กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 10-12-2011, 11:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๔

ถาม : หนูภาวนาให้ได้ฌานลึก ๆ ก่อน แล้วค่อยลองขยับตัว แต่พอถึงตอนนั้นรู้สึกว่าหนักมากค่ะ จะลืมตาขึ้นมาได้นี่ต้องคลายสมาธิลงมาก่อน อย่าว่าแต่ขยับตัวเลยค่ะ
ตอบ : ใช่

ถาม : แล้วอย่างนี้จะได้ฌานใช้งานแบบฌานลึกได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : หัดเข้าออกสมาธิอยู่บ่อย ๆ ซ้อมเข้าซ้อมออก พอเราคล่องตัวมาก ๆ เรานึกจะให้ไปถึงระดับไหนก็ไประดับนั้น

อย่างที่วัดท่าขนุน น่าเสียดาย..อาตมาบอกพระบอกเณรกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่า ตอนคุณเข้าสมาธิเข้าเต็มที่เลย แต่ทันทีที่เสียงตามสายจบ เราคลายสมาธิออกมาเพื่อที่จะมาทำวัตรเช้า เคยสังเกตไหมว่าอารมณ์ใจคลายออกมาได้แค่ไหน ? ช้าเร็วอย่างไร ? แล้วควบคุมได้อยู่ในระดับไหน ? ฉะนั้น..ของเราต้องไปทำให้ได้คล่องตัว ไปซ้อมใหม่นะ

สมัยก่อนอาตมาก็นั่ง ๆ นอน ๆ ถึงเวลาเอนตัวลงก็เข้าสมาธิเต็มที่ ถึงเวลาลุกขึ้นก็คลายออกมา ซ้อมอยู่ทั้งวัน จนคนเขาคิดว่าบ้า นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่คนเดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2011 เมื่อ 17:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 236 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 10-12-2011, 11:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาหนูขึ้นไปกราบพระ บางท่านก็คุยกับหนู แต่มีปัญหาตรงที่บางท่อนของบทสนทนาหายไป อยู่ดี ๆ เสียงหายไปเลยค่ะ
ตอบ : ถ้าสมาธิเคลื่อน บางทีก็หาย หรือไม่ก็สมาธิลึกเกินไป บางทีก็หาย เพราะว่าต้องอยู่ตรงอุปจารสมาธิพอดี ๆ กลับไปย้อนดูข้อที่ ๑ ซักซ้อมเข้าออกสมาธิให้ชำนาญว่าควรจะล็อกไว้ตรงไหน ถ้าระดับสมาธิเกินเราก็จะไม่เห็นเลย หรือไม่ได้ยินไปเลย ถ้าระดับสมาธิขาดก็ไม่เห็นเหมือนกัน ต้องพอดีอยู่ตรงช่วงนั้น

แล้วอุปจารสมาธิประคองยาก อารมณ์จะแน่นก็ไม่แน่น จะหลวมก็ไม่หลวม เผลอเมื่อไรก็หลุด

ถาม : ถ้าไปแบบหลุดไปทั้งตัว ช่วงที่อยู่บนนั้นจัดเป็นอุปจารสมาธิหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : การที่เราไปได้เป็นเรื่องของฌาน ๔ แล้ว แต่เราก็ยังต้องซักซ้อมตรงจุดที่ว่า ทำอย่างไรให้สติสมาธิของเราจดจ่ออยู่เฉพาะหน้า ไม่ใช่ถึงเวลาคุยแล้วเราก็ไปคิดด้วย ถ้ายังไม่ชำนาญแล้วคุยไปคิดไปนี่หลุดทุกราย..!

ถาม : หนูตื่นเต้นมากค่ะ คิดไม่ถึงว่าท่านจะคุยด้วย
ตอบ : ถ้าคิดไปด้วยเมื่อไรก็เจ๊งสิจ๊ะ เพราะเราไปใช้ความคิดของตัวเอง ทำให้สมาธิเคลื่อน

ถาม : ก็คือให้สมาธิจดจ่ออยู่เป็นใช้ได้นะคะ ?
ตอบ : ใช่..รักษาระดับไว้ให้ได้

ถาม : แล้วเรื่องที่ได้ยินบนนั้นจะลืมเร็วมากเลยค่ะ
ตอบ : ลงมารีบจดไว้ รีบเขียนไว้ หรือไม่กระดาษปากกาอยู่กับมือ หลับหูหลับตาเขียนเขี่ย ๆ ไปก่อน ถึงจะหวัดก็ไม่เป็นไรหรอก..ให้มีเค้าคำพูดไว้ ถึงเวลาจะได้เดาได้

ถาม : ทำไมต้องลืมเร็วด้วยคะ ?
ตอบ : เขาไม่ต้องการให้รู้มาก..นี่พูดเล่นนะจ๊ะ สิ่งที่เราไปเป็นเรื่องละเอียดมาก ความหยาบของสมองจำได้ยาก ต้องประทับอยู่ในจิตจริง ๆ ถึงจะจำได้

แต่คราวนี้เราไม่ชินกับการใช้จิตที่มีสภาพจำ ไม่สามารถจะชำระจิตให้ผ่องใสพอที่จะรับอะไรเข้ามาได้จริง ๆ เหมือนอย่างกับไปเขียนหนังสืออยู่บนทรายริมน้ำ ลมพัดผ่านหรือน้ำซัดโครมเดียวก็หายหมดแล้ว ต้องแบบแกะสลักใส่หินถึงจะอยู่ได้นาน

ถาม : บางทีลืมตาขึ้นมาหายไปครึ่งหนึ่งแล้วค่ะ
ตอบ : รีบเขียน ๆ เอาอีกครึ่งหนึ่งไว้

ถาม : เวลาที่หนูขึ้นไป บางทีจะมีพฤติกรรมที่ผิดปกติไปค่ะ อย่างขึ้นไปกราบพระหรือกราบหลวงพ่อ ก็ร้องไห้อย่างกับญาติเสีย โดยที่หาสาเหตุไม่เจอค่ะ
ตอบ : เราร้องไห้เพราะว่ากลับไปเจอบุคคลที่คุ้นเคย หรือไม่ก็กลับไปสู่อารมณ์ที่คุ้นเคยอยู่ ตัวนี้จริง ๆ เป็นส่วนของตัวปีติ ร้องไปเถอะ ญาติจะเสียกี่คนก็ให้เสียไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2011 เมื่อ 17:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 10-12-2011, 17:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาปรุงอาหารแล้วชิมว่ารสชาตินี้ใช้ได้หรือไม่ ? ถ้าคนถือศีลแปด ผิดศีลข้อวิกาละหรือเปล่าคะ ? ไม่มีความรู้สึกว่าอยากกิน แต่จำเป็นต้องทำให้แม่กิน
ตอบ : ก็ให้แม่ชิมสิ..! ถ้าถือศีลเด็ดขาดจริง ๆ ก็ต้องไม่ชิมเอง ถ้าถือไม่เด็ดขาดก็ยังชิมเองอยู่ ถ้าจำเป็นก็ชิมแล้วบ้วนทิ้งก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2011 เมื่อ 17:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 10-12-2011, 22:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาเห็นรูปของสถานที่ใดแล้วใจรู้สึกหวิว ๆ ขึ้นมา รู้สึกว่าชาตินี้เราต้องไปที่นั่นให้ได้ ไม่ใช่ว่าอยากจะไป แต่ถ้าไม่ไปก็เหมือนกับว่าเราติดค้างอะไรบางอย่างอยู่แถว ๆ นั้น พอหาโอกาสไปที่นั่นได้แล้ว อารมณ์ค่อยคลาย เบาโล่งขึ้นมา แต่ก็ไม่ใช่หายไปเลยทีเดียว ถ้ายังมีความรู้สึกว่ายังค้าง ๆ อยู่ ก็ต้องหาทางไปอีก ไปจนกว่าจะรู้สึกว่าหมดจากอารมณ์ค้างนั้นแล้ว จึงไม่ต้องไป อาการแบบนี้คืออะไรหรือคะ เหมือนคนเป็นหนี้อย่างไรไม่รู้ ?
ตอบ : เป็นอาการของคนอยากเที่ยว ถ้าไปบ่อย ๆ จะเจอเตะ..!

ถาม : เคยดูสารคดีของประเทศทิเบต อย่างองค์ดาไลลามะ พอมรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าบ้าง กระดูกเป็นพระธาตุหรือเป็นแก้วบ้าง หลังจากนั้นแล้วท่านก็ไปเกิดใหม่อีก เกิดเป็นเด็กที่ยังมีสัญญาความจำ ว่าเมื่อก่อนตนเองเคยเป็นอะไรมาก่อน และเมื่อพิสูจน์ก็เป็นดังนั้นจริง สงสัยว่าลามะเหล่านั้นปรารถนาโพธิญาณ ยังหวังการเกิดอยู่ แต่ทำไมพอท่านมรณภาพแล้ว กระดูกจึงเป็นแก้วหรือเป็นพระธาตุ เพราะปกติอย่างที่เรารู้กันก็คือ คนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในระดับพระอรหันต์กระดูกจึงเปลี่ยนเป็นอย่างนั้นได้ หรือพระโพธิสัตว์ที่มีความดีสูงสามารถเปลี่ยนกระดูกให้เป็นพระธาตุได้คะ ?
ตอบ : พระโพธิสัตว์ก็กำลังใจเทียบเท่าพระอริยเจ้าได้ ความดีที่ท่านทำอยู่ฟอกธาตุขันธ์ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งท้ายสุด กระทั่งกระดูกเลือดเนื้อของท่านก็บริสุทธิ์ไปด้วย ขอยืนยันว่า ถ้าพระโพธิสัตว์ที่ปฏิบัติกำลังใจเทียบเท่าพระอริยเจ้าแล้ว จะละเอียดกว่าพระอริยเจ้าหลายเท่า

ถาม : อารมณ์อย่างไรจึงเรียกว่าการดับของโทสะ ? คือ จะโกรธก็ไม่โกรธ หรือไม่มีอะไรให้โกรธ เพราะว่าไม่มี
ตอบ : ไม่มีอะไรจะให้โกรธ ถ้าใจไม่ปรุงแล้วจะเอาอะไรมาโกรธ ยกเว้นแต่ว่าไม่รู้จะทำอย่างไรให้เขารู้ตัวว่าทำผิด ก็แยกเขี้ยวแฮ่..! ใส่สักที

ถาม : อารมณ์เกี่ยวกับการดับราคะ อย่างไรจึงถือว่าถูกต้องที่สุด ? ระหว่างราคะมีเป็นปกติ ราคะไม่มีก็เป็นปกติ เราเห็นว่าการมีหรือไม่มีเป็นธรรมดา ใจเราไม่รับเข้ามา และไม่ปรุงต่อ ให้เป็นไปธรรมดาอย่างนั้น หรืออารมณ์ที่ว่าราคะไม่มีตั้งแต่เริ่มต้น เพราะไม่มีอะไรที่เป็นอะไรเลย อารมณ์อย่างไหนถูกที่สุดคะ ?
ตอบ : ไม่มีตั้งแต่เริ่มต้นเพราะว่าใจไม่รับ ไม่ไปแตะต้องในสิ่งที่เป็นสาเหตุให้ราคะเกิดขึ้น โทสะหรือโมหะก็เหมือนกัน รู้เท่าทันว่าสิ่งนี้จะสร้างราคะให้เกิดขึ้น รู้เท่าทันว่าสิ่งนี้จะสร้างโทสะให้เกิดขึ้น รู้เท่าทันว่าสิ่งนี้จะสร้างโมหะให้เกิดขึ้น ก็เลยไม่ไปแตะต้องสาเหตุแห่งการสร้างเหล่านั้น ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ต้องบอกว่าท่านมี ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เหมือนเราเต็ม ๆ นั่นแหละ เพียงแต่ว่าท่านไม่ไปสร้างสาเหตุเสียอย่าง ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็หมดโอกาสที่จะเกิด

ถาม : การที่ใจเราทรงอยู่ในอารมณ์ที่ต้องการทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นตลอดเวลาจนเป็นอารมณ์ฌาน ตรงนี้จัดเข้าในพรหมวิหารหรือไม่คะ ? ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นพรหมวิหารอะไร รู้แค่ว่าเราจะทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นให้ได้ตลอดเวลา
ตอบ : มีส่วนของพรหมวิหารอยู่ด้วย เพราะว่าถ้าหากว่าไม่มีพรหมวิหารอยู่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ ให้สังเกตว่ามีพรหมวิหารอยู่หรือไม่ตรงที่ว่า แม้ตั้งใจช่วยเขา แต่ถ้าวาระและโอกาสยังมาไม่ถึง เราก็สามารถที่จะปล่อยวางได้ ไม่ใช่ดิ้นรนจะเป็นจะตาย ตัวเองลำบากอย่างไรก็จะช่วยเขา ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าขาดพรหมวิหาร ไม่ใช่ขาดพรหมวิหารเฉย ๆ เท่านั้น ยังขาดปัญญาอีกด้วย..!

ถาม : การโพสต์ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ต้องใช้กำลังมากไหมคะ ? เพราะทุกครั้งที่ทำไป แทบหมดแรงตลอด เหมือนกับคนที่ใช้กำลังทุ่มไป ยิ่งอะไรที่เราเจาะจงว่าสงเคราะห์คนเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งหมดแรงมากเป็นพิเศษค่ะ
ตอบ : ไม่ตายก็บุญแล้ว..! สิ่งที่เราทำผู้ที่ขวางก็มี ในเมื่อเขาขวาง เราก็ต้องใช้กำลังในการฝ่าฟัน คราวนี้การทำความดีเพื่อหนีเขา เขาก็ยิ่งขวางมาก เราก็ยิ่งลำบากมาก ยิ่งเหนื่อยมาก เมื่อใช้แรงในการฝ่าฟันมาก ก็ต้องหมดแรงกายแรงใจเป็นธรรมดา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 11-12-2011 เมื่อ 12:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 10-12-2011, 22:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในอากาศมีพลังงานอยู่ใช่ไหมคะ ? และเราสามารถจับต้องพลังงานนั้นมาใช้ได้ ทำให้เป็นรูปเป็นร่างก็ได้ หนูไม่ได้รู้อะไรมาก บางทีถ้ารู้สึกว่ามีพลังงานไม่ดีอยู่ ก็ไล่ให้ไปไกล ๆ เตะให้กระจาย ถ้ามีพลังงานดี ๆ อยู่ เราก็ดูดเข้าตัวเอง หรือไม่ก็เป็นอีกลักษณะหนึ่ง คือ เอากำลังสมาธิตัวเองขยายออก แผ่ปกคลุมบริเวณรอบนั้น แต่ก็เหนื่อย เรื่องทั้งหมดนี้สามารถทำได้จริง และมีอยู่จริงใช่ไหมคะ ?
ตอบ : สามารถทำได้จริงและมีอยู่จริง แต่ถ้าทำผิดเมื่อไรจะกลายเป็นร่างทรง..! เพราะพลังงานบางอย่างเขารอโอกาสแทรกเราอยู่แล้ว ไปดึงเข้ามาเขาก็แฝงตามมาด้วย เรียกว่าทะลึ่งไปยุ่งกับเขาเอง รู้แล้วอยู่เฉย ๆ ก็ไม่ต้องเดือดร้อน

ถาม : อารมณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามา จัดว่าเป็นเวทนาหรือไม่คะ ? และเราสามารถสักแต่ว่ารู้ในอารมณ์เวทนานั้น ไม่เข้าไปเสวยในเวทนาทุกข์สุขนั้น ใช่หรือไม่คะ ?
ตอบ : ให้เข้าไปสู่อารมณ์กลาง ๆ ที่ไม่ยินดีและยินร้าย ไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนา ให้เป็นอุเบกขาเวทนาแทน ถ้าหากว่าจัดเป็นอารมณ์ก็จะเป็นอัพยากตารมณ์ แต่ว่าต้องแยกให้ออก เพราะว่าบางทีก็เป็นการใช้กำลังสมาธิกดเอาไว้ เราก็ไปคิดว่าใช่ ถ้าคล่องตัวไม่พอก็จะคิดว่าตรงนั้นใช่แล้ว ความจริงแค่กดเอาไว้ด้วยกำลังสมาธิ แต่ไปคิดว่าตัวเองเรียนจบแล้ว จริง ๆ แล้วยังไม่ได้ผ่านการทดสอบเลย

ถาม : เวลาคนอื่นเขาด่าเราว่าเรา แทนที่จะโกรธเขา กลับมีความรู้สึกสงสารเขา ก็มางงกับตัวเองว่าเราต้องโกรธเขาสิ ไม่ใช่สงสาร เป็นความสงสารจริง ๆ มาไล่ดูว่าสงสารอะไร ก็คือ เราสงสารเพราะเรารู้ว่าเขาโกรธ เขาทุกข์ เราสงสารเพราะเรารู้ว่ากรรมที่เกิดจากวจีกรรม มโนกรรม หรือกายกรรมคืออะไร อารมณ์ที่จะไปโกรธตอบจึงไม่มี เพราะเราเห็นจริง จึงเป็นอารมณ์สงสาร ขอถามว่ายังมีอารมณ์ที่ยิ่งกว่านี้อีกไหมคะ หนูจะได้ไปทำให้ยิ่งขึ้น ?
ตอบ : มีอีกเยอะมาก ก็คือเลิกสงสารแล้ววางกองเอาไว้ตรงนั้น ไม่ต้องเสียเวลาไปแบก..!

ถาม : อย่างเวลาที่เห็นคน ถ้าทันทีที่เห็น เราก็ไม่ได้ปรุงแต่งอะไรและไม่ได้รู้สึกว่าเป็นอะไร จะว่ามีก็เหมือนไม่มี จะว่าเป็นนั่นเป็นนี่ก็ไม่ใช่ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ไปจับแยกว่า คน ๆ นี้ประกอบด้วยตา หู จมูก ฯลฯ คือไปจับแยกในลักษณะกายคตาสติ ยังรู้สึกว่าประกอบไปด้วยกิเลส ยังประกอบไปด้วยอารมณ์ปรุงแต่งที่หนักอยู่ เพราะก่อนหน้านี้ที่เราไม่ได้จับแยก เราไม่ได้เรียกว่าอะไร ไม่ได้นิยามว่าเป็นอย่างไร อย่างนั้นก็เบา แต่ทันทีที่เราไปเรียก ไปสมมติ ต่อให้เป็นกายคตา ก็ยังไม่ใช่อารมณ์ที่ดีที่สุดสำหรับเรา ไม่ทราบว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้คะ ?
ตอบ : ก็เพราะว่าเสือกทะลึ่งถอยหลังไปเอง..! ก็ในเมื่อไม่รับรู้แล้วจะไปแยกอีกทำไม ถึงระดับที่ไม่ต้องไปแยกแล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือว่า เรียนอุดมศึกษาแล้วถอยไปอยู่อนุบาลใหม่ เท่ากับหาเรื่องเดือดร้อนเอง

แต่ให้รู้ว่าทั้งหมดที่ว่ามานี้ บุคคลที่ทรงฌานโลกีย์ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปทำได้ทุกคน เพราะฉะนั้น..อย่าเผลอเข้าใจผิด เพราะถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง โดนอำนาจของฌานกดนิ่งอยู่ แล้วเราก็จะไปคิดว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นพระอริยเจ้าแล้ว เป็นพระสกทาคามีแล้ว เป็นพระอนาคามีแล้ว ไป ๆ มา ๆ ปรากฏว่าประถม ๑ ยังไม่จบเลย..!

เพราะฉะนั้น..เป็นนักปฏิบัติจะไปไว้ใจทึกทักเอาไม่ได้ว่า อารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นถูกต้องแล้ว ดีแล้ว เราต้องซักซ้อมทบทวนอยู่เสมอ ๆ ต่อให้มั่นใจเต็มร้อยว่ากิเลสไม่มีโอกาสกำเริบแล้ว ท่านก็ไม่ประมาท ไม่ใช่ตอบว่าอย่างนั้นถูก อย่างนี้ใช่ แล้วเราก็ไปยืนยันทึกทักเอาว่าเราเป็นแล้ว เราใช่แล้ว แล้วไม่ทำอะไรต่อเลย สักพักก็ถูกกิเลสตีตาย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2011 เมื่อ 04:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 12-12-2011, 12:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เคยได้ยินมาว่าอาหารที่โต๊ะบวงสรวง ถ้าคนที่โดนคุณไสยไปกินเข้าจะทำให้อาการหนักขึ้น เขาห้ามกินใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ให้กินเข้าไปเยอะ ๆ พอของดีลงไป ทำให้ของไม่ดีอาละวาดดิ้นรน เพราะฉะนั้น..ต้องกินให้หมดโต๊ะบวงสรวงไปเลย..อาการจะได้หายไป ไม่ใช่กินไปหน่อยหนึ่งมีปฏิกิริยา ก็เข้าใจผิดคิดว่าทำให้แย่ลง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2011 เมื่อ 16:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 12-12-2011, 12:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "พี่สาวของอาตมาคือพี่อรทัย ตั้งใจไปปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุน แล้วอยู่ ๆ ก็ล้ม เสียชีวิตไปแล้ว ตอนที่ล้มเขาเอาไปส่งโรงพยาบาล หมอเห็นว่าอาการไม่ดีก็ให้น้ำเกลือ แทงเข็มเท่าไรก็แทงไม่เข้า ท้ายสุดพี่อรวรรณอยู่ด้วย จึงค้นดู เจอตะกรุดมหาสะท้อนเข้าจึงควักออกมา ถึงได้แทงเข็มเข้า สรุปว่าตะกรุดมหาสะท้อน ถ้าตั้งใจอาราธนาจริง ๆ ถึงหมดสติไปก็ยังคุ้มตัวได้อยู่

สมัยก่อนก็มีน้องสาวคือกรรณิการ์ ป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล พี่มุกดาเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ หมอแทงเข็มเท่าไรก็แทงไม่เข้า คราวนี้คนป่วยร่างกายหมดกำลัง เข็มแทงไม่เข้าแต่เจ็บ ยายนั่นแกก็รู้ตัว ผลักพี่มุกดา ”ไป..ออกไป ๆ” ไม่มีแรงจะพูดยาว พูดได้แค่นั้น

พี่มุกดาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องออกไป พอวิ่งออกไปข้างนอก หมอถึงแทงเข็มเข้า นั่นตะกรุดมหาสะท้อนอยู่ที่อีกคนนะ แต่อยู่ในกรณีที่รัศมีแผ่ถึง ก็ป้องกันอีกคนได้ด้วย"

ถาม : ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวเขาไม่ได้อาราธนาหรือคะ ?
ตอบ : เหมือนกับคลื่นที่ส่งจากดาวเทียมมา จะมีจุดครอบคลุม ก็คือคลุมได้กว้างแค่ไหน คราวนี้พี่มุกดาไปอยู่ใกล้ก็เลยคลุมน้องไปด้วย ปรากฏว่าน้องซวย โดนเข็มจิ้มเท่าไรก็ไม่เข้า คนป่วยกำลังไม่มี จิ้มไม่เข้าเขาก็เจ็บ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2011 เมื่อ 16:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 12-12-2011, 13:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หมอที่ทองผาภูมิเขาวินิจฉัยแล้วว่า พี่อรทัยเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบหลายเส้น เขาล้มเพราะว่าเลือดไม่พอไปเลี้ยงสมองแล้ว จึงหน้ามืดร่วงไปเฉย ๆ โรงพยาบาลทองผาภูมิเครื่องไม้เครื่องมือไม่พอ แต่หมอเขาดีมากเลย เขาโทรรายงานตลอดเวลา ทำเรื่องส่งไปที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา

พอส่งไปที่นั่นเขาตรวจแล้วพบว่าอาการหนัก ก็เลยให้ลูกหลานนำไปโรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ แต่ปรากฏว่าลูกหลานเห็นแม่อาการไม่เป็นอะไร เพราะยังด่าลูกได้ ด่าน้องได้ ลูกก็เลยเอากลับบ้าน พอเดินเข้าบ้านก็ร่วงไปเลย

คนเป็นโรคหัวใจขนาดนั้น ถ้าไม่ได้ให้ยาสลายลิ่มเลือดแล้วไปออกกำลัง พอเลือดฉีดแล้วผ่านไม่สะดวกก็เรียบร้อย อายุ ๖๘ ปีก็ไปแล้ว ตอนนี้ก็เลยให้พี่มุกดาอยู่ช่วยงานศพ อาตมาไปรดน้ำศพแล้วก็มารับสังฆทานที่นี่

อาตมาขนหนังสือเส้นทางพระโพธิสัตว์ กับพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านให้ไปอย่างละ ๕๐๐ ชุด เอาไว้เป็นไทยธรรมแจกในงาน เมื่อวานโทรมาบอกว่าจะหมดแล้ว นี่งานศพเพิ่งผ่านไป ๒ วันจะหมดแล้ว

พี่สาวคนนี้เลี้ยงน้องมาอย่างกับเป็นแม่อีกคน เป็นคนที่ใจดีและรักน้องมาก งานตัวเองจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม ถ้าน้องมีปัญหาจะแก้ปัญหาให้น้องก่อน จะเล่นบทนางฟ้าของน้อง ๆ มาตลอด ส่วนพี่สาวคนถัดไปเล่นบทเป็นนางยักษ์มาตลอดเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..พี่สาวใจดีแต่เอาน้องอยู่ เพราะเขาบอกว่าถ้าดื้อจะส่งให้พี่อีกคนจัดการ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2011 เมื่อ 16:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 13-12-2011, 08:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าใครอยากทำบุญใหญ่ ก็ไปสมัครปฏิบัติธรรมช่วงสิ้นปีนี้ ตรงกับวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ และ ๑ ถึง ๒ มกราคม ๒๕๕๕ จะมีการสวดมนต์ข้ามปี ปีที่แล้วก็นั่งตาตี่ไปตาม ๆ กัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2011 เมื่อ 15:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 13-12-2011, 09:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนแรกรับสมัครเณรแค่ ๘๔ รูป หรือ ๘๕ รูปก็ได้ ให้เกินอายุในหลวงมา ๑ รูป แต่สมัครมา ๑๗๐ กว่าคน มาจริง ๆ ๑๕๒ คน คิดดู..เณร ๑๕๒ รูปนี่ เจ้าประคุณเอ๋ย...ลูกลิงชัด ๆ เลย..!

วันแรกพระท่านก็ออกปากแล้ว “ถ้าเป็นลูกเป็นหลานนี่..พ่อฆ่าทิ้งหมดเลย..!” พออาตมาอนุญาตให้ตีได้ พระพี่เลี้ยงก็ติดอาวุธกันทุกคน วันแรกก็ตีแล้ว มีการตั้งกติกาเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ปรากฏว่าบวชวันแรกก็โดนตีไปตาม ๆ กัน

ตีเพราะเณรกินบะหมี่สำเร็จรูป กินเพราะอะไร ? เพราะแม่กลัวลูกอด ซื้อมาให้กินตอนเย็น จนกระทั่งพระท่านตั้งกติกาว่า ต่อไปกินอีกโดนตีเส้นละ ๑ ที..! ใจคอจะแกะบะหมี่มานับเส้นกันเลยนะ..! ตอนนี้เขาเริ่มอยู่ตัวแล้ว พอโดนไม้ดัดเข้า ทุกอย่างจึงเข้าที่

ตอนแรกที่พ่อแม่เห็นลูกโดนตีแทบจะเป็นลม ตอนนี้พอเห็นลูกล้างจานเอง ซักผ้าเอง ถูกุฏิเอง ดีอกดีใจ บอกว่าอยู่บ้านไม่เคยทำเลย ให้แม่ทำเองหมด อาตมาบอกไปว่า กลับบ้านไปพยายามให้ลูกทำต่อ ไม่อย่างนั้นการที่พ่อแม่รักลูก จะอะลุ้มอล่วยกับเด็ก เด็กเขาจะทำแค่ไม่เกิน ๓ วันเท่านั้นแหละ แล้วก็จะกลับไปเป็นแบบเดิม

ตอนแรกมีเด็กหลายคน โดนรุ่นพี่ต่างโรงเรียนรังแกเอา จึงทำให้อยากจะสึก คราวนี้พอพี่อรทัยล้มแล้วไปโรงพยาบาล ได้ยินว่าหมอแทงเข็มไม่เข้า ก็อยากจะได้วัตถุมงคลวัดท่าขนุนกัน อาตมาบอกว่า "ถ้าใครอยู่จนจบโครงการจะให้พระคนละองค์" เณรก็กัดฟันอยู่ ตอนนี้พยายามทำดีซื้ออนาคตกันน่าดูเลย เหลือเวลาอีกวันกว่า ๆ เท่านั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2011 เมื่อ 15:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 13-12-2011, 09:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เณรตัวแสบของเรา ๔ รูป จะว่าไปก็น่าสงสาร ชอบรังแกเณรน้อง ๆ พอเณรรุ่นน้องรวมหัวกันอัดเข้า เณรรุ่นพี่สู้ไม่ได้ก็ดันไปตามรุ่นพี่มาตีน้องอีก ก็เลยจับแยกกัน ไปนอนอยู่ที่ป่าช้า อาตมาบอกเณรทั้งสี่ว่า "เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของพวกเอ็ง กลางค่ำกลางคืนไม่ต้องออกมาหรอก ถึงผีไม่หลอกก็งูกัดตายห่_ เพราะไอ้จงอางยักษ์มันอยู่ในป่าช้า..!"

ตอนเช้าก็เลยอบรมว่า "ถ้าเป็นสมัยก่อนพวกเราจะตายเปล่า ตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊กแบบนี้ ไม่จัดเป็นนักเลงหรอก กลายเป็นพวกกะเฬวรากมากกว่า คนจะนักเลงจริงต้องคุ้มครองคนอ่อนแอ และถ้าใครมารังแกถึงจะสู้ แล้วถ้าสู้ก็สู้แบบไว้ลายให้ระบือลือลั่นไปเลย ไม่ใช่เวลาเจอคนอ่อนแอก็ไปรังแกเขา ไอ้อย่างนั้นไม่ใช่นักเลง"

พร้อมกับเล่าเรื่องนักเลงโบราณให้เขาฟัง ว่าเขาหนังเหนียวอย่างไร กำลังใจแบบไหน ใจถึงพึ่งได้ ต้องศึกษาเล่าเรียนคาถาอาคม ใช้สมาธิอย่างไร สุดท้ายก็หลอกให้เณรภาวนากันต่อไป เอาคาถาไปคนละบท

ส่วนญาติโยมใส่บาตรกันน่าชื่นใจมาก แต่ละวัน ๆ พวกข้าวสารอาหารแห้งได้มาเป็นคันรถ ๆ ขนาดเขาใส่กันคนละนิดละหน่อย ใส่บะหมี่รูปละ ๑ ซอง จนถึงท้ายแถวก็เท่ากับบะหมี่ ๕ ลัง กว่าจะบิณฑบาตกลับวัดได้ ๐๙.๑๕-๐๙.๓๐ น. โดนแดดเผาเสียเกรียมไปตาม ๆ กัน ช่วงนั้นแดดแรงมาก เพราะว่าทองผาภูมิหนาว หน้าหนาวแดดจะแรง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 13-12-2011 เมื่อ 17:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 13-12-2011, 09:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ตอนนี้ที่เตรียมให้เณรคือวุฒิบัตร มีตราสัญลักษณ์ ๘๔ พรรษาด้วย พร้อมกับพระชัยวัฒน์เกราะเพชรคนละองค์ บอกเขาไปว่า "นี่เตรียมให้แล้วนะ เดี๋ยวพอวันที่ ๑๐ เริ่มทำพิธีสึก พระครูบ่าวท่านจะแจกให้ วัตถุมงคลชุดนี้ได้ไปแล้วห้ามกินเหล้ากับห้ามขโมย กินเหล้าหรือขโมยเมื่อไรวัตถุมงคลจะเสื่อมอานุภาพ ไม่คุ้มครอง จนกว่าเอ็งจะไถ่โทษด้วยการท่องอิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ คืน ๑๐๘ จบ..!" เด็กชุดนี้ปางตายแน่ อยากได้ของดี รักษาไม่ได้ก็ต้องเหนื่อยกันเอง

นอกจากนั้นได้เล่าเรื่องผีเรื่องเทวดา เรื่องนรกสวรรค์ให้เขาฟัง เพราะไม่ต้องการให้เขาละเมิดศีล บอกว่าถ้าหากว่าศีลดี สมาธิดีทรงตัวดี ก็จะเห็นผีเห็นเทวดาเอง เด็กเขาก็เรียกร้อง อยากจะไปนรกสวรรค์ อยากจะเห็น

พระพี่เลี้ยงจึงสอนให้ เด็ก ๆ ไปเห็นจุฬามณี แต่พี่เลี้ยงพาไปต่อไม่เป็น เพราะว่าพระใหม่ไม่เคยฝึกมโนมยิทธิมาก่อนก็พาไปไม่ได้ แต่จำวิธีที่อาจารย์สอนให้ทำได้ก็ไปบอกเด็ก เด็กจึงทำได้ แต่ตัวเองพาต่อไปไม่เป็น เขาถามว่า "ทำอย่างไรดีครับหลวงพ่อ ?" อาตมาก็บอกว่า "ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าไว้ อยากไปไหนขอพระพุทธเจ้าให้ท่านพาไป ไม่อย่างนั้นถ้าให้พวกท่านพาไปเดี๋ยวไม่รู้ว่าจะไปไหนกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2011 เมื่อ 15:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 13-12-2011, 09:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"กำลังใจเด็ก ๆ ยังบริสุทธิ์อยู่ จึงปฏิบัติได้ง่าย แต่ว่าแปลกมากเลย เด็ก ป. ๕ - ๖ สมัยนี้ตัวนิดเดียว สมัยอาตมาเป็นเด็ก ป. ๑ ยังตัวใหญ่กว่า เด็กสมัยนี้ตัวเล็กลงเยอะ แต่ละคนก็เป็นลูกประเภทห่างแม่ไม่ได้ อาตมาสั่งอะไรเขาไม่สนใจหรอก เขาสนใจแต่เรื่องของเขา ถ้าไม่ใช่พี่เลี้ยงลงไปคุยกับเขาจริง ๆ นี่เขาไม่ฟัง พออาตมาไปคุยเรื่องที่เขาสนใจ เด็กก็นั่งฟังเงียบเลย ไม่อย่างนั้นก็จะแข่งกัน

อย่างเช่นบอกว่าให้เอาสบู่ไปฟอกหัวแล้วมาโกนผม เด็กนั่งเฉย..ไม่ฟังหรอก เอาแต่คุยกัน อาตมาก็เลยเตะกระเด็นไปทั้งเก้าอี้ทั้งเด็ก..! พอโดนเข้าไปจึงรู้ว่าเอาจริง บางรายก็ตะโกนอย่างกับจะตายให้ได้ แม่ต้องคอยจับมือไว้อย่างกับอยู่ห้องไอซียู..! ถ้าแม่ไม่จับมืออยู่เขาก็ไม่กล้าให้โกนหัว อาตมาก็เลยจามมะเหงกเข้าไป เด็กนั่งน้ำตาไหล แม่ก็บอกว่า “เป็นอย่างไรล่ะ..โดนหลวงพ่อเขกกบาลแล้ว..สมน้ำหน้า”

ไปนึกถึงคุณแดง(มงคล จอมผา) สมัยก่อนขนาดรุ่นพวกเรา คุณแดงยังบอกว่า "กำลังใจแบบนี้ ถ้าเป็นผมปล่อยให้ตายไปหมดแล้ว ไม่เสียเวลาไปสั่งไปสอนหรอก.." เราลองคิดถึงเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังใจห่วย ๆ ดูสิ ไปเจอมือคุณแดงเข้าพ่อก็ทิ้งให้ตายเปล่าเท่านั้น..!

พระที่วัดก็ประเภทไปเคี่ยวเข็ญตักน้ำรดหัวตอ พระแต่ละรูปจึงต้องติดอาวุธกันไปตาม ๆ กัน บางคนเผื่อไม้ไว้ ๓ อัน เผื่อตีแล้วหักจะได้ซ้ำได้..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2011 เมื่อ 15:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 14-12-2011, 08:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อาตมาบอกกับเณรไปว่า ถ้าหลุดออกจากวัดท่าขนุนไปได้โดยอยู่ครบหลักสูตรนี้ ไปบวชอยู่วัดอื่นจะสบายเลย เพราะวัดอื่นเขาไม่ค่อยยุ่งกับเณรหรอก แต่วัดท่าขนุนไม่ได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงกำชับนักกำชับหนาว่า สามเณรมาจากเชื้อสายของสมณะ เป็นปูชนียบุคคลที่ชาวบ้านเขากราบไหว้บูชา ถ้าพลาดแล้วจะลงนรกหนัก..!

วัดท่าซุงเลยไม่นิยมรับเณร เพราะเณรคือเด็ก พอถึงเวลาสนุกขึ้นมาก็ลืมความเป็นเณร เอาแต่ความสนุกอย่างเดียว ไม่ได้ดูสมณสารูปตัวเองว่าเป็นอย่างไร อาตมาก็เลยจำเป็นต้องกระหนาบ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2011 เมื่อ 11:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 14-12-2011, 08:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนวิตกจริตกันว่าปีหน้าน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ แย่กว่าปีนี้ อาตมาไม่ได้วิตกเรื่องน้ำท่วมปีหน้าเลย อาตมาวิตกสภาพเศรษฐกิจที่มาจากทางด้านยุโรปมากกว่า เพราะสภาพเศรษฐกิจบ้านเขาอาการแย่ ถ้าหากว่าทรุดลง กู้ไม่ไหวจริง ๆ จะล้มตามกันเป็นแถว

เพราะฉะนั้น..ในหลวงท่านพูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมา ๒๐-๓๐ ปี ก็เพื่อป้องกันเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ให้เกิดขึ้น ถ้าเราใช้ระบบเศรษฐกิจพอเพียง แค่พื้นที่ ๑ ไร่ก็อยู่ได้สบาย เพราะทำเป็นไร่นาสวนผสม มีเลี้ยงปลา เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ปลูกผัก ปลูกพืชฤดูกาลเดียว ปลูกมะละกอ ปลูกกล้วย แบ่งปลูกข้าวสัก ๑ งานก็ยังไหว อย่างไรก็มีกิน ถึงเวลาเศรษฐกิจใครล่มก็ล่มไปสิ เราไม่เดือดร้อน เพราะในไร่ในนาเรามีให้กิน

ปรากฏว่าไม่มีใครสนองพระราชดำริ มีคนทำอยู่ไม่กี่คน กลายเป็นตัวอย่างที่ใคร ๆ ชื่นชม แล้วก็ไปดูงานกัน แต่ไม่เคยเอามาทำ ถึงเวลาไปดูงาน ได้ดูแต่ไม่ได้เอาไปใช้งาน แบบเดียวกับเรื่องทางระบายน้ำที่ในหลวงตรัสไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๓๘ ถ้าทำตั้งแต่ตอนนั้นกรุงเทพฯ ไม่ถูกน้ำท่วมหรอก

แต่ว่าอะไรที่ทำแล้วไม่ได้คะแนนมวลชน รัฐบาลเขาไม่ทำ คนที่ทำก็จะโดนด่าว่าบ้า ฉะนั้น..ถ้าหากว่าทนกระแสสังคมไม่ได้ก็ไม่กล้าทำ ผลประโยชน์จริง ๆ ก็ไม่ตกกับประเทศชาติ ถึงเวลาเกิดอุทกภัยขึ้นมาก็เดือดร้อนกันหมด แล้วที่ในหลวงท่านตรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง จำได้ที่ท่านบอกว่า ถ้าหากว่าใครทำเรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่ ต่อให้เจออุทกภัยขึ้นมาก็ฟื้นตัวได้เร็ว เพราะว่าน้ำที่มามีแต่ปุ๋ยมาเติมให้ ทุกอย่างท่านบอกใบ้ล่วงหน้านานมาก แต่ก็ไม่มีใครทำกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2011 เมื่อ 11:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 14-12-2011, 09:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตกลงปีหน้าไม่ท่วมใช่ไหมครับ?
ตอบ : บอกแล้วว่าไม่ได้กลัวเรื่องน้ำท่วมปีหน้า เพราะน้ำท่วมไปปีหนึ่งก็เริ่มมีภูมิคุ้มกันแล้ว เริ่มชินแล้ว แต่กลัวเรื่องสภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศที่จะพาให้บ้านเราล่มไปด้วย

คนที่บ้านน้ำไม่ท่วมก็เครียดเพราะโดนจำกัดบริเวณ ไปไหนไม่ได้ คนที่บ้านน้ำท่วมก็เครียด ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน คนที่ไม่ท่วมอย่างที่วัดท่าขนุนยิ่งเครียด ต้องออกไปช่วยเขาทุกวัน ขนของไปแจกจนหมดคลัง

รู้สึกโชคดีที่ตัดสินใจบวชเณรเฉลิมพระเกียรติ อาศัยบารมีเณรทำให้มีข้าวสารอาหารแห้งเข้าคลัง ถ้าไม่มีเณรนี่แย่แน่เลย เพราะไม่มีอะไรเหลือติดคลัง แจกเขาจนเกลี้ยง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2011 เมื่อ 11:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 14-12-2011, 09:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายนที่ผ่านมา อาตมาไปร่วมพิธีเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์ถวายในหลวง ที่วัดไชยชุมพลชนะสงคราม พระอารามหลวง อาตมาเป็นหนึ่งใน ๑๐ รูปที่ไปเข้าพิธี เพราะว่าหลวงพ่อเจ้าคุณปัญญา(พระราชวิสุทธิเมธี) รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านจองตัวเอาไว้โดยเฉพาะ

ในเรื่องของพิธีเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเรื่องของธรรมเนียมโบราณ ถึงเวลาวาระสำคัญของพระมหากษัตริย์ก็ต้องมีการสรงน้ำมุรธาภิเษก เป็นพิธีแบบพราหมณ์ ต้องเอาน้ำจากแหล่งน้ำสำคัญทั่วประเทศมาเสก เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายเป็นน้ำสรง

อาตมาเคยร่วมพิธีนี้เมื่อปี ๒๕๓๐ ตอนนั้นเพิ่งบวชพรรษาที่ ๒ การตักน้ำศักดิ์สิทธิ์ตักจากสถานที่สำคัญ ซึ่งทั่ว ๆ ไปในประเทศก็มีไม่กี่แห่ง อย่างสุพรรณบุรีก็ตักน้ำจากสระแก้ว สระคา สระยมนา และสระเกษ ทางด้านปราจีนบุรีก็ตักน้ำจากสระมรกต ที่อำเภอศรีมโหสถ ทางด้านเพชรบุรีก็ตักเอาจากต้นน้ำเพชร

จังหวัดอุทัยธานีในตอนนั้นตักน้ำที่หน้าวัดท่าซุง บริเวณหน้าโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา ตรงนั้นจัดว่าเป็นที่สำคัญ เพราะว่าพระพินิจอักษร(ทองดี) คือสมเด็จพระปฐมบรมราชชนก ภาษาชาวบ้านคือ พ่อของรัชกาลที่ ๑ เกิดในเรือบริเวณนั้น เขาก็เลยถือว่าเป็นสถานที่สำคัญ ตักน้ำศักดิ์สิทธิ์เอาไปเสกกันที่โบสถ์วัดท่าซุง ปกติแล้วเขาให้เสกกันในพระอารามหลวง แต่ที่วัดท่าซุงนั้นถือเป็นกรณีพิเศษ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2011 เมื่อ 14:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 14-12-2011, 09:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"การเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์เมื่อปี ๒๕๓๐ ก็คือวาระที่ในหลวงเจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา พอมาปี ๒๕๓๙ ทรงครองราชย์ ๕๐ ปี ก็คือกาญจนาภิเษก ก็มีการเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์ถวายอีกทีหนึ่ง ตอนนั้นอาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษีเข้ายากออกยาก หลวงพ่อเจ้าคุณปัญญาก็เลยไม่ได้นิมนต์ไป

ตอนในหลวงพระชนมายุ ๗๒ พรรษา ไม่ทราบว่ามีพิธีเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า ? แต่ช่วง ๘๔ พรรษานี่มีแน่นอน และทางการเขาระบุไว้ว่า ให้ทุกจังหวัดหาแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นโดยที่เขาเชื่อถือกันมาแต่โบราณ หรือไม่ก็ให้หาแหล่งน้ำที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์สำคัญของประเทศ ตักน้ำศักดิ์สิทธิ์มาเพื่อเสกทูลเกล้าฯ ถวายให้ในหลวงสรงในวาระ ๘๔ พรรษา

จังหวัดกาญจนบุรีสรุปว่าเป็นที่สามประสบ ก็คือบริเวณที่แม่น้ำซองกาเลีย รันตี และบีคลี่มาประสบกัน ตรงนั้นมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ก็คือ เป็นสถานที่ซึ่งรัชกาลที่ ๑ กับกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ยกทัพไปตีพม่า ที่เขาเรียกว่าสงครามท่าดินแดง - สามสบ ครั้งนั้นยกทัพไปปี ๒๓๒๙ พระองค์ท่านไปพักทัพที่บ้านท่าขนุน มีระบุไว้ชัดเลย จึงกำหนดตักน้ำตรงนั้น ตักตั้งแต่เดือนตุลาคม แล้วก็มาเสกปลายเดือนพฤศจิกายน

พิธีเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกที่ได้พบก็คือ ตอนที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเสก ผ่านไป ๒๔ ปี หลวงลูกก็ไปร่วมพิธีอีก คราวนี้ไปในฐานะพระเกจิอาจารย์ ไปเสกเอง..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2011 เมื่อ 14:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 14-12-2011, 10:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ตอนช่วงเช้าต้องไปสอนพระนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยก่อน พอดีเป็นช่วงที่จะให้เขาสอบเก็บคะแนน กำลังคุมสอบไปประมาณครึ่งหนึ่ง อยู่ ๆ ไข้ก็ขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แทบจะยืนไม่ติด เออหนอ..งานอะไรที่จะทำเพื่อส่วนรวมนี่ฝืนแรงกรรมยากจริง ๆ โดยเฉพาะการช่วยในหลวง เพราะเท่ากับว่าแบกกรรมแทนคนทั้งประเทศ

พอฉันเพลเสร็จก็หลบไปนอนที่วัดท่ามะขาม เพราะกำหนดการที่เป็นทางการก็คือ เสกน้ำศักดิ์สิทธิ์เวลา ๑๘.๐๙ น. พร้อมกันทั่วประเทศ รอจนกระทั่ง ๕ โมงเย็นถึงไปที่โบสถ์วัดใต้ (วัดไชยชุมพลชนะสงคราม) ซึ่งเป็นพระอารามหลวง ๑ ใน ๓ แห่งของจังหวัดกาญจนบุรี

พระอารามหลวงแห่งแรกของจังหวัดกาญจนบุรี ก็คือ วัดพระแท่นดงรังวรวิหาร ต้องบอกว่าเป็นพระอารามหลวงโดยกำเนิด มีวรวิหารต่อท้าย ส่วนพระอารามหลวงที่ยกขึ้นทีหลังนี้ จะมีวงเล็บว่าพระอารามหลวงต่อท้าย พระอารามหลวงที่ยกขึ้นก็คือ อันดับแรก วัดต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า ๕๐ ปี อันดับสอง ต้องมีความสำคัญเกี่ยวเนื่องกับราชวงศ์ด้วย

วัดไชยชุมพลชนะสงครามนั้นสืบเนื่องกับสมัยรัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสไทรโยค พระองค์ท่านเสด็จ ๒ ครั้ง ช่วงที่เสด็จเมืองปากแพรก หรือปัจจุบันเป็นชื่อจังหวัดกาญจนบุรี เนื่องจากเป็นการเสด็จโดยทางชลมารค คือโดยทางเรือ ชาวบ้านก็ต้องมารวมกันเพื่อที่จะรอรับเสด็จที่ริมน้ำ ปรากฏว่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ต่าง ๆ ไปรวมกันตั้งพลับพลารับเสด็จที่วัดเหนือ ปัจจุบันก็คือวัดเทวสังฆาราม

แต่พวกบรรดาทหารทั้งหมดไปตั้งกองรับเสด็จที่วัดใต้ ก็คือวัดไชยชุมพลชนะสงคราม ส่วนชาวบ้านทั้งหมดไปตั้งพลับพลารับเสด็จที่วัดวัดท่ามะขาม หรือ วัดราษฎร์ประชุมชนาราม "
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2011 เมื่อ 11:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 14-12-2011, 11:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,124 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เนื่องจากว่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ ลูกหลานเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ไปรวมอยู่ที่วัดเหนือ ก็เลยตั้งชื่อว่าวัดเทวสังฆาราม คือวัดรวมเทวดา

วัดใต้ก็เป็นวัดไชยชุมพลชนะสงคราม เพราะว่าทหารทั้งหมดไปรวมกันตรงนั้น ส่วนวัดท่ามะขามก็เลยกลายเป็นวัดราษฎร์ประชุมชนาราม เพราะชาวบ้านไปรวมกันที่นั่น

แต่วัดท่ามะขามไม่ได้ขอยกเป็นพระอารามหลวง คาดว่าถ้าหากมัวแต่ปล่อยอยู่ เดี๋ยววัดท่าขนุนจะขอก่อน เพราะวัดท่าขนุนเกี่ยวข้องกับรัชกาลที่ ๗ พระองค์ท่านพระราชทานธรรมาสน์กับพระพุทธรูป ๒ องค์ถวายแก่หลวงปู่พุก อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนรูปแรก

กลายเป็นว่าพิธีการเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์กำหนดไว้เลยว่าต้องเป็นพระอารามหลวงเท่านั้น และมีต่อท้ายคำสั่งว่า น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือ ห้ามนำแจกจ่ายให้ผู้อื่นโดยเด็ดขาด เพราะเป็นการทำเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายโดยเฉพาะ พูดง่าย ๆ ก็คือใครเอาไปใช้ก็เท่ากับตีเสมอ สมัยก่อนก็เท่ากับกบฏ

พอเริ่มพิธีอาตมาตั้งใจอาราธนาบารมีพระ เห็นสมเด็จองค์ปฐมเสด็จมาแวบเดียวแล้วก็ไป หลังจากนั้นสมเด็จองค์ปัจจุบันก็มา กราบทูลขอบารมีพระองค์ท่านช่วยสงเคราะห์ในหลวง ขอให้มีพระวรกายแข็งแรง และอยู่ได้อีกหลายปี ปรากฏว่าการตั้งพิธีนั้นทางจังหวัดเอาพระพุทธนวราชบพิตรประจำจังหวัดกาญจนบุรีมาเป็นประธาน สมเด็จองค์ปัจจุบันท่านจึงยกพระพุทธนวราชบพิตรจุ่มใส่ขันน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปทั้งองค์ นี่อาตมาเห็น...คนอื่นไม่เห็น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2011 เมื่อ 14:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:17



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว