กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > ปกิณกธรรมจากเกาะพระฤๅษี

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-05-2010, 21:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๐

อบรมที่เกาะพระฤๅษี วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๐


น่าจะใช่...ถ้าผมฟังไม่ผิด ดังนั้น..ไม่ต้องห่วงผมดูแลตัวเองได้ จำไว้ว่า สิ่งที่พูดนั้นสู้ทำเลยไม่ได้ ตั้งใจจะทำอะไรต้องทำให้จริง ๆ โบราณเขาว่าเรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง สำคัญตรงที่ว่าเรายังไม่ทำจริงเท่านั้นเอง

วันนี้มี ๒ เรื่อง เรื่องแรกก็คือ จะทำบุญให้กับหลวงตาชาติ เรื่องที่สอง มีพระจะสึก สองเรื่องคนละทิศคนละทาง แต่จริง ๆ แล้วก็เป็นเรื่องเดียวกัน คือสรุปตรงเมื่อสักครู่นี้ว่า พระที่จะสึกแปลว่ายังไม่ทำจริง ถ้าทำจริงแล้วผลการปฏิบัติจะต้องมี

ผมบอกแล้วว่าแค่ทรงฌานได้ เอาแค่ปฐมฌานก็พอ ถ้าคิดเป็น เราจะเห็นคุณพระรัตนตรัย อย่างชนิดที่เรียกว่าจับจิตจับใจ เมื่อเราเห็นตรงจุดนั้นแล้ว ก็ไม่คิดที่จะไปไหน มีอย่างเดียวคือจะทุ่มเทให้กับการปฏิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ของท่านก้องจะว่าไปแล้วคือกำลังใจท่านดี คือมาทางพุทธภูมิ แต่ว่ายังมีความประมาทอยู่มาก เพราะว่าพอบวชมาก็ไปอยู่ที่วัดคลิตี้ คุณจำไว้เลยว่า ถ้ายังไม่ถึง ๕ พรรษา ห่างครูบาอาจารย์ไม่ได้เด็ดขาด ตายห่..มาเยอะแล้ว..!

ในเมื่อไปอยู่ห่าง ถึงเวลาเกิดปัญหาอะไร โดยเฉพาะข้องขัดทางการปฏิบัติ ไม่รู้จะปรึกษาใคร เมื่อกำลังใจของตนเองตก ไม่คิดอยากจะอยู่ในผ้าเหลืองอีก ก็ไม่มีใครประคับประคองค้ำจุนได้ เพราะฉะนั้น..พวกประเภทเก่งมาตั้งแต่เกิดนั้น อย่าพยายามให้มี ยังไม่มีใครเก่งจริงหรอก ถ้าเก่งจริงก็ไม่มาเกิด คนเก่งจริงเขาไปนิพพานกันหมดแล้ว

สมัยอยู่วัดท่าซุง ผมทำหน้าที่รับพระรับโยมเข้าพัก ผมเจอประเภทที่ถึงเวลาก็หอบบาตรหอบย่ามจีวรลากพื้นมาเลย มาขอที่พัก ผมบอกห่มจีวรให้เรียบร้อยเสียก่อน เขาบอกว่า “ช่วยห่มให้ผมหน่อยครับ ผมห่มจีวรไม่เป็น..”

ผมถามว่า “คุณบวชภาษาอะไรวะ ? ห่มจีวรไม่เป็น..” เขาบอกว่า “ผมเพิ่งบวชเมื่อเช้านี้เองครับ พอบวชเสร็จผมก็ออกธุดงค์เลย..” ไอ้พวกนี้กลัวประวัติจะไม่สวย ถึงเวลาเผื่อดังขึ้นมาจะได้คุยได้ว่า “กูออกธุดงค์ตั้งแต่วันแรกที่บวช..”

พวกนี้ความจริงผิดพระวินัยตั้งแต่แรกแล้ว เพราะว่าพระถ้าไม่ถึง ๕ พรรษา เขาเรียกว่า “ยังไม่ได้นิสัยมุตตกะ” คือยังพ้นจากครูบาอาจารย์ไม่ได้ ยังต้องอยู่รับฟังคำสั่งสอนและหลักการปฏิบัติต่าง ๆ ก่อน ต้องคอยดูแลครูบาอาจารย์ตามกิจวัตร ตามวิธีวัตร ตามอุปัชฌายาจารวัตร

แต่ว่าสมัยนี้มักจะเก่ง พอบวชเสร็จก็ไปอยู่ของตัวเองเลย แล้วก็ทำเละให้ดูทุกที เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่น่าหนักใจ เพราะว่าครูบาอาจารย์ปัจจุบัน ท่านก็บวชทิ้ง ประเภท “พระอุปัชฌาย์เป็ด” ไข่แล้วทิ้งเลย ไม่มีการฟูมฟักดูแล ลูกศิษย์ลูกหาถ้าหากว่าเอาดีได้ ก็ต้องนับว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัวจริง ๆ แต่ก็หาได้ยาก ส่วนมากไปไม่รอด..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2010 เมื่อ 03:01
สมาชิก 99 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 24-05-2010, 09:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า วันนี้เราจะทำบุญให้กับหลวงตาชาติ ผมจะยกตัวอย่างหลวงตาชาติว่า ท่านบวชตอนแก่แล้ว แต่ว่าท่านตั้งใจทำจริง ถึงเวลามีอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคันถธุระหรือว่าวิปัสสนาธุระ ท่านก็พยายามที่จะทำ

ถ้าหากว่าใครอยู่ทัน จะเห็นว่าท่านทำโน่นทำนี่ก็อกแก็กไปเรื่อย ถึงเวลาก็มาเปิดเสียงตามสายนั่งสมาธิของท่านไป นั่งไปนั่งมาฟุ้งซ่านเอาไม่อยู่ ก็เอาคว้าหนังสือขึ้นมา ไปไล่ท่องมนต์แทน คนทำจริงต้องทำอย่างนี้ คือ อย่าให้ใจว่างจากความดี ในเมื่อไม่ต้องการภาวนา ฟุ้งซ่านมากนัก ก็ไปนั่งท่องมนต์ ท่องไปท่องมายังไม่เอาอีก ก็ไปหางานทำ ขุดดินฟันหญ้า ปลูกต้นไม้ไปตามเรื่อง

ที่ผมบอกว่าสองเรื่องนี้ความจริงเป็นเรื่องเดียวกันก็ตรงจุดนี้ ตรงที่ว่า ถ้าเราทำจริง สิ่งต่าง ๆ ก็จะเห็นผล ผมว่าหลวงตาท่านไม่เสียทีที่บวชมา เพราะท่านตายตอนที่เจริญกรรมฐาน ใจกำลังเกาะความดี

พวกเรานี่คติยังไม่แน่นอน แต่หลวงตาท่านสบายไปแล้ว ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น เป็นเรื่องของปรมัตถบารมี ต้องเป็นเรื่องของบุคคลที่กำลังใจทรงตัวตั้งมั่นจริง ๆ

สามัญบารมีกำลังใจขั้นต้น กว่าจะให้ทานได้คิดแล้วคิดอีก ควักแล้วควักอีก ควักออกมาแล้วบางทีก็ยัดกลับคืนไป อุปบารมีกำลังใจขั้นกลาง สามารถที่จะให้ทานได้ แต่รักษาศีลก็ไม่ไหว ขาดบ้างพร่องบ้าง ต้องปรมัตถบารมีกำลังใจขั้นสูงสุด ถึงให้ทานได้ รักษาศีลได้ เจริญภาวนาได้

คราวนี้พวกเราที่บวช เราต้องตั้งใจทำให้ดีจริง ๆ ในเมื่อเราจะตั้งใจทำดี ก็แปลว่าต้องทุ่มเทกัน ต้องทำในลักษณะเห็นภัยในวัฏฏสงสารจริง ๆ เห็นอยู่ว่าอันตรายจะมาถึงตัว ทำอย่างไรเราถึงจะหนีไปให้พ้น

อันตรายที่น่ากลัวที่สุดก็คือการเวียนตายเวียนเกิด ตกอยู่ในห่วงทุกข์ไม่รู้จบ ท่านผู้รู้ถึงได้บอกเราว่า จงกลัวการเกิดอย่าไปกลัวการตาย เพราะว่าถ้าตายแล้วไม่เกิดจะมีความสุขที่สุด แต่ถ้าตายแล้วเกิดเมื่อไรก็จะทุกข์ไม่รู้จักจบสิ้น

ในเมื่อภัยจะมาถึงตัวแล้ว ถ้าหากว่าเรายังไม่รู้จักขวนขวายตะเกียกตะกายหนีให้พ้น ก็จะตกอยู่ในห้วงทุกข์ต่อไป บางทีโอกาสที่จะขึ้นมาเห็นเดือนเห็นตะวัน เห็นความดีอย่างคนอื่นเขา นั้นแทบจะไม่มีเอาเสียเลย ถึงได้บอกว่า ถ้าหากว่าทำ ให้ทำจริง ๆ คำพูดสักแต่ว่าเป็นข้อผูกมัดตัวเองเปล่า ๆ เราบอกว่าเราจะทำให้ดี ถ้าเราไปทำผิดเข้า ก็จะกลายเป็นเสียกำลังใจมาก

สมัยผมอยู่วัดท่าซุง เจอพระประเภทเอาคำพูดมามัดคอตัวเองตายก็มี บวชมาอยู่ในพรรษาตั้งใจปฏิบัติ ออกพรรษาเห็นเพื่อนฝูงสึกอยากจะสึกบ้าง ก่อนสึกก็ไปถ่ายรูปที่รูปหล่อหลวงปู่ปานหน้าโบสถ์ ตั้งใจอธิษฐานขอกับหลวงปู่ว่า

“ถ้าถ่ายรูปมีปาฏิหาริย์แล้วผมจะไม่สึก ผมจะบวชตลอดชีวิต แต่ถ้าไม่มีผมจะสึก..” ปรากฏว่าล้างรูปออกมา มีดวงแสงดวงมโหฬาร อย่างกับดวงอาทิตย์ทั้งดวงตั้งอยู่บนหัว แต่ก็อยากจะสึก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-05-2010 เมื่อ 12:50
สมาชิก 98 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 25-05-2010, 01:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้ก็คลั่ง เพราะดันทะลึ่งไปสัญญาแล้วว่าจะไม่สึก ไปออกปากไว้เรียบร้อยแล้ว ในที่สุดตอนหลังก็อยู่ไม่ได้ ต้องสึกออกไปจนได้ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า คิดมากฟุ้งซ่านจนบ้าไปหรือเปล่า..?

แต่ผมอยากจะบอกว่า การกระทำนั้นสำคัญกว่าคำพูด คำพูดเราจะดัดแปลงจะปรุงแต่งให้ดีขนาดไหนก็ได้ แต่สิ่งที่ดีจริง ๆ ก็คือว่า เราปรับปรุง กาย วาจา ใจ ของเราให้ดีขึ้นได้จริง ๆ หรือเปล่า..? ให้อยู่ในฐานะที่สมควร คือ อยู่ในสภาพของความเป็นนักบวช ความเป็นนักปฏิบัติหรือเปล่า..?

เรื่องพวกนี้เราจะลืมไม่ได้ เพราะว่าถ้าลืมเมื่อใด ก็จะเลี้ยวออกนอกทาง อันตรายก็จะเกิดขึ้นกับพวกเรา เนื่องจากว่า ในสภาพของนักบวชนั้น เขาไม่ให้โอกาสเราผิด ผิดเมื่อไรก็แปลว่าโทษมาถึงตัวของเราแล้ว

ผมดีใจว่าพวกเราตั้งใจปฏิบัติกัน เรื่องของการปฏิบัติ ถ้าหากมีกัลยาณมิตร มีสถานที่ที่เหมาะสม มีอากาศที่เหมาะสม เหล่านี้ภาษาบาลีเรียกว่า สัปปายะ* คือความเหมาะความควร ถ้าหากว่าเหมาะสม การปฏิบัติของเราจะก้าวหน้าแล้วก็เจริญ แต่นั่นหมายความว่า เราต้องทำจริง ๆ ไม่ใช่ทำ ๆ ทิ้ง ๆ ไปสนใจเรื่องอื่นแทน

ทุกคนต้องตระหนักว่าเรามีหน้าที่อะไร หน้าที่ของความเป็นพระคือปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา** ตั้งแต่วันแรกพระอุปัชฌาย์หรือคู่สวดท่านก็บอกแล้ว อธิสีลสิกขา สิกขิตัพพา อธิจิตตสิกขา สิกขิตัพพา อธิปัญญาสิกขา สิกขิตัพพา

ท่านบอกให้ศึกษาในศีลอันยิ่ง ก็คือว่า ต้องไม่ล่วงศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุให้คนอื่นเขาทำ ไม่ยินดีในการที่คนอื่นเขาทำให้ศีลขาด

ศึกษาในจิตอันยิ่ง ก็คือ พยายามสร้างฌานสมาบัติ อย่างน้อยก็คือปฐมฌาน ให้เกิดกับเราให้ได้

ศึกษาในปัญญาอันยิ่ง ก็คือ พยายามสร้างปัญญาให้เกิด ให้เห็นสภาพความเป็นจริงของร่างกายนี้ ร่างกายคนอื่น ของโลกนี้ ของโลกทั้งหลาย

ให้เห็นว่า ทุกอย่างมีสภาพไม่ทรงตัว เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด

ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ ท้ายสุดก็ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ทุกอย่างต้องตาย ต้องพัง สลายลงไปจนหมด



หมายเหตุ :
*วิสุทฺธิ ๑/๑๖๑ : วินย.อ. ๑/๕๒๔ : ม.อ. ๓/๕๗๐
**ที.ปา. ๑๑/๒๒๘/๒๓๑ : องฺ.ติก. ๒๐/๕๒๑/๒๙๔
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2010 เมื่อ 02:39
สมาชิก 85 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 25-05-2010, 17:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นี่คือหน้าที่ของเราที่ต้องศึกษาในศีล ในสมาธิ ในปัญญา เมื่อศึกษาได้แล้ว ก็นำไปสั่งสอนคนอื่นเขาต่อ เป็นการเผยแผ่พระศาสนา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้กว้างไกลออกไป ให้คงอยู่จนกว่าจะครบห้าพันปี

ถ้าเราทำหน้าที่ผิด นั่นก็เรื่องที่น่าเสียดาย เพราะว่าความตายอยู่ใกล้เรามาก หายใจเข้า ไม่หายใจออก ก็ตายแล้ว หายใจออก แล้วไม่หายใจกลับเข้าไป ก็ตายอีก

ในเมื่อความตายใกล้เราถึงขนาดนี้ ถ้าเรายังประมาทไม่เร่งทำความดี มัวแต่ไปสนใจสิ่งอื่น ถึงเวลาเมื่อตายไป จะขาดทุนมาก เพราะไม่รู้ว่าเราจะได้เกิดมาทำความดีใหม่อีกหรือเปล่า..?

ถ้าต้องลงอเวจี กว่าจะได้พบพุทธเจ้า กว่าจะได้พบพระธรรมอีกครั้งหนึ่ง ไม่ทราบว่าอีกกี่หมื่นกี่แสนกัป แล้วถ้าเกิดขึ้นมาในช่วงที่ว่างจากพระศาสนา หาความดีไม่ได้ ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัว

คำว่า“ภิกษุ”นั้น มีความหมายโดยอรรถอย่างหนึ่งว่า ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร*** คราวนี้ภัยมาใกล้ตัวขนาดนี้ พวกเราเร่งทำความดี ผมก็โมทนาด้วย แต่ว่าให้ทำจริง ๆ คือ ทำความดีแล้วให้รู้จักรักษาความดีนั้นไว้

ต้องคอยตรวจสอบอยู่เสมอว่า เรามีความก้าวหน้าในทางใจมากขึ้นเท่าไร ? กาย วาจา ใจ ของเรา ดีขึ้นเท่าไร ? รัก โลภ โกรธ หลง น้อยลงเท่าไร ? ต้องคอยเตือนสติให้รู้ว่า หน้าที่ของตัวเองคืออะไร ?

ต้องคอยดูใจของตัวเองว่ามีความชั่วหรือไม่ ? ขับไล่ออกไปได้เท่าไร ? มีความดีหรือไม่ ? สร้างสมเพิ่มขึ้นมาได้เท่าไร ? เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงเป็นหน้าที่จริง ๆ ของเรา

หน้าที่อื่นเอาไว้สำหรับแก้เครียด ปฏิบัติหน้าที่ไปเพื่อเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง เพื่อทำให้งานในรับผิดชอบของเราจบลงด้วยดีบ้าง แต่ว่าหน้าที่จริง ๆ ก็คือการปฏิบัติรักษาใจของเรา ทำใจของเราให้ผ่องใสถึงที่สุด


หมายเหตุ :
*** องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๑๒๙/๑๗๘
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2010 เมื่อ 17:08
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 25-05-2010, 17:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าถึงเวลานั้นแล้ว เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็จะได้นำอุบายธรรมที่สามารถทำได้ ไปสอนคนอื่นเขาต่อ สิ่งใดที่เราทำได้ ถ้าไปพูดต่อก็จะง่าย ถ้าไปสอนต่อ ก็จะศักดิ์สิทธิ์

ถ้าหากว่าเราทำไม่ได้ สักแต่จำเอาไป ถึงเวลาถ้าคนเขาซักถามต้องการความรู้ เราก็จนแต้ม ไปต่อไม่เป็น เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ขอให้ทุกท่านตระหนักแล้วก็จำไว้ให้แม่นว่า เราต้องทำ ไม่ใช่พูด ถ้าหากว่าทำจะประสบความสำเร็จ ถ้าหากว่าพูด มัวแต่ไปวิเคราะห์วิจัยอยู่ จะเสียเวลาไปเปล่า ๆ

กลางค่ำกลางคืนไม่ใช่มัวแต่ไปนั่งคุยกันอยู่ เพราะว่าจะพาให้ฟุ้งซ่านได้ง่าย มีเวลาก็พักผ่อนให้เต็มที่ เวลากลางวันเราจะได้ปฏิบัติหน้าที่ของเราได้ ไม่ใช่ถึงเวลาเรามัวแต่ไปนั่งคุยกันจนดึก ๆ ดื่น ๆ แล้วเสร็จแล้วกลางวันก็นอนกันเช้ายันเย็น

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ผมไม่มีเวลามาสั่งสอนพวกท่านมากมายนัก แต่ว่าบอกแล้วให้จำ แล้วก็นำไปปฏิบัติด้วย ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เราพูดมาก็ไม่มีความหมาย แต่ถ้าเราปฏิบัติได้ สิ่งที่เราพูดหรือปฏิญาณตนมา ก็จะเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อทำแล้วเกิดผล ผลนั้นก็จะรักษาทั้งตัวเราและคนรอบข้างไปด้วย

-----------------------------------
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2010 เมื่อ 17:22
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:21



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว