กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 03-07-2015, 17:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default บรรยายธรรม ณ บ้านตลิ่งชัน วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (๐๑)

บรรยายธรรม ณ บ้านตลิ่งชัน (๐๑)
๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒



ที่เราปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้ ก็ทำเพื่อจะไปพระนิพพาน การที่เราต้องการไปพระนิพพาน อุปสรรคใหญ่จะมีเยอะมาก โดยเฉพาะการทดสอบกำลังใจในรูปแบบต่าง ๆ มารเขาเก่ง ใครรู้จักหน้าตาของมารบ้าง ? หน้าตาเหมือนเราเปี๊ยบเลย..!

จริง ๆ..ไม่ได้พูดเล่น เหมือนเราเปี๊ยบเลย มารกับความดีหน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง มีแต่ก้าวสุดท้ายเท่านั้น ก้าวสุดท้ายมารเขาจะดึงเราลง แต่พระดึงเราขึ้น ต่างกันแค่ก้าวสุดท้ายก้าวเดียว ขึ้นอยู่กับศรัทธา ความเชื่อ วิริยะ ความพากเพียร สติ ความตั้งมั่นระลึกรู้ของเรา สมาธิ กำลังใจที่ปักมั่นคง แล้วก็ปัญญา ความรู้แจ้งของเรา ถ้า ๕ อย่างนี้มีไม่ครบ เราสู้มารไม่ได้

ปี ๒๕๓๘ อาตมาโดนมารต้อนอยู่ ๒ เดือนกว่า ถูกตีแทบตาย บังเอิญหนังเหนียวจึงรอดมาได้ เห็นหน้ามารครบถ้วนสมบูรณ์แบบทุกอย่าง ถึงได้บอกกับเขาว่า “ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า กูจะยอมไหว้มึง..!” เขาเก่งมาก แต่พอผ่านจุดนั้น
ไปแล้ว กำลังใจเหมือนกับพลิกกลับ หลังมือเป็นหน้ามือ กลับด้านไปเลย

เราจะเห็นว่ามารไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นครูที่ดีที่สุดของเรา ครูคนนี้ขยันอย่าบอกใครเลย เผลอเมื่อไรเป็นออกข้อสอบ ถ้าเราสอบได้ กำลังใจก้าวพ้นจุดนั้นไป ก็จะไม่ถอยกลับมาอีก แต่ถ้าเราสอบตก เขาก็จะเป็นมาร คือผู้ขวาง ผู้ฆ่าเราจากความดี ถามว่า “ถ้าไม่ใช่ศัตรู แล้วเราจะทำอย่างไรกับเขา ?” ไม่ต้องทำอย่างไรกับเขาหรอก ปล่อยเขาไป เขามีหน้าที่ขวาง ก็ให้เขาขวางไป เรามีหน้าที่หนี เราก็หนีไป ดูว่าใครมีความสามารถมากกว่ากัน แค่นั้นเอง

คราวนี้การที่เขาขวางนั้น เขาสามารถใช้คน ใช้ของ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรา เป็นเครื่องทดสอบได้ กระติกน้ำวางตรงนี้แท้ ๆ มองลงไปโทสะเกิด "ใครวะ..? วางเกะกะฉิบหายเลย..!" นี่..เขาสามารถใช้ได้ขนาดนี้ ทั้งคน ทั้งของ โดยเฉพาะคนที่เรารัก ยิ่งรักมากเท่าไร จะเป็นตัวทดสอบเรามากเท่านั้น การกระทบกระทั่งที่เกิดขึ้นทุกประการ เกิดจากเจตนาของเขาทั้งสิ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 06-07-2015 เมื่อ 09:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 132 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 03-07-2015, 17:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยก่อนป้าเอี่ยม (คุณเอี่ยมศรี อ่อนคำ) ยังอยู่ที่วัดท่าซุง พวกเรารุ่นนี้น่าจะทันป้าเอี่ยมกันหลายคน ป้าเอี่ยมบอกว่า “หลวงพี่..เขาวางบ่วงไว้บานเลย โน่น..เขานั่งอยู่บนยอดเขาโน่น หย่อนลงมา รัก โลภ โกรธ หลง เต็มไปหมด เผลอเมื่อไรเราก็ติดบ่วง ไอ้นั่นก็หัวเราะชอบใจ กูได้อีกคนหนึ่งแล้ว เหมือนอย่างกับตกปลาเลย” อันนั้นต้องถามป้าเอี่ยม ป้าเอี่ยมแกทิพจักขุญาณดี

เรื่องของมาร อาตมายืนยันว่ามารมีตัวมีตนจริง ๆ สมัยเด็ก ๆ สวดมนต์ เขาว่า "รุมพลพหลพยุหะปาน พระสมุทรนองมา" ท่านว่า เขายกพหลพลโยธามาเหมือนกับน้ำในมหาสมุทรที่ไหลนองมา พร้อมที่จะท่วมทับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าไม่ได้เจอด้วยตัวเองอาตมาก็คงจะไม่เชื่อ แต่พอเจอด้วยตัวเอง ต้องยอมรับว่าเขามีตัวตนจริง ๆ แรก ๆ ยังคิดว่าเขาเป็นแค่อารมณ์ความรู้สึกเท่านั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เขามีตัวมีตน มีหน้ามีตา มีอะไรทุกอย่าง มีกระทั่งขันธ์ ๕ เหมือนกับเรานี่แหละ แต่ของเขาเป็นขันธ์ทิพย์เท่านั้น

คราวนี้การขวางของมาร เขาสามารถใช้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างในการสร้างสถานการณ์ เพื่อให้เรา
ออกห่างจากพระรัตนตรัย ยิ่งมากยิ่งดี จำไว้ให้แม่น ๆ เลยนะ ห่างพระรัตนตรัยเมื่อไรก็คือห่างความดี ห่างความดีโดยเฉพาะพระรัตนตรัย เราจะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันไม่ได้ เขาก็จะพยายามแหย่อยู่ในลักษณะนี้

แล้วสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมานี่แนบเนียนมาก ยิ่งกว่าไปเล่นหมากรุกกับพวกเซียนหมากรุกที่เป็นแชมป์โลกอีก กินเรา ๒๐ ต่อ ไม่มีโอกาสกระดิกเลย ทุกเรื่องจะดูสมเหตุสมผล พอเหมาะพอดีพอควรไปหมด จนกระทั่งเราปักใจมั่นเลยว่า อันนี้ต้องเป็นอย่างนี้แน่ อันนั้นต้องเป็นอย่างนั้นแน่ แล้วเราจะเผลอก้าวออกไป กลายเป็นห่างความดี ห่างพระศาสนาไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-07-2015 เมื่อ 19:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 03-07-2015, 17:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลายคนมาที่บ้านตลิ่งชัน เราเริ่มจะมีความดี มีความก้าวหน้า แล้วพอมาเจอเหตุการณ์อย่างนี้เข้า จะเกิดความลังเลสงสัย ลังเลสงสัยคืออะไร ? วิจิกิจฉาสังโยชน์ เสร็จเขาแล้ว เมื่อเกิดความลังเลสงสัยขึ้นมา จิตใจที่ไม่มั่นคงต่อพระรัตนตรัย ความเคารพเชื่อมั่นจริง ๆ ไม่มี เราก็ขาดทุนเอง

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เราลองตรองย้อนหลังไปสิ ตั้งแต่ก้าวแรกของเราที่มายังสถานที่นี้ หรือตั้งแต่ก้าวแรกของเราที่ได้พบ ได้รับคำสอนของหลวงพี่สมปอง ของอาจารย์สมปอง ของหลวงพ่อสมปองมาจนบัดนี้ มีส่วนใดส่วนหนึ่งที่นอกลู่นอกทางไปไหม ? ถามว่านอกลู่นอกทางอย่างไร ? ก็ให้เปรียบเทียบกับในพระไตรปิฎก หรือคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีของเรา ถ้าหากว่าเหมือนกัน ก็แปลว่าเราปฏิบัติตามมาไม่ผิดทาง ถ้าไม่เหมือนกัน นั่นแหละถึงจะแปลว่าผิดทาง

ส่วนใหญ่แล้วพวกเรายังขาดวิจารณญาณตรงจุดนี้ พอถึงเวลาอะไรเกิดขึ้น มักจะไประบุผิดชอบชั่วดีอย่างชัดแจ้งทันที คราวนี้ประสบการณ์ของตัวเราเหมือนกับคนขึ้นบันได คนขึ้นขั้นที่ ๑ มองไปก็ไม่ค่อยเห็นอะไรหรอก ขั้น ๒ ขั้น ๓ ขั้น ๔ สูงขึ้นไป ก็เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ เราจะไประบุมั่นว่าสิ่งที่เราเห็นตอนที่ยืนอยู่ขั้นที่ ๑ อย่างนี้ต้องใช่แน่ ความจริงแล้วไม่ใช่ พอไปถึงขั้นที่ ๒ อ้าว..ใช่ตรงนี้อีกแล้ว ไปถึงขั้นที่ ๓ อ้าว..ใช่ตรงนี้อีกแล้ว จะใช่ไปเรื่อย ๆ หลวงพ่อฤๅษีถึงได้บอกว่า คนเราไม่มีดีไม่มีชั่ว มีแต่คนที่กำลังเป็นไปตามกรรม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-07-2015 เมื่อ 19:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 130 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 04-07-2015, 09:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ที่กล่าวมาตรงถึงจุดนี้ก็อยากจะยกตัวอย่างว่า ปี ๒๕๒๘ ถ้าจำไม่ผิด แชร์คุณชม้อยล้ม รู้จักคุณชม้อยไหม ? ใครโดนไปบ้าง ? โดนกันไปหลายมือ แชร์น้ำมันชม้อยล้ม ก่อนช่วงนั้นลูกศิษย์หลวงพ่อล่ำซำอู้ฟู่กันมากเลย ประเภทต่ำกว่าใบละ ๕๐๐ บาทใช้ไม่เป็น

อาตมาไม่ได้เล่นแชร์ แต่เจ๊งไปกับเขาเป็นล้าน ๆ เพราะอะไร ? ก็พวกเรานี่แหละ “ถึงพี่ไม่มีความโลภ แต่ผมเองยังต้องกินต้องใช้อยู่ ผมได้มา ผมเอามาทำบุญ ก็เท่ากับพี่ได้ช่วยพระศาสนาด้วย” ว่าแล้วก็ยืมคนละคัน ครึ่งคัน ล้อหนึ่งบ้าง น็อตหนึ่งบ้าง สรุปแล้วอาตมามีลูกหนี้อยู่บานเลย แล้วตั้งบัดนั้นจนบัดนี้เสียใจอยู่อย่างเดียว คือ เขาไม่เข้าวัด เพราะอาตมาอยู่ในวัด ไม่เคยทวงเขาเลย แต่เขาไม่เข้าวัด เสียดายมาก

ตอนช่วงนั้นพอแชร์ชม้อยล้ม เดือนแรกคนแห่กันไปสายลมแทบแตก ไปกันชนิดจะเหยียบกันตาย ไปเพื่ออยากจะรู้ว่า แชร์ชม้อยล้มแล้วจะฟื้นใหม่ไหม ? เดือนที่ ๑-๓ ไปกันขนาดนั้น พอเดือนที่ ๔ ก็เหลือสักครึ่งหนึ่ง เดือนที่ ๕ เหลือประมาณ ๑ ใน ๔ อาตมาเองมองเหตุการณ์อยู่ตลอด มีเพื่อนซี้อยู่คนหนึ่งชื่อลุงพุฒิ ไม่ใช่ลุงพุฒิข้างล่างนะ ตอนนั้นมีพรรคพวกอยู่ ๓-๔ คนที่รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่ออยู่

อาตมาบอกว่า “ลุง..ถ้าพวกเราหายไปสักคนหนึ่ง ที่เหลือ ๑ ใน ๔ นี่จะหายไปด้วย เพราะฉะนั้น..เป็นตายอย่างไรพวกเราไปไหนไม่ได้นะ” ลุงพุฒิถามว่า “คนอื่นเขาดูเราขนาดนั้นเลยหรือ ?” ก็บอกว่า “ใช่..ผมเองไม่ได้อยู่เฉย ๆ นะลุง ใครมาใครไปผมวิเคราะห์เขาตลอด คนบางประเภทมาเพราะต้องการเครื่องรางของขลัง คนบางประเภทมาเพราะต้องการหวย คนบางประเภทมาเพราะจะได้ไปคุยกับเขาว่า พระที่มีชื่อเสียงรูปนี้เราเคยไปกราบมาแล้ว คนบางประเภทหลงเซ่อ ๆ ตามเพื่อนมา ไม่รู้เรื่องอะไรเลย คนอีกบางประเภท มาเพราะต้องการธรรมะจริง ๆ แล้วประเภทสุดท้ายนี่แหละ ที่เหลืออยู่ ๑ ใน ๔ ตอนนี้

“ถามจริง ๆ เถอะลุง ๑๐ กว่าปีที่เราอยู่กับหลวงพ่อมาด้วยกัน หลวงพ่อเคยสอนผิดไหม ?” ลุงบอกว่า “ไม่เคย” “หลวงพ่อเคยพูดผิดไหม ?” “เคย” ถามว่า “ทำไมถึงพูดผิด ?” “การพยากรณ์ของหลวงพ่อผิด” “ผิดเพราะอะไร ?” อย่างเช่นบอกว่าเหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นในเวลานี้ ในวาระนี้ เสร็จแล้วกลับไม่เกิดขึ้น บอกต่อไปว่าจะเป็นอย่างนั้น ๆ แล้วก็ไม่เป็น ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2015 เมื่อ 11:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 117 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 04-07-2015, 09:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การพยากรณ์เขาใช้สถานการณ์ปัจจุบันเป็นตัวตั้ง อย่างตอนนี้ อาตมาเคยเปรียบเทียบให้ฟังว่า ถ้าเราขับรถด้วยความเร็ว ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เราจะไปถึงเชียงใหม่ภายใน ๗ ชั่วโมง นี่คือคำพยากรณ์ แต่ถ้าเราเร่งความเร็วขึ้นเกิน ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะถึงก่อนไหม ? ก็ถึงก่อน..แล้วลดความเร็วลงจะถึงทีหลังใช่ไหม ? ใช่..คำพยากรณ์จะผิดไปทันที เพราะปัจจัยที่มาทีหลังเป็นตัวแปร ทำให้เหตุการณ์เพี้ยนไป

แต่สิ่งที่หลวงพ่อสอนเรามาเกี่ยวกับการปฏิบัติเคยมีผิดไหม ? สองคนนั่งหัวชนกันวิเคราะห์..ไม่มี ทุกอย่างที่หลวงพ่อสอนตามคำพระพุทธเจ้าแล้วเราปฏิบัติ โดยเฉพาะเรื่องของการปฏิบัติภายในเพื่อการเข้าถึงความสงบระงับ เพื่อเข้าถึงการละเลิกจากกิเลส ไม่มีจุดไหนผิดเลย แม้เรายังทำไม่ถึงที่สุด แต่เราก็มั่นใจ เพราะตลอดเส้นทางที่ผ่านมา เป็นอย่างที่หลวงพ่อสอนมาทั้งหมด ถ้าเป็นดังนี้ เรามาเพื่ออะไรลุงบอกได้ไหม ? “เรามาเอาธรรมะ” “ใช่..เรามาเอาธรรมะ เราไม่ได้มาเอาแชร์ชม้อย เพราะฉะนั้น..คนอื่นจะไปไหนช่างหัวมัน แต่เราต้องอยู่”

พอดีกับหลวงพ่อท่านต้องการพระบวชแก้บน ท่านชวนบวช อาตมาก็มานึกว่า วาระกำลังดี ขณะที่คนอื่นเขาถอยหลังออกไป เรากลับมีโอกาสได้ก้าวขึ้นไปข้างหน้า จึงรับปากหลวงพ่อท่านว่าจะบวช แต่ตอนนั้นยังไม่มั่นใจ เพราะเห็นนรกมาเสียจนกลัว จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า “เอานานไหมครับ ?” ท่านบอกว่า “บวชแก้บนใครเขาเอานานกัน ๗ วัน ๑๐ วันก็พอแล้ว” อาตมาตั้งใจจะบวชสัก ๗ วัน ปาไป ๒๐ ปีแล้ว เพลินไปหน่อย...

จึงอยากจะบอกกับพวกเราทุกคนว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านตลิ่งชันแห่งนี้ ก็คล้าย ๆ กับบ้านสายลมในยุคนั้น เป็นตะแกรงที่จะร่อน ร่อนอะไร ? ร่อนกรวด ร่อนทราย ร่อนเพชร ร่อนพลอย หรือทอง จะเป็นตัวคัดเลือกที่ดีที่สุด ว่าพวกเราเองมีความมั่นคงในพระรัตนตรัยเท่าไร ? มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาเท่าไร ? ที่จะต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อจะก้าวไปข้างหน้า

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ปกติแล้วยิ่งมากยิ่งดี แต่พวกเรานี่โดนหน่อยเดียวก็หงายท้องกันหมดแล้ว การทดสอบเหล่านี้ยังจะมีมาอีก จะมาเป็นระยะ ๆ ไป อาตมามาวันนี้ไม่ได้มารับรองใคร แล้วก็ไม่ได้มาแก้ตัวแทนใคร แต่มาบอกให้เข้าใจสภาพความเป็นจริงว่า สมัยก่อนเรื่องอย่างนี้เคยเกิดขึ้นมา แล้วอาตมามีวิธีคิด มีแง่มุมในการมองแบบไหน จำไว้เลยว่าโลกนี้ไม่มีขาวดำชัดเจน ไม่มีคนดีคนชั่ว มีแต่คนกำลังเป็นไปตามกรรม ใครทำเอาไว้มากก็รับเละหน่อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2015 เมื่อ 11:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 116 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 05-07-2015, 09:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนอาตมาเองทำเขาไว้เยอะมาก เมื่อคืนหมดท่า ไปไหนไม่รอด..ตายดีกว่า กินยาไปหมดแผงแล้วก็นอนเลย ดันไม่ตาย..ลุกขึ้นมาได้อีก คือถ้าพวกเราตั้งใจปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่ง พอก้าวเข้าสู่จุดที่เรียกว่า โคตรภูญาณ เอาแค่โคตรภูญาณของความเป็นพระโสดาบันก็พอ ความมั่นคงในพระรัตนตรัยของเรานี่ ประเภทด่าก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนี เชื่อมั่นสุดจิตสุดใจจริง ๆ

ถ้าเรายึดความดีส่วนนี้เอาไว้ ความชั่วส่วนอื่นก็เข้ามาไม่ได้ อารมณ์ใจของเราเสวยอารมณ์ คือ การรับรู้อะไรได้ทีละอย่างเท่านั้น ถ้าเราให้ความดีอยู่ในใจของเรา ความชั่วก็เข้ามาไม่ได้ แต่ถ้าเราให้ความชั่วอยู่ในใจของเรา ความดีก็เข้ามาไม่ได้เช่นกัน จึงอยู่ที่เราเลือก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่เราจะมองหาแง่มุมที่มีประโยชน์ได้อย่างไรเท่านั้นเอง ถ้าเรารู้จักเลือก เราก็จะสามารถคัดเอา เลือกเอาสิ่งที่ดี ๆ ออกมาได้

ถ้าเรามีตะกร้าอยู่ใบหนึ่ง เดินไปเจออะไรเราก็เก็บมาหมด เจอสตางค์เก็บสตางค์ใส่ตะกร้า เจอผักเจอหญ้าเก็บใส่ตะกร้า เจอขี้หมูขี้หมาเก็บใส่ตะกร้าหมด ตะกร้าคือตัวเรา ในเมื่อเราเก็บมาขนาดนั้นแล้ว ถึงเวลาเราบอกว่าอยากได้สตางค์อย่างเดียว อยากได้เงินได้ทองอย่างเดียว โดยอย่างอื่นไม่เอาก็ไม่ได้ เพราะเราเก็บมาเต็มตะกร้าแล้ว สำคัญตรงที่ว่าเราสามารถที่จะเอาของในตะกร้านั้น ไปดัดแปลงใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร

มีเงินมีทอง ถ้ามีมากก็ฝากธนาคาร มีไม่มากขนาดนั้นก็ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเกี่ยวกับปัจจัย ๔ ต่าง ๆ มีผักมีหญ้าอันไหนสามารถจะดัดแปลงเป็นอาหารได้ก็ทำไป ขี้หมูขี้หมาก็เอาไปทำเป็นปุ๋ยได้ ต้นไม้ก็งอกงาม สำคัญว่าเราเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ถ้าเราใช้ประโยชน์เป็น สิ่งที่ไม่ดีก็กลายเป็นสิ่งที่ดีได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2015 เมื่อ 11:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 05-07-2015, 09:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขณะที่เรากำลังฟุ้งซ่านอย่างเต็มที่ เอาไม่อยู่แล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ให้เราตามดู เหมือนกับม้าพยศแหกคอกไปแล้ว อย่างไรก็รั้งไว้ไม่อยู่ ให้ใช้วิธีกอดคอไปด้วยกันเลย ถ้าหากว่าเหนื่อยเมื่อไร เราค่อยรั้งม้ากลับมา ขณะที่ใจเราฟุ้งซ่านจนถึงที่สุด อกุศลเกิดขึ้นเต็มหัวใจเราเลย แต่ว่าเราสามารถเอาอกุศลมาสร้างกุศลได้ คือกำหนดสติขึ้นมา สติคือตัวมหากุศล เกิดขึ้นในจิตของเรา คือตามดูว่าเราจะคิด จะพูด จะทำเรื่องชั่ว ๆ เหล่านั้นไปได้สักขนาดไหน

ในเมื่อเราสร้างสติเกิดขึ้นได้ ตัวกุศลก็เกิดขึ้นทันที มหากุศลเกิดขึ้นจากการที่เรามีสติรู้อยู่เฉพาะหน้า รู้ในอารมณ์ปัจจุบัน รู้ว่าตอนนี้อะไรเกิดขึ้นในใจของเรา จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน จิตของเราตอนนี้มีสภาพอย่างไร ? ธัมมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ธัมมารมณ์ คืออารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในใจของเรา ตอนนี้เป็นอย่างไร ? เอาสติกำหนดรู้เอาไว้ เราก็สามารถสร้างกุศลจากอกุศลได้ สร้างความดีจากสิ่งที่ไม่ดีได้

ใครตามไม่ทันยกมือประท้วงได้นะ บางอย่างพูดแล้วก็รู้สึกว่าสูงเกินไป เดี๋ยวจะลากต่ำลงมาให้ ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราเลือกเป็น เราใช้เป็น เราสามารถสร้างความดีขึ้นมาได้ทุกสถานการณ์ สำคัญที่สุดต้องเป็นอารมณ์ปัจจุบัน ต้องตอนนี้เดี๋ยวนี้เท่านั้น เราจะไปพระนิพพาน อดีตไปไม่ได้หรอก เพราะเลยมาแล้ว ถ้าไปได้ไม่มานั่งอยู่อย่างนี้หรอก อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ขบวนรถไฟที่ยังมาไม่ถึง เรายังขึ้นไม่ได้ ต้องปัจจุบัน ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เท่านั้น

เพราะฉะนั้น..การที่เราจะรักษาอารมณ์ของเราให้อยู่กับปัจจุบันที่ดีที่สุดก็คือ อยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับพุทโธของเรา อยู่กับนะมะพะธะของเรา แล้วแต่ถนัดแบบไหน บางคนก็จับภาพพระเป็นปกติ เกาะพระเป็นปกติ อย่างไรเสียพระก็อยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าของเรา ไม่ได้ไปไหนหรอก แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งสัก ๒๐-๓๐ เปอร์เซ็นต์ จับภาพพระเอาไว้ อีก ๖๐-๗๐ เปอร์เซ็นต์ ทำหน้าที่ของเราไป เราก็จะเป็นผู้มีสติอยู่ตลอดเวลา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2015 เมื่อ 11:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 97 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 06-07-2015, 09:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่าลืมนะ..เมื่อครู่บอกว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ถ้ามีสติทรงตัว สมาธิก็ตั้งมั่นได้ง่าย สมาธิตั้งมั่น ปัญญาก็เกิด ปัญญาเกิดก็จะไปคุมสติอีกทีหนึ่ง จะวิ่งไล่ตามกันไป เหมือนอย่างกับเราหมุนเกลียวของน็อต หรือว่าหมุนเกลียวตะปู ถึงเวลาหมุนไปเรื่อย ๆ ก็จะสุดลงไปเอง เพียงแต่ต้องทำให้ต่อเนื่อง

ปัจจุบันพวกเราที่ทำแล้วไม่ค่อยไปไหน เพราะว่าทำแล้วทิ้ง ลุกแล้วเลิก ต้องลุกไปแล้วรักษาอารมณ์ที่เราทำได้ ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด เรานั่งสมาธิ แหม..ผ่องใสเหลือเกิน สุขเยือกเย็นใจอย่างบอกไม่ถูก แต่พอลุกแล้วเลิกเลย ไปด่าเขาปาว ๆ แบบนั้นใช้ไม่ได้ ทำอย่างไรเราจะประคับประคองความมีสติ ความสุข ความเย็นกายเย็นใจนั้น ให้อยู่กับเราได้นานที่สุด ?

ตอนนี้เราเป็นผู้ทวนกระแสโลก ถ้าเราทวนกระแสมาถึงตอนนี้แล้วเราปล่อย ก็จะลอยตามกระแสไป เหมือนกับคนว่ายทวนน้ำ พอรามือก็ลอยตามน้ำไป แล้วเราก็ว่ายใหม่ ถ้าหากเราปล่อยไปวันหนึ่ง ว่ายใหม่หนึ่งวัน อย่างเก่งก็มาได้แค่เดิม ถ้าเหนื่อยมาก ๆ ว่ายหลาย ๆ เที่ยวก็ได้ไม่เท่าเดิม กลายเป็นว่าไม่ได้อะไรเพิ่มเลย ขยันทำงานทุกวัน แต่ผลงานไม่มี แล้วเราก็จะท้อ พอเราท้อเดี๋ยวก็พาเราถอย ถอยเมื่อไรก็ห่างความดีเมื่อนั้น

นอกจากรักษาอารมณ์ให้อยู่กับปัจจุบันแล้ว เรายังต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องตามกันทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าเราทำถึงจริง ๆ แม้แต่หลับอยู่เราก็ทำได้ สติ สมาธิ ปัญญา จะดำเนินหน้าที่อยู่ตลอด หลับอยู่ก็เหมือนกับตื่น จะรู้ตัวอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นแล้วเราเองสามารถระวังป้องกันได้แต่ตอนตื่นเท่านั้น พอหลับเมื่อไร เดี๋ยวกิเลสก็ตีเราในความฝัน เพราะฉะนั้นเราจึงต้องคอยวัดตัวของเราเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2015 เมื่อ 09:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 06-07-2015, 09:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เวลาฝันมีโอกาสที่จะละเมิดศีล เราละเมิดไหม ? มีโอกาสที่จะทำความดี เราทำไหม ? เพราะว่าในฝันนั้นจะเป็นอารมณ์ที่แท้จริงของเรา ไม่สามารถที่จะปรุงแต่งได้ บอกสภาพจิตที่แท้จริงว่าเรามีต้นทุนแค่ไหน ถ้าเราสามารถรักษาสมาธิของเราให้ทรงตัว หลับกับตื่นมีอารมณ์ใจเท่ากัน สติ สมาธิ ปัญญา ดำเนินไปในการตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ต่อเนื่องตามกันไปเรื่อย ความก้าวหน้าถึงจะมี ที่ท่านบอกว่าพุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หลับอยู่ก็เหมือนตื่น สติเท่ากับตื่นอยู่ทุกอย่าง กิเลสเข้ามาตอนไหนก็รู้ ไม่อย่างนั้นแล้ว เวลากลางวันรักษาศีลไว้อย่างดีเยี่ยม เพราะเราตื่นอยู่ แต่กลางคืนฝันว่าฆ่าเขาตายเป็นกองทัพเลย กำลังใจแบบนั้นยังห่วยแตก..ใช้ไม่ได้

เมื่อเรารักษาอารมณ์ใจให้ตั้งมั่นเฉพาะหน้าอยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน มีการปฏิบัติต่อเนื่องตามกันทุกลมหายใจเข้าออก ก็อย่าเพิ่งคิดว่าจะรอด เพราะมารเขาเก่ง สังเกตดู..พอพวกเรากำลังดีทุกครั้งก็จะพัง กำลังเริ่ม..เออ..วันนี้เราได้อะไรเยอะมากเลย พักเดียวเท่านั้นแหละ พังไม่เป็นท่าเลย เหมือนกับเราเดินไปที่ประตู ถึงประตูแล้ว แค่เอื้อมมือจับลูกบิดเปิดประตู เราก็จะก้าวพ้นไปแล้ว แต่เขารักเรามาก เขาไม่อยากให้เราไป เขาจะหาวิธีใดวิธีหนึ่ง มาหลอกให้เราหลงทางจากประตูนั้นเสีย ไปรับอารมณ์อื่น ๆ เข้ามาแทน กลายเป็นรัก โลภ โกรธ หลง เดินถึงประตูแล้วก็เลี้ยวซ้ายบ้าง เลี้ยวขวาบ้าง เลาะข้างกำแพงต่อไป ไม่ยอมเปิดประตูสักที เพราะว่าเราขาดธัมมวิจยะ ตัวนี้อยู่ในโพชฌงค์ ๗ ธัมมวิจยะ การแยกแยะในธรรม

เราไม่รู้จักวิเคราะห์ว่า ผลนี้ที่เกิดขึ้นแล้วดี เกิดจากเหตุอะไร ? ผลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ดี เกิดจากเหตุอะไร ? แล้วเราก็เลือกทำเหตุที่ดี เพื่อให้ผลที่ดีเกิดต่อเนื่อง ละเหตุที่ไม่ดี เพื่อไม่ให้ผลที่ไม่ดีเกิด ถ้าเราทำอย่างนี้จะมีความก้าวหน้า แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็จะถอยหลัง ขอยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนมาเป็นไปตามนั้นทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงสอนเรามา พิสูจน์ได้ทั้งหมด ขอให้ทำให้จริง ทำให้ถึงเท่านั้นเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2015 เมื่อ 09:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 06-07-2015, 09:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราต้องใช้ความพยายามมากกว่านี้ ทุกวันนี้เราจะคิดว่าตัวเองขยันยังไม่ได้หรอก วันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง เราทรงความดีไว้ในใจได้กี่ชั่วโมง ? ถามตัวเองแค่นี้ก็รู้แล้ว ถ้าเราทรงความดีเอาไว้ได้ ๖ ชั่วโมง อีก ๑๘ ชั่วโมงเป็นอย่างไร ? ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง จะขาดทุนอยู่ตลอด หา ๖ ชั่วโมง กิน ๑๘ ชั่วโมงนี่ไม่พอ ทำอย่างไรจะได้เรามีความขยันขนาดที่ว่า ทุกวินาทีของเรา ให้สติสมาธิของเราทรงตัวอยู่เฉพาะหน้า มองทุกอย่างให้เห็นตามความเป็นจริง ว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา

วันนี้มาจะฝากการบ้านได้แค่นี้แหละ บอกแล้วไม่ได้มาแก้ตัวให้ใคร แล้วก็ไม่ได้มารับรองใคร แต่จะมาบอกว่าสมัยก่อนเรื่องอย่างนี้เกิดแล้ว แล้วอาตมาวิเคราะห์วิจัยอย่างไร ? แล้วทำอย่างไรถึงมาอยู่ในจุดปัจจุบันนี้ ? แต่ละคนแนวการปฏิบัติใกล้เคียงกัน ก็ไปกันได้ ถ้าไม่ใกล้เคียงกัน เราก็ต้องเสาะหาแนวทางของเราเองพระพุทธเจ้าสอนไว้ ๘๔,๐๐๐ หนทางด้วยกัน เราชอบตรงจุดไหนเราทำไป หลวงพ่อวัดท่าซุงเราสอนไว้หมดแล้ว ใช้คู่มือปฏิบัติกรรมฐาน หรือกรรมฐาน ๔๐ เป็นหลัก ประกอบด้วยมหาสติปัฏฐานสูตรอีกเล่มหนึ่ง หรือว่าธรรมปกิณกะก็ได้ ชอบตรงจุดไหนให้ศึกษาไป แล้วทำให้ถึงจริง ๆ

ส่วนใหญ่ก็ไปทำ ๆ ทิ้ง ๆ พอใครบอกตรงไหนดีก็ขยับไปทำตรงนั้น ตรงนั้นดีก็ขยับไปตรงนั้น ของเดิมยังทำไม่ได้ แล้วของใหม่จะไปดีได้อย่างไร? อาตมาเคยเปรียบว่าเหมือนกับขุดบ่อจะเอาน้ำ ขุดลงไปได้วาสองวา เขาบอกตรงโน้นดีกว่าก็ทิ้งไปขุดใหม่ ขุดไปได้สัก ๓ ศอก หรือไม่ถึง ๔ ศอก เขาบอกตรงโน้นดี เราย้ายไปขุดอีกแล้ว แล้วเมื่อไรจะได้น้ำไว้ใช้สักที ? ต้องปักใจแน่วแน่มั่นคง รักเดียวใจเดียว เราทำกรรมฐานกองนี้คือกองนี้ เอาให้ถึงที่สุดไปเลย แล้วที่เหลือเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าหากเราทำไม่ถึงที่สุด ก็จะยากทั้งหมด

ใช้เวลาของพวกเรามาเยอะแล้ว คงจะขอยุติลงแค่นี้ก่อน เพราะว่าร่างกายไม่ค่อยไหว คอก็เจ็บ เพดานปากเจ็บหมดเลย ปัจจุบันนี้อยู่ได้ด้วยยา ก็บอกแล้วว่าเมื่อคืนตั้งใจว่าจะไม่อยู่แล้ว ท่านสมปองกลัวว่าอาตมาไปแล้วภาระของท่านจะเยอะขึ้น จึงไปกระตุกหางเอาไว้ก่อน หางยาวเกินไปเขาจับได้เลยยุ่ง ก็ฝากพวกเราไว้แค่นี้ก่อนแล้วกันนะ มีกิจกรรมอะไรของพวกเราก็ทำต่อไป
(มีต่อ)

----------------------------

พระครูวิลาศกาญจนธรรม
บรรยายธรรม ณ บ้านตลิ่งชัน ๐๑
วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒

(ถอดเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 06-07-2015 เมื่อ 16:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 82 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:48



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว