กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 03-07-2012, 12:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕

พระอาจารย์กล่าวว่า "อานิสงส์การสร้างพระ คือ พุทธะปูชา มหาเตชะวันโต การบูชาพระพุทธเจ้าจะมีเดชมีอำนาจ เกิดใหม่เมื่อไรก็เป็นผู้นำเขา อีกส่วนหนึ่งท่านบอกว่า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าไม่สามารถจะประมาณได้ ก็แปลว่ามีอานิสงส์ที่ไม่สามารถจะประมาณออกมาได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-07-2012 เมื่อ 15:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 298 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 03-07-2012, 12:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนอาตมานั่งรถแท็กซี่ เกือบจะมาไม่ถึงบ้านวิริยบารมีแล้ว เพราะเงินหมด แถมยังทำเป็นใจใหญ่ ค่าแท็กซี่ ๒๙๓ บาท แต่จ่ายให้เขา ๓๐๐ บาทเลย เขาไม่รู้หรอกว่าอาตมาเหลือติดตัวอยู่แค่อีก ๔๐ บาท พอสอนหนังสือเสร็จเดินออกมา มีสาวคนหนึ่งเดินมาขอเงินกินข้าว ๒๐ บาท อาตมาบอกว่า "จะไปพอกินอะไร เอาไป ๔๐ บาทเลย"

เวลาคนอื่นมาขออะไรเรา ทางที่ดีที่สุดก็คือ อย่าไปเสียเวลาระแวงสงสัย ให้คิดว่าเป็นบุญลาภอันใหญ่ของเราแล้ว ที่จะได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอนในการตัดความโลภ เพราะฉะนั้น..อาตมาจะไม่สนใจเรื่องอื่น เอ็งรีบเอาไปเลย ให้โดยเร็วที่สุด และให้เยอะที่สุดเท่าที่มี พอถึงเวลาถ้าจำเป็นต้องเกิดใหม่ อานิสงส์ตรงนี้จะทำให้ตอนที่ได้เราจะได้มากจนเบื่อ ระยะนี้อาตมาเบื่อสุด ๆ เวลาที่คนเขาเอาสารพัดของมาให้ ก็เพราะทำบุญลักษณะนี้เป็นประจำ

บางทีอยู่ ๆ มอเตอร์ไซค์วิ่งพรวดมาจอดหน้ากุฏิ “หลวงพ่อขอเงินเติมน้ำมันร้อยหนึ่ง” อาตมาก็ควักให้เขาดู "ทั้งตัวมีอยู่ ๑๒๐ บาท เอ็งเอาไป ๑๐๐ ก็แลัวกัน" ตัดใจให้จริง ๆ พวกนี้มีมาสารพัดรูปแบบเลย แต่ว่าถ้าเราให้ได้ ก็ให้เขาไปเลย ถ้าหากว่าเรามีไม่พอ ก็ให้เขาแค่ที่มี ถ้ามีพอก็ให้เกินกว่าที่เขาขอ ทำอย่างนั้นแหละแล้วจะเจริญ เพราะเขาจะมาขอเรื่อย ๆ...(หัวเราะ)..."
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-07-2012 เมื่อ 15:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 302 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 03-07-2012, 13:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีหลวงตารูปหนึ่งที่วัดมาขอลาสิกขา หลังจากทำพิธีกรรมเสร็จ พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงตาท่านบวชมาแล้วตั้งใจปฏิบัติ พร้อมกับศึกษาเล่าเรียน ท่านอายุมากแต่สอบจนได้นักธรรมเอก ซึ่งส่วนใหญ่คนอายุมากแล้วสมองจะไม่ค่อยไหว คราวนี้ท่านเป็นโรคเบาหวาน ต้องมีคนดูแลอยู่ตลอด ท่านก็เลยไม่สะดวก ขอสึกกลับบ้านไปให้ลูกหลานดูแล เพราะพระเราด้วยกันดูแล อย่างไรก็ไม่เหมือนกับลูกหลานของตัวเองดูแล

เราจะเห็นว่าการสึกหลวงตาเมื่อครู่นี้ จะมีพิธีกรรม ๒ อย่างที่ลืมไม่ได้เลย อย่างแรกคือการแสดงคืนอาบัติ เท่ากับเป็นการชำระศีลของตนเองให้บริสุทธิ์ก่อน จะได้สึกในสภาพภิกษุที่มีศีลสมบูรณ์พร้อม ข้อที่ ๒ ก็คือการขอขมาพระ การอยู่ร่วมกันในคณะสงฆ์อาจมีการกระทบกระทั่งกันด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจบ้าง ก็ให้ขอขมากันก่อน อาตมาเป็นตัวแทนสงฆ์ เดี๋ยวกลับไปจะต้องแจ้งให้คณะสงฆ์ทราบ

เวลาที่พระสึก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้อธิษฐานว่า บุญเนกขัมมบารมีที่เราสร้างมาทั้งหมดในการบวชครั้งนี้ เราตั้งความปรารถนาอะไรก็ให้ขออย่างเดียว ถ้าหากว่าเป็นอาจารย์สมัยโบราณ อย่างหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก ลูกศิษย์ไปขอสึก ท่านถามว่า “จะเอาเมียหรือจะขโมยควาย ?” ถ้าอยากได้เมีย ท่านเป่าหัวให้ สึกออกไปได้เมียแน่ ถ้าหากว่าอยากเป็นโจรขโมยควาย ท่านจะแถมเชือกให้ขดหนึ่ง ลูกศิษย์ก็นักเลงพอนะ บางคนจะไปเป็นโจรขโมยควายจริง ๆ เพราะมั่นใจว่าหาเมียเองได้ ไม่ต้องพึ่งหลวงพ่อหรอก ไปขโมยควายดีกว่า..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-07-2012 เมื่อ 16:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 281 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 03-07-2012, 14:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีคนเอาหนังสือหลวงปู่จันทามาถวาย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "หลวงปู่จันทาไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ท่านอยากบวชมาก ท่านจึงใช้การต่อหนังสือ คำว่า "ต่อหนังสือ" ก็คือ ให้คนอื่นเขาบอกคำขานนาค แล้วท่านก็จำเอาทีละประโยค ๆ ใช้เวลา ๘ เดือนถึงได้บวช ถ้าเป็นคนสมัยนี้อยู่วัด ๘ วันก็จะบ้าตายแล้ว แต่ท่านตั้งใจบวชจริง ๆ พยายามต่อหนังสืออยู่ ๘ เดือน กว่าจะท่องคำขานนาคได้ครบ

ถ้าหากว่าเรียนดนตรี เขาใช้คำว่า "ต่อเพลง" ครูเพลงจะเล่นเพลงให้ฟังครั้งหนึ่ง แล้วลูกศิษย์ก็จำ แล้วก็เล่นตาม ต่อเพลงกันไปเรื่อยจนกว่าจะครบทั้งเพลง"

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-07-2012 เมื่อ 16:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 284 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 04-07-2012, 20:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์พูดถึงการขนแบบหล่อพระสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๒๑ ศอกว่า "ใครมีรถพ่วงให้เช่าสัก ๒ คันไหม ? วิ่งจากทองผาภูมิไปจังหวัดศรีสะเกษ ขนแบบพระไปให้วัดโนนผึ้งเขาหน่อย นี่เป็นมารยาทในการสร้างพระรุ่นนี้ คือใครที่สร้างพระรุ่นนี้เสร็จแล้ว จะต้องออกค่าขนส่งแบบไปให้วัดต่อไป พอวัดนั้นสร้างเสร็จก็ต้องออกค่าขนส่งไปให้วัดอื่นต่อไปอีก

ทั้งแบบพระและเครื่องไม้เครื่องมือรวมนั่งร้าน เต็ม ๒ คันรถพ่วง ก็คือ ๔ คันรถสิบล้อ ตอนนี้กำลังถามร้านขายวัสดุก่อสร้างอยู่ว่า จะสละเวลาให้สัก ๒ วันได้ไหม ? จะขอเช่ารถหน่อย

ช่างทำพระชุดนี้เขาเป็นมืออาชีพจริง ๆ กินนอนอยู่หน้างาน
เลย ทางวัดของเราต้องให้แม่ชีทำอาหารไปส่ง เฉพาะพระที่มาช่วยสร้างก็ ๒๐ รูป แล้วเขาก็วิ่งไปวิ่งมาอยู่กับขบวนนี้ รับสร้างพระทั่วประเทศ ตอนนี้สร้างไป ๒๐ องค์แล้ว ความจริงคิวของวัดท่าขนุนเป็นอีก ๒ ปีข้างหน้า แต่ธรรมะจัดสรร วัดทางด้านอุดรธานีเขาไม่พร้อม แต่คิวลงตัวแล้ว ถ้าไปแทรกคิวลัดให้วัดอื่น ก็เกรงว่าวัดอื่นจะรับไม่ทัน แต่วัดท่าขนุนไม่เกี่ยง เตรียมตัวทันอยู่แล้ว คุณลัดให้ผมเร็วขึ้นได้เท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น

วันแรกก็ขลุกขลักนิดหน่อย เพราะเขานัดว่าจะมาถึงวันที่ ๒๖ ปรากฏว่ามาวันเป่ายันต์เกราะเพชรพอดีเลย เมื่อเป็นวันเป่ายันต์ฯ งานจึงเต็มไม้เต็มมือ หาคนไปขนแบบพระลงได้ยาก ยังโชคดีที่โยมและพระจำนวนหนึ่งออกไปช่วย เขาบอกว่าไม่นึกว่าคนจะมากขนาดนั้น คิดว่าลงแบบกันเป็นวัน เพราะของ ๔ คันรถสิบล้อ ปรากฏว่าพวกเราไปมะรุมมะตุ้มช่วยกัน แค่ประมาณ ๒ ชั่วโมงก็เสร็จแล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-07-2012 เมื่อ 15:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 275 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 04-07-2012, 21:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จากที่หนูมีอารมณ์โดนกระทบ ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เป็นเรื่องคนอื่นที่เราเห็นอยู่ในเหตุการณ์แล้วกระทบใจเรา ทำให้อารมณ์เกิดขึ้นในขณะนั้นคือปีติร้องไห้ แล้วเราก็เห็นว่า ที่เราเห็นนั้นไม่ได้เป็นคน เราเห็นเป็นดวงจิตซึ่งมีความทุกข์ แล้วเราก็คิดขึ้นมาว่า เราไม่อยากเกิดให้มีทุกข์อย่างนี้อีก ?
ตอบ : ก็ถูกแล้วนี่จ๊ะ หลักการปฏิบัติท้ายสุดต้องโอปนยิโก น้อมเข้ามาที่ตัวของเรา เห็นเขาทุกข์ก็รู้ว่าเราก็ทุกข์ด้วย แล้วเราต้องการความทุกข์เช่นนั้นไหม ? ถ้าไม่ต้องการความทุกข์เช่นนั้น มีทางเดียวก็คือ ต้องไม่เกิดอีก การที่เราจะไม่เกิดได้ก็คือต้องลุ้นไปพระนิพพานให้ได้

พอความรู้สึกอย่างนั้นเกิดขึ้น เรารู้ว่าเรามีช่องทางที่จะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ปีติจึงเกิด บางทีนั่งร้องไห้เป็นวัน ใครพูดถึงความดีอะไรไม่ได้ ได้ยินเมื่อไรน้ำตาร่วงหมด ถือว่าเป็นเรื่องปกติจ้ะ ปล่อยให้ปีติขึ้นเต็มที่เดี๋ยวก็จะเลิกไปเลย แต่ถ้าเราไปห้ามเอาไว้ ถึงเวลาก็มาอีก ไม่เลิกสักที ปีติต้องปล่อยเต็มที่ ถ้าเป็นอุเพ็งคาปีติก็ปล่อยดิ้นตึงตังโครมคราม หกคะเมนตีลังกาไปเลย เต็มที่เมื่อไรถึงจะเลิก ถ้าเราไปห้ามไว้ก็จะหยุดทันที แต่ถ้าหากว่ากำลังใจกระทบจุดนั้นเมื่อไรก็จะมาอีก เพราะฉะนั้น..เรื่องของปีติอย่าไปห้าม ปล่อยให้เต็มที่จนเลิกไปเอง ก้าวข้ามได้สมาธิก็จะทรงตัวเป็นฌานไปเลย


ถาม : พอใคร่ครวญในสิ่งที่ได้ร่ำเรียนมาจากครูบาอาจารย์เกี่ยวกับโพชฌงค์ ๗ ในขณะที่พิจารณาไตร่ตรอง ขณะนั้นดำเนินตามโพชฌงค์ด้วยไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : ทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้น เพียงแต่เรารู้ตัวหรือเปล่าเท่านั้น

ถาม : ในขณะตอนนั้นรู้ค่ะ แต่ว่าหลังกลับมาแล้วคิดทบทวนแล้ว...
ตอบ : องค์ของโพชฌงค์ทั้งหมดจะอยู่กับนักปฏิบัติ เพียงแต่ว่าตอนนั้นเรารู้ตัวหรือเปล่าเท่านั้นเองว่าเราทรงในโพชฌงค์อยู่ เพราะถ้าไม่มีโพชฌงค์ เรื่องการปฏิบัติเพื่อมรรคผลไม่ต้องไปคิดเลย แต่คราวนี้เราอย่าไปเสียเวลาไปคิดว่าอันนี้เป็นโพชฌงค์หรือไม่ มีหน้าที่ทำอย่างเดียวพอ

ถาม : ไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะไปอย่างไรหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจจ้ะ พยายามรักษาอารมณ์ใจของเราอยู่กับปัจจุบัน ทุกข์จะเหลือน้อยแค่สภาวทุกข์ทางร่างกายเฉย ๆ กำลังใจเราจดจ่ออยู่กับพระนิพพานเท่านั้น กาย วาจา ใจของเราทุกอย่างเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ ก็คือ จะไม่เป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น ไม่ว่าด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจของเรา

อย่างน้อยเราต้องมีศีล ๕ หรือกรรมบถ ๑๐ ทรงตัว มีความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ รู้ตัวอยู่เสมอว่าถ้าตายลงไปตอนนี้เราก็ขอไปพระนิพพาน ถ้ารักษากำลังใจไว้แค่นี้ได้ โพชฌงค์ ๗ ข้อ อยู่กับเราครบถ้วน


ถาม : ขอความเมตตาท่านแนะนำว่า ตอนนี้ลูกมีอะไรที่ต้องทำอีกบ้าง ?
ตอบ : ไม่มีอะไร กลับไปก็ปล่อยปีติให้เต็มที่ไปสักทีหนึ่ง ขอร้องไห้หนัก ๆ สักวันหนึ่ง พอก้าวข้ามไปคราวนี้สมาธิจะทรงตัว พอสมาธิเริ่มทรงตัว โอกาสที่เราจะสู้กับกิเลสก็มีมากขึ้น ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวกำลังของเราก็ยังสู้กิเลสไม่ได้

ถาม : แต่จริง ๆ ค่ะ หลังจากนั้น ๔-๕ วันได้ พอนึกถึงเหตุการณ์นั้นทีไร ก็จะเป็นแบบนี้ขึ้นมาทุกทีเลย
ตอบ : จ้ะ..ต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ไม่อย่างนั้นจะเป็นอย่างนั้นตลอด พอก้าวพ้นไปแล้ว ใจเราก็จะแน่วแน่มั่นคงในพระนิพพาน ไม่ไปไหนแล้ว ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนีแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2012 เมื่อ 01:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 235 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 04-07-2012, 21:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงงานเสาร์ห้าที่ผ่านมา มีญาติโยมหลายท่านขออนุญาตนำวัตถุมงคลไปเข้าพิธี อาตมาก็เข้าใจว่าเขาสร้างวัตถุมงคลมาแล้วเอาไปเข้าพิธี เพิ่งจะรู้ว่าเขาทำวัตถุมงคลในชื่อวัดท่าขนุน ซึ่งจะสร้างปัญหาให้วัดท่าขนุนทีหลังทุกครั้ง เพราะว่าพอเขาเห็นกล่องเขียนว่าวัดท่าขนุน ต่อไปเขาจะไปตามหาที่วัด ซึ่งอาตมาไม่มีให้ และโดนโยมเขาประท้วงมาตลอด เขาต้องการวัตถุมงคลรุ่นนั้นแล้วทำไมวัดบอกว่าไม่มี พอบอกว่าทางวัดไม่ได้สร้าง เขาก็ควักออกมาให้ดู กล่องเขียนไว้ชัด ๆ ว่าวัดท่าขนุน พุทธาภิเษกวันนั้นเวลานั้น

ดังนั้น..ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าใครขออนุญาตนำวัตถุมงคลไปเข้าพิธี ห้ามใช้ชื่อวัดท่าขนุน เพราะทำให้ทางวัดลำบากมาหลายต่อหลายงานแล้ว

ถ้าไปเจอวัดที่โหด ๆ หน่อย เขาฟ้องข้อหาหลอกลวงไปเลย เพราะทางวัดไม่ได้สร้าง แค่เอาไปร่วมเข้าพิธีเท่านั้น ให้บอกกับเขา
ไปชัด ๆ เลยว่าเราสร้าง แล้วไปขอเข้าพิธีที่วัดก็จบแล้ว ไม่ต้องไปใช้ชื่อวัดให้เสียเวลาหรอก ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ใครจะสร้างวัตถุมงคล ห้ามสร้างในชื่อวัดท่าขนุนอย่างเด็ดขาด แม้กระทั่งทุกครั้งที่ผ่านมา อาตมาก็ไม่ได้อนุญาต อาตมาอนุญาตแค่ให้นำวัตถุมงคลไปเข้าพิธี แต่เขาไปจัดการสร้างในชื่อวัดท่าขนุนเสร็จสรรพเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2012 เมื่อ 01:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 254 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 04-07-2012, 22:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าเรื่องความฝันให้ฟังว่า "เมื่อคืนอาตมาทำหนังสือดึกไปหน่อย หลับไปแล้วนิมิตเห็นงู ตัวใหญ่กว่าเสาเรือนอีก ขำที่สุดก็คือ งูกำลังไล่กินคนกินสัตว์คนนั้นตัวนี้อยู่ พอมาถึงอาตมาก็จะกิน พอดีอาตมาเห็นที่หลบลักษณะเหมือนกับท่อน้ำซีเมนต์ ก็เลยเข้าไปอยู่ข้างใน พองูฉกมาก็มุดเข้าไปอยู่ข้างใน พองูถอยไปก็โผล่ออกมาดู สรุปแล้วงูกินไม่ได้ เป็นอะไรที่สนุกมาก เวลาเราไม่กลัวนี่สนุกดี..!

ปกติถ้าเจองูตัวใหญ่ขนาดนั้นก็จะกลัว แต่นี่ในฝันยังไม่กลัว แสดงว่ากำลังใจจริง ๆ จะต้องมั่นคงพอ ความฝันเป็นเครื่องวัดกำลังใจปัจจุบันของเราได้ดี ถ้าหากในฝันเรามีโอกาสละเมิดศีลละเมิดธรรม แล้วเราประคับประคองไม่ไปละเมิดศีลธรรมได้ แปลว่ากำลังใจเราอยู่ในด้านดีกว่า ถ้าหากว่าเจอในสิ่งที่น่ากลัว สามารถนึกถึงพระ นึกถึงความดีได้ ก็แปลว่ากำลังใจเราอยู่ในด้านดีมากกว่า เพราะฉะนั้น..อาตมาไม่ได้เอาความฝันมาเป็นอารมณ์ นอกจากเอามาวัดกำลังใจในการปฏิบัติ

ในฝันหรือว่าในชีวิตจริงส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น ก็คือไม่ได้เป็นเรื่องที่อาตมาหามาหรอก ในฝันสังเกตว่าบ่อน้ำใหญ่บ่อนั้น มีแต่รอยเดินลง ไม่มีรอยเดินขึ้น แล้วรอยที่กว้างเป็นเรือชะล่า มีแต่รอยลงไปอย่างเดียว อาตมาก็เตือนคนอื่นว่าอย่าลงไป พวกนั้นก็ดื้อ หิวน้ำ..จะลงไปกินให้ได้ พอวักน้ำเท่านั้นเอง งูโผล่พรวดขึ้นมา คราวนี้ก็ตัวใครตัวมันเถอะ เราได้เตือนคุณแล้ว ห้ามแล้วยังดื้ออีกก็สมควรโดน..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2012 เมื่อ 02:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 253 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 04-07-2012, 23:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ในชีวิตอาตมา เจองูสัมผัสใกล้ชิดชนิดที่มารัดตัวเองเลย ความรู้สึกบอกว่าตัวใหญ่ประมาณกระติกน้ำ กระติกน้ำธุดงค์ของอาตมาเป็นกระติกขนาด ๒ ลิตรครึ่ง เพราะฉะนั้นจะใหญ่หน่อย แต่ปรากฏว่าตอนหลังพระท่านมาบอกว่า งูตัวนี้ใหญ่กว่าถังสังฆทานอีก..!

เหตุที่อาตมาไม่รู้ว่าตัวใหญ่แค่ไหน เพราะเขามาตอนดึก ๕ ทุ่มกว่า เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว มืดมาก..อาตมาตื่นขึ้นมาก็ไปปัสสาวะที่นอกถ้ำแล้วกลับมาที่กุฏิ พวกกะเหรี่ยงเขาสร้างกุฏิเล็ก ๆ ให้อาศัยอยู่ กางกลดออกมาก็เต็มกุฏิพอดี กว้างไม่น่าจะเกิน ๑.๘๐ เมตร พออาตมาเข้ามาที่กุฏิ ความรู้สึกบอกว่า 'ปิดประตูเสีย งูใหญ่จะมา' บอกชัด ๆ เหมือนคนพูดข้างหูเลย แหม..กำลังภาวนาเพลิน ๆ ขี้เกียจขยับ ก็เลยไม่สนใจ ปล่อยไป

สักพักเดียวเท่านั้นเอง งูยื่นหัวเข้ามาทางประตู ดันมุ้งกลดยวบยาบ ๆ อาตมานอนอยู่ เขาก็เลยวนรอบ รอบที่ ๑ รอบที่ ๒ ลองคิดดูว่างูตัวยาวแค่ไหน ? อาตมาสูง ๑๗๒ เซนติเมตร นี่งูวน ๒ รอบแล้วความยาวยังไม่หมดเลย พอรอบที่ ๒ เสร็จงูก็ยกหัวขึ้นมาแบบหายใจรดหน้า รู้สึกเลยว่าลิ้นงูเฉียดไปเฉียดมาอยู่ใกล้ ๆ หน้า ถ้าไม่มีกลดก็คงถูกงูเลียหน้าเล่นไปแล้ว

อาตมาก็ได้แต่บอกในใจว่า ไม่อร่อยหรอก อย่ากินเลย ถามว่ากลัวไหม ? ก็ไม่กลัวนะ..แต่อาตมานอนตัวแข็งทื่อกระดิกไม่ได้..(หัวเราะ)..นี่เรื่องเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว ครั้งนั้นโชคดี เพราะใคร ๆ ก็บอกว่าถ้าตกใจลุกขึ้นโดนรัดแน่ แต่อาตมานอนอยู่งูจึงรัดไม่ได้ ได้แต่แลบลิ้นเลีย ๆ พอเห็นว่าไม่กระดิกกระเดี้ยก็อาจจะคิดว่าตายแล้ว เลยไม่สนใจ คลายออกแล้วก็เลื้อยออกหน้าถ้ำ ไปส่งเสียงร้องอยู่หน้าถ้ำ

เสียงงูร้องนี่บอกไม่ถูก สะเทือนไปถึงแก้วหูไม่พอ ยังสะเทือนไปถึงในอกด้วย อาจจะเป็นเพราะว่าตัวใหญ่ ใครเคยได้ยินเสียงงูร้องบ้าง ฟังครั้งเดียวจะจำได้ตลอดชีวิตเลย บางคนเรียกงูเห่าปี่แก้ว เสียงร้องวี้ด ๆ ยาวเชียว บางคนก็คิดว่าเป็นตัวแมลงอะไรร้อง พอหาดูไปเจองูร้องอยู่บนกิ่งไม้ แต่เจ้าตัวนี้ใหญ่จัด เสียงจึงดังสนั่นสะเทือนเข้าไปในอกเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2012 เมื่อ 02:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 251 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 04-07-2012, 23:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"คราวนี้ไปเล่าให้พระที่เจอกันตอนธุดงค์ฟัง บอกว่างูตัวประมาณกระติกน้ำธุดงค์ของอาตมา พระมอญชื่อจันทิมา ท่านบอกว่า “ไม่ใช่ครับอาจารย์ ถังสังฆทานดี ๆ นี่เอง” อาตมาถามว่า "คุณเคยเจอหรือ ?" “เจอครับ..นอนขวางทางอยู่ สงสัยไปหากินมาอิ่มแล้วก็เลยนอนหลับ ผมเดินตามเกล็ดไปตั้งไกลกว่าจะพ้นปลายหางได้”

"แล้วทำไมไม่ก้าวข้ามเลย ?" “ใหญ่มากครับ กลัวว่าก้าวข้ามไม่พ้นแล้วไปสะดุดเข้า ผมคงตายคาที่ตรงนั้นแหละ..!” "ทำไมต้องเดินตามเกล็ดด้วย ?" “เดินย้อนเกล็ดก็เจอหัวงูสิครับ”
เขาเก่งกว่า ถ้าเป็นอาตมาคิดไม่ถึงหรอก เดินส่งเดชไปเรื่อยแหละ เขายังมีสติว่าต้องเดินตามเกล็ดจึงจะไปทางหาง ถ้าเดินย้อนเกล็ดจะไปทางหัว สรุปแล้วอาตมามีพระจันทิมาเป็นพยานว่า งูใหญ่ขนาดนั้นมีจริง ๆ ใหญ่ขนาดที่พระไม่กล้าก้าวข้าม กลัวจะไปสะดุดเข้า

เรื่องของการฝันถึงงู ตำราทำนายฝันบางทีท่านตีความว่า เป็นกิเลสหรือความชั่วในใจของเราเอง ตำรานี้น่าจะมาจากฝรั่ง ที่เขาสรุปว่างูก็คือตัวชั่วร้ายที่มายุให้อดัมกับอีฟเข้าไปกินแอปเปิ้ลในสวนอีเดนเข้าไป แล้วก็เลยทำให้มนุษย์มีแต่ความทุกข์"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-07-2012 เมื่อ 15:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 240 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 05-07-2012, 11:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถ้าเราดูในอัคคัญญสูตร พระพุทธเจ้าตรัสกับสามเณรวาเสฏฐะและสามเณรภารทวาชะ เกี่ยวกับกำเนิดของโลก อย่าลืมว่าแม้แต่อาภัสราพรหม ซึ่งเป็นพรหมชั้นที่ ๖ เวลาได้กลิ่นง้วนดินที่หอมมาก ยังทนไม่ไหว ต้องลงมาลองชิมดู ขนาดอาภัสราพรหมกิเลสยังหลอกให้กิน จนกระทั่งเหาะกลับไม่ได้ เพราะกินของหยาบเข้าไป กายทิพย์ก็เลยหยาบขึ้น พอน้ำหนักมากเหาะไม่ขึ้น ก็เลยกลายเป็นต้นกำเนิดมนุษย์ไป

เพราะฉะนั้น..เรื่องอดัมกับอีฟ ที่ว่าโดนหลอกให้กินแอปเปิ้ลในสวนอีเดนก็ลักษณะเดียวกัน บุคคลที่พ่ายแพ้ต่อกิเลสรัก โลภ โกรธ หลง ที่มากระตุ้นเร้า ทำให้ทำผิดพลาด ก็เลยกลายเป็นว่าบรรพบุรุษของมนุษย์ทางฝ่ายคริสต์ก็กินแอปเปิ้ลเข้าไป บรรพบุรุษมนุษย์ทางฝ่ายพุทธของเราก็กินง้วนดินเข้าไป

เราสามารถที่จะคืนสู่สภาพเดิมได้ก็ด้วยการฝึกจิต เพราะสภาพร่างกายเป็นวัตถุธาตุที่ยืมโลกมาใช้ คือ เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ในเมื่อยืมสมบัติของโลกมาใช้ สภาพของร่างกายจึงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่สามารถยึดถือเป็นตัวตนได้ วิธีจะหลุดพ้นมีทางเดียวก็คือต้องไปด้วยจิต ในเมื่อไปด้วยจิต วิธีการเน้นฝึกจิตของเรา พระพุทธเจ้าท่านก็สอนแล้ว รักษาศีลให้บริสุทธิ์ รักษาศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์ไม่พอ ห้ามยุคนอื่นเขาละเมิด แล้วก็ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นเขาละเมิดศีลด้วย แล้วก็ตั้งใจปฏิบัติในสมาธิภาวนา ตั้งเป้าหมายแน่วแน่อยู่ว่า ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพาน

ปฏิบัติสมาธิภาวนาก็ปฏิบัติอย่างคนปฏิบัติเป็น ก็คือรักษาอารมณ์ใจให้รู้อยู่กับปัจจุบัน ถ้ารู้อยู่ในปัจจุบัน จิตไม่ฟุ้งไปในอดีต ไม่ฟุ้งไปในอนาคต ความทุกข์จะมีน้อยมาก สติจะรู้เท่าทันอยู่เฉพาะหน้า กิเลสรัก โลภ โกรธ หลงจะเข้ามากินเราไม่ได้ อันนั้นเป็นขั้นต้น แล้วหลังจากนั้นพอปัญญามากขึ้น เราก็เอาไปใช้ในการหาช่องทาง ว่าจะละรัก โลภ โกรธ หลงอย่างไร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2012 เมื่อ 12:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 05-07-2012, 12:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนภาวนาแล้วรู้สึกว่าเจ็บตรงกลางหน้าผากค่ะ พอเจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกว่าถอยดีกว่า แต่ความจริงแล้วไม่ควรถอยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เพราะเราไปวางกำลังใจอยู่จุดเดียว ต้องบอกว่าตรงส่วนนั้นเป็นจักระ คือแหล่งพลังงานอย่างหนึ่ง ถ้าว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ก็คือ ไฟฟ้าในร่างกายคน ไฟฟ้าจากสมอง ไฟฟ้าจากส่วนอื่นของร่างกาย ไปรวมศูนย์อยู่ตรงจุดนั้น จะเกิดพลังไฟฟ้าสถิตมากขึ้น ๆ ถ้าหากว่ารู้สึกจะไม่ไหว ยกมือขยี้ ๆ หน่อยก็ได้ ถ้ามีถ่านไฟฉายอยู่ เอาก้นถ่านไฟฉายแปะหน้าผากทีเดียวก็หายแล้ว ไฟฟ้าจะไปอยู่ในถ่านไฟฉายแทน

ถาม : แต่ถ้าเราฝืนต่อไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : บางทีก็เป็นเหมือนกันนะ เพราะจะเครียด แล้วก็ปวดหัว

ถาม : ตอนภาวนาแล้วหลุดออกไป จะไปท่านอนทุกทีเลยค่ะ พยายามให้ไปท่านั่งแต่ไม่ยอมไป ?
ตอบ : เคยชินอย่างไรจะไปอย่างนั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงต้องพิงตุ่มถึงไปได้ เพราะฉะนั้น..เรานอนไปสบายกว่า นั่งไปบางทีก็ไม่สบายเหมือนนอนหรอก เราก็นอนต่อไปเถอะ ถ้าเกิดไปสัก ๕-๖ ชั่วโมง อย่างน้อย ๆ ร่างกายก็ไม่ลำบากมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 02-09-2014 เมื่อ 22:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 05-07-2012, 12:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บังเอิญได้ยินคนอื่นเขาว่า ยันต์เกราะเพชรถ้ารับไปจะค้าขายไม่ดี กลัวจะโดนบังหมดค่ะ ?
ตอบ : คนละเรื่องเดียวกันเลย ยันต์เกราะเพชรเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ท่านมีพระนามหนึ่งว่าภะคะวา เป็นผู้มีโชคอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น..ถ้าอาราธนาเป็นจะค้าขายดีเสียด้วยซ้ำไป

สมัยก่อนที่หลวงพ่อวัดท่าซุงจะได้พระคาถาเงินล้านมา คาถามหาลาภของหลวงพ่อคืออิติปิ โสฯ ก็คือบทสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าเวลาออกบิณฑบาตนี่ไหลมาเทมา กำลังใจของเรา..ถ้าคิดจะให้ไปด้านไหนก็จะเป็นไปด้านนั้น คราวนี้ท่านคิดจะให้ไปด้านลาภผลก็เป็นลาภผลเต็มที่ เพราะกำลังใจทรงตัว เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปกังวลนะจ๊ะ ถ้าอาราธนาเป็นจะรวยด้วย

เขาว่ายันต์เกราะเพชรถ้ารับไปเดี๋ยวค้าขายไม่ดี กลัวจะโดนบังหมด เราก็อธิษฐานขอให้บังส่วนที่ไม่ดี แล้วก็เลือกรับแต่ส่วนที่ดี ๆ สิ แสดงว่าคนพูดนั่นยังใช้งานไม่เป็น..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2012 เมื่อ 15:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 05-07-2012, 12:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนพิธีพุทธาภิเษก เอาของไปเข้าพิธีที่เขาจัดไว้ให้ แต่ตอนเป่ายันต์เกราะเพชรเราเอาออกมาไว้ที่ตัวก่อน ไม่ทราบว่าของเราจะได้รับการเสกด้วยหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในพิธีพุทธาภิเษกนี่เขาบังคับให้นะ ปกติเป่ายันต์เกราะเพชรเป็นการพุทธาภิเษกวัตถุมงคลไปในตัวอยู่แล้ว บารมีที่พระท่านคลุมลงมา ถ้าตั้งใจรับอยู่คนละจักรวาลยังได้เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2012 เมื่อ 15:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 228 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 05-07-2012, 12:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เอาพระปิดตาองค์ละ ๕,๐๐๐ บาท ไปเลี่ยมกรอบที่ร้าน ทันทีที่วางมีคนอื่นคว้าไปดูเลยค่ะ ?!!
ตอบ : นั่งเฝ้าดีที่สุด อาตมาเอาสมเด็จคำข้าวรุ่นพิเศษที่บรรจุพระธาตุของวัดท่าซุงไปเลี่ยม กลับมาพระธาตุ ๕ องค์เหลือ ๓ องค์ หายไป ๒ องค์ คิดดูแล้วกัน เผลอหน่อยเดียวแอบสะกิดเอาไปดื้อ ๆ

ถาม : ถ้าไม่ได้เข้ากรอบแต่ยังอยู่ในถุง พระสีจะเปลี่ยนไหมคะ ?
ตอบ : จะอยู่ได้ระยะหนึ่ง อย่างเนื้อเงินอยู่ได้เป็นปี เพราะเรามีการเคลือบด้วยไฟฟ้า เพื่อให้ออกซิเจนทำปฏิกิริยากับเนื้อเงินได้ช้า แต่เนื้อนวโลหะนี่จะช้าจะเร็วก็ต้องดำ เพราะส่วนผสมอย่างหนึ่งก็คือเงิน และเป็นส่วนผสมเกือบจะมากที่สุดด้วย ผสมเงินไป ๘ บาท ทอง ๙ บาท เพราะฉะนั้น..เงินมากก็ดำเร็ว ถ้าจะไม่ให้ดำมีอย่างเดียวก็ขัดให้ลื่นเลย แล้วรีบอัดเข้ากรอบพลาสติกกันน้ำไว้ ถ้าอากาศเข้าไม่ได้ ทำปฏิกิริยาไม่ได้ ก็ไม่ดำ

ถาม : ที่ว่าขัดให้ลื่นนี่ใช้อะไรขัดคะ ?
ตอบ : เอาผ้านุ่ม ๆ เช็ดแล้วจะเงาเหมือนเดิม แต่ต้องรีบไปใส่กรอบ ความจริงสภาพเดิม ๆ ดีที่สุด เพราะโดยค่านิยมของพวกเล่นพระเครื่องกัน เขาจะเอาสภาพเดิม ๆ ถ้าไปเปลี่ยนแปลงราคาจะตกฮวบเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2012 เมื่อ 15:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 05-07-2012, 19:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำกรรมฐาน หนูรู้สึกว่า การกำหนดใจไว้ที่ฐาน.. (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อยู่ตรงไหนก็ได้ ไม่เอาสักฐานเลยก็ได้

ถาม : ถ้าเราเห็นแสงสว่าง ?
ตอบ : แสงสว่างเขาเรียกอุปกิเลส เป็นโอภาสในอุปกิเลส ถ้าเราไปสนใจอยู่ตรงนั้น การปฏิบัติจะไม่ก้าวหน้า คำว่าอุปปะ แปลว่าใกล้ เพราะฉะนั้น..อุปกิเลส คือ ใกล้จะเป็นกิเลส ถ้าเราไม่สนใจก็แค่ใกล้จะเป็นกิเลส ถ้าเราไปสนใจเมื่อไรจะเป็นกิเลสทันที

ถาม : คนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์นี่...
ตอบ : ทำให้ถึงเดี๋ยวรู้

ถาม : กำลังใจเป็นปรมัตถ์ ?
ตอบ : ถ้าขยันก็ใช้เวลาน้อย ถ้าขี้เกียจก็ใช้เวลามาก เป็นเรื่องปกติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2012 เมื่อ 19:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 05-07-2012, 19:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บทสวดธรรมจักร ในส่วนที่ท่านพูดถึงการพิจารณากิจในอริยสัจ ๔ พิจารณาอย่างไรครับ ? ขอความเมตตาช่วยอธิบายด้วยครับ ผมพยายามคิดตาม แต่คิดตามไม่ไปครับ
ตอบ : แล้วจะคิดไปทำซากอะไร ? การรู้ครบทุกเรื่อง เป็นเรื่องของคนที่จะไปเป็นครูเขา ในเมื่อเราไม่ได้เป็นครู รักจะเป็นนักเรียน รู้เรื่องทุกข์อย่างเดียวก็จบแล้ว ถ้าทุกข์แล้วยังไม่เข็ดอีกก็ไปเกิดเสียให้พอ

เรื่องของอริยสัจนั้นประกอบไปด้วย ทุกข์ ท่านบอกว่าทุกข์นั้นต้องใช้ปริญญา คือการกำหนดรู้ให้ชัดเจน จิตจะได้ยอมรับสภาพ สมุทัย คือสาเหตุของการเกิดทุกข์นั้น ท่านบอกว่าต้องใช้ปหานะ ก็คือ ตัดให้ขาดออกจากใจของเราให้ได้ นิโรธ คือทุกข์ดับหมดนั้น ท่านบอกว่าต้องใช้สัจฉิกิริยายะ ก็คือการที่ทำให้แจ้ง หมายความว่าถ้าไม่แจ้งก็จะดับทุกข์ไม่ได้
มรรค ท่านบอกว่าให้ภาวนา คือทำให้เจริญเข้าไว้

เพราะฉะนั้น..เรื่องของอริยสัจแต่ละหัวข้อ การที่เราจะปฏิบัติได้ก็ต้องใช้คนละอย่าง คนละวิธี แล้วคุณไปใช้วิธีเดียวกันหมดก็ไปไม่รอดสิ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 06-07-2012 เมื่อ 10:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 06-07-2012, 11:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปปฐมนิเทศนักศึกษาปริญญาเอก มีรุ่นพี่ปริญญาเอกรุ่นที่แล้วแต่ว่ายังเรียนไม่จบ มาสร้างความสนิทสนมและสนุกสนานกับรุ่นน้อง เขาบอกว่าให้พูดเลียนแบบสิ่งที่เขาพูด แต่ว่าให้พูดเฉพาะคำสุดท้าย อย่างเช่น เขาบอกว่า กรุงเทพฯ รถไม่ติด เราต้องพูดว่า “ติด” ถึงติดก็ไม่มาก “มาก” ถึงมากก็ไม่นาน “นาน” ถึงนานก็ไม่ท้อ “ท้อ” ถึงท้อก็ไม่ถอย “ถอย” สรุปแล้วค้านทุกเรื่อง รุ่นน้องกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านไปเลย

ต้องบอกว่าเรื่องพวกนี้เป็นพรสวรรค์ของเขา เรื่องธรรมดา ๆ ก็เอามาทำให้สนุกได้ พระพุทธเจ้าท่านถึงต้องมีเอตทัคคะ คือบุคคลที่เป็นยอดในทางใดทางหนึ่งที่พระองค์ทรงตั้งไว้ มีบางท่านได้เอตทัคคะเกินกว่า ๑ ตำแหน่ง อย่างเช่น พระสุภูติเถระ เป็นเอตทัคคะ ผู้เป็นเลิศกว่าบุคคลอื่นในการอยู่อรณวิหาร ก็คืออยู่โดยปราศจากกิเลส และในด้านทักขิไณยบุคคล ถ้าเข้านิโรธสมาบัติตลอดก็ต้องเป็นทักขิไณยบุคคล บุคคลที่สมควรแก่ของที่เขามาถวาย ท่านได้เอตทัตคคะ ๒ อย่าง

พระอานนท์ได้เอตทัตคคะ ๕ อย่าง เช่น เป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่นทางด้านเป็นผู้มีสติ คือกำหนดจดจำได้มาก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์พระอานนท์จำได้หมด และเป็นผู้มีคติ ก็คือรู้ที่มารู้ที่ไป ที่เหมาะที่สมทุกอย่าง บุคคลที่มามาจากที่ไหน ใกล้หรือไกลเพียงไร ควรพาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเมื่อไร สุดยอดเลขานุการเลย เพราะฉะนั้น..ใครทำหน้าที่เลขานุการ บริการเจ้านายอยู่ ให้บูชาพระอานนท์เยอะ ๆ ขอบารมีท่านช่วยสงเคราะห์"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2012 เมื่อ 11:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 06-07-2012, 11:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พระอานนท์ทำหน้าที่ไม่เคยพลาด แต่พอพลาดทีเดียวพระอานนท์ร้องไห้เลย เป็นเพราะกรรมบังหรือมารมาดลใจ พระพุทธเจ้าทรงแสดงนิมิตให้ทราบว่าพระองค์ใกล้จะปรินิพพานแล้ว ถ้าพระอานนท์ทูลขอไว้ พระองค์ท่านจะห้ามแค่ ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๓ จะรับอาราธนาอยู่ถึง ๑ กัป แต่ช่วงนั้นพระอานนท์โดนเรื่องของกรรมบังหรือมารดลใจ ฟังผ่านหูไปเฉย ๆ ๑๖ ครั้ง

ในเมื่อเป็นดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงปลงอายุสังขาร ตัดสินใจแล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลง พอตัดสินใจแล้วแผ่นดินไหว พระอานนท์สงสัยเลยมาถาม พระพุทธเจ้าตรัสเหตุแห่งการเกิดแผ่นดินไหว ๘ ประการให้ทราบ มีประการหนึ่งก็คือ เมื่อตถาคตเจ้าปลงอายุสังขาร พระอานนท์จึงทราบว่าพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขารแล้ว

สาเหตุแผ่นดินไหว ๘ ประการมี ๑. ลมกำเริบ ในปัจจุบันแผ่นดินไหวคือลมกำเริบ พอความร้อนใต้ดินมากเข้า ๆ โดนอัดหนักขึ้น ๆ ความร้อนถูกอัดอยู่ในที่แคบ ไปไหนไม่ได้ เดือดอยู่ตลอด ก็เหมือนกับน้ำเดือดที่พยายามดันฝาหม้อหรือฝากาให้เคลื่อนที่ โลกเราก็เหมือนกัน กำลังความร้อนสะสมมากเข้า ดันแผ่นพื้นโลกที่ฝรั่งเรียกว่า Plate ให้เคลื่อนที่ คนไทยบอกว่าปลาอานนท์พลิกตัว พลิกแรงไปหน่อยจึงแผ่นดินไหว อันนี้คือลมกำเริบ

๒. ผู้มีฤทธิ์บันดาล ท่านที่ชำนาญในกสิณ ๑๐ เจริญปฐวีกสิณแต่น้อย เจริญอาโปกสิณให้มาก จะทำให้แผ่นดินไหวได้ แบบเดียวกับพระอุปคุตเถระ พระเจ้าอโศกมหาราชนิมนต์พระอุปคุตเถระมา ป้องกันไม่ให้มารมารบกวนงานของพระองค์ท่าน เพราะว่าท่านสร้างเจดีย์ ๔๘,๐๐๐ องค์ ทั่วชมพูทวีปแล้วจัดงานฉลอง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน

พระอุปคุตบอกว่าจะบันดาลให้แผ่นดินไหว พระเจ้าอโศกมหาราชไม่เชื่อว่าทำได้ ถ้าเกิดว่าแผ่นดินไหวช่วงนี้ อาจเป็นเพราะแผ่นดินไหวเองก็ได้ พระอุปคุตก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเอาขันล้างหน้ามา ใส่น้ำลงไปเกือบเต็มขันแล้วตั้งเอาไว้ ท่านจะบันดาลให้แผ่นดินไหวโดยน้ำสะเทือนแค่ครึ่งขัน อีกซีกหนึ่งจะให้นิ่งเหมือนเดิม ซึ่งถ้าเป็นแผ่นดินไหวตามธรรมชาติ น้ำจะต้องไหวทั้งขัน แล้วท่านก็ทดสอบให้ดู"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2012 เมื่อ 11:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 06-07-2012, 12:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,029 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"๓. พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงสู่พระครรภ์ ความหมาย คือ พระโพธิสัตว์ที่เป็นชาติสุดท้ายจะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากว่าลงท้องแม่เมื่อไรแผ่นดินจะไหว ๔. พระโพธิสัตว์ประสูติ แต่แผ่นดินไหวของท่านเกิดด้วยบุญญาบารมี จะไม่เป็นอันตรายต่อคนทั่วไป

๕. พระโพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันตรัสรู้ก็จะเกิดแผ่นดินไหว ๖. พระตถาคตเจ้าแสดงปฐมเทศนา ตอนนี้ไม่ใช่พระโพธิสัตว์แล้ว เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ๗. พระตถาคตเจ้าปลงอายุสังขาร ตัดสินใจว่าจะไปพระนิพพานเมื่อไรแผ่นดินจะไหว ๘. พระตถาคตเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน แผ่นดินก็จะไหว

เราจะเห็นว่าในเรื่องของสาเหตุแผ่นดินไหว ๘ ประการนั้น มีอยู่ ๖ ประการที่เกี่ยวเนื่องกับพระโพธิสัตว์ในชาติสุดท้าย และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนลมกำเริบและผู้มีฤทธิ์บันดาลอาจจะเป็นใครก็ได้ หรือเป็นธรรมชาติเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้

พระท่านเรียนเรื่องสาเหตุแผ่นดินไหวตั้งแต่นักธรรมตรีแล้ว แผ่นดินไหว ๖ ประการหลังส่วนใหญ่เป็นเพราะพรหมเทวดาท่านสาธุพร้อม ๆ กัน ทำให้แผ่นดินสะเทือน บาลีในธัมมจักกัปปวัตนสูตร ท่านใช้คำว่า สังกัมปิ สัมปะกัมปิ พลิกไปพลิกมาเลย หวั่นไหวขนาดนั้น อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ แสงสว่างอย่างหาประมาณมิได้บังเกิดขึ้นในโลก อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ หมื่นโลกธาตุก็สั่นไหว

ทะสะคือสิบ สะหัสสะคือพัน สิบพันก็คือหมื่นโลกธาตุ ไม่ได้ไหวแค่ของเรานะ แปลว่าดวงดาวอื่นอีก ๙,๙๙๙ ดวง ไหวไปพร้อมกับของเราด้วย เรื่องอย่างนี้วิทยาศาสตร์ยังตามไม่ทัน ตามทันเมื่อไรแล้วจะสนุกสนานกว่านี้อีกเยอะ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2012 เมื่อ 11:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:37



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว