กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 29-11-2017, 07:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,458
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,196 ครั้ง ใน 34,047 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ วันนี้จะขอกล่าวถึงการรับมือกับกองกิเลสใหญ่ ที่เป็นข้าศึกของพวกเรากองต่อไป คือ โลภะ

โลภะหรือความโลภนั้น สำหรับพวกเราแล้วตัดได้ง่ายมาก เพราะว่าความโลภเกิดจากมัจฉริยะ คือความตระหนี่ถี่เหนียวในใจของเรา ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการตระหนี่ถี่เหนียวด้วยสมบัติ การตระหนี่ถี่เหนียวด้วยตระกูล เป็นต้น

ส่วนใหญ่เราเข้าใจว่าความโลภนั้น ก็คือความตระหนี่ในเรื่องสมบัติอย่างเดียว ถ้าจะแก้ตัวโลภนั้น แก้ได้ ๒ วิธี วิธีแรกคือให้มีจิตคิดสละออกอยู่เสมอ เป็นกองกรรมฐานใหญ่กองหนึ่ง เรียกว่า จาคานุสติกรรมฐาน วิธีที่สองก็คือการให้ ซึ่งเป็นการสร้างบารมีให้เข้มแข็ง จะได้ต่อต้านกับกิเลสอื่น ๆ ได้ด้วย ก็คือการบำเพ็ญในทานบารมี ในส่วนนี้พวกเราทั้งหลายก็ทำกันจนชินแล้ว สามารถสละออกได้โดยไม่หนักใจ แต่สำหรับผู้ที่ฝึกใหม่ ๆ ยังมีความหนักใจอยู่ ก็จะให้ได้ยาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2017 เมื่อ 10:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 29-11-2017, 07:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,458
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,196 ครั้ง ใน 34,047 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เคยสังเกตเห็นญาติโยมหลายคน ขนาดมาถึงตรงหน้าแล้วยังละล้าละลัง ล้วงปัจจัยออกมาแล้ว ยังยัดกลับคืนไปก็มี หรือไม่ก็ดึงออกมาแล้วเก็บกลับไปครึ่งหนึ่ง เป็นต้น

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้หากเราทำจนชินแล้ว ก็สามารถที่จะสละออกได้ง่าย แปลว่ากำลังในตัวโลภของพวกเรามีน้อยลง ไม่สามารถที่จะต่อต้านอำนาจในการสละออกได้ ถ้าเราสละบ่อย ๆ ตอนแรกสละจากของน้อย เมื่อความเคยชินมีมากขึ้น บารมีเข้มแข็งมากขึ้น ก็สละของที่มากขึ้น มีราคาสูงขึ้นได้ ท้ายสุดที่สำคัญที่สุดก็คือ สละ รัก โลภ โกรธ หลง จากใจของเรานั่นเอง

ถ้าหากว่าเราสามารถให้ได้ในทุกที่ทุกเวลา ให้โดยไม่ได้ใส่ใจว่าเขาจะเอาไปทำอะไร ? หลอกลวงเราหรือไม่ ? ก็แปลว่าเรามีจาคานุสติและทานบารมีที่เต็มแล้ว ประกอบไปด้วยอุเบกขาในทาน อุเบกขาในจาคานุสติ รู้ว่าเขาต้องการเราก็ให้ ส่วนให้แล้วเขาจะเอาไปทำประโยชน์อย่างไรเราไม่ใส่ใจ ทำอย่างนี้ได้ก็แปลว่าตัวโลภไม่มีอำนาจเหนือใจของเราได้ เราก็จะเป็นผู้ชนะกองกิเลสใหญ่ได้อีกกองหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2017 เมื่อ 10:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 30-11-2017, 09:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,458
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,196 ครั้ง ใน 34,047 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กองกิเลสกองต่อไป คือโทสะ ความโกรธเกลียดอาฆาตแค้นคนอื่น ซึ่งโดยปกติแล้วความโกรธนั้นมีได้ แต่อย่าเก็บไว้นาน การเก็บไว้นานคือการผูกโกรธ เมื่อผูกโกรธแล้วถ้าคิดอยากให้เขาพินาศไป ก็จะกลายเป็นอาฆาตพยาบาท ซึ่งการแก้ไขตรงจุดนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำว่า ให้ใช้เมตตาบารมี ก็คือตัวเมตตาในพรหมวิหารทั้ง ๔

แผ่เมตตาไปยังผู้อื่น สัตว์อื่น แต่ว่าการแผ่เมตตานั้น ต้องเริ่มจากการให้คนที่เรารักก่อน เมื่อให้จนชินแล้ว ก็ให้คนที่เรารักน้อยกว่า ให้คนที่เราไม่รักไม่เกลียด ให้คนที่เราเกลียดน้อย จนกระทั่งกำลังใจมั่นคงแล้ว จึงจะให้คนที่เกลียดมากได้

ไม่เช่นนั้นแล้วเราตั้งใจแผ่เมตตาถึงคนที่เราเกลียดมาก ไม่ชอบหน้าเลย กำลังใจของเราไม่สามารถที่จะฝืนตนเองได้ เพราะยังโกรธยังเกลียดอาฆาตแค้นอยู่ จิตไม่สามารถประกอบไปด้วยเมตตาบารมี จึงต้องแผ่เมตตาในลักษณะค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ทีละขั้น จนกระทั่งมองหน้าเขาเมื่อไรไม่มีความรู้สึกหนักใจ สามารถให้อภัยได้เสมอ นั่นแสดงว่าเราสามารถชนะตัวโทสะได้แล้ว

ส่วนอีกวิธีการหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ปฏิบัติในวรรณกสิณทั้ง ๔ ก็คือ กสิณสีแดง กสิณสีเหลือง กสิณสีเขียว กสิณสีขาว นำเอาวัสดุที่มีสีนั้น ๆ มาเป็นองค์กสิณ ลืมตามองแล้วหลับตาลง นึกถึงภาพ เมื่อภาพเลือนหายไป ก็ลืมตามอง หลับตาลง นึกถึงใหม่ ทำลักษณะนี้เป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง จนกระทั่งภาพกสิณสีใดสีหนึ่งนั้นติดตาติดใจเรา ลืมตาก็เห็นได้ หลับตาก็เห็นได้ แล้วเราก็ต้องตั้งสติประคับประคองไว้ ไม่ให้ภาพกสิณหายไปจากใจของเรา

ตรงช่วงที่กำลังใจของเราจดจ่ออยู่กับภาพกสิณนั้น รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะเข้ามาได้ โดยเฉพาะวรรณกสิณทั้ง ๔ มีอำนาจระงับโทสะได้โดยตรง แต่เป็นการระงับเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่สามารถที่จะระงับได้ตลอดไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2017 เมื่อ 10:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 30-11-2017, 09:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,458
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,196 ครั้ง ใน 34,047 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราต้องมาพินิจพิจารณาว่า บุคคลที่ทำให้เราโกรธนั้น สิ่งที่เขาทำนั้นผิดหรือถูก ถ้าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจเรา เราไปโกรธเขาเป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่ ? เราก็จะรู้คำตอบเองว่าไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะไปโกรธ เพราะว่าบุคคลที่ยอมสละตัวตนมาเป็นกระจก ส่องให้เราเห็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งามในตัวเอง ควรตั้งอยู่ในฐานะของครูที่เคารพมากกว่า ไม่ใช่ในฐานะศัตรูที่จะไปโกรธเกลียดพยาบาทเขา

แต่ถ้าหากสิ่งที่เขาคิด เขาพูด เขาทำต่อเรา ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง บุคคลที่ไร้ปัญญาจนขนาดไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ก็ไม่น่าที่จะโกรธ หากแต่น่าสงสารมากกว่า ถ้าหากว่าเรารู้จักพินิจพิจารณาในลักษณะนี้ เราจะค่อย ๆ ปล่อย ค่อย ๆ วางโทสะของเราไปได้ จนกระทั่งสามารถแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า ได้โดยเสมอหน้ากัน

โดยเฉพาะตัวเมตตาบารมีเป็นกรรมฐานที่สำคัญมาก นอกจากระงับความโกรธแล้ว ยังช่วยให้สภาพจิตของเราชุ่มชื่นเบิกบาน สามารถปฏิบัติธรรมได้ไม่เบื่อไม่หน่ายอย่างที่ตนเองต้องการ

ดังนั้น...ถ้าหากว่าท่านถนัดในการแผ่เมตตา ก็ค่อย ๆ แผ่เมตตา ถ้าถนัดในการภาวนา ก็จับวรรณกสิณกองใดกองหนึ่งขึ้นมาภาวนา ถ้าทำได้คล่องตัวเมื่อไร ก็สามารถระงับยับยั้งความโกรธลงไปได้อีกตัวหนึ่ง เราเองก็จะเบากายเบาใจ ด้วยกิเลสใหญ่หมดกำลังไปแล้ว


ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้า)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2017 เมื่อ 10:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:04



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว