กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

Notices

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #81  
เก่า 24-09-2010, 10:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในขณะที่กำลังนั่งอยู่ที่บ้านอนุสาวรีย์ จู่ ๆ พระอาจารย์ท่านก็กล่าวขึ้นมาว่า "การจะนั่งอยู่ให้ได้ด้วยดีก็เป็นการฝึกที่เข้มงวดอย่างหนึ่ง บางคนนั่งอยู่ตรงนี้แต่ใจฟุ้งซ่านไปไหนก็ไม่รู้..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-09-2010 เมื่อ 11:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #82  
เก่า 24-09-2010, 13:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของเทคโนโลยี บางทีเราก็ไว้ใจไม่ได้ เราต้องรู้ว่าของอย่างนี้พร้อมที่จะรวน จะเสียได้ตลอดเวลา

สมัยที่อยู่วัดท่าซุง ด้วยความเคยชินที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ เวลาเข้าโบสถ์ก็จะถือกระดาษกับปากกาไปด้วย ไปคอยจด จะมีสมุดบันทึกของตัวเอง

พี่ ๆ เขาก็รอเทป เพราะเขาบันทึกเทปทุกคน ปรากฏว่าวันนั้นไฟดับ อาตมาออกจากโบสถ์มีแต่คนวิ่งมายืมสมุดโน้ต ก็เลยไม่รู้จะว่าอย่างไรดี

ในเรื่องของการจดบันทึกนั้น สิ่งที่เราฟังและได้ยิน จะเป็นส่วนที่สะดุดใจเราตรงนั้น ถ้าเป็นอารมณ์ปฏิบัติก็จะตรงกับกำลังใจของเราตอนนั้น ถ้าไม่ตรง..บางทีการฟังเราจะฟังข้ามไปเฉย ๆ

ฉะนั้น..การที่เราไปบันทึกจดเอาไว้ เราจดในสิ่งที่ตรงกับกำลังใจของเราช่วงนั้น จะได้ทบทวนได้


หัวใจนักปราชญ์ท่านว่า สุจิปุลิ วินิมุตโต กะถังโส ปัณฑิโต ภะเว บุคคลจะเป็นบัณฑิตได้ต้องประกอบไปด้วย สุจิปุลิ ได้แก่

สุตตะ จงฟังเขาอย่าขี้เกียจ................จิตตะ คิดให้ละเอียดที่สงสัย
ปุจฉา หลงจงถามอย่าเกรงใจ..............ลิขิต เขียนไว้ได้จะดีเอย


ฟัง คิด ถาม เขียน เราส่วนใหญ่ ฟัง คิด แต่ไม่ถามและไม่เขียน เป็นอะไรกันก็ไม่รู้ ? ทำอย่างกับว่าถามแล้วจะเสียหน้า ต้องรอคนอื่นเขาถาม ถ้าไม่มีใครถามเราก็เสียประโยชน์เอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-09-2010 เมื่อ 22:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #83  
เก่า 24-09-2010, 13:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ความมั่นใจจะทำให้เรากล้าแสดงออก โดยเฉพาะคนไทยจำนวนมาก เวลาเจอฝรั่งจะวิ่งหนี ไม่กล้าคุยกับฝรั่ง

ความจริงฝรั่งเจอเราเขาต้องวิ่งหนี เพราะเขาพูดภาษาไทยไม่ได้ ไม่ใช่เราเจอฝรั่งแล้ววิ่งหนี เพราะนี่เป็นบ้านเรา

มีอยู่เรื่องหนึ่ง เด็กฝรั่งไปเที่ยววัดพระแก้ว เขาเห็นรูปปั้นยักษ์สูงใหญ่ มีเด็กไทยอายุไล่เลี่ยกันมากับพ่อแม่ เด็กฝรั่งเห็นก็สะกิดถาม " Hey you, what is this ? "

เด็กไทยเกาหัว นึกถึงว่าอาจารย์เราก็เคยสอนมาเหมือนกัน เลยตอบไปว่า "This is a Yak" (ยักษ์)

"What is Yak ?"
"Yak is Tossagan" (ทศกัณฐ์)

"What's meaning of Tossagan ?"
"Tossagan is the king of Yak..!"

ตอบไปหลายประโยคเด็กฝรั่งก็ยังงง ท้ายสุดเด็กฝรั่งต้องเดินหนีไปเอง ต้องเอาให้ได้อย่างนั้น อยู่บ้านเราไม่ต้องไปหนีเขา ต้องให้เขาหนีเรา"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-09-2010 เมื่อ 14:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #84  
เก่า 24-09-2010, 13:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถึงได้บอกว่า พวกเราเก่งสู้หมาไม่ได้ เอาหมาไทยไปโยนไว้กับหมาอังกฤษ ก็เห็นว่าคุยกันได้ เอาไปโยนไว้กับหมาฝรั่งเศส ก็คุยกันได้อีก สรุปว่าหมาเก่งกว่าคนเยอะเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-09-2010 เมื่อ 14:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #85  
เก่า 24-09-2010, 13:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์สรุปเรื่องสุจิปุลิให้ฟังว่า "ในเรื่องของหัวใจนักปราชญ์ ต้องมีครบจึงจะใช้ได้ บางทีนักเทศน์ท่านก็บอกว่า จำไว้ดีกว่าจด แต่ถ้าจำไม่หมด จดไว้ก็ดีกว่าจำ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #86  
เก่า 24-09-2010, 20:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การบนบานศาลกล่าว ถือว่าเป็นความผิดหรือเปล่าครับ ? เพราะว่าการบนเป็นสิ่งที่ไม่ดี
ตอบ : การบนไม่ดีตรงไหน ?

ถาม : เป็นการติดสินบน
ตอบ : ติดได้..! จำไว้ว่าทุกอย่างต้องมีเหตุถึงจะมีผล ถ้าเราสร้างเหตุไม่พอ บนให้ตายผลก็ไม่เกิด บุคคลที่บนแล้วได้ผลก็คือ ผู้ที่สร้างเหตุมาพอ ผลถึงจะเกิด

ถ้ามีคนสองคนไปบนด้วยกัน คนหนึ่งบนแล้วได้ผล อีกคนหนึ่งไม่ได้ผล คนที่บนได้ผลเพราะว่าเขาสร้างบุญ อาจจะเป็นทาน ศีล ภาวนา มาเพียงพอแล้ว ขาดอีกนิดหน่อยเท่านั้น พอไปบนว่าถ้าเรื่องนั้นสำเร็จ จะทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งตอบแทน พิจารณาดูแล้ว กระแสบุญที่เขาสร้างเพิ่มเติมเหมาะสมแล้ว เป็นเหตุที่จะเกิดผลได้แล้ว การบนก็จะสำเร็จ

อย่าลืมว่าการบนไม่ใช่ร้องขอเฉย ๆ แต่จะมีการทำอะไรบางอย่างตอบแทนไปด้วย
อย่างเช่น เอาละครชาตรีไปแก้บน หรืออาจจะต้องรักษาศีลห้า ศีลแปด พร้อมกับเจริญกรรมฐานสัก ๗ วัน

ความดีที่เราทำจะมากจะน้อย ถ้าเหมาะสมกับส่วนที่เราขาด เหมือนกับน้ำขาดอยู่ไม่มาก ถ้าเราเติมอีกหน่อยเดี๋ยวก็เต็ม แต่ถ้าหากมีน้ำอยู่แค่ก้นขวด เติมน้ำไปครึ่งขวดก็ยังไม่เต็ม ถ้าอย่างนั้นคุณบนให้ตายก็ไม่ได้ผล

อย่าลืมว่าทุกอย่างมีเหตุจึงจะมีผล ถ้าเราสร้างเหตุดีแล้วก็บนไปเถอะ แต่ถ้าสร้างเหตุยังไม่ดีพอ บนให้ปากฉีกถึงหูไปก็เท่านั้น

เมื่อไม่นานมานี้ที่วัดท่าขนุนมีพระมาบวช เกิดจากเพื่อนเขาบนว่า ถ้าเรื่องนี้สำเร็จจะให้เพื่อนคนนี้บวช แทนที่จะบนให้ตัวเองบวช มีอย่างที่ไหนดันบนให้คนอื่นบวช..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-09-2010 เมื่อ 02:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #87  
เก่า 24-09-2010, 20:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนเอนทรานซ์ หนูยังบนเลยค่ะ
ตอบ : รายที่ชัดที่สุดอยู่ที่หาดใหญ่ เพื่อนทั้งห้องช่วยกันตรวจแล้วไม่มีชื่อแน่นอน เขามาโวยวายว่า หลวงพ่อเล็กรับบนแล้วทำไมเขาจึงไม่ได้ ก็บอกว่า "ได้..เอ็งตาไม่ดี ให้กลับไปดูใหม่"

ทีนี้เพื่อนทั้งห้องกลับไปดูใหม่กลับมีชื่อ แสดงว่าเขาบนได้ผล ตอนแรกก็อาจจะตื่นเต้นมองข้ามชื่อไป มาระยะหลังเลยเดือดร้อน แทนที่เขาจะไปบนกับพระตามที่อาตมาบอก เขาดันมาบนกับอาตมาเอง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-09-2010 เมื่อ 02:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #88  
เก่า 24-09-2010, 20:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงการศึกษาว่า "การศึกษาของบ้านเราน่าเป็นห่วงมาก คุณภาพการศึกษาตกต่ำยังไม่พอ แม้แต่ไอคิวของเด็กยังตกต่ำ จากผลงานวิจัยล่าสุด ไอคิวเด็กไทยเฉลี่ยอยู่ที่ ๘๘ ระดับนี้สำหรับฝรั่งแล้วเขาถือว่าโง่เลย เพราะต่ำสุดต้อง ๙๐ ขึ้นไป

ความจริงจะว่าไปแล้ว บรรดานักวิชาการต่าง ๆ เขาก็หวังดีกับวงการการศึกษาไทย แต่ไม่ได้ดูพื้นฐานความเป็นมาของเด็ก จึงมีการปรับเปลี่ยนหลักสูตรเป็น child center หลักสูตรที่ให้เด็กคิดเป็นทำเป็น หลักสูตรนี้ลอกแบบฝรั่งมาเต็ม ๆ โดยที่ไม่ได้ดูบริบทของสังคมเราว่าเป็นอย่างไร

เด็กฝรั่งเริ่มจับช้อนเองได้ พ่อแม่ก็ส่งจานให้กินเองเลย เด็กอาจจะละเลงเละไปทั้งบ้าน หรือเทรดหัวตัวเอง พ่อแม่ก็ปล่อย พอหมดเวลากิน เขาก็จับไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แล้วปล่อยทิ้งเลย ถ้ายังไม่ถึงอาหารมื้อใหม่ก็จะไม่มีให้กิน

เด็กเขาจะเรียนรู้ได้เร็วมาก ว่าถ้าเขาไม่กินแล้วจะหิว เพราะฉะนั้น..พอมื้อถัดไป อย่างไรเขาต้องพยายามตักใส่ปากตัวเองให้ได้ เด็กฝรั่งเขาจะช่วยตัวเองได้ตั้งแต่เด็ก ๆ ทำอะไรเป็นตั้งแต่เด็ก ๆ ในเมื่อถึงเวลาเข้าโรงเรียน เขาสอนให้เด็กคิดเองทำเอง เขาก็เลยทำได้ง่าย

แต่บ้านเรา ๔ - ๕ ขวบแล้ว แม่ยังต้องมาป้อนข้าว "อ้ำ..กินนะลูก" มีอยู่รายหนึ่งที่ชัดที่สุดก็คือ คุณหมอพรทิพย์ มีลูกสาวหลังจากแต่งงานไปแล้วสิบปี ชื่อ น้องเท็น

น้องเท็นจะกินข้าวได้คำหนึ่ง จะต้องมีรถไฟวิ่งมาขบวนหนึ่ง เนื่องจากบ้านอยู่ใกล้ทางรถไฟ พอเด็กเห็นรถไฟก็ปรบมือชอบใจ แม่ก็ตักข้าวใส่ปากได้คำหนึ่ง ถ้ารถไฟไม่มาก็ไม่ต้องกิน

ความจริงถ้าพ่อแม่จิตใจเด็ดเดี่ยวหน่อย ปล่อยไปเลย ไม่กินก็เรื่องของเด็ก พอเด็กเขาอดเดี๋ยวเขาก็ตะกายมาหากินเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปวิ่งไล่ป้อนรอบบ้าน และไม่ต้องไปโมโหเวลาลูกอมข้าวแล้วไม่ยอมเคี้ยว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-09-2010 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #89  
เก่า 24-09-2010, 20:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เด็กบ้านเราจึงทำอะไรเองไม่เป็น ทุกอย่างพ่อแม่บริการให้หมด สมัยนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ขนาดเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว พ่อแม่ยังต้องส่งข้าวส่งน้ำให้ลูกเวลาอ่านหนังสือ ตกลงลูกไม่ต้องทำอะไรเลย เราจึงเห็นว่าเด็กสมัยนี้จบปริญญาตรีแล้วยังไม่เป็นโล้เป็นพาย เพราะแทบจะไม่เคยทำอะไรด้วยตัวเอง

ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราไปใช้หลักสูตรให้เด็กคิดเองทำเอง ให้เด็กเป็นศูนย์กลาง จึงไม่เหมาะกับบทบริบทของสังคม แบบเดียวกับที่ครูอธิบายไปครึ่งชั่วโมง ถามว่ามีใครสงสัยอะไรไหม ?..เงียบ เข้าใจไหม ?..เงียบอีก ตกลงทั้งไม่สงสัยและไม่เข้าใจ แปลว่าอะไรกันแน่ ?

นอกจากนี้ สังคมของเราเปลี่ยนไปด้วย โดยเฉพาะพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก ลูก ๆ มักจะอยู่กับพี่เลี้ยงมากกว่า พอถึงเวลาพ่อแม่กลับบ้าน ชื่นใจที่ได้เห็นหน้าลูก ลูกก็ร้อง "ฮ่วย..!" เว้าลาวได้ก่อนพูดไทยอีก เพราะพี่เลี้ยงเป็นลาว ก็เลยทำให้พ่อแม่ลูกไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันแบบก่อน แทบจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน

พ่อแม่ก็จะรู้สึกผิดลึก ๆ อยู่ในใจ จึงใช้วิธียัดเยียดทรัพย์สินเงินทองให้ เด็กพกเงินมาก ๆ ไปโรงเรียนไม่ใช่เรื่องดีเลย อำนวยความสะดวกให้เด็กได้ก็จริง แต่ก็จะพายาเสพติดมาให้ด้วย พวกที่เห็นว่าคนนี้มีเงินใช้ฟุ่มเฟือยก็มาเกาะติด หลอกให้ลองยา พอติดยาก็กลายเป็นแหล่งผลิตเงินให้คนอื่น

สมัยนี้เขามักจะเลี้ยงลูกด้วยโทรศัพท์กับเงิน ไม่รู้ว่าเด็กโตมาได้อย่างไร ? สังคมบ้านเราจึงค่อนข้างพิกลพิการอย่างที่เห็น "
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-09-2010 เมื่อ 02:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #90  
เก่า 24-09-2010, 21:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"จะว่าไปแล้วบ้านเราในเรื่องของการศึกษา คุณธรรมจริยธรรมล่มสลายไปตั้งแต่แยกโรงเรียนออกจากวัดแล้ว ในปัจจุบันนี้โรงเรียนดัง ๆ อย่างเทพศิรินทร์ เทพลีลา เขาตัดคำว่า "วัด" ออกหมด

ถ้าเราไม่เคยศึกษาค้นคว้ามาก่อน จะไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้วัดคือสถานศึกษา ทุกคนจะเรียนต้องเรียนกับวัด พระนอกจากจะสอนให้เขียน ก.กา แล้ว ยังต้องสอนจริยธรรมและศีลธรรมด้วย เด็กจะใกล้ชิดกับวัด จะไม่กลัวพระ คุ้นชินกับพระ อาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร ได้ตั้งแต่เล็ก ๆ สมัยนี้ลองถามดูสิว่า ทั้งห้องนี้มีกี่คนที่อาราธนาได้

ตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกตัว จึงมีการจัดครูพระไปสอนศีลธรรมในโรงเรียน แต่ปรากฏว่าเด็กห่างศีลห่างธรรมไปเยอะ จึงไม่ค่อยจะสนใจ พอถึงวิชาพุทธจริยศึกษา เด็กก็นั่งกินขนม นั่งหลับ นั่งคุยกัน เด็กที่โต ๆ หน่อยระดับมัธยม ก็นั่งแต่งหน้าทาปากอยู่ท้ายห้อง พระท่านก็ตักน้ำรดหัวตอไปเรื่อย ๆ ไม่หวังว่าตอจะงอกหรอก แต่อย่างน้อย ๆ ให้เปียกบ้างก็ยังดี

เด็กสมัยนี้จึงค่อนข้างจะก้าวร้าว เพราะสังคมเป็นไปในแนวนั้น ประเภทเห็นเด็กกินอาหารฟาสต์ฟู้ดกับโค้ก ผู้ใหญ่เข้าไปแนะนำ "หนู ๆ กินมาก ๆ ไม่ดีนะ กินมาก ๆ ร่างกายจะแย่ ขาดสารอาหารด้วย" เด็กก็บอกว่า "ปู่ของผมอายุตั้งร้อย..!" ผู้ใหญ่เขาก็งง "ปู่ของหนูก็กินแบบนี้หรือ ?" เด็กตอบว่า "เปล่า..ปู่ของผมไม่ยุ่งกับเรื่องชาวบ้าน..!" ที่ปู่เขาอายุเป็นร้อยเพราะไม่ยุ่งกับเรื่องชาวบ้าน แต่เรามายุ่งกับเขา อาจจะอายุสั้น

สภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้เรื่องอปจายนมัย (ความอ่อนน้อมถ่อมตน) ไม่มี ถ้าเป็นสมัยก่อน เด็กพวกนี้จะถูกจัดเป็นเป็นพวกหลังแข็ง ต้องตีให้หลังหัก เดินผ่านผู้ใหญ่ไม่มีก้มหลังเลย สมัยก่อนเขาจะก้มหลังเดินผ่าน แสดงความเคารพ จะทำอะไรต้องขอโทษขออภัยก่อน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2019 เมื่อ 02:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 136 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #91  
เก่า 24-09-2010, 21:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"จะว่าไปแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับจริตนิสัยของเด็ก ถ้ามีพื้นฐานมาดีตั้งแต่ชาติก่อน ๆ ก็จะว่านอนสอนง่าย พ่อแม่คนไหนที่มีลูกแบบนี้ก็สบายใจได้

แต่เด็กสมัยนี้หาไม่ได้ ที่หาไม่ได้เพราะพ่อแม่เลี้ยงลูกผิดตั้งแต่เล็ก ไปกินสารพัดอาหารเสริมให้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เด็ก ๆ ก็เลยพลังงานล้นเกิน พอคลอดออกมาก็เป็นเด็กไฮเปอร์แอกทีฟ อยู่นิ่งไม่ได้ ถ้าจับให้อยู่นิ่งจะดิ้นขาดใจตาย พวกนี้ซนยิ่งกว่าลูกลิงเสียอีก

เพราะว่าสติ สมาธิ และปัญญาของเขาก็คือเด็ก แต่พลังงานล้นเกิน เขาก็เลยต้องแสดงออกด้วยการกระโดดโลดเต้น ทำนั่นทำนี่ เอะอะโวยวายไปตามเรื่องของเขา อย่างรุ่นของอาตมาไม่มีหรอก ประเภทแคลเซียมสูง โฟเลตสูง ผสมวิตามินอะไรพวกนั้น อย่างเก่งก็กินกล้วยบดกับข้าวเท่านั้น "จะกินหรือไม่กิน ถ้าไม่กินก็อดไปเลย..!" ในเมื่อร่างกายมีสารอาหารล้นเกิน ปฏิกิริยาก็ต้องแสดงออก เหมือนกับรถยนต์ที่เครื่องแรง

พ่อแม่ก็ห่วงเด็กเหลือเกิน ใครว่าอะไรดีตะเกียกตะกายไปหามาหมด กลัวลูกจะไม่เก่งไม่ฉลาดเหมือนเขา ต้องฟังบีโธเฟ่นตั้งแต่อยู่ในท้อง สามขวบก็หัดให้เล่นเปียโนแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันเขา ห้าขวบต้องไปเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มเติม เอากันให้บ้าไปข้างหนึ่ง..!"

จริง ๆ แล้วบ้านเรายังโชคดี ถึงพ่อแม่จะออกไปทำงานทั้งคู่ ไม่มีเวลาอยู่กับลูก ก็ยังมีปู่ย่าตายายอยู่ช่วยดูแลหลาน ต่างประเทศเขาไม่มีตรงนี้

บ้านเขาปู่ย่าตายายไปอยู่สถานสงเคราะห์คนชรา ไม่มีใครรับภาระ ถ้าครอบครัวดี ๆ หน่อย คริสต์มาสครั้งหนึ่งจึงจะได้เห็นหน้ากัน ถ้าครอบครัวไม่เอาไหน ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่ต้องไปดูไปเจอกันเลย

อย่างน้อย ๆ ที่ครอบครัวไหนมีปู่ย่าตายายคอยดูแลหลาน เด็ก ๆ ก็ยังไม่ออกนอกทุ่งนอกท่ามากนัก ถ้าครอบครัวไหนไม่มี ก็ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมของสังคมไป"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2015 เมื่อ 02:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #92  
เก่า 25-09-2010, 10:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่รัฐบาลไม่รู้นะ คนที่จะขึ้นไปถึงระดับนั้นได้ต้องรู้ แต่มัวเล่นเกมการเมืองกันอยู่จนไม่มีเวลาที่จะมาแก้ไข เวรกรรมก็เลยตกอยู่กับประเทศไทย อยากรู้เหมือนกันว่าอีกห้าปี หรือสิบปี ไอคิวเฉลี่ยของเด็กไทยจะเหลือเท่าไร ตอนนี้ ๘๘ อยู่ระดับโง่ของฝรั่งไปแล้ว

ปัจจุบันนี้เวลาเห็นเด็ก ๆ อาตมาเกิดความคิดอยู่สองอย่าง อย่างแรกก็คือ จะเกิดมาทำไมวะ ? อย่างที่สองก็คือ เอ็งยังทุกข์อีกนาน กลายเป็นว่าผู้ใหญ่ยุคนี้โชคดี ที่เขาบอกว่าโชคดีที่ตายก่อน..!

เพราะฉะนั้น..ใครเพิ่งจะแต่งงานอยู่กินกัน ขอไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าคิดว่าตนเองไม่มีความสามารถที่จะอบรมลูกให้เป็นคนดีได้ ก็อย่าเพิ่งมีลูกเลย ไม่อย่างนั้นจะไปเพิ่มปัญหาให้แก่สังคมเสียเปล่า ๆ

เดี๋ยวจะกลายเป็นประเภทที่เข้าไปในผับแล้วเที่ยวไปถามว่า "รู้ไหมว่ากูลูกใคร ?" ถ้าโง่ขนาดไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร ก็เป็นกรรมของสัตว์โลกไป..!

ขอให้ช่วยรับไปปฏิบัติด้วย ถ้ายังไม่มั่นใจว่าจะอบรมลูกของตัวเองออกมาดีได้ ก็อย่าเพิ่งไปมีเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-09-2010 เมื่อ 18:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #93  
เก่า 25-09-2010, 10:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงสำนักปฏิบัติธรรมว่า "สำนักปฏิบัติธรรมวัดท่าขนุน จัดตั้งมายังไม่ได้สองปีเลย โดยคำสั่งของมหาเถรสมาคม แต่ปรากฏว่าปีที่สองนี้ได้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมดีเด่นของประเทศแล้ว ได้พร้อม ๆ กับวัดมหาธาตุที่เขามีการปฏิบัติธรรมมา ๔๐ -๕๐ ปี

ได้พร้อมกับหลวงพ่อวิชัย วัดถ้ำผาจม ที่สอนกรรมฐานมาตลอดชีวิต มีอีกวัดหนึ่งที่ได้ คือ วัดของหลวงพ่อหนุน วัดป่าพุทธโมกข์ ที่สกลนคร ได้พร้อมกัน รุ่นเดียวกัน จะไปรับรางวัลวันที่ ๒๓ กันยายนนี้ ที่วัดพิชยญาติการาม

โดยเฉพาะวัดพิชัยญาติเขาทำเรื่องกรรมฐานมาโดยตลอด เป็นต้นกำเนิดของประกาศนียบัตรวิปัสสนาภาวนา ที่จะต้องเข้ากรรมฐาน ๓ เดือน และปริญญาโทวิปัสสนาภาวนาที่จะต้องเข้ากรรมฐาน ๗ เดือน แต่มาได้รับรางวัลดีเด่นพร้อมกัน รุ่นเดียวกัน

ที่จริงอยากให้วัดท่าขนุนได้ปีหน้ามากกว่า เพราะในหลวงครบ ๘๔ พรรษา ถือว่าเป็นวโรกาสที่เป็นมหามงคล แต่ในเมื่อได้รับเลือกแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร ต้องรับเอาไว้ก่อน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 30-09-2010 เมื่อ 00:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #94  
เก่า 25-09-2010, 10:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ขอสอบถามการใช้คาถาสหัสสเนตโตและวิธีนั่งภาวนา ที่ไม่ใช้ตาเนื้อ เวลานั่งภาวนาชอบไปจับที่ลูกตา
ตอบ : รู้แล้วก็แก้ไขสิ

ถาม : ควรตั้งจิตไว้ตรงไหน ?
ตอบ : เขาใช้นึกเอา จะนึกไว้ตรงไหนก็ได้ ส่วนใหญ่กำหนดใจเอาไว้ ว่าง ๆ สบาย ๆ อยู่ในหัวกะโหลกของเราเอง เหมือนกับว่าเราจะนึกถึงใครสักคน ความรู้สึกเหมือนกับว่าเรามองขึ้นไปบนหัวของเรา แล้วโค้งกลับเข้ามาในท้องของเราก็ได้ เอาไว้ตรงไหนก็ได้

แรก ๆ อดไม่ได้หรอก เราเคยชินกับการใช้สายตามานาน ก็ไปเผลอนึกถึงตาอยู่เรื่อย ถ้าฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว ไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้แล้ว นึกถึงตาเมื่อไรภาพก็หายวับ

เนื่องจากการนึกถึงตาคือการนึกถึงตัว เป็นการดึงจิตกลับมาที่ตัว เราต้องไปถึงสถานที่นั้น เราจึงจะเห็นได้ ในเมื่อเราดึงจิตกลับ ก็จะไม่เห็นอะไร

ส่วนคาถาสหัสสเนตโตนั้น ให้ภาวนาเป็นปกติไปเลย เช้าสักครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมงก็ได้ ไม่ใช่นึกจะใช้เมื่อไรแล้วค่อยมาภาวนา แบบนี้ไม่ทันกิน ถ้าเป็นมีดหรือดาบก็สนิมเขรอะ ต้องซ้อมเอาไว้บ่อย ๆ ลับมีดลับดาบไว้บ่อย ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-09-2010 เมื่อ 18:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #95  
เก่า 25-09-2010, 11:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คาถาสหัสสเนตโต เวลาเราใช้อย่าลืมขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดา ทั้งหมด มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ให้ช่วยสงเคราะห์ให้เราทำข้อสอบได้ถูกต้อง และถูกใจคนตรวจด้วย

ถ้าอ่านหนังสือมาจะทำได้คล่องมาก เพราะจะนึกออกหมด แต่ถ้าไม่ได้อ่านหนังสือมา จะต้องมีความคล่องตัวจริง ๆ ไม่อย่างนั้นเกิดได้คำตอบขึ้นมา แล้วเราไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน เราก็จะไม่รู้ว่าคำตอบนี้ถูกหรือเปล่า ฉะนั้น..ถ้าให้เป็นไปได้ ควรจะอ่านหนังสือสัก ๒ - ๓ รอบ ถึงเวลาใช้คาถาความคล่องตัวจะได้มี

อาตมาเองขนาดคล่องตัวแล้ว ตอนสอบนักธรรมเอกยังโดนตัดคะแนนเลย เพราะได้ยินเสียงบาลีดังชัด ๆ อยู่ในหู แต่เราเคยได้ยินอีกประโยคหนึ่งที่คล้าย ๆ กัน ก็เลยไปคิดว่าน่าจะเป็นประโยคนั้น เขียนไปก็เลยผิด โดนหักไป ๕ คะแนน..!

จะใช้คาถาทุกอย่างให้ได้ผล จำเป็นต้องทำสมาธิให้ทรงตัว สมาธิทรงตัวตั้งแต่อุปจารสมาธิขึ้นไป คาถาก็เริ่มได้ผลแล้ว ยิ่งสมาธิสูงเท่าไรผลของคาถาจะมีมากเท่านั้น

คนจะทำคาถาต้องเป็นคนจริงจัง สม่ำเสมอ ถ้าไม่จริงจัง ไม่สม่ำเสมอ ทำแล้วจะไม่เกิดผล เพราะว่าคาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญา ทำคาถาขึ้นก็เล่นอภิญญาได้ คนจะเล่นอภิญญาได้จะต้องเป็นคนจริงจัง สม่ำเสมอ ทุ่มเทชนิดตายเป็นตาย ไม่ใช่เบื่อ ๆ อยาก ๆ ไฟไหม้ฟางเป็นพัก ๆ ถ้าวิสัยอย่างนั้นอย่าเสียเวลาไปเล่นเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-09-2010 เมื่อ 18:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 132 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #96  
เก่า 25-09-2010, 11:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คาถาจริง ๆ มาจากภาษาบาลี บาลีเขาใช้ว่า กถา แปลว่า วาจาเป็นเครื่องกล่าว เพราะฉะนั้น คำพูดทุกอย่างก็คือคาถา

แต่ว่าคาถาในความรู้สึกนึกคิดของเรา คือ ถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ ที่จะให้ผลตามแต่ที่เขากำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้ ผู้ใดภาวนาคาถานั้นก็จะได้รับผลตามที่เขาว่าเอาไว้

ความจริงแล้วคาถาใช้บทเดียวก็ได้ เพราะคาถาเป็นการโยงใจให้เป็นสมาธิ ส่วนที่เหลือเมื่อกำลังใจเป็นสมาธิแล้ว ถ้าหากว่ากำลังเพียงพอ อธิษฐานให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

ดังนั้น..แรก ๆ อาจจะต้องใช้คาถาหลาย ๆ บท เพราะเรายังไปแยกว่าบทนั้นใช้อย่างนั้น บทนี้ใช้อย่างนี้ แต่ถ้าคนที่คล่องตัวจริง ๆ ส่วนใหญ่จะเหลือแค่บทเดียว แถมบทยาว ๆ ก็ไม่เอาอีกด้วย เอาบทสั้น ๆ ดีกว่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-09-2010 เมื่อ 18:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #97  
เก่า 27-09-2010, 08:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีคนเขาจะขายบ้านไม้ ปลูกมาแล้วแปดปี ราคาแสนห้า หนูควรจะซื้อไหม ?
ตอบ : ซื้อเลยจ้ะ เพราะเดี๋ยวนี้บ้านไม้หายาก ราคาแพงขึ้นทุกวัน

ถาม : เขาขายราคาแสนห้า หนูก็ว่าราคาถูก พรุ่งนี้หนูจะไปดูสภาพบ้านจริง
ตอบ : จุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เขาก่อน บอกเจ้าที่เจ้าทางหรือท่านทั้งหลายที่อาศัยในบ้านนี้ว่า เราจะซื้อบ้านหลังนี้ ขอให้ไปอยู่ด้วยกัน เราทำบุญอะไรขอให้เขาโมทนา เมื่อไปอยู่ด้วยก็ช่วยสร้างความสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัวของเราด้วย

เมื่อหลายปีก่อน มีบ้านหลังหนึ่งขนาดใหญ่พอ ๆ กับศาลา และพื้นที่ของเขาก็กว้างขวาง นอกจากบ้านหลังใหญ่แล้ว ในบริเวณไร่ยังมีกระต๊อบเล็ก ๆ เป็นระยะ ๆ สำหรับคนดูแลไร่ ตอนนั้นทิดตู่ยังบวชอยู่

พอพวกเราไปถึงที่ตรงนั้นแล้ว จึงแบ่ง ๆ กันอยู่ แยกกันไปคนละหลัง กลางคืนก็ต่างคนต่างภาวนากัน ยังไม่ทันจะสามทุ่มเลย ผีก็แห่กันมา ประเภทที่เขาเรียกว่า ป่าช้าแตก..!

ทิดจิตร (ตอนนั้นสึกแล้ว) กางกลดอยู่ใต้ถุนบ้านหลังใหญ่ เขามาสารภาพทีหลังว่า "ผมจะเปิดกลดวิ่งอยู่แล้ว แต่นึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าพ้นจากที่นี่ไปแล้วอาจจะโดนหนักกว่าอีก ก็เลยกัดฟันนั่งสั่นอยู่ในกลด"

อาตมาถามผีว่า "ทำไมจึงต้องมาหลอกมาหลอนกันด้วย ?" เขาส่งตัวแทนออกมาหนึ่งราย เป็นผีผู้ชายค่อนข้างจะมีอายุ บอกว่าที่เขามา เขาไม่ได้มาหลอก เขาตั้งใจมาบอกว่าเขาเดือดร้อน เขาอยากขอความช่วยเหลือ แต่คนหนีเขาหมด..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2019 เมื่อ 02:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #98  
เก่า 27-09-2010, 09:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เขาทำภาพให้ดูว่า บ้านหลังนี้ปลูกทับป่าช้าเก่าอยู่ เขาบอกว่า "ตอนที่เจ้าของบ้านปลูกบ้าน ขุดได้กระดูกพวกผมมาเป็นโอ่งเลย เขาสร้างศาลให้อยู่ ไม่เชื่อพรุ่งนี้ไปดูได้" อาตมาเลยบอกพวกเขาให้โมทนาบุญ

พอพวกเราอยู่ได้สองคืน วันที่สามตอนใกล้ ๆ เพล ปรากฏว่าเจ้าของบ้านมา เขาคงได้ข่าวว่ามีพระเณรมาอยู่ที่นี่แล้วอยู่ได้ รู้ไหม..เจ้าของบ้านเขามาลักษณะอย่างไร ? เจ้าของบ้านเดินนำหน้า ลูกน้องอีก ๕ - ๖ คน เกาะเอวกันมาเป็นแถว ไม่กล้าเดินห่างแม้แต่ก้าวเดียว แสดงว่าโดนจนเข็ด..!

เจ้าของบ้านมาสอบถาม อาตมาก็อธิบายให้เขาฟังว่า"โดนหลอกเหมือนกัน แต่อาตมาไม่หนีเท่านั้นเอง..! ถ้าจะให้ดีคุณควรจะทำบุญ จัดทำบุญเลี้ยงพระแบบขึ้นบ้านใหม่ อุทิศส่วนกุศลให้เขาสักหน่อย" เขาก็ตกลง

รุ่งขึ้นอีกวัน เขาก็เอาข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงพระ อาตมาลืมสั่งผีเอาไว้ว่าอย่าเพิ่งไป เพราะปกติถ้าผีได้ส่วนกุศลแล้วเขาก็ไป เจ้าของพอเห็นผีไม่หลอกแล้วเขาก็เลยรื้อบ้านขาย

ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด พาทิดตู่กับทิดป๊อบเข้าไปที่บึงลับแล แล้วอากาศในนั้นร้อน ถ้าเป็นหน้าร้อนแล้วที่บึงลับแลลมจะไม่พัด อากาศจึงร้อนอบอ้าวมาก จึงบอกทิดตู่กับทิดป๊อบว่า ไปบ้านผีสิงที่เกริงกราเวียดีกว่า พอไปถึงเขากำลังล้มเสาต้นสุดท้ายอยู่พอดี รื้อจนเกลี้ยงเลย นี่ถ้าตกลงกับผีไว้ก่อนว่า อุทิศส่วนกุศลให้แล้วช่วยอยู่หลอกไปอีกสักพัก เราอาจจะซื้อบ้านหลังนี้ได้ในราคาถูก ๆ ก็เป็นได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2010 เมื่อ 17:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #99  
เก่า 27-09-2010, 09:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นอกจากผีที่โดนฝังอยู่แถวนั้นแล้ว แม้กระทั่งนางไม้ก็ยังกวนพอ ๆ กัน มีอยู่วันหนึ่ง หลังจากทำวัตรเย็นรวมกันบนบ้านหลังใหญ่แล้ว แยกย้ายกันไปตามแต่กุฏิใครกุฏิมัน จะมีการหมุนเวียนกันไปแต่ละที่ จะไม่ให้อยู่ซ้ำที่ เพราะถ้าอยู่ซ้ำที่เดี๋ยวจะคุ้นเคย

อาตมาลงจากบ้านหลังใหญ่เดินลัดไปทางด้านชายห้วย จะมีกระต๊อบอยู่ใต้ต้นไทร พอเดินเลยต้นยางใหญ่ไปเท่านั้น มองเห็นผีผู้หญิงออกมาจากต้นยาง มีผ้าขาว ๆ คลุมรุงรัง วิ่งกางแขนเข้ามา อาตมาก็เลยหันไปถามว่า "ทำอะไร?" ผีเขาถามว่า "ไม่กลัวหรือ?" อาตมาก็บอกว่า "มีอะไรน่ากลัว?" ผีเขาตอบว่า "ไม่รู้สิ..เห็นในโทรทัศน์ทำอย่างนี้แล้วคนเขากลัวกัน..!" โธ่..ไอ้ผีทันสมัย ดูโทรทัศน์กับเขาด้วย..!

อาตมาถามว่า "มานี่ต้องการอะไร ?" เขาบอกว่า "อยากจะให้ท่านอุทิศส่วนกุศลให้บ้าง เพราะวันก่อนที่ให้ไป ท่านไปเจาะจงให้พวกที่เขามา ไม่ได้ให้ทั่วไป เขาเลยรับไม่ได้" จึงตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขา กลายเป็นนางฟ้าสวยแพรวพราว

แต่เขาไม่ยอมไปไหน ตามเราไปที่กระต๊อบด้วย พอเรานอนเขาก็มานั่งอยู่ปลายเท้า อาตมาบอกว่า "ไปห่าง ๆ ได้ไหม ถ้าใครเขามาเห็นเข้าน่าเกลียดตายห่..! พระนอนแล้วมีผู้หญิงนั่งเฝ้าอยู่" เขาก็ยืนยันว่าเขาจะนั่งเฝ้าเพื่อป้องกันอันตรายให้ รับรองว่าคนอื่นไม่เห็น อาตมาก็เลยนอนฟุ้งซ่านอยู่ทั้งคืน เพราะแม่เจ้าประคุณสวยเช้งวับเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2010 เมื่อ 17:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #100  
เก่า 27-09-2010, 09:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จากจุดนี้เลยเข้าใจว่า ที่ผีเขามาหา ส่วนใหญ่เขาเดือดร้อนกันทั้งนั้น ความเดือดร้อนของผี ก็คือ กุศลบารมีเขาน้อย ทำให้ไม่ได้รับความสะดวกสบาย ในเมื่อคนที่บุญน้อยก็เหมือนกับคนจน แต่งตัวสวยขนาดที่เราเห็นแล้ววิ่ง..! ที่ไม่สามารถจะสวยเกินกว่านั้นได้ เพราะบุญเขาน้อย

เมื่อเป็นดังนั้น อยากจะบอกพวกเราว่า ถ้าเจอผีวิธีที่ดีที่สุด คือรีบอุทิศส่วนกุศลให้เขาก่อน ไม่ต้องไปทำบุญใหม่หรอก ถ้าเจอผีแปลว่าบุญเก่าที่ทำไว้มีเหลือเฟือแล้ว

ให้ตั้งใจว่า กุศลบารมีใดที่เราได้สร้างตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอจงโมทนา เราจะได้รับประโยชน์รับความสุขเท่าไร ขอให้เธอได้รับอย่างนั้นด้วย แค่นั้นแหละเขาก็ได้แล้ว


ถาม : แสดงว่าผีมา เขามาขอส่วนบุญทุกครั้ง ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขาเดือดร้อน มักต้องการความช่วยเหลือ

ถาม : ไม่ใช่ว่ามาหลอกเฉย ๆ ?
ตอบ : ลำบากและเดือดร้อนขนาดนั้น เขาไม่มีอารมณ์มาหลอกเฉย ๆ หรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2010 เมื่อ 17:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:12



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว