กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 19-02-2013, 15:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ผู้นำที่ดีควรมองสถานการณ์โดยภาพรวม เพราะว่ากรุงเทพฯ ก็คือส่วนหนึ่งของประเทศไทย แล้วถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดด้วย คนที่จะมาเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ต้องวิสัยทัศน์กว้างไกล วิสัยทัศน์อย่างเดียวไม่พอ กำลังใจต้องกว้างด้วย"

ถาม : ถ้าเราเลือกคนไม่ดีเข้าไป บาปไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวกับเราเลือก เราเลือกเขาเข้าไปทำงาน เจตนาชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนเข้าไปแล้วเขาทำไม่ดี อันนั้นเป็นโทษของเขา เราต้องแยกแยะให้ถูก เรื่องที่ไม่ควรมีโทษ ถ้าคิดไม่เป็นเดี๋ยวก็มีขึ้นมาจนได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-02-2013 เมื่อ 19:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 241 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 19-02-2013, 16:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราทำกรรมฐานไปเรื่อย ๆ แล้วเราจะกดกิเลสให้หมดไปเลยได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเราสามารถกดกิเลสได้ต่อเนื่องยาวนานพอ กิเลสก็หมดได้ เพียงแต่ว่าโอกาสที่จะเป็นอย่างนั้นยากอยู่สักหน่อย ดังนั้นสมถะและวิปัสสนาควรจะคู่กัน สมถะเหมือนคนมีกำลัง มีกำลังกดคอเสืออยู่ ต้องกดเป็นอาทิตย์กว่าเสือจะอดตาย ส่วนวิปัสสนาเหมือนคนมีอาวุธ มีทั้งกำลังมีทั้งอาวุธ ก็ฆ่าเสือได้ง่าย เพราะฉะนั้น..ควรใช้สองอย่างร่วมกัน ทำอย่างเดียวก็ได้ ถ้ากำลังดีพอก็บรรลุได้เหมือนกัน

ถาม : ดีพอนี่ต้องขนาดไหนคะ ?
ตอบ : สามารถทรงฌานตั้งแต่เกิดยันตายไม่หลุดเลย (หัวเราะ) ก็ถามว่าดีพอขนาดไหน ในเมื่อถามก็ตอบให้ อุตส่าห์ตอบชัดเจนขนาดนี้แล้ว จะมาโวยอะไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-02-2013 เมื่อ 19:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 237 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 19-02-2013, 16:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แต่ก่อนผมแขวนพระ พอมาระยะหลังไม่จำเป็นต้องแขวน เพราะเรามีพระอยู่ในใจ ?
ตอบ : ก่อนหน้านี้อาตมาก็ไม่พกวัตถุมงคล แต่มาตอนนี้พกเพียบเลย เพราะโดนมาจนเข็ด มีพระอยู่ในใจก็จริง แต่วันหนึ่งมีอยู่กี่ชั่วโมง ? แล้วตอนที่ไม่มีใครจะช่วยเรา ? เพราะฉะนั้น..ตัดสินใจเอาเองจ้ะ โยมว่าอย่างไรอาตมาเห็นด้วยทั้งนั้นแหละ เพราะไม่ได้เจ็บตัวด้วย ตัวเองเจ็บมาเสียจนเข็ดแล้วก็เลยพอ

ถาม : ถ้าเขาเสกของมาไม่ดี เราเอาไปเข้าพุทธาภิเษก จะแก้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเข้าพุทธาภิเษกวิธีที่พระท่านสงเคราะห์ไม่ใช่แก้ได้อย่างเดียว แต่กลายเป็นของใหม่ไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-02-2013 เมื่อ 19:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 252 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 19-02-2013, 18:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "วิทยาศาสตร์สมัยใหม่สามารถที่จะตามทันสภาพร่างกายในหลายส่วน แต่เราต้องเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ก็คือทุกอย่างต้องพอดีถึงจะดี จะต้องมัชฌิมาปฏิปทา หลายต่อหลายคนในปัจจุบันนี้ใช้วิธีกินอาหารเสริม กินวิตามิน กินฮอร์โมน ปรากฏว่าพวกนี้ล้นเกินก็กลายเป็นโรคต่าง ๆ ขึ้นมาอีก

ต้องบอกว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านรู้เรียกว่าสัจธรรม คือความจริงที่เถียงไม่ได้ เพราะฉะนั้น..มัชฌิมาปฏิปทาก็เหมือนกัน ต้องพอดีทุกเรื่อง ถ้าพอเหมาะพอดีก็เกิดประโยชน์ เกินหรือขาดก็มีโทษ

ดาราหลายคนในปัจจุบันก็ใช้วิธีนี้ กินพวกฮอร์โมน กินวิตามิน กินอาหารเสริมกันเป็นว่าเล่น กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดโทษขึ้นมาก็แก้ไขไม่ทันแล้ว มีพระที่วัดอยู่รูปหนึ่ง ก่อนหน้านี้ก็กินแบบนี้แหละ ปัจจุบันนี้เป็นฝีฝักบัว ลักษณะคล้ายมะเร็งแต่ไม่ใช่มะเร็ง เพราะแผลรักษาหาย แต่ไปผุดตรงนั้นตรงนี้ทั่วไปหมด ต้องคอยคว้านตัวเองทีละรูสองรู ตอนนี้เลยกลายเป็นผู้พิชิตความเจ็บปวดไป..!

พอฝีขึ้นมา ๒ - ๓ เม็ดพร้อมกัน ต้องคว้านทิ้ง ท่านใช้มีดโกนเลย ท่านบอกว่าเป็นผลจากสมัยก่อนกินของพวกนี้เยอะ หมอฝรั่งมาขอเป็นตัวอย่างในการศึกษา ท่านเองก็รำคาญ ปลงอายุสังขารแล้ว บอกว่าไม่ต้องรักษาหรอกหมอ ปล่อยไปเถอะ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-02-2013 เมื่อ 19:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 238 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 19-02-2013, 20:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องที่ท่านเองมือเท้าเย็นเพราะเลือดลมไม่ดีว่า "สมัยก่อนอาตมาแหย่หลวงตาวัชรชัย หลวงตาถามว่า “วิธีดูพระดีง่าย ๆ นี่มีบ้างไหมวะ ?” เพราะดูจริยาดูศีลนั้นยาก ยิ่งดูใจยิ่งยาก ท่านที่สูงกว่าท่านบังเราได้ อาตมาบอกว่า “ลองจับหน้าแข้งดู..องค์ไหนถ้าหน้าแข้งเย็น ๆ ก็ใช้ได้” หลวงตาบอกว่า "ฉันน้ำในตู้เย็นไปสักลิตรหนึ่งก็เย็นเองแหละวะ..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2013 เมื่อ 02:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 236 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 19-02-2013, 20:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จะรู้ได้อย่างไรว่าในอดีตเราเคยทำกรรมฐานกองไหนมา กองที่ถูกจริต ?
ตอบ : เอาหนังสือกรรมฐาน ๔๐ มาอ่าน ชอบกองไหนก็กองนั้นแหละ แล้วถ้าเคยทำ ความคุ้นชินจะทำให้รู้สึกรักชอบกองนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2013 เมื่อ 02:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 232 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 19-02-2013, 20:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : นี่ใช่ยันต์เกราะเพชรวัดท่าซุงไหมครับ ?
ตอบ : ยันต์เกราะเพชรวัดท่าซุง รุ่นนี้ออกวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๖ ถ้ารุ่นสีดำนั่นออก ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ รายละเอียดพวกนี้อยู่ในหัวของอาตมาทั้งหมด เพราะทำหน้าที่จำหน่ายเองกับมือ ตอนนั้นอาตมามีหน้าที่จำหน่ายวัตถุมงคลจ้ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2013 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 242 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 19-02-2013, 21:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานออกนิโรธกรรมของครูบาเหนือชัย อาตมานั่งรับสังฆทานอยู่ประมาณ ๒ ชั่วโมง ได้ปัจจัยถวายท่านไป ๗ หมื่นกว่าบาท รวมกับที่ถวายท่านเป็นปกติอีก ๑๐,๐๐๐ บาท เป็น ๘๐,๐๐๐ กว่าบาท โมทนากันนะจ๊ะ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2013 เมื่อ 03:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 286 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 19-02-2013, 21:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้ที่คนป่วยมาก ส่วนหนึ่งเกิน ๗๐ เปอร์เซ็นต์เกิดจากการกินเกิน ในเมื่อเกินจากสายกลางก็แปลว่าเดือดร้อนแล้ว โดยเฉพาะพวกของหวานต่าง ๆ พวกขนม พวกน้ำหวาน ถึงเวลาพอร่างกายขาด ระบบเมตาบอลิซึมก็กระตุ้นเตือนว่าจะเอาอีก ถ้าเราเชื่อทุกครั้ง ก็แปลว่าจะเกินไปเรื่อย ๆ แล้วท้ายสุดเราก็จะเจ็บไข้ได้ป่วยเอง

แต่ถ้าเราไม่เชื่อแล้วฝืน แรก ๆ ระบบจะรวน ก็จะแสดงอาการด้วยการปวดหัวบ้าง ปวดท้องบ้าง ถ้าเราสามารถอดทนได้ ๒ วันติดกันขึ้นไป ร่างกายรู้ว่าไม่ได้อีกแล้วก็เลิก แต่ส่วนใหญ่แล้วมักทนไม่ไหว พอถึงเวลาร่างกายบอกว่าจะเอากาแฟ จะเอาชาเขียว ก็ต้องวิ่งตะกายไปหา

ปัจจุบันนี้อาตมาฉันเกินอย่างเดียวคือน้ำเปล่า กาน้ำร้อนประมาณ ๒ ลิตร วันหนึ่งต้องเติม ๔ ครั้ง พวกเราถ้าวันหนึ่งได้ ๓ ลิตรก็เก่งตายชักแล้ว โยมที่ดูแลบ้านนี้มีหน้าที่เติมน้ำให้ ถึงเวลาก็เอาน้ำขวดไปใส่ให้ ๑ ลัง ๒๔ ขวด แล้วจะหายเกลี้ยงภายใน ๒ วัน ก็ต้องไปเติมใหม่ ส่วนของอื่น ๆ ที่เตรียมไว้ให้ฉัน อย่างสมอ มะขามป้อม อยู่ตรงนั้นมาปีกว่าแล้ว น้ำผึ้ง ๑ ขวด ปีหนึ่งแล้วเพิ่งฉันไปได้ ๓ คำ เดี๋ยวพอเก่าหมดอายุแล้วค่อยเอามาประมูล..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2013 เมื่อ 03:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 240 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 19-02-2013, 21:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาอยู่กับหลวงปู่มหาอำพันจนติดนิสัยประหยัดจากท่าน เวลาหลวงปู่ใช้สบู่ พอเหลือก้อนเล็ก ๆ ท่านจะเอาก้อนใหม่มา เอาก้อนเล็กแปะใส่แล้วใช้ต่อ แต่เวลาแปะนี่ต้องแปะให้เป็นนะ ต้องถูทั้ง ๒ ฝั่งให้เป็นฟองก่อนแล้วค่อยแปะ ไม่อย่างนั้นจะแปะไม่ติด ความละเอียดของท่านนี่ต้องบอกว่า อาตมาตามเท่าไรก็ตามไม่ทัน เวลาเปิดประตูหน้าต่าง ชักกลอนขึ้นแล้วต้องเกี่ยวใส่ที่ล็อกเลย อย่าปล่อยทิ้งไว้ ไม่อย่างนั้นเวลาเปิดออก กลอนจะลากพื้นจนเป็นร่อง

เวลาทำความสะอาดสถานที่ หลวงปู่ท่านไม่ดูพื้นหรอก ท่านไปดูหลังโต๊ะ หลังตู้ ขอบเก้าอี้ ท่านบอกว่าสมัยเด็ก ๆ พ่อแม่ท่านทำความสะอาดบ้านแล้วตรวจลักษณะนั้น ท่านก็เลยเคยชิน ถึงเวลาทำความสะอาดบ้านต้องเช็ดขอบหน้าต่าง เช็ดหลังตู้ เช็ดพนักเก้าอี้ไปด้วย

ตอนท่านไปสมัครงาน เข้าไปท่านผู้จัดการส่งผ้าขี้ริ้วให้ผืนหนึ่ง บอกว่า “ช่วยทำความสะอาดให้หน่อย” หลวงปู่ท่านรับมาท่านก็ทำ พอทำเสร็จก็ถามว่าจะสัมภาษณ์เมื่อไร ผู้จัดการบอกว่าไม่ต้องหรอก ผมรับคุณเข้าทำงานเลย เห็นความละเอียดในการทำงานของคุณแล้ว

อย่างพวกขวดใส่ของ พอเทเสร็จท่านจะเอากระดาษซับเช็ดก่อนแล้วค่อยปิดฝา โดยเฉพาะพวกซอส น้ำปลา ซีอิ๊ว ฯลฯ ท่านบอกไม่อย่างนั้นเทไปบ่อย ๆ แล้วจะเลอะน่าเกลียด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2013 เมื่อ 03:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 243 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 19-02-2013, 21:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ปริญญาเอกเขามีโครงการให้ไปดูงานยุโรป ๕ ประเทศ คราวนี้พอแจ้งตัวเลขค่าใช้จ่ายมา สำหรับอาตมาไม่ว่าหรอก แต่คนอื่นท่านจะไหวไหม ? ๑๐ วัน ๑๗๐,๐๐๐ บาท อาตมาก็เลยประท้วง จริง ๆ แล้วควรจะปล่อยให้เพื่อนตายเสียบ้าง เพราะพวกนั้นส่วนใหญ่รักษาตัว ไม่อยากจะกระทบกระทั่งกับใคร ลำบากแค่ไหนก็กัดฟันทน พออาตมาประท้วงเข้าจริง ๆ มีคนเห็นด้วยเยอะเลย แต่เขาไม่พูดก่อน

ท้ายสุดสรุปว่า คนที่สถานภาพทางการเงินย่ำแย่ที่สุดสู้ได้เต็มที่ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ลองคิดดู..โดนไป ๑๗๐,๐๐๐ บาทยังไม่พูดอะไรเลย..สมควรตายจริง ๆ..! อาตมาก็เลยบอกเขาว่าให้ไปคิดโครงการใหม่ ถ้าไม่รู้จะไปไหน จะไปลาว ไปเขมร ไปพม่าให้บอก เดี๋ยวอาตมาพาไปเอง ไปดูงานที่ยุโรปมีงานอะไรให้เราไปดู งานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามีน้อยมากเลย

ส่วนใหญ่คนไทยเราจะมีนิสัยอย่างนี้ ไม่ค่อยชอบหักล้างกับคนอื่น แม้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิดก็ตาม ก็จะใช้ลักษณะคล้อยตามไป ซึ่งลักษณะอย่างนี้บรรดาฝ่ายปกครองเขาจะชอบ ไม่มีปากไม่มีเสียง ชี้นกก็บอกว่านก ชี้ไม้บอกว่าไม้ ต้องบอกว่าคนไทยเรามีนิสัย "ข้าพึ่งเจ้าบ่าวพึ่งนาย" มาเสียชิน เพราะฉะนั้น..เวลาคนอื่นชี้นิ้วก็จะทำง่าย พอทำง่ายแล้วก็กลายเป็นมักง่าย ฝังอยู่ในดีเอ็นเอไปแล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2013 เมื่อ 03:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 242 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 20-02-2013, 12:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่คูณ สิริจนฺโท ท่านบอกว่า ท่านไม่สามารถจะเทศน์อย่างเป็นทางการได้ เพราะมีเหตุให้ต้องป่วยหนักทุกครั้งหลังการเทศน์ ท่านเคยดูบุพนิมิตแล้วว่า ท่านบำเพ็ญบารมีมาเพื่อที่จะไปเพียงผู้เดียว ถ้าเทศน์สั่งสอนผู้อื่นเท่ากับมีโทษถึงประหาร ท่านเขียนบันทึกไว้ว่า

"เรารู้ว่าตัวเองเป็นผู้ทรงธรรมไว้อย่างมั่นคงสืบต่อ หน้าที่การงานของตัวเองได้แต่เป็นผู้ทรงธรรมเท่านั้น ไม่ต้องแสดงธรรม ให้แต่เก็บรักษามรดกเอาไว้ ขังความบริสุทธิ์ไว้อยู่ตามปกติเท่านั้น เราพิจารณาดูบารมีที่เราทำมาเป็นแบบพระปัจเจกพุทธ ไม่มีบริวาร เอาตัวรอดโดยลำพังแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น เราจึงสอนธรรมะให้ผู้อื่นฟังไม่ได้ ผิดวิสัยของเรา
"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2013 เมื่อ 16:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 243 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 20-02-2013, 12:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงปู่คูณท่านบันทึกไว้อีกว่า "การปฏิบัติธรรม ขอให้ญาติโยมทำไปได้เลย อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีบุญไม่มีวาสนา หรือว่ามีบุญน้อยทำไปก็ไม่เกิดมรรคเกิดผลอะไร อย่าไปคิดเช่นนั้น เพราะเป็นความคิดของคนพาลที่ไม่รู้จักทำ พูดไปตามความคิดเห็นของตนเอง

มรรคผลเป็นของจริงคู่อยู่กับโลก ไม่ได้หนีไปไหน แต่ว่าต้องทำเอาจึงจะได้ การปฏิบัติธรรมไม่เลือกเพศหญิงหรือชาย ไม่เลือกว่าพระหรือโยม ไม่ใช่พระเท่านั้นถึงจะได้มรรคได้ผล แต่ทุกคนทุกเพศทุกวัย สามารถปฏิบัติเอามรรคเอาผลตามเวลาและโอกาส ใครทำมากได้มาก ใครทำน้อยได้น้อย ที่สำคัญต้องทำติดต่อกันไปเรื่อย ๆ อย่าให้ขาด มีโอกาสกลางคืนให้ทำกลางคืน มีโอกาสกลางวันให้ทำกลางวัน ไม่ต้องเลือกกาลเลือกเวลา เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นครูบาอาจารย์ เป็นที่พึ่ง ไม่ต้องไปกลัวว่าใครจะว่าอย่างนั้นอย่างนี้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2013 เมื่อ 17:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 255 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 20-02-2013, 19:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ธรรมะก็ยังเหมือนเดิม เราก็เลือกทำดีเว้นชั่วไปเรื่อย ๆ ในเมื่อทำดีเว้นชั่วไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก็สามารถที่จะหลุดพ้นไปได้

การจะไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก็ต้องมีสติมีปัญญาพอ เห็นทุกข์เห็นโทษ ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นทำให้เราต้องยึด ในเมื่อเรายึดดีหรือยึดชั่วก็ตาม ย่อมหลุดไม่ได้ เราก็ต้องวาง ถ้าวางลงได้เมื่อไรก็ว่าง เบา สบาย ถ้าสภาพจิตเดินสุดทาง จะไม่มีการปรุงแต่งใด ๆ เกิดขึ้น ในเมื่อไม่มีการปรุงแต่งใด ๆ เกิดขึ้นก็สบาย ดีก็มาไม่ถึง ชั่วก็มาไม่ถึง ในเมื่อดีชั่วมาไม่ถึง กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรมต่าง ๆ ก็มาไม่ได้ มารก็หลอกไม่ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2013 เมื่อ 19:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 230 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 20-02-2013, 19:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สติต้องแหลมคม ว่องไว หยุด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ทัน ปัญญาต้องเห็นโทษว่า ถ้าไปปรุงแต่งแล้ว รัก โลภ โกรธ หลง จะเกิดขึ้นเผาผลาญเราอย่างไร ในเมื่อสติกับปัญญารู้เท่าทัน ไม่ไปปรุงไม่ไปแต่ง สิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบก็สักแต่ว่ามาเท่านั้น เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น ในเมื่อเห็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น เราไม่ไปยินดียินร้ายด้วย สภาพจิตก็เบาสบาย ไม่ต้องไปเกลือกกลั้วกับกิเลสต่าง ๆ

เรื่องพวกนี้จริง ๆ ยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดได้ คำพูดของเราหยาบเกินกว่าสภาวธรรม สภาวธรรมต้องบอกว่าเดินไปจนสุดคำพูด ไม่สามารถที่จะอธิบายสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นได้ ถึงใช้คำว่า "ปัจจัตตัง" คือเป็นสิ่งที่รู้เฉพาะตน สิ่งที่พูดมาเป็นเพียงสิ่งหยาบ ๆ ส่วนเดียวเท่านั้น

หลวงปู่บุดดาบอกว่า "เมื่อจิตเลิกปรุงแต่ง ทุกอย่างก็หยุดหมด ดับหมด นิโรธก็อยู่ตรงนั้น" ท่านพูดง่าย แต่เราต้องทำกันแทบเป็นแทบตาย ที่เราทำกันแทบตาย อยากจะบอกว่าทำเกินไปเยอะ ตราบใดที่เราทำเพราะอยากดี ก็ถือว่าธรรมฉันทะ คือตัวอยากดีนี้ เป็นเครื่องมือในการนำทางเรา โบราณาจารย์เปรียบเหมือนเวลาเราจะข้ามน้ำ ก็ต้องมีเรือมีแพนำเราข้ามไป แต่พอถึงฝั่งแล้ว ไม่มีใครแบกเรือแบกแพไปด้วย

ตรงจุดนี้แหละที่หลายคนที่ยังทำไม่ถึง มองไม่เห็น เกิดความงงว่าแล้วตกลงจะให้ทำดีหรือเปล่า ? เพราะดีก็ติด ชั่วก็ติด ก็ต้องบอกว่าสิ่งใดก็ตามที่สมมติทางโลกเขาว่าดี ให้เราทำให้มากไว้ สิ่งใดก็ตามที่สมมติทางโลกเขาว่าชั่ว เราก็ละเสียให้หมด ถ้าสภาพจิตไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่วก็จะหลุดไปเอง เพื่อความปลอดภัยต้องเกาะดีไว้ก่อน ขึ้นที่สูงต้องหาที่เกาะให้มั่นคง พอไปถึงที่สุดเราก็ไม่ต้องเกาะอะไรอีกแล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2013 เมื่อ 19:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 20-02-2013, 19:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ไม่ต้องไปดูไกล ดูในใจของเรานี่แหละ ถ้าดูเกินตัวเราไปเมื่อไรก็เป็นอันไปปรุงแต่งเรื่องของชาวบ้าน ไปปรุงแต่งเรื่องของโลก ต้องดูที่ตัวเรา แก้ที่ตัวเรา

อย่าให้ใจของเรายึดในร่างกายนี้ ถ้าใจไม่ยึดร่างกายของเรา ก็ไม่ไปยึดในร่างกายของคนอื่น ไม่ยึดร่างกายของเรา ไม่ยึดในร่างกายคนอื่น ก็ไม่ยึดในโลก เมื่อไม่ยึดทั้งร่างกายของเราทั้งร่างกายคนอื่น ไม่ยึดในโลก ก็เหลือแต่ธรรมะล้วน ๆ ถ้าใจเข้าถึงธรรมะล้วน ๆ ก็เท่ากับปล่อยทุกอย่างแล้ว ในเมื่อปล่อยทุกอย่างแล้ว พระนิพพานก็อยู่ตรงนั้นแหละ อยู่ตรงไหนก็คือพระนิพพาน

ฉะนั้น..พระนิพพานไม่ได้อยู่ไกลเลย พระนิพพานอยู่กับเราในทุกที่ บุคคลที่เป็นสุกขวิปัสสโก ท่านปฏิบัติมาแบบไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย แล้วทำไมท่านถึงมั่นใจว่ามีพระนิพพาน ก็เพราะว่าถ้าเข้าถึงสภาวธรรมที่แท้จริงแล้ว ก็จะรู้ว่านั่นคือพระนิพพาน อยู่ตรงไหนก็อยู่ที่พระนิพพาน ไม่ต้องไปคว้าไกล เอื้อมมือเลยหัวเมื่อไรก็แปลว่าเลยธรรมะ

เอาแค่ตัวเราก็พอ กว้างศอก ยาววา หนาคืบ แสดงธรรมให้เราเห็นอยู่ทุกวัน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีแต่ความไม่เที่ยง มีแต่ความทุกข์ ยึดถือมั่นหมายไม่ได้ ตัวเรายังทุกข์ขนาดนี้ คนอื่นจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร ตัวเราทุกข์อย่างนี้และคนอื่นทุกข์อย่างนี้ สัตว์อื่นจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร ตัวเราทุกข์อย่างนี้ คนอื่นทุกข์อย่างนี้ สัตว์อื่นก็ทุกข์อย่างนี้ แล้วโลกเราจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร

ฉะนั้น..ใครที่บอกว่าสุข จริง ๆ เป็นวิปลาส คือการเห็นผิด สุขจริง ๆ ก็คือทุกข์อย่างละเอียด ที่เราว่าทุกข์คือทุกข์อย่างหยาบ ๆ เห็นชัดแล้ว คราวนี้เราจะทำอย่างไรที่จะข้ามทุกข์อย่างละเอียดได้ ก็ต้องสร้างสมปัญญา ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องมีสมาธิ สมาธิจะเกิดขึ้นได้ต้องมีศีลเป็นเครื่องรองรับ วัน ๆ เราก็ทบทวนศีลให้บริสุทธิ์ การที่จิตของเราจดจ่ออยู่กับศีลทุกสิกขาบทก็จะเกิดเป็นสมาธิ เมื่อสมาธิของเรามีขึ้น จิตใจก็จะผ่องใส กำลังของสมาธิกดกิเลสดับลงชั่วคราว ก็จะเริ่มเห็นช่องทางว่าจะไปทางไหน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2013 เมื่อ 01:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 20-02-2013, 19:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"สำหรับพวกเราก็เอาเรื่องสมาธิเป็นใหญ่ เพราะศีลเรารักษาเป็นปกติอยู่แล้ว เน้นสมาธิของเรา ทำให้ยาวนานขึ้น ทำให้มากขึ้น เคยทำเช้าครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ก็รู้ว่าไม่พอกินแล้ว คนจะไปพระนิพพานต้องทำมากกว่านั้น ก็ขยายระยะเวลา อาจเป็นเช้าครึ่งชั่วโมง กลางวันครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง

ถ้ารู้สึกว่าไม่พอขยายเวลาเป็น ๔๐ นาที ๔๕ นาที ๕๐ นาที ๑ ชั่วโมงก็ได้ จะกระทั่งท้ายสุดพอสภาพจิตชิน ก็สามารถที่จะขังธรรมะอยู่ในใจได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง พอมีธรรมะมานั่งอยู่ในใจ กิเลสก็เข้ามาไม่ได้แล้ว เพราะใจมีดวงเดียว เมื่อใจมีความดี ความชั่วก็เข้าไม่ได้ คราวนี้ก็เหลืออยู่อย่างเดียวคือพิจารณาให้เห็นว่า ดีจริง ๆ ก็ยังไม่หลุดพ้น ความดีก็ยังทำให้เราติดอยู่แค่เทวดาแค่พรหมเท่านั้น คราวนี้ก็ต้องถอนดีออก ถ้าปัญญาถึง ถอนดีเป็นเรื่องเล็กเลย วางกองอยู่ตรงนั้นแหละ อย่าไปยุ่ง
กับดี อย่าไปยึดดี รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก็ไปได้แล้ว ฟังดูง่ายดีนะ

สภาพจิตถ้าปล่อยวาง ความหนักก็ไม่มี ถ้าไม่หนักใจเสียอย่างเดียว ความหนักทางกายย่อมไม่มี ดังนั้น..อาตมาจึงได้บอกหลายครั้งว่า ถ้าปฏิบัติแล้วยังหนักอยู่ ยังไม่ถูกทางจริง ให้พยายามทำไปเรื่อย ๆ ถ้าเบาเมื่อไรก็เริ่มได้ทางแล้ว ถ้าเข้าถึงจริง ๆ คราวนี้วางหมด ไม่มีอะไรให้แบก..สบาย..ทุกอย่างก็สักแต่ว่าทำไปตามหน้าที่ ทำไปตามเวลา อันไหนที่สมมติทางโลกเขาว่าดี เราก็ทำของเราไปเรื่อย อยู่กับสมมติทางโลก ก็เคารพตามสมมติไป ทำถึงที่สุดก็จบกันแค่นี้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2013 เมื่อ 01:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #58  
เก่า 20-02-2013, 19:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ต้องกองลงไปให้หมด ทิ้งลงไปให้หมดเลย ไม่ว่าจะตัวตน ครอบครัว ทรัพย์สมบัติ ลูกเขาเมียใคร ไม่ได้เกี่ยวกับเราเลยสักอย่างเดียว พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ไม่มี แล้วจะวางอะไร ก็วางลงตรงนี้แหละ

ตอนนี้เราอยู่กับการปฏิบัติธรรม ไปรอวางเวลาอื่นไม่ได้หรอก จะวางเมื่อวานก็วางไม่ได้เพราะเลยมาแล้ว จะวางพรุ่งนี้ก็วางไม่ได้เพราะยังมาไม่ถึง ต้องวางตอนนี้ วางเดี๋ยวนี้ ถ้าเราวางลงตอนนี้ก็เป็นอันว่าไม่ได้แบกอะไร..สบาย..ถอนใจจากลม ไม่ต้องติดลมแล้ว มองเห็นโทษแล้วว่าติดลมมีความทุกข์อย่างไร พอถอนใจออกมา คราวนี้ก็เบาสบาย แหม...อยากจะบินได้เหาะได้เดี๋ยวนั้นเลย

เข้าไม่ถึงก็ฟังไว้เป็นแนว แล้วค่อย ๆ ปฏิบัติไป วางมากไม่ได้ก็ค่อย ๆ วางทีละน้อย แต่ขอให้วางไปเรื่อย ๆ ปลดใจของเราออกไปเรื่อย ๆ อันดับแรกก็ปลดจากความชั่ว คือ รัก โลภ โกรธ หลง ก่อน

จากนั้นก็ปลดจากความดี ค่อย ๆ ปลดไปทีละนิดทีละหน่อย ความเบามีมากขึ้นเรื่อย ๆ สภาพจิตเกิดปีติ เกิดผ่องใสมากขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายสุดพอแกะหมดก็ไปแล้ว ตัวใครตัวมันนะจ๊ะ

คำว่าตัวใครตัวมันในที่นี้คือ กายส่วนกาย ใจส่วนใจแล้ว ใจมีหน้าที่ดูอย่างเดียวแล้ว ดูเหมือนดูหนังดูละครเลย เป็นการดูหนังดูละครแบบคนมีปัญญาด้วย ดูแล้วไม่ได้ปรุงไม่ได้แต่งตาม ข้าก็ดูมีหน้าที่ดู ไม่ได้มีหน้าที่ไปยินดียินร้ายด้วยแล้ว

เมื่อไม่ได้ยินดียินร้าย รู้ว่าอะไรดีก็ทำ รู้ว่าอะไรชั่วก็ละ ลมหายใจหมดลงเมื่อไหร่ก็เป็นอันว่าจบกันแค่นี้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2013 เมื่อ 01:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #59  
เก่า 20-02-2013, 20:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"จำไว้ว่าตอนนี้..เดี๋ยวนี้..ปัจจุบันนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อดีตเป็นสิ่งที่มีแต่ความทุกข์ อนาคตก็ทุกข์อีก ปัจจุบันนี้ทุกข์น้อยที่สุด วางลงได้ก็จบเลย การอยู่กับปัจจุบันที่ง่ายที่สุดก็คืออยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับตอนนี้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2013 เมื่อ 01:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #60  
เก่า 22-02-2013, 20:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีโยมเอาของมาถวายพระอาจารย์ ท่านจึงกล่าวว่า "โบราณเขาเรียกว่า "เหง้าบัว" ถ้าบัวหิมะจริง ๆ มี ๒ อย่าง อย่างแรกเป็นต้นสมุนไพรที่มีลักษณะเหมือนกับดอกบัวจริง ๆ แต่ขึ้นอยู่ตามหน้าผาและพื้นที่หนาวเย็น อย่างที่ ๒ บางคนเรียกบัวหิมะ บางคนเรียกไข่มุกวิญญาณหิมะ เป็นแก่นน้ำแข็งที่ไม่ยอมละลายตัว มักจะจับตัวเป็นรูปเหมือนกับดอกบัวตูม เราลองนึกถึงน้ำแข็งที่ตากแดดไม่ละลายดู ว่าความเย็นจะเย็นจัดขนาดไหน ?

อาตมาฉันไม่ได้หรอก เพราะเป็นธาตุเย็น ถ้าอาตมาฉันไปก็ไข้จับ คนเขาเรียกว่าบัวหิมะก็โก่งราคาได้อีกหน่อย คนเคยกินเหง้าบัวอย่างอาตมา มุดลงสระไปพักเดียวก็งมขึ้นมาเป็นกุรุสเลย

ในช่วงที่เกิดทุพภิกขภัย พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุฉันของบางอย่างโดยที่ไม่ต้องประเคนได้ พวกเหง้าบัวถือเป็นประเภทหนึ่ง ท่านใช้คำว่าของที่เกิดในสระ ถ้ามัวแต่ไปรอชาวบ้านมาประเคน ชาวบ้านหากินเองยังไม่พอ ประเคนแล้วก็คงจะนั่งมองพระฉันไปกลืนน้ำลายไป พระพุทธเจ้าจึงอนุญาตให้ฉันได้โดยไม่ต้องประเคน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-02-2013 เมื่อ 02:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:58



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว