กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 26-05-2016, 11:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา ใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม ถ้าเผลอตัวไปคิดถึงเรื่องอื่นนอกจากการภาวนาและลมหายใจเข้าออก เมื่อรู้ตัวก็ให้ดึงกลับมาหาลมหายใจเข้าออกเสียใหม่

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ วันนี้จะกล่าวถึงคู่ศึกในการปฏิบัติธรรมของเรา ก็คือสังโยชน์ที่เป็นเครื่องร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับวัฏสงสาร และบารมี ๑๐ ที่จะช่วยให้พวกเราหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้

สังโยชน์ ๑๐ นั้นเริ่มต้นด้วยสักกายทิฐิ ก็คือมีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา เป็นความเห็นที่ยึดถือปักมั่นแน่นแฟ้นมานับชาติไม่ถ้วน ถ้าใครบอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ก็มักจะคิดว่าคนนั้นบ้า ข้อที่ ๒ คือ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติธรรม ว่าทำแล้วจะได้อย่างนั้นหรือไม่ ทำแล้วจะได้อย่างนี้หรือไม่ มัวแต่คิดฟุ้งซ่านอยู่ เลยไม่ได้ปฏิบัติเสียที

ข้อที่ ๓ คือ สีลัพพตปรามาส การรักษาศีลอย่างไม่จริงไม่จัง ถ้าตราบใดที่เรายังไม่รักษาศีลให้จริงจัง โอกาสที่เราจะหลุดพ้นก็เป็นไปไม่ได้ ข้อที่ ๔ คือ กามฉันทะ ได้แก่ ความยินดีในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสในระหว่างเพศ ข้อที่ ๕ คือ ปฏิฆะ อารมณ์กระทบที่เกิดขึ้นซึ่งทำให้เราไม่ชอบใจ เป็นต้นเหตุของโทสะ

ข้อต่อไป คือ รูปราคะ และ อรูปราคะ คือการติดในรูปและในสิ่งที่ไม่ใช่รูป ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ในส่วนที่ติดง่ายที่สุดก็คือฌานสมาบัติ ทั้งในส่วนของรูปฌานและอรูปฌาน เพราะเกิดความสุขเยือกเย็นเนื่องจากกดกิเลสดับลงได้ชั่วคราว ทำให้บุคคลที่ไม่เคยเข้าถึงยึดติดได้ง่าย ข้อที่ ๘ คือ มานะ ความถือตัวถือตนว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา เป็นต้น ข้อที่ ๙ คือ อุทธัจจะ ความคิดฟุ้งซ่าน อยากได้นั่น อยากได้นี่ อยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ และข้อสุดท้าย คือ อวิชชา ความเขลาที่ไม่รู้ถึงสาเหตุของความทุกข์ เลยทำให้เราไปยึดถือมั่นหมายจนเกิดความทุกข์ต่าง ๆ ขึ้นมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2016 เมื่อ 11:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 52 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-05-2016, 13:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนของบารมี ๑๐ นั้น เริ่มตั้งแต่ทานบารมี การให้ทาน ศีลบารมี การรักษาศีล เนกขัมมบารมี การถือศีล ๘ หรือว่าปฏิบัติธรรมในลักษณะของการถือพรหมจรรย์อยู่คนเดียว ปัญญาบารมี คือการที่เรามีปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงตามสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนมา แล้วสภาพจิตยอมรับตามนั้น วิริยบารมี คือความพากเพียร บากบั่น ไม่ท้อถอย ไปไม่ถึงจุดหมายไม่เลิกอย่างเด็ดขาด ขันติบารมี คือความอดทน อดกลั้น จนกว่าจะบรรลุถึงผลที่เราต้องการ

สัจจบารมี คือความตั้งใจจริง แน่วแน่ไม่แปรผัน อธิษฐานบารมี คือการที่เรากำหนดใจมั่น ว่าต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อที่จะได้เป็นเป้าหมายในการที่เราจะมุ่งตรงไปในจุดนั้น ๆ เมตตาบารมี คือการรักเขาเสมอด้วยตัวเรา เอาใจเขามาใส่ใจเรา เราไม่ชอบสิ่งใดก็อย่าทำสิ่งนั้นกับคนอื่น เราชอบสิ่งใดให้ทำสิ่งนั้นกับคนอื่น อุเบกขาบารมี คือการที่เรารู้จักปล่อยวาง โดยเฉพาะการปล่อยวางในกายสังขารนี้ ไม่ไปยึดถือมั่นหมายมากมายนัก รู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วว่าร่างกายสักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว

ในส่วนของบารมี ๑๐ นั้น เรามีหน้าที่ทำให้เต็ม ทบทวนอยู่บ่อย ๆ ว่าข้อไหนบกพร่อง แล้วก็พยายามเสริมสร้างให้เต็มขึ้นมา แต่ในส่วนของสังโยชน์ ๑๐ นั้น เราต้องตัด ต้องละให้ได้ ซึ่งตัวสำคัญที่สุด ก็คือ สักกายทิฐิ ความยึดถือมั่นหมายว่า ร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเรา เพราะว่าถ้าไปยึดถือมั่นหมายเมื่อไร ก็แปลว่าอวิชชาซึ่งเป็นสังโยชน์ตัวสุดท้าย ครอบงำเราอยู่เต็ม ๆ และขณะเดียว ตัวรูปราคะคือการยินดีในรูป ก็เข้าครอบงำเราอยู่เต็ม ๆ เพราะไปยึดถือร่างกายที่เป็นรูปและนามประกอบกันขึ้นมา ตัวมานะก็จะเกิดขึ้น เพราะไปยึดมั่นถือมั่น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2016 เมื่อ 18:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 27-05-2016, 13:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...ตัวสักกายทิฐิตัวเดียว ทำให้เกิดสังโยชน์ใหญ่อีกหลายตัวตามมาได้ การที่เราจะตัดสักกายทิฐิ คือความเห็นว่าเป็นเรา เป็นของเรา ก็คือ ต้องพินิจพิจารณาให้เห็นจริงว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบขึ้นมา ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราวตามบุญตามบาปที่สร้างมา เมื่อถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไป ถ้ายังไม่ถอนความพอใจออก ก็ต้องเกิดมามีร่างกายนี้ใหม่อีก

ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะเห็นจริง และคลายความยึดมั่นถือมั่นว่าร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเราได้ ตัวอื่นก็จะกลายเป็นของง่าย เพราะว่าเราจะหายจากความลังเลสงสัย เพราะเห็นชัดแล้วว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ก็จะตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลให้บริสุทธิ์ เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ เห็นว่ารูปฌานและอรูปฌานเป็นเพียงเครื่องมือให้เราก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์ไปเท่านั้น

ในบรรดาส่วนที่เกี่ยวข้องกับกามารมณ์ และการกระทบกระทั่งต่าง ๆ เกิดขึ้นเพราะมีร่างกายนี้เป็นเหตุ ถ้าเราละร่างกายนี้เสีย ไม่ยึดมั่นถือมั่น อารมณ์กระทบต่าง ๆ เหล่านั้นก็ไม่มี ถ้าคลายความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายได้ ตัวมานะก็ลดลงไป ถ้าหากว่าเราปฏิบัติธรรมมาถึงขึ้นนี้ ตัวอุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านก็เหลือน้อยเต็มที ก็เหลืออยู่อย่างเดียวคืออวิชชา ที่เรายังไปยึดถือมั่นหมายอยู่ เพราะว่ายังมีความยินดี ยังมีความพอใจในสิ่งต่าง ๆ ทันทีที่เราเกิดความยินดี ก็จะเกิดความอยากมีอยากได้ตามมา ดังนั้น...ต้องเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงสมบัติของโลก เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรให้เรายึดถือมั่นหมายได้ ไม่สามารถที่จะหอบข้ามชาติข้ามภพไปได้

ถ้าสามารถถอนความพอใจ ความยึดมั่นในตรงนี้ลงไปได้ เราก็สามารถที่จะตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน คือละสังโยชน์ใหญ่ทั้งหมดลงได้ ก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ดังนั้น...นักปฏิบัติธรรมทุกคนควรจะรู้ว่า ศัตรูของเราคือสังโยชน์นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร และมิตรร่วมรบของเราก็คือบารมี ๑๐ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วก็ทำการเสริมสร้างบารมี ๑๐ ให้เต็ม ละสังโยชน์ ๑๐ ให้ได้ เราก็สามารถก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานดังใจปรารถนา

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 27-06-2020 เมื่อ 00:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:46



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว