กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 13-06-2011, 13:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แล้วคนที่ดวงมีมหาอุจจ์เยอะ ๆ นี่เป็นพวกดวงแข็งหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่เป็นมหาเศรษฐีก็เป็นมหาโจร ต้องดูว่าเขาจะเลี้ยวไปทางไหน ถ้าไม่เป็นรัฐมนตรีก็ต้องเป็นเจ้าพ่อ

ถาม : ถ้าเกิดทลิทโทฤกษ์ ?
ตอบ : ทลิทโทฤกษ์ แปลว่า ฤกษ์ขอทาน ถ้าทลิทโทฤกษ์ต่อด้วยมหัทธโนฤกษ์ ต้องเป็นพระถึงจะดี เพราะทลิทโทฤกษ์ต่อด้วยมหัทธโนฤกษ์ ก็คือฤกษ์ขอทานต่อด้วยมหาเศรษฐี แปลว่าขอเขาได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น..ต้องบวชพระ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-06-2011 เมื่อ 16:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 13-06-2011, 13:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การเปิดรับพุทธานุภาพจากวัตถุมงคลนี่ต้องใช้กำลังใจระดับไหนคะ ?
ตอบ : อุปจารสมาธิก็พอแล้ว เพียงแต่สำคัญว่าให้มีความเชื่อมั่นและเลื่อมใสจริง ๆ เหมือนอย่างกับว่าท่านเป็นที่พึ่งสุดท้ายในชีวิตของเรา เหมือนกับคนตกเหว คว้าไปเจอเชือกหรือเถาวัลย์แล้วต้องโหนให้สุดชีวิต ทำใจอย่างนั้นได้ก็รับรองว่าได้เต็ม ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-06-2011 เมื่อ 16:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 233 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 14-06-2011, 05:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนนี้เห็นทุกข์จนเบื่อ จนไม่อยากไปพิจารณาอริยสัจ เพราะเบื่อมาก..?
ตอบ : รักษาความเบื่อเอาไว้ เพราะหาได้ยาก ถ้าไม่เบื่อเราก็อยากเกิดอีก ความเบื่อเป็นต้นทางของความหลุดพ้น เพียงแต่พิจารณาให้เห็นจริงว่า ธรรมดาของการเกิดมา จะต้องพบกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ แต่ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์ มีแต่ความน่าเบื่อหน่ายแบบนี้ จะมีแก่เราชาตินี้ชาติเดียว ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพาน

ตั้งอารมณ์ใจไว้แบบนี้ แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาของเราต่อไป ถ้ากำลังใจพอเมื่อไรจะก้าวข้ามไปเป็นสังขารุเปกขาญาณ ปล่อยวางได้ ก็จะไม่ไปทุกข์ไปเบื่ออีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2019 เมื่อ 02:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 14-06-2011, 05:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีพระเครื่องอยู่องค์หนึ่งหายไป ก็เลยใช้คาถาที่ท่านบอก แต่ยังไม่ได้คืน..?
ตอบ : ยังไม่ได้คืนแสดงว่าสมาธิไม่ดีพอ อาตมาเองมีพระเนื้อเมฆสิทธิ์ปางซ่อนหาของหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม หล่นหายตอนตัดกิ่งไม้ ตัดอยู่เป็นสิบ ๆ ต้นจึงไม่รู้ว่าหล่นหายที่ไหน

ปกติถ้าหากว่าอาตมาลืมพระของหลวงปู่ทับ ท่านจะตะโกนเรียก วันนั้นท่านคงนึกอยากจะเล่นซ่อนหา ท่านก็เลยไม่เรียก ท่านจึงเจอไอ้หลานทรยศ "ไม่เรียกกูก็ไม่หา" ท้ายสุดท่านก็เลยต้องง้อด้วยการกลับมาเอง

ถ้าอยากแล้วเราจะไม่ได้จ้ะ ท่องแล้วทำใจสบาย ๆ จะกลับมาหรือไม่กลับมาก็แล้วแต่ท่านเถอะ

ถาม : เวลาปฏิบัติใช้อารมณ์ทิพจักขุญาณ ก็เหมือนกับมองเห็นคนที่หยิบพระไป แต่พอถามเขาไปจริง ๆ..?
ตอบ : อย่าทำอย่างนั้น เพราะเราเองไม่มั่นใจว่าเรารู้จริง ในเมื่อไม่มั่นใจว่าเรารู้จริง อาจจะเป็นการคาดคำนวณ เอาความรักชอบเกลียดชังส่วนตัวของเราบวกเข้าไปด้วย ถ้าเราไม่แม่นในทิพจักขุญาณขนาดพิสูจน์ได้ทุกเวลา จะใช้เป็นหลักฐานไม่ได้

ถาม : หนูจึงตัดใจไปเลย
ตอบ : จ้ะ ตัดใจไปเลย รอพระองค์ใหม่ก็แล้วกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-06-2011 เมื่อ 07:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 222 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 14-06-2011, 06:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ความจริงอาตมาไม่รู้จักหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม ตอนพุทธาภิเษกพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน เจอหลวงตาแก่มาก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ ก็ถามท่านว่ามาจากไหนชื่ออะไร ท่านบอก “ข้าชื่อทับ” อาตมาก็ว่า “อ๋อ..หลวงปู่ทับวัดทอง”

เท่านั้นแหละ..โดนด่าหูตูบเลย “ไอ้ห่..มีแต่ไอ้ท่านวัดทองดังคนเดียวหรือไงวะ..?” อาตมาจะไปรู้หรือว่ามีอีกทับหนึ่ง ปรากฏว่าหลวงปู่ทับมีตั้ง ๓-๔ องค์ ก็ท่านไม่บอกว่าวัดไหน อาตมารู้จักแต่วัดทองวัดเดียว จึงโดนไปเต็ม ๆ เลย

พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน พอเจอหลวงปู่ทับช่วยสงเคราะห์ด้วย ก็เลยกลายเป็นพร้อมที่จะตีกับชาวบ้านเขาด้วย ก็นิสัยท่านบู๊ออกขนาดนั้น พูดง่าย ๆ ว่าเป็นประเภทถ้าขอดี ๆ แล้วไม่ให้ท่านก็จะปล้น..!

ที่ขำ ๆ ก็คือ พอได้พระปิดตาปางซ่อนหาของท่านมาก็พกติดตัวเอาไว้ ลืมทีไรท่านก็บอกทุกที วันนั้นหล่นหายท่านไม่บอก ไม่บอกก็เรื่องของท่านเถอะ..!

อาตมาบอกกับพระในวัดว่า "ผมไปตัดต้นไม้แถว ๆ นั้นนะ พวกคุณไปหาดูก็แล้วกัน แถว ๆ ๗ - ๘ ต้นนั่นแหละ ไม่รู้ว่าไปหล่นอยู่ตรงไหน.." ปรากฏว่าพระท่านหากันไม่เจอ อาตมาก็ไม่หาหรอก ปล่อยไปเกือบ ๆ ๒ เดือน จึงโผล่กลับมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-06-2011 เมื่อ 06:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 14-06-2011, 08:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ของที่หายแล้วกลับมาเองก็มีหลายอย่างด้วยกัน อย่างสมัยก่อนเป็นแหวนมงคล ๙ ของหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงคาราม วัดเดียวกับหลวงปู่ทับนั่นแหละ รุ่นไล่ ๆ กัน

คนโบราณตัวใหญ่ นิ้วก็เลยใหญ่ไปด้วย แหวนท่านอาตมาใส่นิ้วชี้ยังหลวมเลย วันนั้นเอาขยะไปทิ้ง เหวี่ยงเสียเต็มที่แหวนก็เลยลงคลองไปด้วย แล้วจะไปเอาคืนได้อย่างไร ปรากฏว่าอีกไม่กี่วันแหวนมาอยู่ในตู้เสื้อผ้า นั่นถ้าหากว่าไม่ได้ทำหลุดมือไปต่อหน้าต่อตา ก็ไม่มีทางที่จะเชื่อหรอกว่าท่านกลับมาเองได้ แสดงว่าท่านเบื่อน้ำเน่าเหมือนกัน จึงต้องเผ่นขึ้นมาอยู่ในตู้เสื้อผ้า

ตอนนั้นไปกราบหลวงพ่อเจ้าคุณไสว วัดอนงคาราม (ท่านเป็นเจ้าคุณพระเทพวิสุทธิเวที) ท่านเป็นเพื่อนร่วมวงน้ำปลาพริกป่นของหลวงพ่อวัดท่าซุงสมัยเรียนบาลีอยู่ ตอนนั้นท่านเป็นเณร แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นพระ

หลวงพ่อเจ้าคุณไสวบอกว่า "เฮ้ย..พระที่วัดตายพอดี ตอนนี้คณะสงฆ์กำลังแบ่งทรัพย์สินกัน ลองไปดูสิ เผื่อมีอะไรที่เขาแบ่งมาให้บ้าง" อาตมาก็เมียง ๆ ไป เขาส่งแหวนมาให้วงหนึ่ง แหวนมงคล ๙ มีอักขระเป็นหัวใจอิติปิโส อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ทำด้วยเงิน แต่ว่าวงใหญ่เสียจนกระทั่งใส่นิ้วชี้ยังหลวม ก็แล้วแต่เขาให้ ให้อะไรก็เอาทั้งนั้นแหละ

แบบเดียวกับที่ไปวัดเทพศิรินทร์ เขาแบ่งสมบัติของหลวงปู่มหาอำพัน คราวนี้พระท่านส่งคทาของหลวงพ่อวัดท่าซุงมาให้ ถามว่าจะเอาไหม ? อาตมาต้องวางปั้นหน้านิ่งแทบตาย ทำท่ารับแบบเสียไม่ได้ ความจริงอยากจะกระโดดกอดเขาเลย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-06-2011 เมื่อ 11:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 14-06-2011, 10:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ขอสูตรเคี่ยวน้ำมันแก้ปวดข้อปวดเข่า
ตอบ : ใช้น้ำมันมะพร้าว ๑ กะละมัง แล้วก็หัวเลียงผาทั้งหัว กระดูกหน้าแข้งเลียงผา ๔ ท่อน ทุบให้แตก ใส่ว่านม้าทองทุบแตกลงไปด้วย แล้วก็เคี่ยวกันข้ามวันข้ามคืน

ถาม : จะหาเลียงผาจากไหนคะ ?
ตอบ : ในเขาดินก็มี ก็ไปอุ้มมาสิ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-06-2011 เมื่อ 11:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 14-06-2011, 11:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ปฏิบัติกรรมฐานจำเป็นต้องสมาทานพระกรรมฐานอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุงหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ามีเวลาก็ทำ เพราะว่าเป็นการขอบารมีพระท่านช่วยอย่างเป็นทางการ ถ้าหากไม่มีเวลาก็ลงมือภาวนาเลย ดังนั้น..ถ้ามีเวลาก็ทำ จะได้เป็นรูปแบบที่ถูกต้อง เป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่เราด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-06-2011 เมื่อ 11:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 14-06-2011, 15:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงพระอภิธรรมว่า "พระอภิธรรมเขาเพิ่งจะมาใช้สวดงานศพในระยะหลังนี่เอง ที่ประหลาดที่สุดก็คือก่อนหน้านี้พระอภิธรรมเขาสวดในงานมงคล อย่างเช่นงานขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงาน งานวันเกิด แต่พอเขาเอาพระอภิธรรมมาสวดในงานพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ สมัยรัชกาลที่ ๕ ตั้งแต่นั้นมาคนก็เลยถือว่าอภิธรรมเป็นการสวดในงานอวมงคล แล้วไม่ไปใช้ในงานมงคลอีกเลย

เพราะฉะนั้น..งานแต่งงานของใคร ถ้าเขาให้ขึ้น "กุสลา ธมฺมา" ทำใจไว้ได้เลยต้องเจริญมากแน่ ๆ เพราะว่าพระอภิธรรม ๗ บทเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าเทศน์แล้วมีผู้บรรลุมรรคผลมากที่สุด ก็คือ ๘๐ โกฏิ

เราจะว่าเห็นพระพุทธเจ้าทรงเทศน์อนุปุพพิกถา บรรลุธรรมไป ๑๑๐,๐๐๐ คน เข้าถึงไตรสรณาคมน์อีก ๑๐,๐๐๐ คน ถือว่ามากมายมหาศาลแล้ว แต่พระอภิธรรม ๗ บทนี่บรรลุธรรมตั้ง ๘๐ โกฏิ"

ถาม : เฉพาะคนหรือเทวดา ?
ตอบ : เฉพาะเทวดา เพราะว่าเทศน์ให้คนฟังไม่ได้ ขนาดเทวดาที่ฟังหัวข้อแล้วเข้าใจยังใช้เวลาตั้ง ๓ เดือน อย่างพวกเราเอาแค่ ๓ ชั่วโมง ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ฟังแล้ว หนีไปกินข้าวกันหมด

เอาไหม ? ใครแต่งงานระบุให้ชัดไปเลย เดี๋ยวจะไปสวดอภิธรรมให้ พอขึ้นนะโมชั้นเดียว โยมที่เขารู้พิธีกรรมก็ใจหายแวบเลย เพราะว่างานมงคลทั่ว ๆ ไปปัจจุบันเขาขึ้นนะโม ๙ ชั้น

ถาม : เป็นอย่างไรครับนะโม ๙ ชั้น ?
ตอบ : อยู่ที่จังหวะ ถ้าเป็นนะโม ๕ ชั้นเอาไว้สวดนาค หรือไม่ก็เทศน์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2019 เมื่อ 02:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 15-06-2011, 07:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้กำลังตามหาที่อยู่ของธรรมโฆษ เพื่อขออนุญาตนำเรื่องลีลาวดีมาลงในเว็บไซต์วัดท่าขนุน

เรื่องลีลาวดีนี้ พระเรวัตตะในเรื่องไม่มีตัวตนจริง แต่ใช้ชื่อพระเรวัตตะในสมัยพุทธกาลแทน ตัวจริงคือพระอานนท์ มาจากตอนที่พระอานนท์ไปขอน้ำดื่มจากนางกุมภทาสี พระอานนท์เป็นวรรณะกษัตริย์ ส่วนนางกุมภทาสีเป็นจัณฑาล นางกุมภทาสีถามพระอานนท์ว่า ตนเองสามารถจะให้น้ำแด่วรรณะกษัตริย์ได้หรือ ? เพราะสมัยนั้นเขาถือว่าจัณฑาลเป็นเสนียดจัญไร

พระอานนท์บอกว่า คนเราทั้งหมดเกิดมาก็ล้วนแต่เสมอกัน ใครทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ใครทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ไม่ได้แตกต่างกันด้วยวรรณะ นางกุมภทาสีก็เลยชอบใจ ถวายน้ำแด่พระอานนท์ และยังแอบหลงรักพระอานนท์อีก เขาก็เลยเอาเนื้อหาตรงนี้มาผูกเป็นเรื่องลีลาวดี

แต่ว่าเรื่องลีลาวดีนี้ พระเอกเป็นจัณฑาล คือเรวัตตะไปหลงรักลีลาวดีที่เป็นลูกเศรษฐี ลีลาวดีก็รักตอบด้วย แต่พ่อแม่ของลีลาวดีไม่ยอมให้แต่งงาน ท่านหวงลูกสาว พระเรวัตตะช้ำใจก็เลยหนีไปบวช ลีลาวดีก็หนีไปบวชเป็นภิกษุณีตามไปด้วย หมดไปหนึ่งชาติ เพราะมัวแต่บรรยายความตามไท้เสด็จยาตร ตั้งแต่ต้นยันปลาย สรุปได้แค่นี้

ปรากฏว่าตอนท้ายภิกษุณีลีลาวดีป่วยใกล้ตาย พระเรวัตตะไปเยี่ยม ภิกษุณีลีลาวดีก็ยังคงตั้งกำลังใจผูกมั่นอยู่ พอตายไปก็มาเกิดใหม่ในภาค ๒ ลีลาวดีโตเป็นสาววัยรุ่น ไปเจอกันเข้า ต่างคนต่างจำกันได้ พระเรวัตตะตอนนั้นอายุประมาณ ๔๐ กว่าแล้ว ก็พยายามหนี เพราะตอนนั้นพระเรวัตตะเป็นอาจารย์ใหญ่มีชื่อเสียงมากแล้ว มีคนเคารพนับถือมาก เมื่อพระเรวัตตะพยายามหนี ลีลาวดีในชาติใหม่ก็ช้ำใจ ไปบวชอีกรอบหนึ่ง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2019 เมื่อ 05:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 15-06-2011, 07:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พระเรวัตตะเดินธุดงค์ไปทั่วประเทศ เจอใครที่เป็นศาสดาเจ้าลัทธิเก่ง ๆ หรือจอมโวหาร ก็ยกหลักธรรมพระพุทธเจ้าขึ้นไป อยู่ลักษณะโต้วาทีเอาชนะเขา พอชนะเขาได้ก็ยิ่งมีชื่อเสียงมาก แต่ว่ายิ่งมีชื่อเสียงมากก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่กำลังใจของตนต้องการ กำลังใจที่ตัวเองต้องการคืออยากแต่งงานกับลีลาวดี

ก็เลยตัดสินใจว่าจะสึกแล้ว เดินทางกลับเพื่อหาว่าลีลาวดีอยู่ที่ไหน ก็ไปเจอกันตรงประตูเมือง พระเรวัตตะก็แจ้งความประสงค์กับลีลาวดีว่าจะสึกแล้ว ลีลาวดีที่เป็นเด็กสาว อายุน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง บอกว่า "น้องชาย..ให้ตั้งใจปฏิบัติเถิด ธรรมะของพระบรมศาสดานั้นไม่เป็นหมันหรอก ใครปฏิบัติตามก็ได้ผลทั้งนั้น"

ลีลาวดีเธอเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ก็เลยเรียกพระเรวัตตะว่าน้องชาย หักมุมเอวเคล็ดจริง ๆ อุตส่าห์ตามมาข้ามชาติข้ามภพ ท้ายสุดเห็นทุกข์ ปล่อยวางได้กลายเป็นพระอรหันต์ พระเรวัตตะที่ปฏิบัติต่อเนื่องอยู่ชาติเดียว ตามไม่ทัน

ตรงจุดนี้แหละ..ตอนที่พระเรวัตตะบวชแล้วกามราคะกำเริบ พระอาจารย์พาไปดูซากศพในป่าช้า นั่งพิจารณาไปแล้วพระเรวัตตะก็ได้คิด ธรรมโฆษเขาเขียนเป็นกลอนว่า

นารีจะดูงาม..............ก็เมื่อยามที่ยังเยาว์
แก่แล้วก็เหี่ยวเฉา.......บ่มีส่วนจะพึงชม
ดุจปวงบุปผชาติ.........งามวิลาศน่าเด็ดดม
แรกบานก็งามสม.........แต่บ่นานก็โรยรา

เขามัวบรรยายในลักษณะนี้ ภาคหนึ่งจึงหมดไปตรงลีลาวดีป่วยตาย ตรอมใจตาย

เราจะเห็นอยู่อย่างหนึ่งว่า พระเรวัตตะพยายามหนีตัวเองสุดชีวิต พูดง่าย ๆ คือหนีกิเลส ท้ายที่สุดหนีไม่พ้น ยอมกลับไปเป็นทาสกิเลสใหม่ ปรากฏว่ากิเลสไม่ใช่กิเลสแล้ว ตัวกิเลสกลายเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2011 เมื่อ 17:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 222 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 16-06-2011, 11:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่ไม่เคยนอนเมรุ ไม่รู้หรอกว่าเมรุน่านอนแค่ไหน อาตมาไปวัดโพธิ์เมืองปัก ของหลวงพี่มหาถวัลย์ วัดนี้เป็นวัดเล็ก ๆ เวลาที่วัดจัดงานนี่เสียงดังกลบไปทั้งวัด อาตมาทนรำคาญไม่ไหว อยู่บนศาลานอนไม่ได้แน่ จึงลงไปเดินหามุมเงียบ ๆ

เดินไปเจอบ้านผีที่เขาทำเป็นช่อง ๆ สำหรับเสียบโลงได้โลงหนึ่ง แล้วซ้อนขึ้นไปเป็นชั้น ๆ อาตมาเห็นว่าว่างก็มุดเข้าไป เอาหัวเข้าไปได้ก็ปลอดภัยแล้ว อย่างน้อย ๆ เสียงเข้าไปได้ช่องเดียวก็ไม่ดังมาก แย่งที่ผีนอนก็แย่งมาแล้ว เรื่องอื่นเรื่องเล็ก..!

แต่ที่ไปแม่สานนั่นไม่ได้เจตนานะ ไม่รู้จริง ๆ เห็นเนินลาด ๆ ประมาณ ๖๐ องศา ต้นไม้ขึ้น ๒ ข้าง ก็คิดว่าสบายแล้ว ผูกเชือกแขวนกลดได้พอดี จัดการเสร็จสรรพเรียบร้อยก็สรงน้ำสรงท่า พอถึงเวลาเข้ากลดเอนตัวลงจะนอน เห็นผีโผล่มาตรงปลายเท้า ๖ ตัว แต่เทวดาที่มาทางหัวนี่ เฉพาะที่นำหน้า ๑๒ องค์ ที่ตามมาอีกเป็นกองทัพ ผีก็เลยต้องเผ่นแทน..!

อาตมาก็สงสัยว่าอะไรวะ อยู่ ๆ มาหลอกกัน แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร ภาวนาของตัวเองไป พอรุ่งเช้าเก็บกลดเสร็จ สะพายบาตรเข้าไปที่วัด เณรเกียงดาถามว่าเมื่อคืนนอนที่ไหนครับ ? อาตมาก็ชี้ให้เขาดู เณรทำหน้าพิกล บอกว่า "นอนเข้าไปได้อย่างไร นั่นป่าช้า..!" อ้าว..ก็เอ็งไม่บอกนี่หว่า จึงกลับไปพิจารณาใหม่ ไอ้เนินลาด ๆ นั่นที่แท้ก็หลุมศพ มิน่า..เขาหวงหลุมถึงจะมาเล่นงานเอา..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2011 เมื่อ 12:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 16-06-2011, 11:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ว่ามาถึงตอนนี้ก็นึกถึงคุณทัศน์ทรง ชมพูมิ่ง คุณทัศน์ทรงรถเสียอยู่กลางป่า รถเสียแกก็นอนพัก ปรากฏว่าพอรุ่งเช้า มีชาวบ้าน ๗-๘ คน ถือขันดอกไม้มา บอกว่า "พ่อเลี้ยง..ช่วยลงกระหม่อมให้ด้วย" คุณทัศน์ทรงก็ถามว่าทำไม ? เห็นข้าเป็นอาจารย์ขลังหรืออย่างไร ? ชาวบ้านเขาบอกว่า "พ่อเลี้ยงนอนตรงนี้ได้ต้องขลังแน่เลย เพราะที่พ่อเลี้ยงนอนนี่เป็นหลุมผีตายทั้งกลม หลอกทุกคนที่มา..!"

พ่อเลี้ยงเขาเข้านอนเร็ว น่าจะไปนอนทับอยู่ผีก็ออกมาหลอกไม่ได้ ผีโดนทับออกมาไม่ทัน..(หัวเราะ).. อาตมาฟังแกเล่าก็ขำ ชาวบ้านเห็นว่านอนบนหลุมผีได้ต้องขลังแน่เลย "ช่วยลงกระหม่อมให้ด้วย" คนยังไม่ทันจะตื่นมานั่งล้อมกันแล้ว คุณทัศน์ทรงเขาคงจะพกวัตถุมงคลอะไรบางอย่าง ผีก็เลยไม่กล้าหือ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-01-2019 เมื่อ 13:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 16-06-2011, 11:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครที่ไปปฏิบัติธรรมแล้วยังรักษาศีล ๘ ไว้ได้ถึงตอนนี้บ้าง ? ในอุโปสถสูตร บรรดาหญิงชาวบ้านไปรักษาอุโบสถศีลกันเยอะ นางวิสาขามหาอุบาสิกาก็สอบถามว่า “นี่แน่ะ...แม่ทั้งหลาย พวกท่านรักษาอุโบสถศีลไป โดยประสงค์สิ่งใดหรือ ?” หญิงมีอายุมากบอกว่า "เรารักษาอุโบสถศีลเพราะปรารถนาโลกสวรรค์"

หญิงวัยกลางคนบอกว่า "เรารักษาอุโบสถศีลเพราะไม่ต้องการอยู่รวมกับหญิงอื่นของสามี" พูดง่าย ๆ ก็คือ ต้องการให้อานิสงส์ของอุโบสถศีล ช่วยให้ผัวไม่มีเมียน้อย หญิงสาวที่แต่งงานแล้วบอกว่ารักษาอุโบสถศีลเพราะหวังจะได้ลูกเป็นผู้ชาย

ส่วนหญิงที่ยังไม่แต่งงานก็บอกว่า รักษาอุโบสถศีลด้วยหวังว่าจะได้แต่งงานกับชายในตระกูลที่เสมอกัน พูดง่าย ๆ คือให้เป็นคนวรรณะเดียวกัน อย่าเป็นวรรณะต่ำกว่า

นางวิสาขามหาอุบาสิกาพอได้ยินแล้วก็สลดใจ ไปปรารภกับพระพุทธเจ้าว่า ทำไมเขาถึงตั้งความหวังกันแค่นั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สำหรับปุถุชนทั่ว ๆ ไปแล้ว การปฏิบัติก็หวังในวัฏฏะทั้งนั้น ก็คือยังยึดข้องอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด จะไปให้เขาหวังความหลุดพ้นเป็นไปไม่ได้" คราวนี้เห็นหรือยังว่านั่นระดับศีล ๘ นะ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2011 เมื่อ 12:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 16-06-2011, 11:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"จุดที่น่าสังเกตมี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ นางวิสาขามหาอุบาสิกาเป็นคนฉลาด และช่างคิดมาก ปกติของเราถือศีล ๘ ก็คงไม่คิดไปไล่ถามเขาหรอก ว่าต้องการอะไรถึงได้ถือศีล ๘

ประการที่ ๒ ก็คือ คนถือศีล ๘ สมัยนั้นมีทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่หญิงสาวรุ่นยังไม่แต่งงาน หญิงสาวที่เพิ่งแต่งงาน หญิงกลางคน หญิงชรา หวังว่าคงไม่มีเด็กอายุ ๖ ขวบอย่างน้องส้มโอนะ ...

ฉะนั้น..ถ้าเราอ่านพระไตรปิฎกเอาเรื่องจริง ๆ จะได้อะไรเยอะมาก จะเห็นสภาพของสังคมของยุคนั้นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เราจะได้รู้ว่า "คาม" มีหน้าตาเป็นอย่างไร ? "นิคม" มีหน้าตาเป็นอย่างไร ? "ชนบท" มีหน้าตาเป็นอย่างไร ?

คามะหรือคามในสมัยก่อน น่าจะประมาณหมู่บ้านของเราในปัจจุบัน พวกนิคมต่าง ๆ ต้องใหญ่ประมาณอำเภอหรือจังหวัด ถ้าหากว่าชนบทนี่เป็นประเทศเลยนะ จะเห็นว่าประเทศในสมัยนั้นไม่ได้ใหญ่โตมาก ประมาณ ๒-๓ จังหวัดได้ แต่ถ้าใหญ่ประมาณ ๗-๘ จังหวัดนี่เรียกมหาชนบท

สมัยนั้นมหาชนบทมีอยู่ ๑๖ แคว้นด้วยกัน แต่ว่าจะมีอยู่ ๔ แคว้นที่เป็นแคว้นใหญ่ ก็คือ มคธ โกศล วัชชี วังสะ วังสะมีกรุงโกสัมพีเป็นเมืองหลวง วัชชีมีเมืองเวสาลีเป็นเมืองหลวง มคธมีราชคฤห์เป็นเมืองหลวง โกศลมีสาวัตถีเป็นเมืองหลวง

ถ้าเปรียบในปัจจุบัน มคธกับโกศล ก็คงเหมือนจีนกับอเมริกา ส่วนวัชชีกับวังสะ ก็คงจะรอง ๆ ลงมาในระดับอังกฤษกับเยอรมัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2011 เมื่อ 12:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 16-06-2011, 11:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"แคว้นมคธถ้าเห็นว่าแคว้นอื่นเผลอเมื่อไร ก็ผนวกแคว้นอังคะเข้าไปด้วยทุกที เพราะฉะนั้นมหาชนบท ๑๖ แคว้นนี่บางทีก็มีไม่ครบ ๑๖ แคว้นหรอก เพราะว่าโดนแคว้นใหญ่กว่ากลืนไป

แคว้นโกศลนี่มีแคว้นเล็ก ๆ อยู่ในปกครองจำนวนมาก อย่างกบิลพัสดุ์ เทวทหะ ก็เป็นแคว้นในปกครองหมด พระเจ้าปายาสิ ในปายาสิราชัญญสูตร ที่ไปถามปัญหาพระกุมารกัสสปะ นั่นก็เป็นกษัตริย์ที่มีประเทศ แต่อยู่ในปกครองของแคว้นโกศล พระเจ้าปายาสิถึงได้บอกว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลทราบแล้วว่าเรามีทิฐิอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงเปลี่ยนทิฐิไม่ได้ เจ้านายรู้แล้วว่าเป็นอย่างนี้ เปลี่ยนแล้วเดี๋ยวเจ้านายจะไม่ชอบขี้หน้า"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2011 เมื่อ 12:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 20-06-2011, 19:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถ้าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะมีกษัตริย์ปกครอง แต่บางทีเขาก็เรียกผู้ปกครองว่ากษัตริย์บ้าง ราชาบ้าง แต่ถ้าเป็นแคว้นโกศลนี่เขาเรียกว่ามหาราช เพราะว่าปกครองหลายประเทศ

ส่วนแคว้นวังสะมีพระเจ้าอุเทนเป็นผู้ครองแคว้น ถ้าเอ่ยถึงแคว้นวังสะ เรื่องที่ชัดที่สุดก็เรื่องของพระนางสามาวดี ส่วนแคว้นวัชชี พระพุทธเจ้ามาจำพรรษาสุดท้ายอยู่ที่นี่ ที่บ้านเวฬุวคาม เมืองเวสาลี และทรงปลงอายุสังขารที่ปาวาลเจดีย์"

ถาม : แคว้นวัชชีมีผู้ปกครองหลายคนไหมครับ ?
ตอบ : เฉพาะคณะผู้ปกครอง ๗,๗๐๗ คน ก็คือ หัวหน้าใหญ่มี ๗ คน ทั้ง ๗ คนนี้จะเลือกคนขึ้นมาอีกคนละ ๑๐๐ คน เท่ากับมีแล้ว ๗๐๗ คน แล้วหัวหน้ารอง ๗๐๐ คนนี้จะเลือกคนขึ้นมาอีกคนละ ๑๐ คน เป็น ๗,๐๐๐ เพราะฉะนั้น..คณะของกษัตริย์ลิจฉวีที่ปกครองประเทศมีด้วยกัน ๗,๗๐๗ คน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2011 เมื่อ 02:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #58  
เก่า 20-06-2011, 19:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แคว้นวัชชีเป็นเมืองที่พระเจ้าอชาตศัตรูจ้องจะตีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..เมืองเวสาลี แคว้นวัชชีนี่แหละ ที่พระเจ้าอชาตศัตรูจ้องมาตั้งแต่สมัยพระราชบิดาของตนแล้วว่า ถ้ามีอำนาจเมื่อไรจะเอาแคว้นนี้แน่

เมื่อเช้าได้กล่าวถึงเรื่องอปริหานิยธรรม ว่าตราบใดที่แคว้นวัชชียังรักษาอปริหานิยธรรมได้ ย่อมไม่มีใครตีบ้านเมืองได้ แต่วัสสการพราหมณ์ใช้เวลา ๓ ปี ทำลายความสามัคคีได้ แล้วก็มีคนตั้งกระทู้ถามว่า พระพุทธเจ้ารู้อยู่ว่าถ้าตรัสถึงเรื่องอปริหานิยธรรมอย่างนั้นแล้ว วัสสการพราหมณ์จะไปทำการยุยงให้เขาแตกกัน และตีบ้านตีเมืองเขา ทำไมพระพุทธเจ้าจึงตรัสบอกให้วัสสการพราหมณ์รู้ ?

มีคำเฉลยว่า ถ้าไม่ตรัสอย่างนั้นพระเจ้าอชาตศัตรูจะยกทัพไปลุยเดี๋ยวนั้นเลย แข็งต่อแข็งเจอกันเลือดก็นองเป็นท้องธาร แต่ถ้าตรัสอย่างนั้นพระเจ้าอชาตศัตรูต้องเสียเวลาวางแผนอีก ๓ ปี ทำให้เสียบ้านเสียเมืองช้าไป ๓ ปี มีเวลาทำความดีอีก ๓ ปี ก็คือ จะช้าจะเร็วก็เสียเมืองแน่ แต่ให้เสียช้าหน่อย คนตายน้อยลงหน่อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-06-2011 เมื่อ 07:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #59  
เก่า 20-06-2011, 19:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วไม่ได้เข้าแคว้นโกศล เพียงแต่วนอยู่รอบ ๆ แคว้นนี้ตลอด ๑๔ ปี จนพระพุทธศาสนาปักหลักมั่นคงแล้วถึงได้เข้าแคว้นโกศล เพราะว่าตอนนั้นกบิลพัสดุ์เป็นเมืองขึ้นของแคว้นโกศลอยู่ บวกกับคำทำนายที่ว่า "สิทธัตถะราชกุมารจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก" ได้หลอกหลอนอยู่ทุกแคว้น ถ้าพระพุทธเจ้าเข้าไปแคว้นโกศลตรง ๆ ก็อาจจะหัวขาด..!

แม้ไม่มีใครฆ่าพระองค์ได้ แต่ก็ทำให้เขาสร้างเวรสร้างกรรมอันใหญ่หลวง พระพุทธเจ้าจึงต้องรอเวลาที่สมควร รอจนกระทั่งนางวิสาขามหาอุบาสิกาแต่งงาน รอจนกระทั่งธนัญชัยเศรษฐีไปอยู่แคว้นโกศล รอจนกระทั่งอนาถปิณฑิกเศรษฐีเป็นพุทธสาวก เป็นพระโสดาบัน รอจนกำลังหนุนมากพอ เพราะว่ากี่ยุคกี่สมัยคนรวยเสียงย่อมดัง ในเมื่อแต่ละคนล้วนแล้วแต่กลายเป็นพุทธสาวก ให้ความเคารพและเอ่ยถึงพระพุทธเจ้ามาก ๆ เข้า ท้ายสุดพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทนไม่ไหว ต้องเข้าไปหากับเขาด้วย

ถ้าเราอ่านพระไตรปิฎกแล้วรู้จักคิดจะสนุกมากเลย เพียงแต่อ่านแล้วต้องมีหลักนะ ถ้าคิดอย่างไม่มีหลักแล้วจะฟุ้ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2011 เมื่อ 02:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #60  
เก่า 21-06-2011, 14:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,194 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์บอกว่า "คนที่ทำเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก จะไม่ให้ความรักความชังหรืออารมณ์ส่วนตัวมาอยู่เหนือกว่าประโยชน์ของส่วนรวม

อย่างนิยายจีนเรื่อง แส้สะบัดเลือด พระเอกกับตัวละครตัวหนึ่งที่มีนิสัยกึ่ง ๆ ตัวโกง จะสู้กันทุก ๓ ปี โดยตัวละครที่มีนิสัยกึ่งตัวโกงนี้เขามีฉายาว่าขงเบ้งพิษ เป็นระดับสุดยอดฝีมือเลย ๓ ปีดวลกันครั้งหนึ่ง แต่ไม่เคยชนะพระเอก ไม่ว่าจะวางแผนมาอย่างไรพระเอกก็แก้ได้หมด จนเขาเองก็แปลกใจว่า เขามีฉายาว่าขงเบ้งนะ พระเอกฉลาดกว่าหรืออย่างไร ?

ความจริงก็คือพระเอกเป็นหัวหน้าพรรค มีลูกน้อง ๓๐๐ กว่าคน ส่วนขงเบ้งพิษเป็นคนโดดเดี่ยว กึ่งธรรมะกึ่งอธรรม พระเอกเขาเฉลยว่า บุคคลที่ต้องคิดแทนผู้อื่น ๓๐๐ กว่าคน กับบุคคลที่คิดแค่คนเดียว บุคคลที่คิดแทนคนอื่นอย่างไรก็รอบคอบกว่า กำลังใจเหนือกว่ากันเยอะ"

ถาม : ระหว่างคนที่มีกำลังใจเมตตาผู้อื่น กับคนที่ไม่เมตตา ?
ตอบ : คนที่เมตตาผู้อื่น มุมมองของชีวิตจะกว้างกว่า สามารถที่จะเห็นชัดเจนเลยว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ได้ทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อตัวเอง รัก โลภ โกรธ หลง จึงน้อยลง โอกาสที่จะหลุดพ้นก็มีมากขึ้น แต่ถ้ากอบโกยเพื่อตัวเอง จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยรัก โลภ โกรธ หลง ก็หลุดพ้นยากขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2019 เมื่อ 19:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:17



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว