กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #81  
เก่า 09-11-2015, 16:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ที่ไปสอนในมหาวิทยาลัย เรื่องวิชาการใคร ๆ ก็สอนได้ แต่ที่ไปนี่คือไปกระตุกจิตสำนึกของท่าน ก่อนที่จะจบคอร์สก็มักจะบอกท่านเสมอว่า “พวกท่านเป็นพระ เป็นเณร ถ้าไม่สามารถทำให้ศาสนาเจริญได้ด้วยตัวเอง ก็อย่าทำให้ศาสนาเสียหายเพราะตัวเราเลย”

ครูต้องเป็นแบบอย่างเขาได้ แล้วคราวนี้การที่จะรักษาแบบอย่างนั้นเหนื่อย หลายวัดพระเณรไม่มีระเบียบ ไม่มีวินัย เพราะว่าตัวครูบาอาจารย์ปล่อยปละละเลย สั่งว่าต้องทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น สั่งแล้วก็ปล่อยเขาทำกันเอง คนที่ขยันก็มา คนที่ขี้เกียจก็ไม่มา

ของวัดท่าขนุนทำวัตร ๓ รอบ ทำวัตรเช้า ๑ รอบ ทำวัตรเย็น ๒ รอบ ปกติก่อนหน้านี้ก็ทำวัตรเย็นรอบเดียว คราวนี้ก่อนทำวัตรเย็นจะมีพระใหม่ไปซ้อมสวดมนต์กัน พออาตมาเป็นเจ้าอาวาสก็ไปนั่งฟังว่าท่านสวดกันถูกไหม ? ถ้าผิดจังหวะหรือว่าผิดอักขระจะได้ช่วยแก้ไข ปรากฏว่าพอเจ้าอาวาสไปนั่ง บรรดาพระเก่าก็ตูดร้อน ทนไม่ได้ก็ต้องมาด้วย ไป ๆ มา ๆ ก็มากันหมดทั้งวัด เลยกลายเป็นทำวัตรเย็น ๒ รอบ รอบแรกเป็นการซ้อม รอบหลังค่อยเอาจริง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2015 เมื่อ 18:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #82  
เก่า 09-11-2015, 16:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"คนจะเป็นผู้นำเขาต้องประเภทตื่นก่อนนอนทีหลัง ตอนไปยุโรปก็เหมือนกัน บรรดาพระด้วยกันบอกว่า ไม่เคยทันหลวงพ่อเล็กเสียที ตี ๓ แกหายออกจากห้องไปแล้ว ก็คือไปแล้วก็ต้องไปดูให้คุ้ม ว่าบ้านเมืองของเขาเป็นอย่างไร บางทีเดินไปก็สวนกับคุณโอเล่ ต่างคนต่างถือไปกล้องคนละตัว เพราะนัดกันไว้ว่า ๗ โมงเจอกันที่ห้องอาหาร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2015 เมื่อ 18:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #83  
เก่า 09-11-2015, 18:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ใครมาเขียนซองสร้างพระทองคำ ๕๐ ศอกครับ ?
ตอบ : ตั้งชาติหนึ่งแล้ว ตอนนั้นเขาเขียนส่งมาให้ก็โยนคืนไปแล้ว มีปัญญาก็ไปสร้างเองสิ พระพุทธรูปทองคำหน้าตัก ๕๐ ศอก ใครไปสร้างไหว ? ยกเว้นพระเจ้าจักรพรรดิ

ถาม : ไม่แน่ใจว่าใช่ผมหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนั้นอาตมาอ่านเจอก็โยนคืนเจ้าของไปแล้ว ถ้าไม่ได้โยนใส่หน้าคุณก็ไม่ต้องไปคิดหรอกว่าเป็นของตัวเอง

ต้องบอกว่าเป็นประเภทไม่หาข่าว จะเอาบุญแบบไม่ลืมหูลืมตาอย่างเดียว "กูจะสร้างพระพุทธรูปทองคำ ๕๐ ศอก" ก็
ไปสร้างเองสิ

ซองนั้นนานเป็นปีแล้ว มาขอดูซองตอนนี้ก็มีแต่ตีนให้ดู...! คนทองผาภูมิเขาว่าอาจารย์เล็กดุกว่าหมาอีก อย่ามาผิดจังหวะเท่านั้น มาผิดจังหวะเจอแน่ ถ้ายิ่งตอนกำลังฉันอยู่ มาบอก "ขอเวลา ๕ นาที" ไม่ถึง ๕ นาทีหรอก เปรี้ยงเดียวนี่ไม่ถึงวินาทีด้วย...! พระกำลังฉันอยู่ ธุระรีบขนาดไหนก็ให้รู้จักรอบ้างสิ เขาบอก "ไม่เป็นไรครับ ขอเวลา ๕ นาที" "ไม่เป็นไรของมึง..แต่กูเป็น..!"

ญาติโยมเคยชินกับการเห็นพระเป็นทาส ถึงเวลาไปต้องการอย่างไรต้องได้อย่างนั้น หารู้ไม่ว่ากำลังหาบาปใส่ตัวอยู่ ถ้าไม่ด่าเขาให้หูตาสว่างก็จะไปทำกับพระอื่นอย่างนั้นอีก ก็จะสร้างกรรมใส่ตัวไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น..อาตมายอมเป็นคนปากร้าย
คนประเภทนี้อย่าให้เข้ามาในวัดของเราได้ยิ่งดี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2015 เมื่อ 18:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #84  
เก่า 09-11-2015, 18:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงเข้ากรรมฐาน ๓ วันเหมือนอย่างกับโดนทดสอบอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าจะสอบไปทำไม ? หมาตัวผู้ติดตัวเมียแล้วมากัดกันรอบกุฏิทั้งวันทั้งคืน คือตัวเมียอยู่บริเวณนั้น ตัวผู้ทั้งหมดก็มาระดมกันอยู่รอบกุฏิเจ้าอาวาส เท่ากับบังคับให้ต้องเข้าสมาธิหนี เข้าไปเข้ามาก็รู้สึกแปลก ๆ เพราะโดยปกติจิตกับประสาทจะแยกออกจากกัน ไม่ได้หมายความว่าจิตแยกจากกาย แต่คราวนี้จิตกับกายเหมือนกับแบ่งเป็นคนละมิติ ไม่ได้ถอดจิตออกไป แต่กลายเป็นจิตส่วนจิต กายส่วนกาย อยากจะได้ยินก็ได้ อยากจะไม่ได้ยินก็ได้ ยังงง ๆ อยู่เหมือนกัน ขอไปคลำอีกสักพักหนึ่งว่าคืออะไรกันแน่

ปกติถ้าจิตประสาทแยกจากกัน ก็จะตัดไปเลย จนกว่าสมาธิคลายออกมารับรู้อีกที ถึงจะได้ยินใหม่ คราวนี้เป็นจิตส่วนจิต กายส่วนกาย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2015 เมื่อ 18:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #85  
เก่า 09-11-2015, 18:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำไมพวกเป็นทิพย์จึงไม่ได้ยินเสียงตอนเรากรวดน้ำ หรือเทวดาไม่ได้สนใจเสียงมนุษย์ ?
ตอบ : เปรียบเทียบกันไม่ได้ ผีไม่ได้ยินเสียงกรวดน้ำเพราะกรรมบัง ส่วนเทวดาไม่ได้สนใจในมนุษย์ เพราะเขาเพลินอยู่กับความเป็นทิพย์ เหมือนกับคนใช้โทรศัพท์ อยากจะได้ยินก็โทรไป คือเขาต้องตั้งใจกำหนดใจก่อนถึงจะรู้ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2015 เมื่อ 18:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #86  
เก่า 10-11-2015, 12:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัญหาส่วนใหญ่ของการเรียนระดับปริญญาโท ปริญญาเอก ก็คือนิสิตรับแรงกดดันไม่ได้ การเรียนระดับนี้ส่วนใหญ่แล้วอาจารย์ที่ปรึกษาจะไม่มีเวลาให้ เราทำงานแทบเป็นแทบตายบางทีท่านไม่ทันจะดูก็ผลักกลับมาให้ไปแก้ใหม่เลย เส้นตายก็ใกล้เข้ามา งานก็ให้แก้แล้วแก้อีกอยู่นั่นแหละ เครียดมาก ๆ จนบางคนนั่งร้องไห้

หลายท่านเขาว่าการเรียนของไทยยากกว่าเยอะ ต่างประเทศเวลากำหนดหัวข้อวิทยานิพนธ์ได้ ก็เข้าห้องสมุดค้นคว้า ได้งานมา วิเคราะห์ออกมาเสร็จสรรพ พอนำเสนองานได้ก็จบแล้ว ส่วนบ้านเราเรียนแล้วเรียนอีก แถมยังต้องทำวิทยานิพนธ์ และแก้กันไม่รู้จักแล้วจักเลิก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 17:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #87  
เก่า 10-11-2015, 12:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่าน Gembo Dorje พระระดับสมเด็จพระราชาคณะของภูฏานมาเยี่ยม พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางด้านภูฏานเป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องจากต่างประเทศ เนื่องจากว่าระบบการบริหารบ้านเมืองเน้นความสุขของชาวบ้าน แทนที่จะเน้นในเรื่องของผลผลิต ต้องบอกว่าประชาชนมีความสุขมากที่สุดในโลก เพราะเอาหลักธรรมของพุทธศาสนาไปปฏิบัติในชีวิตจริง เรียกว่าคนภูฏานเป็นคนรู้จักพอ จึงมีความสุขมาก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 16:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #88  
เก่า 10-11-2015, 13:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การที่เมตตาผู้อื่น ถือว่าเป็นกิเลสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : การเมตตาต่อคนอื่น ต้องดูว่าเราเมตตาแล้วหวังผลหรือเปล่า ? ถ้าเมตตาแล้วหวังผล ก็เจือไปด้วยกิเลส จะเป็นรัก โลภ โกรธ หลง แทรกเข้ามา ถ้าเมตตาโดยไม่หวังผล รู้ว่าบุคคลนี้ เรารักเขาเสมอตัวเรา เราต้องการความสุขเกลียดทุกข์อย่างไร คนอื่นก็ต้องการสุขเกลียดทุกข์อย่างนั้น ดังนั้น..เราเองก็ต้องกระทำแต่สิ่งที่ดี ๆ พูดแต่สิ่งที่ดี ๆ คิดแต่สิ่งที่ดี ๆ กับเขา ถ้าในลักษณะอย่างนี้ก็จะไม่เป็นกิเลส

แต่ถ้าหากว่าเมตตาโดยหวังผล เราสงเคราะห์เขา เขาจะต้องยกย่องเชิดชูเรา เป็นบริวารเรา มากราบไหว้เรา อย่างนั้นก็แทรกไปด้วยกิเลสเต็ม ๆ เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 16:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #89  
เก่า 10-11-2015, 14:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ความเมตตาที่เจือไปด้วยกิเลส จะได้อานิสงส์หรือเปล่า ?
ตอบ : ได้อยู่...แต่ว่าความหลุดพ้นจะเกิดได้ยาก คืออานิสงส์ของความเมตตาอย่างน้อย ๆ ก็จะทำให้ตนเองมีศีลโดยอัตโนมัติ ก็แปลว่าความดีขั้นต้นเราได้ แต่ก็จะไปได้ไม่เกินนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 16:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #90  
เก่า 10-11-2015, 14:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้วัดที่เป็นสาขาท่าขนุนจริง ๆ มี ๖ วัด กำลังจะเริ่มมีวัดที่ ๗ เขาให้หาเจ้าอาวาสให้หน่อย ชื่อวัดนพเก้าทายิการาม อยู่ทางบ้านไร่ของทองผาภูมิ ไม่ใช่บ้านไร่ของอุทัยธานี หรือบ้านไร่ของพระแท่นดงรัง กำลังถามความสมัครใจของพระอยู่ ส่วนใหญ่เขาอยู่กับอาตมาแล้วสบาย เขาไม่อยากออกไปเสี่ยง ประเภทไม่กล้า ต้องใช้คำว่าไม่มีขวัญและกำลังใจ

ตอนนี้สาขาของวัดท่าขนุนมี วัดพุทธบริษัท เกาะพระฤๅษี วัดหนองบ้านเก่า วัดห้วยน้ำขาว วัดประตูด่าน แล้วยังมีที่ออกไปด้านอีสานอีกเยอะ แต่ไม่ได้ตามไปดูแล เพราะไกลเกินไป"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 16:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #91  
เก่า 10-11-2015, 14:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวกับท่าน Gembo ว่า "ปกติอาตมาดูแลอยู่ ๖ วัด วัดที่ ๗ กำลังจะมา ก็แปลว่าสิ่งที่รับ ๆ มาต้องกระจายออกไป

ของทางด้านประเทศไทยเรา คณะสงฆ์แบ่งการปกครองออกเป็น ๖ อย่าง อย่างที่ ๑ คือ การปกครอง เป็นไปตามลำดับชั้น สูงสุดคือสมเด็จพระสังฆราช ต่ำสุดคือเจ้าอาวาส

อย่างที่ ๒ คือ การศึกษา มีศึกษาบาลี ศึกษาธรรมะ และศึกษาสายสามัญ เรียนลักษณะเดียวกับคนทั่ว ๆ ไป มีปริญญาตรี โท เอก แล้วก็มา

อย่างที่ ๓ คือ ด้านการเผยแผ่ เมื่อศึกษาแล้วก็นำคำสอนไปสั่งสอนชาวบ้านเขาต่อ การเผยแผ่ของเราแบ่งเป็น ๒ สาย คือตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตามโรงเรียนต่าง ๆ ส่วนอีกสายหนึ่งเป็นสายวัดป่า ที่ฝึกปฏิบัติกรรมฐานโดยตรง เมื่อรู้จริงแล้วก็นำมาสั่งสอนชาวบ้าน

อย่างที่ ๔ คือ งานด้านสาธารณูปการ เกี่ยวกับการก่อสร้างภายในวัด ดูแลของเก่า สร้างเสริมของใหม่

อย่างที่ ๕ คือ ด้านสาธารณสงเคราะห์ ไม่ว่าชาวบ้านจะลำบากยากจน เกิดอุบัติภัยอะไร ก็ไปช่วยเขา เป็น public อย่างที่เอากฐินไปทอดที่เนปาลก็คือส่วนสาธารณสงเคราะห์ ไปช่วยที่เขาเกิดภัยแผ่นดินไหว

อย่างที่ ๖ คือ ศึกษาสงเคราะห์ ช่วยการเรียนทั้งของพระเณร และฆราวาสทั่วไป มีการให้ทุนการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสจะได้ทุนการศึกษาจากทุกวัด เป็นหน้าที่ซึ่งคณะสงฆ์บังคับเลยว่า เจ้าอาวาสทุกรูปต้องทำงาน ๖ อย่างนี้

งานของทางด้านคณะสงฆ์ไทย จึงแบ่งเป็น ๖ ด้านชัด ๆ อย่างนี้เลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 17:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #92  
เก่า 10-11-2015, 14:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อย่างอาตมาปัจจุบันนี้ นอกจากเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ยังเป็นเจ้าคณะตำบล ปกครองในเขตตำบลนั้นทั้งหมด เป็น sub-district governor นอกจากการก่อสร้างก็ต้องดูแลช่วยเหลือ วัดต่าง ๆ ที่เขาเดือดร้อน ที่เขามาขอความช่วยเหลือ

เรื่องทุนการศึกษา ปัจจุบันนี้ทางวัดให้ประจำอยู่ ๘ โรงเรียน ปีหนึ่งก็ใช้จ่ายหลายแสนบาท ถ้ารวมทุนการศึกษาของพระก็หลายล้านบาท ปัจจุบันนี้เฉพาะวัดท่าขนุน ส่งเรียนปริญญาตรี ๗ ปริญญาโท ๙ ปริญญาเอก ๓ ค่าใช้จ่ายประมาณเดือนละแสน ถ้าค่าเทอมออกก็ประมาณ ๘ แสนกว่าบาท นี่แค่วัดเดียวนะ

ญาติโยมเขาเห็นว่าอาตมาทำงานจริง ๆ ก็เลยมาช่วยสนับสนุน มาช่วยทำบุญ

มหาวิทยาลัยสงฆ์ที่อาตมาสอนอยู่ มีการปฏิบัติธรรมของนักศึกษาทุกปี ปีละ ๑๐-๑๕ วัน แล้วแต่ระดับ ตรี โท เอก ปฏิบัติวิปัสสนา ๑๐-๑๕ วันต่อปี ส่วนใหญ่จะปฏิบัติต่อเนื่องกันในประมาณเดือนธันวาคม อาตมาต้องไปเป็นหัวหน้าวิปัสสนาจารย์ให้เขาทุกปี ประมาณช่วงเดือนธันวาคม"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 17:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #93  
เก่า 10-11-2015, 14:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ด้านของธรรมทูตจะมีสายปกครองเฉพาะของเขาอยู่ แต่ยังสังกัดอยู่ในส่วนการปกครองทั่วไป จะมีศูนย์พระธรรมทูตของแต่ละจังหวัด พระธรรมทูตจะมีการสอบเป็นรุ่น ๆ ถึงเวลาต้องไปอบรม ๓ เดือน ถ้าสอบไม่ผ่านจะไม่ได้พาสปอร์ต

งานด้านธรรมทูตตอนนี้ไปเจริญทางด้านยุโรป เฉพาะในยุโรปอย่างเดียวช่วง ๓ ปีที่ผ่านมามีวัดของเถรวาทเกิดขึ้นใหม่ ๒๑ แห่ง วัชรยานแบบของท่าน (Gembo) ในประเทศไทยมีอยู่ ๒-๓ แห่ง มาตั้งศูนย์ของตนเอง ส่วนใหญ่แล้วมาจากทิเบต

ทางด้านกองงานพระธรรมทูตมีแผนการจะสร้างวัดสุวรรณภูมิ ที่จะเป็นศูนย์กลางของพระธรรมทูตทั้งหมด น่าจะอยู่แถว ๆ สนามบินสุวรรณภูมิ ตอนนี้เริ่มดำเนินการซื้อที่แล้ว วัดกำลังเริ่มสร้าง ต่อไปธรรมทูตต่างประเทศมาก็เข้าพักที่นั่นได้เลย คราวนี้ธรรมทูตสายต่างประเทศที่รับผิดชอบงานตรงนั้นคือท่านเจ้าคุณวีรยุทธ ที่เป็นหัวหน้าธรรมทูตสายอินเดีย-เนปาล ท่านเจ้าคุณวีรยุทธหรือพระเทพโพธิวิเทศ เป็นหัวหน้าโครงการสร้างวัดสุวรรณภูมิ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 17:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #94  
เก่า 10-11-2015, 14:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในการเจริญสติปัฏฐานที่บอกว่า กายเห็นกาย เวทนาเห็นเวทนา ?
ตอบ : ใครสอนว่ากายเห็นกาย เวทนาเห็นเวทนา ? เขามีแต่กายในกาย เวทนาในเวทนา

ในเรื่องของสติปัฏฐาน ๔ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนทั่วไป ท่านสอนชาวแคว้นกุรุ ซึ่งอาตมาเองฟันธงว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวที่มาอยู่ในบ้านเรา ฉะนั้น..ปัญญาท่านจะสูงมาก ก็เลยนิยมในเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งแบ่งออกเป็น กาย เวทนา จิต และธรรม ทั้งหมด ๔ หมวดด้วยกัน

กายในกายท่านบอกว่า คนทั่ว ๆ ไป บางทีแม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่รับรู้ว่ามี ยกเว้นแต่เกิดอะไรขึ้นถึงได้รู้สึกว่ามีร่างกายนี้ ก็แปลว่าจิตใจมืดบอดมาก บุคคลที่มีสติ โดยศึกษาในมหาสติ จะรู้กายในกายของตน อันดับแรกก็คือลมหายใจเข้าออก ถ้าสามารถรู้ลมหายใจเข้าออก ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกาย ที่เรียกว่ากายในกาย ก็คือเป็นกายที่มองไม่เห็น

ส่วนที่ ๒ ท่านให้ดูอิริยาบถคือการเคลื่อนไหว จะเป็นการเดิน ยืน นั่ง นอน

อย่างที่ ๓ ท่านบอกให้ดูในสัมปชัญญะ คืออาการรู้ตัวว่าสภาพร่างกายของเราตอนนี้เป็นอย่างไร จะยืน จะนั่ง จะเหยียดแขน คู้แขน เหลียวหน้า เหลียวหลัง ปกติคนทั่ว ๆ ไปจะไม่รู้ถึงอาการเหล่านี้ เป็นการทำไปโดยอัตโนมัติ แต่คนที่ฝึกสติปัฏฐานมา จะรับรู้อาการทั้งหลายเหล่านี้โดยครบถ้วน

ก็จะไล่ไปลักษณะอย่างนี้จนกระทั่งท้ายสุด ไปดูในเรื่องว่าเมื่อถึงความตายจะมีลักษณะต่าง ๆ กัน ๙ อย่าง จะได้เห็นว่าซากศพที่ตายคือกายภายนอก แต่ผู้รู้คือจิตอยู่ภายใน ท้ายสุดท่านจะสรุปว่า เราไม่ควรจะยึดอะไร ๆ ทั้งหมดในโลกนี้ ฝึกสติไปเพื่อให้เห็นในสิ่งที่คนทั่ว ๆ ไปมองข้ามเมื่อรู้เห็นสมบูรณ์พร้อม สติตั้งอยู่เฉพาะหน้า ถ้ารัก โลภ โกรธ หลงเข้ามา จะได้รู้เท่าทันและป้องกันได้

เรื่องของเวทนาก็เหมือนกัน โดยปกติของเราแล้ว เมื่อสุขหรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์เกิดขึ้น เราจะไปยินดียินร้ายทันที โดยที่ไม่รู้ว่าการที่เรายินดีก็ทำให้ยึดติด ยินร้ายก็ทำให้ยึดติด ปล่อยวางอาจจะเป็นเพราะปล่อยวางได้ หรือเป็นเพราะความรังเกียจเลยหมางเมินไป ทำอย่างไรจิตใจของเราจึงจะไม่ยึดติดในทั้งสุขทั้งทุกข์ และความไม่สุขไม่ทุกข์เหล่านี้

ต้องค่อย ๆ ดูไปทีละอย่าง เพราะว่าในเรื่องมหาสติกล่าวถึงธรรมที่เป็นส่วนละเอียด ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องข้างในมากกว่าข้างนอก ถ้าไม่มีพื้นฐานการปฏิบัติมาในระดับหนึ่ง พอไปตอนท้าย ๆ จะไม่รู้เรื่องเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2015 เมื่อ 17:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #95  
เก่า 21-11-2015, 13:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อรูปฌานมีประโยชน์อย่างไรครับ ?
ตอบ : มีประโยชน์มหาศาลเลย แค่ได้ฌาน ๔ ก็เหลือเฟือที่จะตัดกิเลสแล้ว กำลังเพียงพอที่จะตัดกิเลส แต่ที่ฝึกอรูปฌานเพิ่มเพราะว่าสมัยก่อนมีบุคคลอยู่ส่วนหนึ่งที่แสวงหาความหลุดพ้น โดยเห็นว่าความทุกข์มีขึ้นเพราะมีรูปคือร่างกายนี้ แต่ไม่รู้วิธีในการละรูปที่แท้จริง ก็เลยละด้วยการทิ้งรูป กลายเป็นอรูปไป แต่ความจริงแล้วกำลังสมาธิเท่ากับฌาน ๔ นั่นเอง

ถือว่าเดินผิดทางก็ไม่ได้ เพราะว่าถ้ารู้ความจริงแล้ว อาศัยที่กำลังสูง มีการพลิกแพลง พยายามที่จะทิ้งรูปนี้มาอยู่แล้ว โอกาสที่จะหลุดพ้นก็มีมากกว่า


ถาม : อรูปฌานกำลังเท่ากับฌาน ๔ ?
ตอบ : กำลังเท่ากับฌาน ๔ ถ้าไม่ได้ฌาน ๔ จะทำอรูปฌานไม่ได้ คำว่าทำไม่ได้ คือทำไม่สำเร็จ อาจจะได้ในเบื้องต้นนิด ๆ หน่อย ๆ ในลักษณะน้อมจิตคิดตามไป แต่ว่ากำลังไม่ถึงพอ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อย่างเช่นว่าถ้าเกิดเวทนาขึ้นกับร่างกาย คนที่ได้อรูปฌานจะทิ้งร่างกาย ไม่สนใจ ปวดก็เหมือนไม่ปวด เจ็บก็เหมือนไม่เจ็บ หมออยากรักษาก็รักษาไป หายก็หาย ไม่หายก็ช่างมัน

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อยู่ที่ว่าเวทนาพอไหม ? ถ้าเวทนามากพอ บีบคั้นหนักก็ตาย แต่ว่าเราสามารถที่จะทิ้งเวทนาได้ คือเบียดเบียนเราไม่ได้ เพราะเขาไม่ใส่ใจในร่างกายนี้อยู่แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2015 เมื่อ 16:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 135 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #96  
เก่า 21-11-2015, 13:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนที่เราตายแล้ว เราก็จะไปตามกำลัง ?
ตอบ : ไปตามกำลังนั้น ยกเว้นว่าเราใช้กำลังนั้นไปในทางอื่นแทน โดยเฉพาะบุคคลที่ฝึกมาด้วยความคล่องตัวแล้ว ถึงเวลาจะรู้ว่าตัวเองจะตายในระหว่างฌานไหน ถ้าบุคคลที่ไม่คล่องตัวก็ไปตามกำลังที่ตัวเองได้ เหมือนอย่างกับคนรู้ว่าทางนี้เป็นทางที่ถูก ทางแยกมีหลายทาง แต่คนเคยเดินด้านนี้เป็นประจำก็เดินไปทางด้านนี้ ซึ่งอาจจะไปถึงแค่พรหมชั้นที่ ๑ - ๒ - ๓ อีกคนชำนาญด้านนี้เดินไปทางด้านนี้อาจไปถึงพรหมชั้นที่ ๔ - ๕ - ๖ บุคคลที่รู้ทางจริง ๆ อาศัยกำลังเดินไปในทางที่ถูกก็สามารถหลุดพ้นได้

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : พิจารณาให้เห็นจริงว่าคุณกลัวหรือไม่กลัวก็ตายแน่ การที่เรากลัวตาย ส่วนใหญ่ก็เกิดจากความไม่พร้อม ความไม่พร้อมในที่นี้คือไม่พร้อมทั้งหมด ในเรื่องของทาน ของศีล ของภาวนา ถ้าเรามีการเตรียมพร้อม มีการพิจารณาให้เห็นว่าธรรมดาเป็นอย่างนี้ ทุกคนเกิดมาต้องการหรือไม่ต้องการก็ตายแน่ แต่ถ้าหากว่าเราตายในลักษณะของคนที่มีปัญญา คือต้องรู้จักเตรียมพร้อม คนที่เตรียมพร้อมก็เหมือนกับคนที่เตรียมตัวฟิตซ้อมอ่านหนังสือมาเต็มที่ ถึงเวลาเข้าสอบก็ไม่มีอะไรหวั่นไหว แต่คนที่ไม่พร้อม หนังสือหนังหาไม่อ่านเลย ก่อนจะเข้าสนามสอบก็เครียดไป ๗ วัน ๘ วัน ความเครียดก็คือกลัว

ดูให้เห็นจริง ๆ ว่าคุณกลัวหรือไม่กลัวก็ตายแน่ แต่จริง ๆ ความตายไม่มีอะไรน่ากลัว เป็นการเปลี่ยนรูป เปลี่ยนขันธ์ไปตามบุญตามบาปที่เราสร้างมาเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2015 เมื่อ 16:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #97  
เก่า 21-11-2015, 13:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การตัดกิเลสต้องใช้กำลังของฌานสี่หรือครับ ?
ตอบ : ปฐมฌานก็ตัดกิเลสบางส่วนได้แล้ว

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ก็คือฌาน ๔ นั่นแหละ เพียงแต่ว่าบุคคลที่มีความคล่องตัว สามารถจะแยกตอนท้ายออกมาว่าในระหว่างอุเบกขาและเอกัคคตายังมีระดับที่แยกออกได้อยู่ ถ้าคนไม่ละเอียดก็แยกไม่ได้ เหมือนบันไดสองขั้น ถือเป็นขั้นเดียวก็ก้าวข้ามไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2015 เมื่อ 16:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #98  
เก่า 21-11-2015, 13:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระโพธิสัตว์เป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ท่านยังติดภารกิจอยู่ ในเมื่อใจยังติดภารกิจอยู่ ยังไม่สามารถที่จะหลุดพ้นได้

ถาม : เป็นเพราะว่าพระนิพพานเป็นเป้าหมายระยะสั้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต่อให้มีพระนิพพานเป็นที่หมาย แต่ใจท่านยังห่วงงานที่ได้ตั้งใจจะมาทำ

ถาม : เทียบเท่ากับพระอริยเจ้าไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากศึกษาอารมณ์พระอริยเจ้า จะสามารถทำได้เทียบเท่าหรือละเอียดกว่า แต่กำลังใจสุดท้ายจะไม่ตัดจริง ๆ

ถาม : ถ้ากำลังใจของท่านเทียบเท่าได้กับพระอนาคามีแล้ว จะลดลงมาได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : กำลังใจของพระโพธิสัตว์สามารถลดได้เสมอ ขึ้น ๆ ลง ๆ พูดง่าย ๆ คือว่าต้องมีความระมัดระวังที่จะรักษาอยู่เป็นปกติ ก็คือเหนื่อยยากกว่าพระอริยเจ้า เพราะพระอริยเจ้าท่านได้แล้วได้เลย

สมมติว่าพระโสดาบันท่านสร้างบ้านอยู่บนหน้าผาสูง ๑๐ เมตร พอท่านเข้าบ้านไป ท่านก็นอนสบาย ส่วนเราตะกายหน้าผาขึ้นไป ๑๐ เมตร ไม่มีที่พักเลย ถ้าไม่เพียรออกแรงเกาะเอาไว้ก็ร่วง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2015 เมื่อ 16:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #99  
เก่า 21-11-2015, 13:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แล้วที่ว่าพระโพธิสัตว์สามารถจะทรงปัญญาได้เท่ากับพระอริยเจ้า ?
ตอบ : สามารถเข้าถึงอารมณ์ได้เหมือนพระอริยเจ้าแต่กำลังใจไม่ตัด เหมือนกับว่าเราเดินเข้าไปในบ้านหลังนี้ สำรวจจนรู้ทั่วทุกซอกทุกมุมแล้ว แต่ยังไม่อยู่บ้านหลังนี้ ถึงเวลาก็ออกจากบ้าน เดินทางของเราต่อไป

เป็นการเข้าถึงเหมือนอย่างกับเห็น แต่ยังไขว่คว้ามาไม่ได้เพราะไม่มีสิทธิ์ เนื่องจากตัวเองเป็นคนจำกัดสิทธิ์ของตัวเองไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2015 เมื่อ 16:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #100  
เก่า 21-11-2015, 13:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การเป็นพระโพธิสัตว์จะต้องเป็นมนุษย์เพื่อที่จะได้สร้างบารมีได้ง่ายหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะเป็นมนุษย์ จะเป็นสัตว์อะไรก็ตาม ก็สามารถสร้างบารมีได้ เป็นที่สังเกตได้ง่าย ๆ ว่า พระโพธิสัตว์ไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์ จะเป็นผู้นำเสมอ ถ้าสร้างบารมีมาน้อย ก็เป็นผู้นำในหน่วยงานเล็ก ๆ ถ้าสร้างบารมีมามากก็เป็นผู้นำในหน่วยงานที่ใหญ่ขึ้น ถ้าอยู่ระดับอุปบารมีขั้นปลายจะเป็นผู้นำประเทศไปเลย ถ้าหากว่าเป็นสัตว์ก็เป็นจ่าโขลง จ่าฝูง อะไรประมาณนั้น

เขามีกติกาอยู่ว่า พระโพธิสัตว์ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์หรือสัตว์ก็ตาม จะมีอัตภาพไม่เล็กไปกว่านกกระจาบ ไม่ใหญ่ไปกว่าช้าง เล็กเกินไปช่วงอายุสั้น สร้างบารมีไม่ทันก็ตายแล้ว ใหญ่เกินไปช่วงอายุยืนนาน ก็ลำบากในการสร้างบารมีในชาติต่อไป เพราะในแต่ละชาติอาจจะได้ทำงานอย่างเดียว อย่างต้น ๆ กัปอายุเกินแสนปี สัตว์ก็น่าจะอายุยืนใกล้เคียงนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2015 เมื่อ 16:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:37



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว