูบาอาจารย์ที่ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ของเราโดยตรงเล่าครับ ?
ตอบ : เรียกว่าหาเรื่อง..! ไม่ใช่หน้าที่อะไรที่เราจะไปสงสัยท่าน คำสอนท่านเราก็ไม่ได้รับมาอีกต่างหาก กลายเป็นว่าหาเรื่องลำบากให้แก่ตัวเอง แทนที่งานจะน้อยลงก็มากขึ้น การยึดการเกาะก็มากขึ้น กิเลสก็มากขึ้น


ท่านจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน หรือไม่ก็เอาอย่างหลวงปู่มหาอำพัน หลวงปู่ยกมือไหว้แล้วกล่าวว่า "แล้วแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เถิด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2019 เมื่อ 17:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #111  
เก่า 16-02-2011, 09:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในกรณีที่เจริญพรหมวิหาร ๔ จะวัดดูว่าทรงตัวหรือไม่ทรงตัว นอกจากดูจากนิวรณ์แล้ว ดูจากจุดไหนอีกได้บ้างครับ ?
ตอบ : เวลาเจอกับของจริง เราสามารถที่จะเมตตาสงเคราะห์เขาได้หรือไม่ ?

ถาม : ช่วยขยายความให้ฟังหน่อยครับ
ตอบ : อย่างเราเห็นคน คนหนึ่งรวย คนหนึ่งจน คนหนึ่งสวยงาม คนหนึ่งอัปลักษณ์ คนหนึ่งพูดดี คนหนึ่งพูดไม่ดี เราสามารถที่จะสงเคราะห์ทั้งสองคนเหมือนกันได้หรือเปล่า ? ยังมีการเลือกที่รักมักที่ชังหรือเปล่า ? ยังเกิดโทสะสำหรับบางคนหรือเปล่า ? ขณะเดียวกันก็เมตตาได้เป็นบางคนหรือเปล่า ?

ถาม : อย่างอุเบกขาบารมี เมตตาบารมีจำเป็นต้องเต็มก่อนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ทุกอย่างต้องมีอุเบกขาต่อท้าย ไม่อย่างนั้นคุณจะเดือดร้อนเอง เมตตาเกินประมาณ ถ้าเจอคนไม่รู้จักพอเราก็หน้ามืด..!

ถาม : พรหมวิหาร ๔ จะนำมาควบคุมในศีลอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเรารักและเราเมตตาเขา เราจะฆ่าเขาได้ไหมเล่า ? ถ้ารักและเมตตาเขา เราจะขโมยของเขาไหม ? ทุกข้อก็เหมือนกันนั่นแหละ

ถาม : ศีลแปด เรื่องอะพรัหมจะริยาละครับ ?
ตอบ : เห็นเขาเหมือนกับญาติพี่น้องของเราเอง เหมือนกับบุคคลที่เรารัก ก็ไม่ไปล่วงละเมิดเขา

ถาม : ถ้าเรารักเขา เอ็นดูเขา แตะเนื้อต้องตัวกอดเขา ถือว่าเป็นการละเมิดไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นข้ออะพรัหมจะริยา ถือว่าละเมิด แต่ถ้าเป็นข้อกาเมฯ ถือว่ายังไม่ละเมิด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2011 เมื่อ 02:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #112  
เก่า 16-02-2011, 09:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนอาตมาเป็นฆราวาส ช่วงที่เข้าวัด บรรดาน้อง ๆ ผู้หญิงเขาตามกันไปเยอะ ตรงจุดนี้อยากจะบอกว่า ผู้ชายที่เข้าวัดไม่ใช่ว่าจะดี ที่อาตมาเข้าวัดเพราะรู้ว่าไม่ดี จึงพยายามเข้าไปแก้ไขตัวเอง แต่เขากลับเห็นว่าเราดี จึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะอันตราย..!

ดังนั้น..พวกเราที่ปฏิบัติธรรมกันในปัจจุบันนี้ จะมีอยู่ส่วนหนึ่งที่เพศตรงข้ามเห็นว่าเราดี แล้วก็หมายมั่นปั้นมือว่า เราคือบุคคลในฝันร้ายของเขา..! ถ้าถึงตอนนี้ก็ตัวใครตัวมัน รักษาตัวกันเองนะ

เพราะเรื่องของครอบครัว มีแต่นำภาระมาให้ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตาลง นอกจากความทุกข์ส่วนตัวแล้ว ยังมีความทุกข์ของคู่ครอง ความทุกข์ของลูกหลานอีก กลายเป็นเพิ่มความทุกข์ใส่ตนโดยใช่เหตุ ยังโชคดีว่า ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมแล้วคิดจะหลุดพ้น ไม่อย่างนั้นคาดว่ามนุษยชาติ คงจะสูญพันธุ์ในระยะเวลาอันไม่นาน..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-02-2011 เมื่อ 10:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #113  
เก่า 16-02-2011, 09:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ก่อนบวช ท่านเห็นทุกข์เห็นโทษของการมีครอบครัวหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่เห็นเลย..! อยากมีครอบครัว เป็นลักษณะปกติของคนหนุ่มสาว พอถึงวาระแรงผลักดันทางเพศก็ดึงไปหาคู่โดยอัตโนมัติ ไม่ได้คิดที่จะปฏิเสธ แต่มีสาเหตุใหญ่ว่า อาตมาเองดันไปรู้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องบวช ก็เลยไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับใคร เพราะสองสาเหตุด้วยกัน

สาเหตุแรก โดยนิสัยส่วนตัวแล้ว ถ้าต้องรับผิดชอบชีวิตของใคร ก็รับผิดชอบไปทั้งชีวิต จะไม่มีการทิ้งไปกลางคัน ซึ่งจะทำให้ตัวเองบวชไม่ได้ สาเหตุที่สอง ถ้าเขาไม่เห็นด้วยและไม่ยอมให้บวช ก็ไปกันไม่รอด จึงต้องตัดใจ ทำตัวเป็นแมวเฝ้าปลาย่าง นั่งน้ำลายยืด อยากกินจังเลย แต่ถ้ากินไปมีปัญหา ก็พยายามอดใจ ตรงนั้นถือว่าเป็นศีลจริง ๆ เพราะมีโอกาสแล้วไม่ล่วงละเมิด

ถ้ายังไม่มีโอกาสให้ล่วงละเมิดแล้วสามารถทรงศีลได้ นี่ยังไม่แน่ว่าจะเป็นศีล แต่ถ้ามีโอกาสล่วงละเมิดแล้วละเว้นได้ จึงจะนับได้ว่าเป็นศีลที่แท้จริง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2011 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #114  
เก่า 16-02-2011, 09:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราเป็นผู้ชาย แล้วตนเองไม่คิดจะแต่งงานให้เป็นหลักเป็นฐาน ก็รีบ ๆ บอกให้ฝ่ายหญิงเขารู้ตัวโดยเร็ว ไม่ใช่ให้เขาตั้งความหวังอยู่กับเราจนแก่เกินแกงไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นจะกลายเป็นว่าเราไม่ยุติธรรมกับเขา ปล่อยเขารอไปเรื่อย ๆ พอถึงเวลา เราก็บอกว่าไม่แต่ง ทีนี้เขาก็แก่เกินแกงแล้ว หมาไม่แลแล้ว..! กลายเป็นว่าเขาเสียโอกาสไปเพราะเรา

ดังนั้น..ถ้าหากว่าคิดว่าไม่แต่ง ก็ต้องบอกให้เขารู้ชัดตั้งแต่แรก อย่างอาตมาบอกทุกคนไว้ชัดเลยว่า จะให้อยู่ในฐานะ ในตำแหน่งอะไรก็ได้ จะให้เป็นพ่อ เป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นน้อง เป็นลูก เป็นหลาน เป็นได้ทั้งนั้น ยกเว้นให้เป็นผัว ไม่เป็น..! ในเมื่อบอกชัดอย่างนี้ เขาจะได้ไม่เสียเวลามาตั้งความหวังกับเรา

ถาม : แสดงว่าท่านตั้งใจที่จะบวช
ตอบ : ไม่ได้ตั้งใจ แต่รู้ว่าตนเองจะได้บวช เราอยากบวชซะที่ไหนเล่า ? ถ้าตอนนั้นแหกปากตะโกนกลางถนนได้ ก็จะตะโกนไปแล้วว่า "อยากมีเมีย..!" เสียดายยังกล้าไม่พอ ไม่ได้คิดอยากจะบวชเลย ขอยืนยัน

พระพุทธเจ้าท่านว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อะไร ก็ไม่เกินไปกว่าเพศตรงข้าม สุนทรภู่ก็ว่า อันรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร

ใจจริงไม่ได้คิดอยากจะบวช แต่พอหลวงพ่อท่านเอ่ยปากขึ้นมา และด้วยความที่เคยเกรงกันมาไม่รู้กี่ชาติกี่ภพแล้ว ก็ต้องรับปากท่านว่าจะบวช ขนาดนั้นอาตมาก็ยังอุตส่าห์กราบเรียนถามท่านว่าจะให้บวชกี่วัน ? เกรงว่าบวชนานเกินไปสาว ๆ จะหายหมด..!

ตอนนั้นแค่ถามว่าจะให้บวชเอากี่วัน ? หลวงพ่อก็หัวเราะบอกว่า "บวชแก้บน ใครเขาจะเอานานกัน แค่ ๗ วันก็พอ" อาตมาก็ตั้งใจว่า ๗ วันสึกแน่นอน แต่ปรากฏว่า ไปเจอทีเด็ดของหลวงปู่ขนมจีนเข้า เลยอยู่มาได้เรื่อย ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2011 เมื่อ 02:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #115  
เก่า 16-02-2011, 10:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตอนนั้นข้องใจจริง ๆ เรื่องของพระองค์ที่ ๑๐ กับพระองค์ที่ ๑๑ เป็นไปได้อย่างไร ? คนตายมา ๒ พันกว่าปี มานั่งเป็นรูปเป็นร่าง ให้จับให้ต้องได้อยู่ตรงหน้า แถมท่านยังท้าอีกว่า "ถ้าไม่แน่ใจก็คลำดูได้นะ" อยู่ ๆ มาสั่งมาสอนเราได้นี่ ก็เลยยิ่งงงเข้าไปใหญ่ว่าเป็นไปได้อย่างไร ? ก็เลยเพลินกับการบวช


โดยเฉพาะหลวงปู่ขนมจีน ลีลาท่านสุดยอดมาก ท่านเอาอารมณ์พระอรหันต์มาให้เลย กลายเป็นว่า เอาอาหารระดับสุดยอดฝีมือมาให้ชิมเสียแล้ว คราวนี้จะกินอะไรก็หมดรสชาติ มีอยู่ทางเดียว ก็คือ ต้องตะกายทำอาหารชนิดนี้ให้ได้ สรุปว่าตะเกียกตะกายมา ๒๐ กว่าปี จนป่านนี้ก็ยังชิมไม่ลง..!

นึกถึงความประพฤติสมัยนั้น ก็ยังแปลกใจตัวเองเหมือนกัน ถ้าหากว่าบารมีพร่อง คงไม่ได้บวชแน่ โดยเฉพาะตัวสัจจบารมี ตั้งใจไว้กับตัวเองว่าไม่ ก็ต้องไม่จริง ๆ มีโอกาสเป็นร้อยเป็นพันก็ต้องไม่

สมัยนั้นมีอาชีพไปเป็นลูกชายเขาหลายบ้าน เพราะส่วนใหญ่คนที่รู้จัก ก็มักจะมีแต่ลูกสาวไม่มีลูกชาย พอเวลาไปเจอกันที่บ้านสายลม หรือที่วัดท่าซุง ท่านเกิดชอบใจอัธยาศัยก็ชวนไปเที่ยวบ้าน บ้านนั้นก็ลูกสาว ๒ คน บ้านนี้ก็ลูกสาว ๓ คน ไม่มีลูกชายเลย อาตมาก็เลยมีอาชีพเป็นลูกชายเขา พอไปค้างบ้านเขา เขาก็จับนอนห้องเดียวกับลูกสาว กลายเป็นแมวเฝ้าปลาย่าง นอนน้ำลายยืด อยากจะกินก็กินไม่ได้

ถึงเวลามีงาน เขาชวนไป ก็ไปเป็นเพื่อนเขา หรือไม่ก็บอกว่าไม่ว่าง ช่วยพาน้องเขาไปหน่อย ถ้าหากว่าเอานิสัยของนายเสือมาใช้ สงสัยว่าคงจะมีเมียเกินร้อยไปแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 16-02-2016 เมื่อ 13:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #116  
เก่า 16-02-2011, 10:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อครู่ที่ได้กล่าวว่า เอาตัวรอดมาได้ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของบารมีจริง ๆ ในเรื่องของสัจจบารมี ตั้งใจไว้แล้วว่าในเมื่อต้องบวช ก็อย่าไปยุ่งกับชีวิตของใครเลย อย่าไปเป็นตัวถ่วงเขาเลย ถึงได้ต้องชี้แจงกันให้ชัด ๆ ไปเลย ว่าเป็นได้ทุกตำแหน่ง ยกเว้นอยู่ตำแหน่งเดียวขอเว้นไว้

ดังนั้น..ในเรื่องของบารมี ๑๐ ถ้าบารมีใดบารมีหนึ่งเกิดขึ้น บารมีอีก ๙ อย่างที่เหลือก็จะมาครบ อย่างในเรื่องสัจจบารมี การที่จะมีสัจจบารมีได้ต้องมีปัญญาบารมี เราถึงจะรู้ว่าสัจจบารมีเป็นของดี ในเมื่อมีสัจจบารมีมั่นคง เราก็จะไม่ละเมิดในศีลบารมี บุคคลที่ไม่ละเมิดในศีลบารมี อย่างน้อย ๆ จิตก็ต้องประกอบไปด้วยเมตตาบารมี และโดยเฉพาะเราตั้งใจที่จะงดเว้นเรื่องคู่ ก็เป็นเนกขัมมะบารมีอยู่แล้ว

ลองไล่ไปเรื่อย ๆ ก็จะเห็นว่า เมื่อบารมีตัวใดตัวหนึ่งเกิดขึ้นมา อีก ๙ ตัวก็ตามมาด้วยทั้งหมด ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าเป็นการปฏิบัติในด้านของบารมี คิดอยู่อย่างเดียวว่าเราต้องบวช ในเมื่อรู้ว่าจะต้องบวช ถ้าหากว่ามีคู่ ก็อาจจะบวชไม่ได้อย่างที่ต้องการ ต้องไปรับผิดชอบชีวิตเขา สถานการณ์ก็เหมือนกับถึงวาระ เหตุการณ์ช่วยต้อนให้เข้าวัดเอง

ปกติหลวงพ่อท่านก็ไม่ได้ชวนใครบวช อยู่ ๆ ท่านบอกว่า ท่านต้องการพระบวชแก้บน ๓ องค์ บวชให้ท่านได้ไหม ? ครูบาอาจารย์ที่เรามอบกายถวายชีวิตให้ อยู่ ๆ ถามอย่างนั้น แล้วจะให้ปฏิเสธได้อย่างไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2011 เมื่อ 02:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #117  
เก่า 16-02-2011, 10:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าพ่อแม่ไม่ให้บวชตอนนั้น ท่านจะได้บวชหรือเปล่า ?
ตอบ : ได้บวชแน่นอน เพราะแม่อยากให้บวชตั้งแต่เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีแล้ว ท่านเร่งมาทุกปี ต้องถือว่าท่านอนุญาตตั้งแต่แรกแล้ว อนุญฺญาโตสิ มาตาปิตูหิ บิดามารดาของเธออนุญาตแล้วหรือ ? ตอบได้เต็ม ๆ เลยว่า อามะ ภันเต อนุญาตแล้วครับ

ถาม : ถ้าหากว่าเคยอนุญาตในการบวชครั้งก่อน แต่ปัจจุบันอาจจะไม่อยากให้บวช?
ตอบ : ถ้าหากท่านยังไม่ได้ถอนคำพูด ถือว่ายังมีผลอยู่ แต่ตอนอาตมาบวชก็ไม่ได้บอกใครนะ ไปรับหลวงพ่อที่สนามบินดอนเมือง พอเจอหน้าก็กราบท่าน กราบเรียนว่า "ที่หลวงพ่อจะให้บวช ผมตกลงครับว่าจะบวช แล้วหลวงพ่อจะให้ไปวัดวันไหนครับ ?" ท่านถามว่า "พร้อมหรือเปล่าล่ะ? ถ้าพร้อมก็ไปวันนี้เลย" ตอบท่านไปทันทีว่า "พร้อมครับ" แล้วก็กระโดดขึ้นรถไปกับท่านเลย

ปกติเวลาอาตมาไปวัดจะไม่เกิน ๔ วัน ถ้าวัดมีงานก็จะไปก่อนวันงาน ๒ วันไปช่วยเตรียมงาน หลังจากนั้นช่วยเก็บงาน เต็มที่แค่ ๔ วัน ก็ต้องกลับ ปรากฏว่าพอถึงวันที่ ๖ โยมแม่หอบเครื่องบวชไปพร้อมทุกอย่างเลย ไม่ว่า บาตร จีวร หมอน มุ้ง กระโถน ฯลฯ ต้องบอกว่า รู้ใจลูกไม่มีเกินแม่

พอแม่ไปถึงก็ถามคำเดียวว่า "จะบวชจริงหรือ ?" บอกว่า "จริงครับ" ท่านก็หอบเอาบริขารไปถวายหลวงพ่อที่ศาลานวราชบพิตร บอกว่า "ดิฉันขอบวชลูกชายด้วย" หลวงพ่อบอกว่า "ให้โยมตั้งใจใหม่ ตั้งใจว่างานนี้เขาบวชกี่องค์ ดิฉันขอเป็นเจ้าภาพทั้งหมด อย่าเอาแค่ลูกชายคนเดียว" แม่เลยต้องตั้งใจใหม่ ตกลงว่าบวชพระทั้งหมด ได้อานิสงส์บวชพระไปเกือบ ๓ โหล..!

พออาตมาบวชไปแล้ว บรรดาท่านสุภาพสตรีที่ยังมีความหวังอยู่ เขาก็ตามว่าเมื่อไรจะสึกเสียที กำลังใจตอนนั้นยังตัดรอนไม่ขาด บอกเขาไปว่า "ขออยู่สักพรรษาก่อน" พอออกพรรษา เขาก็ถามอีกแล้ว "เมื่อไหร่จะสึก ?" ก็บอกว่า "ขอรับกฐินก่อน" ผลัดไปเรื่อย ผลัดไปผลัดมารู้สึกว่าไม่ไหว ประเภทกินยารักษาโรคแบบนี้ไม่หายแน่ ต้องผ่าตัด ว่าแล้วก็หั่นฉับ..!

สาเหตุที่ต้องเด็ดขาด เพราะกลัวตัวเองจะใจอ่อน เขาตามตื๊อบ่อย ๆ เดี๋ยวจะเผลอไปรับปากเขาเข้า ตอนนั้นมีเพื่อนดีด้วย แต่ละท่านช่วยกันลุ้นสุดชีวิต พอผู้หญิงมา เพื่อนก็จะรีบบอก "เฮ้ย ๆ รถมาแล้ว หลบ ๆ" ท่านช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-02-2011 เมื่อ 10:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #118  
เก่า 17-02-2011, 11:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องอุโบสถศีลว่า

"ศีลอุโบสถมีอยู่ ๓ อย่างด้วยกัน

๑) ปกติอุโบสถ คือ รักษาศีล ๘ หนึ่งวันกับหนึ่งคืน ภาษาบาลีใช้ว่า อิมัญจะ รัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง
๒) ปฏิชาครอุโบสถ รักษาศีล ๘ ก่อนวันพระ ๓ วัน + วันพระ ๑ วัน + หลังวันพระอีก ๓ วัน รวมเป็น ๗ วัน ๗ คืน
๓) ปาฏิหาริยอุโบสถ เป็นการรักษาศีล ๘ โดยไม่จำกัดเวลา

สำหรับพวกเราจำนวนหนึ่งสามารถทำอย่างนี้ได้แล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ถามว่าทำไมต้องให้ศีลอุโบสถ แล้วจึงมาให้ศีล ๘ พวกเรา รับทั้งสองอย่างพร้อมกันไม่ได้หรือ? รับพร้อมกันไม่ได้ เพราะท่านที่ตั้งใจถือศีลอุโบสถ เขาตั้งใจถือแค่วันหนึ่งกับอีกคืนหนึ่งเท่านั้น

ส่วนพวกเราที่บวชเนกขัมมะถวายในหลวง ๓ วัน ทำให้ต้องแยกออกเป็นสองส่วนด้วยกัน กลายเป็นว่ารับศีล ๘ เหมือนกัน แต่การยึดถือไม่เหมือนกัน"

ถาม : อานิสงส์มีความต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ทำมากก็ได้มาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2011 เมื่อ 12:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #119  
เก่า 17-02-2011, 11:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยเป็นฆราวาส ก่อนที่จะถือศีล ๘ อย่างจริงจัง อาตมาจะรักษาศีล ๘ ถวายในหลวงช่วงวันที่ ๕ ธันวาคม เป็นระยะเวลา ๓ วัน เพิ่งจะมาถือศีล ๘ อย่างเป็นหลักเป็นฐานก่อนบวชแค่ประมาณ ๒ ปีเท่านั้น เป็นการลดความอ้วนได้เด็ดขาด แค่ ๑ เดือนเท่านั้น น้ำหนักอาตมาหายไป ๙ กิโลครึ่ง ไม่น่าเชื่อจากน้ำหนัก ๖๓.๕ กิโลกรัม เหลือแค่ ๕๔ กิโลกรัม หลังจากบวชแล้วผ่านไป ๒๐ ปี ได้น้ำหนักคืนมา ๒ กิโลกรัม..!

ในเรื่องฉันอาหารในยามวิกาล สำหรับพระแล้ว ถ้าหลังปฐมยาม (หลัง ๓ ทุ่มไปแล้ว) นอกจากน้ำเปล่ากับไม้สีฟันแล้ว สิ่งอื่นห้ามล่วงทวารปากเข้าไป บาลีใช้คำว่า "มุขะ ทวารัง" ก็คือ ห้ามผ่านปากเข้าไป ถ้าเข้าไปปรับอาบัติว่าฉันอาหารในยามวิกาล ถือว่าศีลขาด

ต้องรอจนกว่าจะได้อรุณ รอแสงเงินแสงทอง แต่จริง ๆ แล้วควรเป็น "แสงทองแสงเงิน" เพราะฟ้าจะเหลืองขึ้นมาก่อน (สีทอง) หลังจากที่ฟ้าเปลี่ยนจากแดงเป็นขาว นั่นแหละคือแสงเงิน เพราะฉะนั้น..แสงทองจะมาก่อนแสงเงิน

ถ้าแสงเงินมา แปลว่าสว่างแล้ว ที่โบราณบอกว่า แบมือออกเห็นลายมือตนเองแล้ว หรือไม่ก็ มองยอดไม้แล้วสามารถที่จะแยกแยะใบอ่อนใบแก่ได้ ถ้าอย่างนั้นจึงถือว่าได้อรุณ เริ่มเป็นวันใหม่ จึงเริ่มฉันอาหารได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2011 เมื่อ 12:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #120  
เก่า 17-02-2011, 11:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,074 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ในสังยุตตนิกาย สคาถวรรค มีเทวดามากล่าวบทคาถาต่าง ๆ เหมือนกับเป็นโคลงเป็นกลอน ถ้าบทไหนถูกต้อง พระพุทธเจ้าก็จะประทานสาธุการให้ ถ้าบทไหนที่ยังไม่ตรงกับความจริง พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสแก้ไข

มีเทวดาท่านหนึ่ง กล่าวกับพระพุทธเจ้าว่า "ผู้มีบุตรย่อมปลื้มใจเพราะบุตร ผู้มีโคย่อมปลื้มใจเพราะโค" พระพุทธเจ้าไม่ได้ค้านแม้แต่คำเดียว แต่พระองค์ท่านเปลี่ยนใหม่ว่า "ผู้มีบุตรย่อมได้รับความทุกข์เพราะบุตร ผู้มีโคย่อมได้รับความทุกข์เพราะโค"

ถาม : ทำไมถึงบอกว่าการมีบุตรเป็นทุกข์ ในขณะที่พ่อแม่เขาเห็นลูก เขาก็มีความชื่นใจ เขาจะทุกข์ได้อย่างไร ?
ตอบ : ชื่นใจมากเลย แต่ไม่เหนื่อยเพราะเลี้ยงลูกใช่ไหม ? ต้องอดตาหลับขับตานอนเลี้ยงดู เจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องคอยเฝ้ารักษา

มีฝรั่งคนหนึ่งเขาบอกว่า ใครก็ตามที่คิดจะแต่งงานให้เตรียมตัวดังนี้ ข้อแรก ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ประมาณห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน ตื่นขึ้นมาแล้วเอาหมอนไปชุบน้ำให้เปียก ๆ อุ้มหมอนใบนั้นเดินไปเดินมาสัก ๒ ชั่วโมง ถ้าทำอย่างนี้ทุกคืน ๆ ต่อเนื่องได้เป็นเดือน ก็แปลว่าพอที่จะแต่งงานได้

ข้อที่สอง เอาแตงโมลูกหนึ่งแขวนไว้บนเพดาน เอาช้อนคว้านแตงโมนั้นให้เป็นรูเท่ากับช้อนพอดี จับแตงโมใบนั้นแกว่ง แล้วพยายามตักข้าวยัดเข้าไปในรูแตงโมให้ได้ ถ้าทำได้สำเร็จ คุณก็สามารถที่จะแต่งงานได้

ข้อที่สาม ให้เดินเข้าไปในคลีนิก ควักเงินสดและบัตรเครดิตทั้งหมดยื่นให้หมอ แล้วบอกว่า "เอาไปทั้งหมดเลย รักษาลูกผมให้หายก็แล้วกัน" ถ้าสามารถพูดแบบนี้ได้ ก็สามารถที่จะแต่งงานได้

ข้อที่สี่ ให้เข้าไปในรถ เอาไอศกรีมยัดเข้าไปในช่องซีดี เอาถั่วสาดไปทั่วรถ เอาน้ำหวานเทราดลงไปบนเบาะหลัง ถ้าหากทำอย่างนี้ได้ก็สามารถที่จะแต่งงานได้ ฯลฯ

เขาบอกมาแต่ละข้อ ฟังแล้วเห็นภาพพจน์เลย แค่อุ้มหมอนเปียก ๆ เดินคืนละ ๒ ชั่วโมง ก็แย่แล้ว เวลาที่เด็กฉี่รดแล้วแหกปากร้อง พ่อแม่จะทำอย่างไรให้เด็กเงียบ ก็ต้องอุ้มเดินไปเดินมาให้เงียบ ถึงจะได้นอน

อาตมาไม่ได้มีเจตนาจะขู่ใครนะ ฝรั่งเขาว่าไว้อย่างนี้ อาตมาจึงเอามาเล่าต่อ แถมยังเล่าไม่ครบทุกข้อด้วย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-02-2011 เมื่อ 12:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:32



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว