กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 28-01-2010, 10:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,477 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เคารพในพระรัตนตรัยจริง ๆ

พระพุทธเจ้าท่านไม่ปรินิพพานที่เมืองใหญ่ แต่ว่าไปปรินิพพานที่เมืองกุสินาราแทน พระอานนท์ทูลถามว่า "ทำไมพระองค์ไม่ปรินิพพานที่เมืองใหญ่ แต่ทรงปรินิพพานที่เมืองไกล เมืองกิ่งแค่นี้เอง" พระพุทธเจ้าบอกว่า "กุสินาราในอดีตไม่ใช่เมืองเล็ก เป็นเมืองใหญ่ชื่อมหาสุทัสสนะ เป็นเมืองที่พระเจ้าจักรพรรดิปกครองมาแล้ว ฯลฯ"

แต่จุดมุ่งหมายจริง ๆ ของพระองค์ท่านก็คือ กุสินาราเป็นเมืองเล็ก ถ้าหากพระองค์มรณภาพ เหล่ากษัตริย์แคว้นต่าง ๆ ที่เคารพนับถือ ต้องการอัฐิธาตุไปบูชา ถ้าหากพระองค์ปรินิพพานที่เมืองใหญ่ คนจะทำสงครามกันจนตายมหาศาล แต่ถ้าหากปรินิพพานที่เมืองเล็ก เมื่อเมืองใหญ่ยกทัพมา เมืองเล็กก็จะไม่กล้ารบ ต้องแบ่งพระอัฐิธาตุให้

จะเห็นว่ากระทั่งการมรณภาพ พระองค์ท่านก็ยังมองไปถึงการณ์ข้างหน้า เตรียมการไว้พร้อม ไม่ให้คนเดือดร้อนกัน นั่นขนาดเมืองเล็ก...พวกมัลลกษัตริย์เขายังลงมติว่ารบ จนกระทั่งโทณพราหมณ์ต้องไปเกลี้ยกล่อมว่า เราเป็นพุทธศาสนิกชน การรบราฆ่าฟันกันไม่ใช่วิสัยที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนเรา จึงได้ยอมสงบศึก

จุดหนึ่งที่หลวงพ่อท่านเคยบอกก็คือ กระดูกของครูบาอาจารย์ ไม่จำเป็นอย่าไปเอาไว้เลย ท่านบอกว่าเราจะเคารพนับถือเฉพาะแต่รุ่นของเราเท่านั้น พอรุ่นหลัง ๆ การเคารพก็จะจางลงไปเรื่อย และท้ายสุด ดีไม่ดี..ไม่มีใครรู้จัก บางท่านเอาไปแล้วก็เอาไปทิ้งไว้เฉย ๆ เหมือนเป็นสิ่งของทั่วไป ไม่มีการบูชาหรือดูแลรักษาให้สมเกียรติยศ

เมื่อวันที่ ๒๙ ไปงานหลวงปู่เก็บ (ท่านเจ้าคุณพระวิบูลเมธาจารย์) วัดดอนเจดีย์ อดีตเจ้าคณะอำเภอดอนเจดีย์ และอดีตเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี ท่านมรณภาพมา ๒๗ ปีแล้ว ปรากฏว่าเขาจัดงานใหญ่โตสมเกียรติท่านมาก เฉพาะโกศกระดูกของท่าน เขาทำในลักษณะย่อมุมไม้สิบสอง ปิดทองอร่าม ลวดลายละเอียดยิบเลย ถ้าหากลูกศิษย์รู้จักจัดงานบูชาพระคุณครูบาอาจารย์ลักษณะนั้น เคารพบูชายกย่องให้เกียรติอาจารย์ตนเองขนาดนั้น คนอื่นเห็นเขาก็เคารพตามเอง แต่ถ้าลูกศิษย์ไม่ได้ทำอย่างนั้น ทิ้งไว้เฉย ๆ นอกจากจะไม่ได้อะไรขึ้นมาแล้ว ยังเกิดโทษแก่ตนเองขึ้นด้วยซ้ำไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2014 เมื่อ 12:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 28-01-2010, 10:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,477 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงปู่มั่นมรณภาพมาสามสิบกว่าปี อัฐิท่านไม่ได้กลายเป็นพระธาตุ หลวงปู่มั่นไม่ต้องการให้กระดูกเป็นพระธาตุ เพราะกลัวว่าลูกศิษย์จะไปยึดติดตรงนั้น พอบรรดาลูกศิษย์ของหลวงปู่ท่านมรณภาพแล้ว อัฐิกลายเป็นพระธาตุไปตาม ๆ กัน แต่ด้วยความสงสัยของคน พวกประเภทดี ๆ ไม่คิด คิดแต่ชั่ว ๆ เขาก็เลยคิดว่า แล้วหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า ? อัฐิหลวงปู่ไม่เห็นเป็นพระธาตุกับเขาเลย ลูกศิษย์เป็นแล้ว แต่อาจารย์ไม่เป็นสักที ความเคารพเลื่อมใสก็เริ่มคลอนแคลน คราวนี้ก็ต้องเดือดร้อนถึงพระ ท่านก็ต้องทำให้เป็น...

ความต้องการของคนนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ที่ดี ๆ ไม่คิด ไปคิดแต่ที่ชั่ว ๆ เดือดร้อนแม้กระทั่งพระ การที่อัฐิจะเป็นพระธาตุหรือไม่เป็น ขึ้นอยู่กับว่า ๑. เจ้าของร่างได้อธิษฐานไว้หรือไม่ ? ๒ . พระท่านได้สงเคราะห์ให้หรือไม่ ? อาตมาถึงได้บอกว่า "ถ้าตายวันไหน ภายในสามวันจะเอาให้เน่าเหม็นตลบไปเลย ดูซิว่ายังจะยึดร่างกายอยู่อีกไหม ?"

มีอยู่เที่ยวหนึ่งตอนเป่ายันต์เกราะเพชร เขาทำบายศรีเป็นรูปนาคเกี้ยว พออนุญาตให้นำเครื่องบายศรีไปบูชาได้ คนนี้ก็เอาดอกไม้ช่อหนึ่ง คนนี้ก็ไข่ต้ม ดึงกันไปดึงกันมา มีอยู่คนหนึ่งเอานาคไปคู่หนึ่ง ตัวยาวเป็นเมตรเลย แล้วก็เดินถือโทง ๆ มาถามว่า "เอาไว้ทำอะไร ?" ก็บอกไปว่า "เลี่ยมแขวนคอไว้..!" ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าจะเอาไปทำอะไร แต่เห็นคนอื่นเอาด้วยก็เลยเอา ลักษณะอย่างนั้นแหละ

ที่กล่าวมาจะสรุปลงตรงที่ว่า ส่วนใหญ่พวกเราที่ไม่สามารถเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะว่าความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเรานั้น ไม่ได้เคารพจากตัวปัญญา แต่เป็นโมหะ ไปยึดผิดเป้าหมาย เราไม่ได้เคารพเพราะเห็นคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ แต่เราไปถือในเรื่องฤทธิ์ปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าท่านจึงห้ามไม่ให้พระภิกษุแสดงปาฏิหาริย์ เพราะว่าในเมื่อไม่ได้เคารพออกมาอย่างจริงใจแล้ว ความเข้าถึงธรรมก็ไม่มี ไปเคารพว่าท่านเก่งอย่างนั้น ท่านเก่งอย่างนี้ ก็จะทำให้คนยึดติดอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นได้

ถ้าหากเราปฏิบัติตามจนกระทั่งเกิดผลในระดับหนึ่ง ก็จะเห็นชัดเจนว่า คุณพระรัตนตรัยที่แท้จริงเป็นอย่างไร ถ้าหากเป็นอย่างนั้น ความเคารพในพระรัตนตรัยที่แท้จริงจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นกติกาของพระโสดาบัน ต้องแยกแยะให้ถูก ถ้าแยกผิดเดี๋ยวก็ได้แต่พญานาคไปแขวนคอแบบนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2014 เมื่อ 12:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 28-01-2010, 10:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,477 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเราเคารพพระรัตนตรัยจริง ๆ ?
ตอบ : ก็ต้องถามว่าเราเป็นพระโสดาบันหรือเปล่า ? ถ้ายังก็แปลว่ายังไม่จริง..!

ถาม : แล้วทำอย่างไรจึงจะเป็นพระโสดาบัน ?
ตอบ : ปฏิบัติตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก ข้อเดียว ก็คือ รักษาศีลเพราะเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รักษาศีลเพื่อไปพระนิพพาน เอาแค่นี้..สามข้อบางทีเยอะไป ที่บอกว่ารักษาศีลเพราะเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เพราะเราเห็นคุณจริง ๆ ว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีความดีอย่างไร รักษาศีลเพราะว่าเราจะไปพระนิพพาน เพราะเรารู้ตัวอยู่ว่าเราจะต้องตาย เกิดใหม่เมื่อไรก็ทุกข์อย่างนี้อีก ขึ้นชื่อว่าความทุกข์อย่างนี้ไม่ขอมี จึงเหลือที่ศีลตัวเดียว

ถาม : แล้วคนที่เป็นพระโสดาบันจะรู้ตัวไหมว่าเป็น ?
ตอบ : ถ้าเป็นวิชชาสามขึ้นไปก็จะรู้ เพราะว่าญาณคือเครื่องรู้จะเกิดขึ้นตอนนั้น แต่เนื่องจากว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อถึงระดับนั้นแล้ว สติปัญญาท่านจะเพียบพร้อมมาก ความไม่ประมาทจะมีเป็นปกติ ถึงแม้รู้ว่าตัวเองเป็นก็ยังทำไปเรื่อย ๆ ด้วยความไม่ประมาท เพราะฉะนั้น..ถ้าไปคิดว่าเราเป็นแล้ว ไม่ต้องทำ เดี๋ยวก็อยู่แค่นั้นแหละ ไม่ต้องไปถึงไหนกัน


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงเย็น ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันอาทิตย์ที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๓
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2014 เมื่อ 12:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:45



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว