กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #81  
เก่า 16-05-2015, 14:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เรื่องแผ่นดินไหวที่เนปาล เกิดจากสาเหตุอะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเหตุ..พระพุทธเจ้าบอกชัดเลยว่าลมกำเริบ คือใต้โลกของเราเป็นหินเดือด พอเดือดมาก ๆ เข้าไอร้อนก็ไปอัดแน่นอยู่ไม่มีทางไป ถึงเวลาเคลื่อนตัวทีก็ดันแผ่นโลกไปด้วย ฉะนั้น..ถามว่าอะไรเป็นเหตุ ตอบว่าลมกำเริบ

ถาม : แล้วบ้านเรามีโอกาสเจออย่างนั้นไหมครับ ?
ตอบ : มีโอกาส ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องตื่นเต้น ถึงเวลาก็รู้เอง แต่บ้านเราน่าจะตายง่ายกว่าบ้านเขาเยอะ เพราะบ้านเราตึกสูงมาก บ้านเขาตึกเตี้ย ๆ ถึงเวลาถล่มทับก็ไม่หนักเท่าไร บ้านเราตึกสูง ส่วนใหญ่ก็เกิดจากกรรมที่ไปปล้นบ้านตีเมืองเขาเอาไว้นั่นแหละ ทำให้บ้านเรือนเขาเสียหาย ทำให้ทรัพย์สินเขาเสียหาย ทำให้ชีวิตเขาดับสิ้นไป ถึงเวลาก็ต้องรับคืน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-05-2015 เมื่อ 17:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #82  
เก่า 16-05-2015, 15:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระพุทธเจ้าตรัสถึงเหตุแห่งแผ่นดินไหวไว้ ๘ ประการ มีลมกำเริบ ๑ ผู้มีฤทธิ์บันดาล ๑ พระโพธิสัตว์จุติลงสู่ครรภ์พระมารดา ๑ พระโพธิสัตว์ประสูติ ๑ พระโพธิสัตว์ตรัสรู้ ๑ พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา ๑ พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร ๑ และพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ๑ มี ๘ สาเหตุด้วยกัน เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าไป ๖ สาเหตุ

ถาม : แผ่นดินไหวที่มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าจะมีอันตรายกับคนไหมคะ ?
ตอบ : พวกนั้นไม่มีอันตราย เพราะแผ่นดินไหวเกิดจากการแซ่ซ้องสรรเสริญของพรหมเทวดาท่าน แต่ว่าแผ่นดินไหวเกิดจากผู้มีฤทธิ์บันดาลก็ต้องดูว่าท่านทำเพื่ออะไร ถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะใช้อภิญญาสมาบัติในการทำลายทำร้ายคนอื่นก็อันตราย

ส่วนเรื่องของลมกำเริบนี่ว่าไม่ได้ แล้วแต่กรรมใครกรรมมัน ภูเขาหิมาลัยเกิดจากแผ่นดินเคลื่อน อนุทวีปอินเดียวิ่งมาชนกับชายฝั่ง ดันสูงไปเรื่อย ๆ ปีหนึ่ง ๓-๕ เซนติเมตร ก็ยังสูงไปเรื่อย ฉะนั้น..ถ้าเกิดแผ่นดินไหวก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ต้องไปศึกษาภูมิศาสตร์โบราณ สมัยโลกเรายังเป็นมหาทวีปกอนด์วานา มหาทวีปแพนเจียโน่น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-05-2015 เมื่อ 17:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #83  
เก่า 17-05-2015, 09:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สัตว์ทุกชนิดที่มีดวงจิต ถือว่าเป็นสัตว์มีชีวิต สัตว์อย่างแบคทีเรีย ไวรัส จัดว่าเป็นสัตว์มีชีวิตไหมครับ ?
ตอบ : พวกแบคทีเรียพวกไวรัสเป็นเหมือนกับพืช มีแต่วิญญาณ ไม่มีจิต สัตว์ที่มีดวงจิตขนาดเล็กสุดก็คือพวกเล็นพวกไร มองเกือบไม่เห็น สมัยเด็กอาตมาปีนขึ้นไปล้วงเอาลูกนกฮูกมาเลี้ยง แม่นกพ่นลมใส่หน้า มีแต่ไรเต็มหน้าเลย ต้องเผ่นลงมาอาบน้ำ ด้วยความบ้าดีเดือดเดี๋ยวก็ขึ้นไปใหม่ อยากได้ลูกนกฮูกมาเลี้ยง ปรากฏว่านกก็สู้ คว้าคอปุ๊บก็ถูกขยุ้ม กรงเล็บ ๔ นิ้วนี่ฝังเข้าเนื้อหมดเลย แต่อาตมาไม่ปล่อยหรอก จะเอาลูกนกให้ได้ แต่ว่าเลี้ยงแล้วแม่มันมาเอาคืนหรืออย่างไรไม่รู้ เพราะว่ากลางคืนหายไปจากกรงเฉย ๆ

ถาม : แมวหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก เพราะว่าที่บ้านไม่ได้เลี้ยงแมว น่าจะเป็นแม่นกเขามาเอาคืน เพราะว่านกฮูกหรือเหยี่ยวนี่สามารถที่จะโฉบไปได้ สมัยอยู่เกาะพระฤๅษีอาตมาปีนต้นไม้ขึ้นไปไล่พวกตะกวด ที่จะขึ้นไปกินไข่นกเหยี่ยวบนรัง พอแม่เหยี่ยวเห็นว่าเรารู้ว่ารังอยู่ที่ไหน อีก ๒ วันขึ้นไปดูใหม่ เหลือแต่ดอกไม้อยู่ ๒ ดอก แม่นกย้ายไข่ไปเรียบร้อยแล้ว ย้ายรังไปแล้ว ถ้าเป็นนกอื่นจะย้ายไม่ได้ แต่พวกเหยี่ยวพวกอินทรีนี่เขาขยุ้มไปสบาย ๆ เลย

ถาม : เคยเลี้ยงลูกค้างคาว ?
ตอบ : ลูกค้างคาวตัวเล็กนิดเดียว ถ้าจะเลี้ยงต้องเอาหลอดฉีดยาค่อย ๆ หยอดนมให้ กลิ่นตัวเหมือนเทียนเลย เลี้ยงมาเยอะแล้ว อาตมาเลี้ยงจนกระทั่งใหญ่แล้วไม่มีอะไรก็กินค้างคาวนั่นแหละ..!

พูดถึงค้างคาวก็นึกถึงลูกศิษย์พระสารีบุตร ที่เคยเกิดเป็นค้างคาวอยู่ในถ้ำ ฟังพระสาธยายพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์จนเพลิน ตกลงมาตาย ไปเป็นเทวดานานเลย พอมาพุทธกาลนี้ก็มาเกิดเป็นลูกชาวประมง มีโอกาสบวชพร้อมกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-05-2015 เมื่อ 16:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #84  
เก่า 17-05-2015, 09:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนที่เคยเกิดเป็นพญานาคมาก่อนจะมีนิสัยอย่างไรครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เอาแต่นอนอย่างเดียว แล้วห้ามปลุกนะ จะขี้โมโหมาก ถ้าใครเคยเกิดเป็นนาคนี่จะถนัดในการนอน ที่อัศจรรย์ที่สุดก็ในธรรมบท พระพุทธเจ้าเทศน์อยู่ยังนอนได้ พระอานนท์สงสัยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระองค์แสดงธรรมประดุจมหาเมฆบันลือขึ้น ไฉนจึงมีคนนอนหลับได้ ? พระพุทธเจ้าบอกว่าอุบาสกผู้นั้นเกิดเป็นพญานาคต่อเนื่องกันมา ๕๐๐ ชาติ มีความเคยชินกับการพาดหัวบนขนดตนเองแล้วก็หลับ นั่งฟังเทศน์อยู่แท้ ๆ ยังหลับได้ โดยเฉพาะองค์เทศน์คือพระพุทธเจ้า

อีกรายหนึ่งนั่งเขย่าต้นเสา พระพุทธเจ้าบอกว่ารายนี้เกิดเป็นลิงมา ๕๐๐ ชาติ อีกรายหนึ่งเอานิ้วเขี่ยพื้น ไม่ได้สนใจฟัง เขี่ยไปเรื่อย รายนี้เกิดเป็นไก่มา ๕๐๐ ชาติ อีกรายก็เหม่อ จ้องแต่เพดานศาลา ท่านบอกมาเป็นพราหมณ์ มีอาชีพดูดาวมา ๕๐๐ ชาติ ใครเคยเป็นอย่างไรติดต่อกันก็เป็นอย่างนั้น แบบนกุลปิตา นกุลมาตา ๒ อุบาสกอุบาสิกา เจอหน้าพระพุทธเจ้าก็ร้องว่า “ลูกไปไหนมา ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” เคยเกิดเป็นบิดามารดาพระพุทธเจ้าต่อเนื่องกันมา ๕๐๐ ชาติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-05-2015 เมื่อ 16:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #85  
เก่า 17-05-2015, 09:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คนที่สิ้นชีวิตถ้าอยู่ในฌานจะไปพรหมโลก แต่ถ้าอยู่ในขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิจะไปไหนครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็อยู่ชั้นดาวดึงส์กับยามา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-05-2015 เมื่อ 16:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #86  
เก่า 17-05-2015, 14:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ยาหอมยาลมถือว่าเป็นภูมิปัญญาไทยที่ตกทอดกันมา ถึงเวลาธาตุลมกำเริบ ถ้าไม่มีพวกยาหอมยาลมก็จะลำบาก ฟื้นตัวยาก ในเรื่องของส่วนผสมต่าง ๆ ในปัจจุบันก็หายากขึ้นเรื่อย ๆ สมัยอยู่วัดท่ามะขาม ยายทองเหมาะซึ่งเป็นน้องสาวของหลวงพ่อพระเทพเมธากร พอว่างจากงานอื่นก็กวาดใต้ต้นพิกุล กวาดมาเป็นเข่งแล้วก็นั่งคัดเอาเฉพาะดอก ชั่งกิโลขายตามร้านขายยาโบราณ

ดอกพิกุลเป็นหนึ่งในเกสรห้าอย่างที่เป็นส่วนผสมของยาหอม เกสรห้าอย่างเป็นตัวยาพื้นฐานของยาไทย ที่เป็นส่วนผสมของยาหอม จะมีเกสรบัวหลวง สารภี มะลิ พิกุล บุนนาค ดอกไม้พวกนี้ขายได้ในราคาแพงด้วย เดี๋ยวนี้ต้นพิกุลก็ปลูกน้อยลง ๆ สมัยเด็ก ๆ อาตมาชอบเก็บดอกพิกุลมาร้อยทำเป็นสร้อยคอ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2015 เมื่อ 17:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #87  
เก่า 17-05-2015, 14:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนเห็นในกระทู้ว่าเขาแปลกันแบบผิด ๆ เขาลงกระทู้ว่า "สติปัฏฐาน ๔ เป็นทางเดียวที่จะทำให้บรรลุมรรคผล" แล้วก็เข้าไปเถียงกันกระจายอยู่ตรงนั้น

เขาแปลจากคำว่า ‘เอกายโน’ เอกะ คือ หนึ่ง , อายนะ คือ หนทาง เขาบอกว่านี่เป็นหนทางเดียวที่จะนำสัตว์ไปสู่ความบริสุทธิ์ ในเมื่อแปลอย่างนั้นก็ต้องทะเลาะกับชาวบ้านเขา ต้องแปลว่า ‘นี่เป็นหนทางหนึ่งซึ่งนำสัตว์ไปสู่ความบริสุทธิ์’ จะได้รู้ว่าที่เหลืออีกเป็นหมื่นเป็นพันสายยังมีอยู่

ปัจจุบันนี้บรรดาท่านที่เรียนมาสายปริยัติ โดยเฉพาะเรียนในส่วนของวิปัสสนาภาวนา ก็มักจะแปลว่าเป็นทางสายเดียว ถ้าเป็นทางสายเดียวแล้วพระพุทธเจ้าท่านเทศน์เอาไว้ตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ทำไม ? แต่เขาก็จะแปลว่าทางสายเดียว ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยเขาไปเถอะ

อาตมาอยากจะบอกว่ามหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนคนทั่วไป ท่านสอนชาวกุรุซึ่งชาวกุรุเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่มาสืบเชื้อสายบนโลกมนุษย์ทำให้ฉลาดเกินมนุษย์ทั่วไป มีความละเอียดของจิตมาก มีความชอบใจในมหาสติปัฏฐานสูตรเพราะว่ามีรายละเอียดมาก ในเมื่อไม่ใช่สำหรับคนทั่วไป พวกเราก็จะรู้สึกว่าถ้าเป็นส่วนของกายในกายเราก็จะพอเข้าใจไปได้ พอเป็นเวทนาในเวทนาก็ชักจะไปไม่เป็น พอเป็นจิตในจิต หรือธรรมในธรรม บางทีก็เข้าไม่ถึงเลย เพราะว่าความละเอียดของใจของเราไม่เท่ากับเขา

ต้องบอกว่าธรรมะหลายต่อหลายส่วนเหมาะเฉพาะสถานที่ บุคคล หรือกาลเวลานั้น ๆ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสไว้จำนวนมากต่อมากด้วยกัน แต่เขาก็มาสรุปว่ามีอย่างเดียวนี่แหละ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ยกไปได้เลย เหลือแค่มหาสติปัฏฐานสูตรอย่างเดียวที่ทำให้บรรลุมรรคผล ต้องบอกว่าเรียนอย่างเดียวไม่ได้ทำ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็เลยไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเขาทำกันอย่างไร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-05-2015 เมื่อ 16:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #88  
เก่า 17-05-2015, 14:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาถกเถียงกัน ถ้าเราเถียงกันเมื่อไรก็กลายเป็นเอากิเลสมาชนกัน ก็แปลว่าเสียท่ากิเลสตั้งแต่ต้นเลย หลักการปฏิบัติมีไว้ทำ ไม่ได้มีไว้เถียงกัน ถ้าใครมาถามชนิดไม่ได้ง้างปากกันจริง ๆ ก็ไม่บอกกันง่าย ๆ หรอก เพราะว่าแต่ละคนจะมีทิฐิของตนอยู่ ในเมื่อมีทิฐิของตนอยู่ ถ้าเห็นไม่ตรงกันเมื่อไรก็ทะเลาะกันเมื่อนั้น

ในส่วนของหลักการปฏิบัติ ในปัจจุบันนี้ในทางศูนย์ประสานงานสำนักปฏิบัติธรรมแห่งประเทศไทยได้สรุปเอาไว้ใหญ่ ๆ ๕ สายด้วยกันคือ สายพุทโธ สายสัมมาอะระหัง สายพองยุบ สายรูปนาม แล้วก็สายสติปัฏฐานแบบท่านพุทธทาส อาตมาเองพยายามผลักดันจนกระทั่งทางมหาจุฬาฯ เอามโนมยิทธิไปบรรจุไว้ในหลักสูตรวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ ซึ่งเป็นธรรมะภาคปฏิบัติ ๗ ก็คือธรรมะภาคปฏิบัติสุดท้ายของปริญญาตรี แต่เขาไม่ให้อาตมาเป็นคนเขียน เขาไปหาข้อมูลมาเขียนกันเอง เลยออกมาเป็นอะไรก็ไม่รู้ ชื่อว่ามโนมยิทธิ แต่อาตมาไม่คุ้นเคยเลย ไว้มีโอกาสค่อยไปปรับใหม่ เพราะว่าคนเขียนไม่ได้ปฏิบัติมาเองก็เลยไม่เข้าใจ จึงตีความผิด

จะว่าไปแล้วหลักการปฏิบัติไม่ได้ต้องการยอมรับจากนักวิชาการ แต่อยู่ที่ว่าญาติโยมยอมรับและปฏิบัติตามหรือเปล่า ? ถ้ายอมรับและปฏิบัติตามเป็นจำนวนหนึ่งและเหนียวแน่นพอ ก็จะเป็นสายการปฏิบัติขึ้นมาเอง แต่สายการปฏิบัติทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วทั้งนั้น ครูบาอาจารย์ท่านชำนาญอย่างไร ท่านก็เอาอย่างนั้นมาสอน เราก็ไปเถียงกันว่าของเธอสู้ฉันไม่ได้ ของฉันดีกว่าเธอ สายการปฏิบัติอะไรก็ตามถ้ามาในส่วนของศีล สมาธิ ปัญญา ช่วยให้รัก โลภ โกรธ หลงบรรเทาเบาบางลง หรือสามารถที่จะละรัก โลภ โกรธ หลงได้ ก็ถือว่าเป็นสายการปฏิบัติที่ถูกต้องทั้งนั้น เพียงแต่ว่าพอถึงเวลาแล้วทิฐิขึ้นหน้า ก็เลยไม่ค่อยจะยอมรับสายอื่นกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-05-2015 เมื่อ 16:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #89  
เก่า 17-05-2015, 14:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"หลักการปฏิบัติทั้งหมด ถ้าไม่มีอิทธิบาทซึ่งเป็นพื้นฐานของความสำเร็จ ก็ยากที่จะทำแล้วเกิดผล อิทธิบาท ๔ ต้องถือว่าเป็นหญ้าปากคอก อยู่ใกล้หูใกล้ตามากจนกระทั่งลืม

ฉันทะ
ต้องมีความยินดี มีความพอใจเราถึงมาปฏิบัติ วิริยะ มีความพากเพียรบากบั่น การปฏิบัติจึงจะสำเร็จได้ จิตตะ คือกำลังใจจดจ่อจับมั่นอยู่ไม่แปรผันเป็นอื่น วิมังสาคือไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ ว่าเราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ทำไปถึงไหน ? เหลืออีกเท่าไร ? เป็นต้น

นักเทศน์เขาแต่งเป็นกลอนเอาไว้ว่า “พอใจพอใจใฝ่ความรู้ เพียรอยู่เพียรอยู่ไม่ท้อถอย จดจ่อจดจ่อเฝ้ารอคอย ทวนบ่อยทวนบ่อยไม่หลงลืม” ก็คือฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสานั่นแหละ ส่วนใหญ่พวกเรามีฉันทะแบบไฟไหม้ฟาง คือมาวูบเดียว ถ้าไก่ไม่สุกก็อดกิน ในเมื่อมีฉันทะแค่ไฟไหม้ฟาง วิริยะคือความเพียรก็พลอยน้อย ความแน่วแน่ของกำลังใจไม่มี ใครว่าอะไรดีที่ไหนก็ไปกับเขาหมด แล้วก็ลืมเป้าหมายของตัวเองว่าจะทำอะไร จะโดนกิเลสหลอกลักษณะอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่โดนเท่าไรก็ไม่รู้จักเข็ดเหมือนกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-05-2015 เมื่อ 16:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #90  
เก่า 18-05-2015, 14:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้หวยออกแล้ว อาตมาก็ไม่รู้หรอกว่าหวยออก พอดีเปิดดูหนังสือพิมพ์ เป็นหนังสือพิมพ์ออนไลน์ เขาแจ้งว่าหวยออกแล้ว จะไปดูข่าวแผ่นดินไหวที่เนปาล กลายเป็นข่าวหวยออก แสดงว่าเรื่องของหวย บ้านเราให้ความสำคัญมาก

สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงบวชใหม่ ๆ หวยคู่ละ ๑ บาท ถ้าครึ่งหนึ่งก็ ๕๐ สตางค์ สมัยอาตมาเป็นเด็กยังมีขายเป็นเสี้ยวอีก รู้สึกว่าปกติคู่หนึ่งแบ่งครึ่งก็อย่างละใบ นี่เขาฉีกครึ่งได้อีก อุตส่าห์ขายกันได้

สมัยหลวงพ่อท่าน ที่เขาเรียกสลากกินแบ่งนั้นเพราะเขาแบ่งจริง ๆ ก็คือถ้าขายไม่หมดก็คิดเฉลี่ยตามจำนวนที่ขายได้ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่มีรางวัลตายตัวไปเลย สมัยนั้นรางวัลเขาเฉลี่ยจากยอดที่ขายได้ เวลาซื้อสลากแล้วต้องเขียนชื่อที่ต้นขั้วเอาไว้ด้วย ถ้าเราเอาสลากไปขึ้นเงินแล้วบอกชื่อที่ต้นขั้วไม่ถูก เขาจะไม่จ่ายให้ ชื่อส่วนใหญ่ก็จะเป็นนามแฝง ประเภทกุมารทองคะนองฤทธิ์อะไรแบบนั้น เพราะกลัวคนจะรู้ว่าถูกหวย

มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านฝันว่าตกส้วม สมัยก่อนเป็นส้วมหลุม ท่านบอกว่าตกส้วมจมมิดหัวเลย ตะกายเกือบตายกว่าจะขึ้นมาได้ พอไปเล่าถวายหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานบอกว่า “ถ้าฝันว่าโดนเขาตัดหัว หรือฝันว่าตกส้วมมิดหัว จะถูกรางวัลที่หนึ่ง” หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็สงสัยว่าจะจริงหรือ ? แล้วท่านก็ไม่เล่นหวยเสียด้วย แต่ครูบาอาจารย์บอกอย่างนี้ก็ขอลองหน่อยเถอะ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2015 เมื่อ 18:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #91  
เก่า 18-05-2015, 14:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"หลังจากบิณฑบาตฉันเช้าเสร็จสรรพเรียบร้อย ท่านก็ขอลาหลวงปู่ปานนั่งเรือเขียวเรือแดงจากอยุธยาเข้ากรุงเทพฯ มาซื้อหวย ก็คู่ละบาทนั่นแหละ ท่านบอกว่าท่านจะมีเงิน ๒๐๐ บาทอยู่ในย่ามเป็นประจำ เผื่อไว้ฉุกเฉิน ปุบปับจะไปไหนจะได้มีเงินใช้

อาตมามาลองคูณดูแล้วใจหายวาบ..! สมัยนั้นก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ หลวงพ่อพกเงิน ๒๐๐ บาท ก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ ถ้าเป็น ๒๐ ชามก็ ๕๐ สตางค์ พอเป็น ๔๐ ชามก็ ๑ บาท ถ้า ๑ บาทเท่ากับก๋วยเตี๋ยว ๔๐ ชาม ตีเสียว่าชามละ ๒๐ บาทก็พอ เท่ากับว่า ๑ บาทสมัยนั้นเท่ากับ ๘๐๐ บาท ในปัจจุบัน ๑๐ บาทก็เท่ากับ ๘,๐๐๐ ถ้าเป็น ๑๐๐ บาทก็เท่ากับ ๘๐,๐๐๐ แปลว่าหลวงพ่อพกเงินตั้ง ๑๖๐,๐๐๐ บาท..!

ท่านบอกว่า ท่านเข้ามาซื้อหวยที่กองสลาก ได้แล้วก็เดินทางกลับ จนกระทั่งวันหวยออก ขุนบาลหรือเจ้ามือก็ประกาศตัวเลข หลวงพ่อท่านจำได้ว่าตัวเองซื้อหวย ก็เอามาตรวจดู ปรากฏว่าถูกจริง ๆ งวดนั้นเฉลี่ยแล้ว ให้ ๘,๐๐๐ บาท หลวงพ่อก็ส่งให้เด็กวัดไปเบิกเงิน พอเด็กวัดก็ไปเบิกเงินเอามาให้ หลวงพ่อก็ท่านบอกว่า “เอ็งจะเอาไปทำอะไรก็ไปเถอะ เงินระยำอย่างนี้ข้าไม่เอาหรอก ข้าแค่อยากพิสูจน์ว่าหลวงพ่อปานท่านบอกแล้วจะถูกหวยจริงหรือเปล่า ” อย่าลืมว่า ๑๐๐ บาทสมัยนั้น เท่ากับ ๘๐,๐๐๐ บาทสมัยนี้ สมัยนั้นหลวงพ่อท่านถูกตั้งหกล้านกว่า สมัยนี้รางวัลที่หนึ่งคู่ละเท่าไร ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2015 เมื่อ 18:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #92  
เก่า 18-05-2015, 14:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปตรวจตาหลังจากที่บาดเจ็บเพราะว่าโดนเครื่องตัดหญ้าดีดหินเข้าตา ทนจนกระทั่งเรียนจบ ก็ไปให้หมอตรวจเพื่อจะโดนผ่าตัด หมอตรวจเสร็จก็บอกว่า "เป็นต้อหินครับ อย่าไปผ่าให้เสียเวลาเลย อย่างไรก็บอด ท่านไม่ต้องเครียดนะครับ ให้ผมเครียดคนเดียวก็พอ"

อาตมาฟังแล้วขำ ๆ ปกติก็หลับตาเดินบ่อย ๆ อยากทดสอบดูว่ารู้จริงหรือเปล่า ? ถ้าตานอกใช้ไม่ได้ ก็ใช้ตาใน จึงไม่ได้เครียด แต่ปรากฏว่าโยมหวังดี ไปซื้อยาแก้มาให้ จะลองกินดู ถ้ากินจนกระทั่งร้อนจนทนไม่ไหวแล้วค่อยว่ากัน ยาเขาแพง

หมอเขาบอกว่าจอประสาทตาเหลืออยู่หน่อยเดียว บางนิดเดียว แต่แปลกใจอยู่อย่างเดียวว่าทำไมความดันลูกตาไม่ขึ้น หมอจึงจับหยอดยาให้ไปตรวจซ้ำอีกรอบหนึ่ง อาตมาก็เลยต้องเดินโซซัดโซเซไปให้เขาตรวจอีกรอบหนึ่ง เพราะว่าเวลาหมอเขาหยอดยาขยายม่านตา จะมองอะไรไม่เห็นเลย หมอเขาบอกว่า "นิมนต์ครับทางห้องเบอร์ ๑" อาตมาก็นั่งเฉยอยู่ "นิมนต์ครับท่าน" ไปไม่ได้เว้ย..มองอะไรไม่รู้เรื่องเลย จะไปอย่างไร พอขยายม่านตาแล้วม่านตาจะรับแสงมากกว่าปกติหลายเท่า กลายเป็นว่าสว่างจนมองไปทางไหนก็เห็นเขียวไปหมด ดูไม่รู้เรื่อง ก็เลยสรุปว่าช่างมันเถอะ รักษาได้ก็รักษา รักษาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถึงเวลาก็หลับตาคุยกับโยมเอา..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2015 เมื่อ 18:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #93  
เก่า 18-05-2015, 18:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (คนคริสต์ถาม) มีผีตามผมมา ?
ตอบ : ภาวนานึกถึงภาพพระคลุมตัวเราเอาไว้ แล้วแผ่เมตตา ไปดูในมนต์พิธีก็ได้ ท่องบทกรณียเมตตาสูตรก่อนนอนเอาไว้ แล้วพวกนี้ก็จะไม่กวน

ถาม : เขาจะอยู่อีกนานไหม ?
ตอบ : ถ้าหากเป็นเวลาของเขา ต่ำ ๆ วันหนึ่งก็ ๕๐ ปีของเรา ถ้าเขาอยู่สัก ๒ วัน เราก็ตายไปนานแล้ว ...(หัวเราะ)... ไม่ต้องไปกังวลเรื่องนั้นหรอก ถึงเวลากลางคืนภาวนานึกถึงภาพพระคลุมตัวเราเอาไว้แล้วสวดกรณียเมตตาสูตร นึกถึงลมหายใจเข้าออก กรรมฐานเป็นเรื่องสากล ไม่ใช่เรื่องศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แบบเดียวกับที่เราร้องเพลงสวด ถ้าร้องแล้วสมาธิดี ๆ ก็เท่ากับภาวนา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2015 เมื่อ 04:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #94  
เก่า 18-05-2015, 18:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ศรีลังกาไม่โดนแผ่นดินไหวใช่ไหมคะ ?
ตอบ : คนศรีลังกาเขามั่นใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ว่า ตราบใดที่พระบรมธาตุเขี้ยวแก้วยังอยู่ เขาจะไม่ประสบอุบัติภัยอย่างนี้เด็ดขาด อาตมาส่งแม่ชีพิมพ์วราไปเรียนอยู่ที่นั่น แม่ชีเล่าว่า ตอนพายุเข้าคนศรีลังกานั่งสวดมนต์สบายใจเฉิบ

ถาม : เขาว่าทางเชียงใหม่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ กลัวค่ะ ?
ตอบ : ไม่ต้องกลัวจ้ะ ถ้าโดนก็โดนด้วยกันทั้งนั้นแหละ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2015 เมื่อ 04:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #95  
เก่า 19-05-2015, 15:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตะกรุดมหาสะท้อนเที่ยวนี้พระท่านให้อย่างอื่นด้วย ลองเอาไปใช้ ๆ ดูก็แล้วกัน เอาไปใช้เดี๋ยวก็รู้เองแหละ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2015 เมื่อ 16:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #96  
เก่า 19-05-2015, 15:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ต่อไปภายหน้าคนที่รู้เรื่องบายศรีสายวัดท่าซุงจริง ๆ จะเหลือน้อย เดี๋ยวนี้ชุดบายศรีมีส่วนเกินเยอะมาก อย่างพวกขนมจีนน้ำยา ทองหยิบฝอยทอง พวกเห็นเขาทำ ก็เลยทำด้วย ขนมจีนน้ำยาเอาไว้ในวัดท่าซุงอย่างเดียว สำหรับหลวงปู่ขนมจีนท่าน ส่วนทองหยิบฝอยทอง เอาไว้บวงสรวงเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ เขาเห็นใส่อะไรก็ใส่มั่วไปเรื่อย ถือว่าเกินดีกว่าขาด แต่อย่าขาดก็แล้วกัน เกินไปไม่เป็นไร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2015 เมื่อ 16:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #97  
เก่า 19-05-2015, 15:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนไปงานศพที่วัดเสมียนนารี อากาศร้อนเหมือนอยู่ในเตา ไอร้อนพัดพรึ่บ ๆ หลวงตาวัชรชัยบอก "ไม่ไหวแล้วเว้ย..!" ทำท่าจะตาย ส่วนอาตมากำลังพอดีเลย คนเป็นมาลาเรียกลัวหนาวไม่กลัวร้อน คนอื่นจะตายส่วนอาตมากำลังพอดี ๓๙ – ๔๐ องศา แต่ถ้าอยู่ห้องปรับอากาศเมื่อไรก็คันบรรลัยทุกที หลังแตกหมด ต้องทาครีมอยู่เรื่อย

หลังจากโดนเขายำครั้งนั้น ที่เอาผ้าชุบน้ำร้อนโปะแล้วถูจนอาตมาแสบไปทั้งตัว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดนอะไรไม่ได้เลย จะรู้สึกคัน ทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้ว่าคนที่เข้าสมาธิจะมีอาการอย่างไร เขาก็พยายามจะปลุกให้ได้

ไปนึกถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเข้าห้องปุ๊บก็ล็อกปั๊บ อาตมากราบเรียนหลวงพ่อว่า "อย่าล็อกสิครับ เป็นอะไรไปผมก็เข้าลำบาก" ท่านบอกว่า "ไม่ล็อกได้หรือ ? เปิดเข้ามาเขาคิดว่าข้าตาย ก็จะหามไปเผาแล้ว"

หมอเคยขออนุญาตเอาเครื่องวัดคลื่นหัวใจ ติดให้หลวงพ่อวันหนึ่งคืนหนึ่งเพื่อเช็คสภาพหัวใจ ปรากฏว่าหมออ่านค่าแล้วมึนมากเลย หัวใจหยุดเต้น ๓๐๐ กว่าครั้ง ไม่ใช่หยุดเต้นหรอก พอเข้าสมาธิแล้วหัวใจไม่ทำงาน หมอก็สงสัยว่าทำไมหัวใจหยุดเต้นแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้ ? หัวใจหยุดเต้นคืนละ ๓๐๐ กว่าครั้ง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2015 เมื่อ 16:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #98  
เก่า 19-05-2015, 15:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าคนที่ทำอนันตริยกรรม บวชไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน ไม่ใช่ปาราชิกนี่ อนันตริยกรรมคนละเรื่องกัน ถ้าฆ่าพระอรหันต์หรือทำร้ายพระพุทธเจ้าจึงห้ามบวช ที่เหลือรีบ ๆ ไปบวชใช้หนี้ได้ยิ่งดี

ถาม : ก็คือไม่เจตนาก็เป็น ?
ตอบ : เป็น..แบบเดียวกับนายพราน พระอรหันต์ท่านเดินมา ก็คิดว่าถ้าหากว่านายพรานเห็นเราจะถือว่าโชคร้าย..ล่าสัตว์ไม่ได้ คิดไม่ดีจะเป็นโทษแก่เขา ท่านก็เลยไปซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ พรานผ่านไปก็คิดว่าเป็นเก้งเป็นกวาง เพราะจีวรสีคล้าย ๆ เอาหอกพุ่งไปพระอรหันต์ตายคาที่เลย ไม่ได้เจตนาแต่เป็นอนันตริยกรรม ของบางอย่างถึงไม่ได้เจตนาแต่ก็เป็นกรรม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2015 เมื่อ 16:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #99  
เก่า 19-05-2015, 16:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วโยมมักจะลืม ลืมว่าพระฉันเพล กำลังฉันอยู่ก็มักจะโทรศัพท์มา ถ้าหากว่าเป็นโยม อาตมายังพอให้อภัย รับเสร็จแล้วก็จะบอกว่า "คราวหน้าอย่าโทรเวลานี้ เพราะพระกำลังฉันอยู่" แล้วก็จะมีเสียงตกอกตกใจ แต่ถ้าเป็นพระอาตมาจะด่าเลย "ถ้ามึงไม่แดกก็อย่าโทรมาเวลานี้ กูกำลังฉันอยู่..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-05-2015 เมื่อ 17:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #100  
เก่า 19-05-2015, 16:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ทวด จนป่านนี้บารมีท่านยังตามรักษาอยู่ เอาไว้อาตมาสร้างลูกแก้วดีกว่า สร้างรูปท่านก็ไปแข่งกับชาวบ้านเสียเปล่า ๆ อยากได้ประเภทเนื้อแก้วที่ใสจริง ๆ เลย ถึงลงทุนแพงหน่อยก็เอา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-05-2015 เมื่อ 16:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:58



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว