กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 10-09-2012, 11:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สงสัยคำว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า ?
ตอบ : ปัจเจก แปลว่า เฉพาะตน พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าที่ท่านอยากจะรู้ทุกเรื่อง แต่ไม่อยากสอนใคร ท่านจึงอธิษฐานเพื่อความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็คือสามารถรู้ได้เท่ากับพระพุทธเจ้า แต่ไม่ต้องเสียเวลามาสอนบริวารของท่าน

ถ้าคนทั่วไปไปหาท่าน ท่านก็สอนแค่ศีล สมาธิ ปัญญาเบื้องต้นเท่านั้น ยกเว้นท่านที่ปรารถนาจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยกัน ท่านจึงจะสอนให้ถึงจุดจบ ในเมื่อท่านไม่ต้องสอนคนหมู่มาก จึงมีสิ่งหนึ่งที่ท่านไม่มีเหมือนพระพุทธเจ้าก็คือสัพพัญญุตญาณ สัพพัญญุตญาณนี่ต้องรู้รอบ รู้ทุกเรื่อง จะได้สอนคนให้ถูกต้องตามกำลังใจของเขา


ถาม : พระปัจเจกกับพระสาวกนี่ต่างกัน ?
ตอบ : ต่างกัน..พระปัจเจกพุทธเจ้าสร้างบารมีมาอย่างน้อยต้องเท่ากับพระอัครสาวก ถ้าหากว่าพระมหาสาวกทั่ว ๆ ไป สร้างบารมีมาน้อยกว่าพระองค์เป็นเท่าตัว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2012 เมื่อ 16:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 234 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 10-09-2012, 11:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การต่อสู้ของจีนที่ต้อง "ว้าก" ก่อน ?
ตอบ : การใช้เสียง อันดับแรก เขาว่าเป็นการเรียกพลังตัวเอง อันดับที่สอง เป็นการรบกวนสมาธิคู่ต่อสู้

ปัจจุบันมีอีกอย่างคือมวยหย่งชุน ที่ภาษาอังกฤษเขียนว่าหวิงชุน (Wing Chun) จริง ๆ แล้วมวยหย่งชุนพัฒนามาจากการต่อสู้ในตรอกแคบ ในเมื่อต่อสู้ในตรอกแคบ ๆ ไม่มีพื้นที่ให้ จึงต้องต่อสู้โดยประชิดตัว เพราะฉะนั้น..มวยหย่งชุนจะไม่ใช้อาวุธยาว ส่วนใหญ่จะจี้ติดตัวไปเลย
อาศัยความเร็วออกอาวุธในช่วงสั้น ๆ

ปัจจุบันนี้ได้ยินว่าสายการบินของจีนหลายแห่ง สอนแอร์โฮสเตสให้ใช้มวยหย่งชุน ป้องกันพวกผู้ชายเดินทางไกล ๆ เมาแล้วมาลวนลาม เขาอนุญาตให้อัดพวกนั้นให้กองได้เลย บางทีเดินทางหลาย ๆ ชั่วโมง ผู้โดยสารเขาเรียกวิสกี้สัก ๓ - ๔ แก้ว ก็เมาหูตาลายแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2012 เมื่อ 16:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 10-09-2012, 12:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เป็นรูมาตอยด์
ตอบ : ดื่มน้ำอุ่นเยอะ ๆ พวกนี้เกิดจากกรดยูริกของโปรตีนที่ไปตกผลึกในข้อ ยิ่งกินน้ำน้อยก็ยิ่งเป็นโรคนี้มาก ต้องกินน้ำเยอะ ๆ เพื่อที่จะล้างออกมา ถ้าใช้น้ำเย็นแล้วเดี๋ยวร่างกายรับไม่ไหวจะเป็นไข้ ก็เลยให้ใช้น้ำอุ่น ดื่มให้ได้วันหนึ่ง ๓ - ๔ ลิตร ขยันเข้าห้องน้ำหน่อย และงดพวกอาหารสัตว์ปีก อาหารทะเล ยอดผัก

รูมาตอยด์อาการหนักกว่าเกาต์ ถ้ากำเริบขึ้นมา เวลาเหยียดมือออกแล้วจะหดไม่เข้า ถ้าหดเข้ามาได้นี่คือเจ็บจนน้ำตาเล็ด เหมือนกับมีกรวดมีทรายอยู่ในข้อเรา ข้อจะอักเสบหมด บางทีบวมแดงไปเลย

ถาม : ดื่มน้ำอุ่นอย่างเดียวหรือคะ ?
ตอบ : อย่างเดียว อาตมาเป็นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่อะไรหรอก พ่อของอาตมาป่วย แล้วเขาเอาไก่ตุ๋นโสมให้พ่อกินทุกวัน พ่อไม่กิน อาตมาก็กินแทนอยู่ทุกวัน จะไม่ให้เป็นได้อย่างไร

ถาม : แล้วพวกข้อไก่ทอด ?
ตอบ : งดเสียจะดี จริง ๆ แล้วก็กินได้ แต่อย่าไปกินเยอะ กินให้หลากหลาย กินแต่ผักอย่างเดียวก็เป็นโรค กินแต่เนื้ออย่างเดียวก็เป็นโรค เพราะฉะนั้น..มัชฌิมาปฏิปทา ต้องใช้ในทุกเรื่อง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 11-09-2012 เมื่อ 12:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 10-09-2012, 12:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เดี๋ยวนี้เขามีซุปไก่สกัดผสมถั่งเฉ้า ถั่งเฉ้าทำให้คนเนปาล คนทิเบตฆ่ากันมาเยอะแล้ว เพราะเขาขายได้แพงมาก คราวนี้เขาใช้วิธีปูพรมค้นเลย ประเภทค้นไปทีละตารางนิ้ว

ถั่งเฉ้าเขาว่าเป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่อาศัยตัวหนอนเป็นพาหะ พอเชื้อราลงราก ตัวหนอนก็ตาย เขาถึงได้บอกว่าฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า เพราะฤดูหนาวก็ยังเป็นสปอร์ของเชื้อราอยู่

พอระยะหลังการโฆษณาสรรพคุณของยามีมากเข้า ๆ พวกคนรวยต้องการมาก เขาก็ปูพรมค้นอย่างที่ว่า บางทีก็นั่งหน้าทิ่มพื้นอยู่ตรงนั้นแหละ หนึ่งตารางวาค้นหาทุกตารางนิ้ว ถ้างอกขึ้นมาจะเห็นเป็นเส้นเขาก็ขุดหา ข้างล่างที่ควรจะเป็นราก ก็คือตัวหนอนที่โดนต้นไม้โตงอกทะลุขึ้นมาแล้ว เอามาตากแห้งส่งขายให้ร้านขายยา

คราวนี้ความเห็นเขาไม่ตรงกัน พวกหนึ่งต้องการเงินอย่างเดียว จึงขุดกระจายเลย ส่วนอีกพวกหนึ่งพยายามอนุรักษ์ไว้ เขาบอกว่าถ้าหาจนหมด ปีต่อไปจะไม่มี แต่พวกที่จะเอาแต่เงินอย่างเดียวเขาไม่สนใจ ลุยหาอย่างเดียว แล้วก็ไปบุกรุกที่เขาบ้าง เลยฆ่ากันตาย ต้องบอกว่าพวกแรกเขาทำถูก เพราะถ้าไม่ทิ้งเอาไว้ให้มีเชื้อแพร่ต่อไปแล้ว ปีต่อไปก็จะหาไม่ได้

เรามานึกถึงซุปไก่สกัด เขาต้องต้มไก่ทั้งตัวเลยนะ ไม่รู้เอาขี้ออกหรือยัง ? ผสมถั่งเฉ้า ก็คือใส่หนอนลงไปอีกด้วย หรือไม่ถ้ารังนกนางแอ่น เราก็กินน้ำลายนก สรุปแล้วของดี ๆ ที่เราคิด ไม่ได้เรื่องทั้งนั้นเลย อาหารเป็นสิ่งปฏิกูลจริง ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-09-2012 เมื่อ 16:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 11-09-2012, 11:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กผู้หญิงพอประจำเดือนเริ่มมา กระดูกจะปิด ความสูงยืดไม่ขึ้นแล้ว ยิ่งสมัยหลังมีของบำรุงเด็กสารพัด ฉะนั้น..บางคนเพิ่งจะ ๑๐ ขวบ แต่ประจำเดือนมาแล้ว วงจรชีวิตจึงสั้นลงไปเรื่อย ๆ โตเร็วคือตายเร็ว สังเกตดูสิ..ยุงมีชีวิตอยู่ได้ ๗ วันเท่านั้นเอง พวกหมาแค่ ๓ เดือนก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว

วงจรชีวิตสั้น อัตราการเจริญเติบโตต้องเร็ว ไม่อย่างนั้นจะแพร่ขยายพันธุ์ไม่ทัน เพราะฉะนั้น..พวกที่โตเร็วก็คือตายเร็ว..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2012 เมื่อ 14:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 11-09-2012, 11:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : บรรลุเร็ว พวกเห็นนั่นเห็นนี่มักจะติดอยู่แค่นั้นแหละ เพราะฉะนั้น..พยายามอย่าโง่ไปเห็น..! จากประสบการณ์ที่ฝึกมโนมยิทธิมา ตั้งแต่อายุ ๑๙ ปีมาจนป่านนี้ สรุปได้ว่า ๓๖ - ๓๗ ปีที่ผ่านมา หาคนฉลาดที่พอจะเอาตัวรอดจากที่สิ่งที่ตัวเองรู้เห็นได้น้อยมาก ส่วนใหญ่จะไปดีใจหรือภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองทำได้ แล้วก็มักจะไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่า ๆ กับคนรอบข้าง เขาให้รู้เพื่อละ เรายิ่งไปฟื้นมาใหม่ก็ยิ่งผูกหนักเข้าไปอีก แล้วท้ายที่สุดก็กอดคอกันจมห้วงวัฏสงสารตายทั้งขบวน..!

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนมโนมยิทธิ เพราะท่านมั่นใจว่าลูกศิษย์ท่านต้องมีคนฉลาดพอ ที่จะรู้ว่าควรจะใช้มโนมยิทธิอย่างไรถึงจะถูกต้อง แต่อาตมายังไม่ค่อยเจอคนฉลาดเลย

มุ่งหน้าเข้าหาอารมณ์พระโสดาบันตรง ๆ อย่างอื่นไม่ต้องเสียเวลา ถ้าทำถึงก็มาเอง


การปฏิบัติทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสายสุกขวิปัสสโก หรือสายอภิญญาก็ตาม สรุปลงตรงศีล สมาธิ ปัญญาทั้งหมด ถ้ามีนิสัยชอบในทางอภิญญาอยู่แล้ว ก็แปลว่าของเดิมต้องมีอยู่ เพราะฉะนั้น..เร่งรัดตัดเข้าหาความเป็นพระอริยเจ้าโดยเร็วที่สุด เมื่อถึงเวลาแล้วกำลังที่ใช้ก็เท่ากับการตัดกิเลส เพราะถ้าไม่มีกำลังสมาธิ ก็ไม่มีอะไรไปสู้กับกิเลสได้ กดกิเลสไม่อยู่ ตัดกิเลสไม่ขาด ในเมื่อถ้าเราทำถึงก็แสดงว่าสมาธิของเราถึง ในเมื่อสมาธิถึง กำลังถึง เรื่องของอภิญญาสมาบัติจะตามมาเอง ตอนนั้นต่อให้บอกว่าไม่อยากได้ก็จะมา

แล้วอีกอย่างหนึ่งในความเห็นของอาตมา
อภิ แปลว่า ยิ่งกว่า อัญญา คือ ความรู้ ไม่มีอะไรที่เรารู้ยิ่งไปกว่าการตัดกิเลส อภิญญาอย่างอื่นที่แสดงฤทธิ์แสดงเดชได้ อาตมายังไม่ถือว่าเป็นอภิญญาที่แท้จริง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2012 เมื่อ 14:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 223 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 11-09-2012, 12:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สมาธิยิ่งลึก การเต้นของหัวใจยิ่งช้า
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ เพราะการทำงานของอวัยวะภายในคือหัวใจนั้น ถ้าสภาพจิตของเราทรงสมาธิได้ลึกมากเท่าไร การเต้นของหัวใจจะช้าลงเท่านั้น จนกระทั่งทรงสมาธิเต็มที่ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์จะจับอาการเต้นของหัวใจไม่ได้ ถ้าจะถอนคืนสมาธิมา สภาพของหัวใจจะเต้นเร็วมาก เพื่อที่จะฉีดเลือดไปเลี้ยงให้ทั่วร่างกาย จะได้ฟื้นคืนระบบประสาทขึ้นมา ชีพจรจะเต้นเร็วถึงขนาดเป็น ๑๒๐-๒๐๐ ครั้งเลยก็มี

เมื่อส่งเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายแล้ว อัตราการเต้นจะคืนสู่ภาวะปกติ แต่พอเข้าสมาธิการเต้นของหัวใจจะลดลง ๆ จนกระทั่งไม่เต้นเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าทำอย่างนี้ได้ การควบคุมร่างกายส่วนอื่นเป็นเรื่องเล็ก


ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่ใช่..อาการของปีติเกิดเป็นปกติของบุคคลที่จะเข้าถึงฌาน ถ้าเราตั้งใจหยุดก็หยุดได้ แต่ทำถึงตรงนั้นเมื่อไรก็จะเป็นอีก เพราะฉะนั้น..มีทางเดียว คือต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย จะตึงตังโครมครามนานขนาดไหนก็ต้องปล่อย ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะก้าวไม่ถึงความเป็นฌานเสียที เพราะจะติดอยู่แค่นั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2012 เมื่อ 14:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 11-09-2012, 12:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : นอนหรือนั่งสมาธิอยู่ จะตื่นมาตรงเวลา ?
ตอบ : อันนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะจิตมีสภาพจำ อาตมาเคยลองมาแล้ว ต่อให้เหนื่อยขนาดไหน แย่ขนาดไหน ถ้าเราตั้งใจตื่นก็จะตื่นตรงเวลา

ถาม : ตอนเช้า...(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : สามารถทำได้ แต่ควรจะให้เป็นเวลาพักผ่อนจริง ๆ ไม่อย่างนั้น พอถึงเวลากำลังใจจะคลายออก แล้วเราจะหมดสภาพ นอนไปเลย สมมติว่าเราต้องทำงานต่อ ร่างกายก็จะไม่ฟังเราแล้ว เพราะเราไปตั้งเอาไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น..ให้เลยเวลาทำงานไปก่อน

ถาม : การเข้าสมาธินี่ข้ามขั้นได้ไหมครับ ?
ตอบ : ข้ามขั้นได้..จะไประดับไหนก็ได้ ขึ้นอยู่ที่การฝึกซ้อมของเรา ถ้าคล่องตัวมากเท่าไร ถึงเวลารัก โลภ โกรธ หลงเกิดขึ้น เราสามารถวิ่งไปสู่อารมณ์ฌาน รัก โลภ โกรธ หลงก็กินเราไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ซักซ้อมให้คล่องมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถึงเวลาจะได้หนีกิเลสทัน เมื่อกำลังพอแล้วค่อยไปตีกันซึ่ง ๆ หน้า ตอนนี้ยังไม่พอต้องหนีไปก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2012 เมื่อ 14:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 11-09-2012, 12:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "พรุ่งนี้เป็นวันสารทจีน ปกติสมัยเด็ก ๆ เขาจะมีการเลี้ยงพวกเปรต อสุรกาย เขาจะทำอาหารอย่างดีเป็นสิบ ๆ อย่างเรียงไว้เต็มเสื่อ แล้วให้เด็ก ๆ เอาธูปไปคนละกำ เดินไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ทั้ง ๔ ทิศ แล้วก็ปักธูปเชิญเขามากิน คนจีนเขาเรียกว่า ไป้ฮ่อเฮียตี๋ ก็คือไหว้พี่น้องที่ดี ความจริงก็คือพวกเปรตพวกอสุรกายนั่นแหละ

พวกนี้เขาจะอดอยากหิวโหยมาก เพราะว่าแรงกรรมบันดาล ทำให้ไม่สามารถจะกินอาหารอย่างปกติได้ ต้องไปกินพวกของเน่า ของเหลือ เสลดน้ำลายคน ซากสัตว์อะไรอย่างนั้น เมื่อเวลามีคนเลี้ยงเขาก็เต็มใจแห่กันมา


ทุกครั้งพอการเลี้ยงเลิก ทิ้งไว้ประมาณหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็จุดประทัดไล่ เมื่อเอาอาหารนั้นมาลองชิมดู ปรากฏว่าไม่มีรสชาติเหลือเลย จืดหมด เป็นเรื่องที่แปลกดี ตอนเด็ก ๆ ต้องทำทุกปี ผู้ใหญ่เขาไม่ไปหรอก เขากลัวผี เขาใช้ให้เด็กไปเรียกแทน..!"


ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ส่วนใหญ่หมูเห็ดเป็ดไก่ดี ๆ ทั้งนั้นแหละ แต่พอเอามากินต่อจืดชืดหมด ไม่มีรสเหลือ ต้องบอกว่ารสชาติคือโอชะ รสชาติที่อยู่ในส่วนของนามธรรม โดนพวกนั้นกินไปหมดแล้ว

ถ้าใช้มโนมยิทธิดูจะเห็นว่ากินหมดเป็นแถบ ๆ เลย แต่เขากินในส่วนของนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม รูปธรรมยังเหลืออยู่ แต่รสไม่เหลือ โดนพวกนั้นกินเกลี้ยง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2012 เมื่อ 15:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 11-09-2012, 12:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พวกนี้ส่วนใหญ่ที่ต้องลำบากเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เพราะว่าหวงน้ำ มีบ่อมีสระก็กีดกันไม่ให้คนอื่นร่วมใช้ บางทีเป็นพระเป็นเจ้า เขาถวายเอาไว้ให้ส่วนรวมก็กันเอาไว้ใช้คนเดียว ส่วนพวกอาหาร บางรายก็กินอะไรไม่ได้เลย ได้แต่นั่งมอง ถึงเวลาหยิบอาหารเข้าปากก็ลุกเป็นไฟทันที ไหม้ตั้งแต่ปากไปยันกระเพาะเลย

พวกนี้สมัยมีชีวิตอยู่ชอบกลั่นแกล้งผู้ทรงศีล พระภิกษุสามเณร สมณชีพราหมณ์ ประเภทสาคูไส้หมูแต่แอบยัดลูกโดด (พริกทั้งเมล็ด) เอาไว้ พอเห็นพระฉันแล้วทำหน้าพิลึกก็หัวเราะชอบใจ บางพวกแกล้งใส่บาตรด้วยของเสีย หรือไม่ก็เอาอาหารปนอุจจาระปัสสาวะ เสลดน้ำลายใส่บาตร ถึงเวลาตัวเองก็ต้องไปกินของอย่างนั้น กินอย่างอื่นไม่ได้

เปรตเขาแบ่งเป็นหลายอย่างด้วยกัน ในอรรถกถา เปตวัตถุ เขาแบ่งเป็น ๔ ประเภทเท่านั้น ถ้าใน
โลกบัญญัติและฉคติทีปนีปกรณ์เขาแบ่งเป็น ๑๒ ประเภท อีกส่วนหนึ่ง อยู่ในพระวินัย ลักขณะสังยุตต์ เขาแบ่งเป็น ๒๑ ประเภท จริง ๆ ก็คืออยู่ใน ๑๒ ประเภทนั่นแหละ แต่เขาแบ่งรายละเอียดออกไป

อย่างเช่น เปรตที่มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อ เขาก็บอกว่ามีลักษณะเป็นชิ้นเนื้อบ้าง ก้อนเนื้อบ้าง ก็ ๒ อย่างแล้ว เปรตที่มีขนเป็นอาวุธ เขาไปแบ่งว่า มีขนเป็นลูกธนู มีขนเป็นพระขรรค์ มีขนเป็นหอก ก็เลยมี ๒๑ อย่าง ความจริงก็ซ้ำ ๆ กัน แต่เขาแบ่งตามที่เห็นมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2012 เมื่อ 15:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 11-09-2012, 13:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อสุรกายแปลกกว่าเปรต เพราะอสุรกายแทรกไปทุกที่ มีเทวอสุรา อสุรกายในจำพวกเทวดา มีอยู่ทั้งหมด ๖ ประเภทด้วยกัน ส่วนหนึ่งก็เป็นพวกที่โดนมฆมาณพกับเพื่อนจับโยนลงมาจากชั้นดาวดึงส์ อย่างเวปจิตราสูร อสุรินทราหู จัดเป็นอสุรกายประเภทนี้ แล้วก็มีเปติอสุรา ก็คือ อสุรกายจำพวกเปรต เช่น กาลกัญจิกเปรตอสุรกาย แล้วก็มีนิรยอสุรา อสุรกายในประเภทของสัตว์นรก ก็คือพวกที่อยู่ในโลกันตนรก

เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของอสุรกายนี่แปลก เพราะไม่มีเขตเฉพาะของตน ไปปน ๆ อยู่ในประเภทอื่นเยอะ อย่างเวมานิกเปรตจัดอยู่ในอสุรกายจำพวกเปรต มีกรรมน้อยกว่าเปรต แต่ก็ยังต้องเสวยกรรมอยู่ กลางวันไปเสวยความสุข กลางคืนไปเสวยความทุกข์ หรือไม่ข้างขึ้นไปเสวยความสุข ข้างแรมไปเสวยความทุกข์ เขาบอกว่าสร้างทั้งความดีและสร้างทั้งความชั่ว เวลากุศลวิบากคือผลของความดีและอกุศลวิบากคือผลของความชั่วมาสนองพร้อมกัน ก็เลยเฮง ต้องไปรับทั้งคู่ ทำอะไรไว้ก็รับอย่างนั้นไป

ส่วนสัตว์เดรัจฉานนี่ไม่ต้องพูดถึงนะ เขาแบ่งเป็น มีเท้า ไม่มีเท้า สองเท้า สี่เท้า บางทีก็เปลี่ยนเป็นสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ปีก ถ้าเป็นการแบ่งของทางด้านหลักธรรมจะไม่วุ่นวายมาก แต่ถ้าพวกสัตวศาสตร์นี่แบ่งกระจายเลย เลี้ยงลูกด้วยนม ไม่เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นไฟลัมไหน สปีชีส์ไหน เยอะแยะไปหมด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2012 เมื่อ 15:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 11-09-2012, 13:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวแนะนำโยมท่านหนึ่งที่มาทำบุญว่า "คุณมนตรีนี่อยู่รับใช้หลวงพ่อมาด้วยกันตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส ตอนช่วงนั้นมีอยู่ด้วยกัน ๔ - ๕ คน อยู่รอบ ๆ หลวงพ่อ ตอนช่วงที่แชร์ชม้อยล้ม ยังบอกกันว่า "พวกที่เขาเห็นหน้ากันอยู่ทุกเดือนนี่ห้ามหายหน้าไปอย่างเด็ดขาด ถ้าหายไปเมื่อไรนี่ คนอื่นเขาจะหายไปหมดเลย ถ้าเรายังยืนหยัดอยู่ คนอื่นก็จะได้เห็นว่าความมั่นคงของเรายังมี"

เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทดสอบลูกศิษย์ดุเดือดมาก ท่านไม่สนใจว่าคนจะมองอย่างไร เอาผลประโยชน์ของลูกศิษย์อย่างเดียว ทุกคนจะบอกว่าท่านทำนายผิด พูดผิด ท่านไม่สนใจทั้งนั้น ถ้าเขาไม่มีปัญญาก็เป็นเรื่องของเขา ท่านถือว่าอย่างนั้น อาตมาเองมองตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ เท่าที่ตัวเองปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อมามีผิดไหม ? ก็เห็นว่าทุกสิ่งที่ท่านสอนให้ทำ เป็นไปตามนั้นทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น..สิ่งที่ท่านสอนเราบอกเราไม่ผิด แต่เรื่องของอภิญญาสมาบัติอาจจะมีการเสื่อมได้ มีการหลอกกันได้ มีการพลาดได้ อาตมาไม่ถือเป็นสาระ

พอแชร์ชม้อยล้ม มีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งตีจากหลวงพ่อไป อาตมาก็บวชเลย มีคนถามว่า “พี่ไม่รอแชร์หรือ ?” ก็อาตมาไม่ได้เล่น มีแต่พวกนั้นแหละยืมเงินไปเล่น ในเมื่ออย่างนั้นจะรอไปทำไม ? จึงบอกเขาว่า "รอไม่เกินปี ๒๕๓๕ ถ้าไม่ออก ตูก็ไม่สนแล้ว..!"

ตอนนั้นเพื่อนฝูงเห็นอาตมาไม่เล่น ก็มาขอยืมเงิน “พี่ไม่มีความโลภก็จริง แต่พวกผมยังต้องกินต้องใช้อยู่ ถ้าได้ดอกมา แบ่งให้พี่สักส่วนหนึ่ง อย่างน้อย ๆ พี่ก็มีความคล่องตัว ช่วยภาระหลวงพ่อได้มากขึ้น” เขาเกลี้ยกล่อมเก่งมากเลย ท้ายสุดอาตมาที่ไม่ได้เล่นแชร์สักนิดเดียว มีแชร์น้ำมันอยู่ในมือเกือบ ๑๐ คันรถ..!

เสียดายอยู่อย่างเดียว พออาตมาบวชแล้วพวกที่ยืมเงินไม่มีใครเข้าวัดเลย กลัวอาตมาจะทวง ถ้าอาตมาจะทวงก็ไปบ้านเขาเลย จะมาทวงอะไรที่วัดเล่า ? เขาไม่รู้คติของอาตมาว่า เงินพ้นมือไปถือว่าตกน้ำ ได้คืนมาคือกำไร ไม่ได้คืนมาก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2012 เมื่อ 02:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 12-09-2012, 20:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วพระเณรที่บวชใหม่ระยะหลัง มักจะมีการศึกษาทางโลกมาสูง ๆ พอบวชแล้วให้มาปฏิบัติธรรมอย่างเดียว ท่านทั้งหลายเหล่านั้นรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่ได้ใช้วิชาความรู้ที่เรียนมาช่วยวัดเลย ก็เลยเกิดอาการของขึ้น ขันอาสาทำนั่นทำนี่

อย่างท่านแบงก์ อาสาทำหนังสือวัดท่าขนุนเป็น E-Book ครั้งแรกอาตมาปฏิเสธไป ท่านก็มาเสนอครั้งที่ ๒ พอปฏิเสธไป ท่านก็มาเสนอครั้งที่ ๓ อาตมาก็เลยถามกลับไปว่า "ตอนนี้คุณสวดมนต์ทำวัตรเช้า - เย็นได้ครบทุกบทหรือยัง ?" ท่านก็นั่งอึ้งไปพักหนึ่ง

อาตมาบอกท่านไปว่า “จำไว้ว่า..หน้าที่ของพระใหม่ก็คือ สวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน เราต้องทำให้ครบถ้วน หน้าที่อื่นไม่ใช่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีความรู้อะไรทางโลกมาก็ตาม นั่นใช้สำหรับทางโลกเท่านั้น ไม่ใช่ใช้ในทางธรรม เพราะฉะนั้น..ตอนนี้กองทิ้งเอาไว้ก่อน เมื่อถึงวาระที่กำลังใจทรงตัวเพียงพอ ถ้าเรียกใช้งานแล้ว ทำให้ไหวก็แล้วกัน” ส่วนใหญ่แล้วพระใหม่มักจะเข้าใจผิด..ไฟแรง อยากขันอาสาทำนั่นทำนี่
ซึ่งท่านไม่รู้ว่าทำให้ฟุ้งซ่านได้ง่ายที่สุด

ในสมัยพุทธกาล บุคคลที่เป็นกัลบกก็คือช่างตัดผม พระพุทธเจ้าทรงห้ามจับมีดโกนอย่างเด็ดขาด จับเมื่อไรปรับอาบัติศีลขาดไปเลย บุคคลที่เป็นนักรบเป็นขุนศึกมา ห้ามจับอาวุธอย่างเด็ดขาด จับอาวุธเมื่อไรแล้วนึกถึงงานเดิม ถ้านึกถึงงานเดิมแล้วก็มัวแต่ไปฟุ้งซ่าน เดี๋ยวก็อยู่ไม่ได้

หลายท่านก็จะคิดฟุ้งไปว่าเรายังทำงานเดิมได้ สึกหาลาเพศออกไปดีกว่า เพราะหน้าที่การงานยังรออยู่ จึงต้องมีการกระตุกกันแรง ๆ อยู่เรื่อย เผลอเมื่อไรก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรให้สมกับที่เรียนมา หารู้ไม่ว่ากิเลสสอนให้คิด จะได้ไปฟุ้งซ่านอยู่กับงานแล้วก็ลืมตัดกิเลส..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2012 เมื่อ 01:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 12-09-2012, 21:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ตอนนี้แม่ชีเคิ่ลก็มีแนวโน้มอย่างนี้ วันนั้นอาตมาก็เลยใส่ไปชุดหนึ่ง รู้สึกว่าอยู่วัดท่าขนุนแล้วไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถตัวเองทำอะไรเลย จึงขออนุญาตไปอยู่วัดเขาวง อาตมาบอกว่าไปได้เลย เดินทางวันนี้ได้ยิ่งดี..! ร้องอุ๊ยขึ้นมาทันที

ตัวอย่างมีก็คือโยมท่านหนึ่ง เป็นรุ่นพี่อาตมาอยู่ ๒ ปี เมื่อประมาณปี ๒๕๒๘ - ๒๕๒๙ เขาไปอยู่วัดท่าซุง หลวงพ่อท่านอนุญาตให้อยู่ได้ คราวนี้ถ้าไม่ใช่ช่วงวัดมีงาน งานอื่นก็มีไม่มาก เขาอยู่ไปได้ปีกว่า พอขึ้นปีที่ ๒ ขอลาหลวงพ่อไปอยู่วัดธรรมกายแทน บอกว่างานที่นั่นเยอะดี จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ไม่รู้หายเข้ากลีบเมฆไปไหน ?

น่าเสียดายที่คนฝึกกรรมฐานระดับที่เป็นครูสอนมโนมยิทธิแล้ว แทนที่จะซักซ้อมความชำนาญด้วยการสอนคนอยู่ทุกวัน กลายเป็นทิ้งไปทำงานอื่นแทน ในเมื่อการปฏิบัติไม่ต่อเนื่อง เวลากิเลสตีกลับ รัก โลภ โกรธ หลงก็จะคืนมาหมด

จึงเป็นเรื่องที่ควรสังวรไว้ ไม่ว่าจะเป็นญาติโยมที่เพิ่งเริ่มปฏิบัติก็ดี หรือว่าพระใหม่ที่บวชเข้าไปก็ดี หน้าที่สำคัญที่สุดคือการภาวนา หน้าที่อื่นก็ทำแค่ตามที่ตนที่ได้รับมอบหมาย หมดจากหน้าที่ของตนเมื่อไร รีบกลับไปหาการภาวนาให้เร็วที่สุด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2012 เมื่อ 01:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 12-09-2012, 21:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ระยะเวลาของนักปฏิบัติที่เพิ่งเริ่มต้น กับระยะเวลาของพระใหม่ก็คล้ายคลึงกัน ก็คือต้องไปทำในสิ่งที่ตนเองไม่คุ้นชิน ต้องอยู่ในกรอบ อยู่ในระเบียบวินัย และโดยเฉพาะถ้าปราศจากจิตสำนึก จะอยู่ในระดับ ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน แทนที่จะปฏิบัติภาวนาก็กลายเป็นขี้เกียจไป ก็เลยมักจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถตามที่ตัวเองได้ร่ำเรียนมา แล้วก็ไปฟุ้งซ่านอยากทำนั่นอยากทำนี่ เสนอโครงการมาเยอะแยะมากมาย

โครงการเหล่านั้นจะมีประโยชน์ต่ออาตมาก็ต่อเมื่อคนทำกำลังใจทรงตัวแล้ว ปฏิบัติแล้วไม่โดนกิเลสลากไปกิน

จากที่พูดมาทั้งหมด สรุปลงตรงที่ว่า เมื่ออยู่ในระยะเวลาที่ต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ทั้งกายและใจของตนเอง ก็ต้องเร่งทำให้มากเข้าไว้ เมื่อถึงเวลาใช้งานจริง ๆ จะได้มีกำลังพอที่จะสู้กับงานได้ ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับเด็กเพิ่งหัดเดินแล้วไปทำงาน ก็คงจะหาอะไรดีได้ยาก และจะเสียเวลาในการปฏิบัติไปเปล่า ๆ พระบวชไปพรรษาหนึ่ง อาจจะไม่ได้สั่งสมความดีอะไรเลย นอกจากอานิสงส์นิดหน่อยจากการพยายามช่วยงานวัด ตามโครงการที่ได้เสนอมา

เดือนที่แล้วพระใหม่ท่านแนะนำ เรื่องการปรับแต่งพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ว่าควรจะใช้วัสดุอะไรถึงจะเหมาะสมกับงาน อาตมาก็บอกท่านว่ารอก่อน ท่านเองก็ไม่เข้าใจ คิดว่าอาตมาไม่มีเงินหรืออย่างไร ? จัดแจงให้โยมซื้อมาถวายเลย อาตมาให้ท่านรอเพื่อให้ตัวเองปฏิบัติกำลังใจให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่มานั่งทำงาน
ถ้ารักที่จะช่วยงานแปลว่าต้องทำงานไปภาวนาไปด้วยได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ประโยชน์อะไร นอกจากอานิสงส์ในการช่วยงานสงฆ์เท่านั้น พอเจออย่างนั้นเข้าก็เลยต้องว่ากันตรง ๆ ถ้ารอให้คิดเองสงสัยปัญญาว่าจะไม่พอ..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2012 เมื่อ 01:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 12-09-2012, 21:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อย่างของท่านแบงก์ พอถามว่าสวดมนต์ทำวัตรได้ครบหรือยัง ? ท่านรู้ตัวทันที จึงขออนุญาตไปเรียนปริญญาโทวิปัสสนาภาวนาแทน ไปนั่งกรรมฐานเสีย ๗ เดือน ไหน ๆ แล้วก็เอาให้เต็มที่ไปเลย

อาตมาได้ยินพระใหม่บางท่านเล่าให้ฟังแล้วก็รู้สึกหนักใจ เขาบอกว่าไปบวชที่นั่นที่นี่ แล้วพระอุปัชฌาย์อาจารย์ก็ใช้งานหัวไม่วางหางไม่เว้น เพราะรู้ว่ามีความสามารถ ถนัดทางด้านนั้นด้านนี้ ก็สรุปว่าบวชเข้าไปทำงานที่ตัวเองเป็นฆราวาสทำเท่านั้น แล้วจะบวชไปทำไมวะ..!? ก็อยู่บ้านทำไปให้สะใจเสียก็หมดเรื่อง ได้สตางค์ใช้ด้วย

เขาบวชเข้ามาก็ควรจะได้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เขามากที่สุด ไม่ใช่เขาบวชเข้ามาแล้วจะให้เขาทำประโยชน์แก่เราให้มากที่สุด มีหลายต่อหลายวัดให้พระใหม่รวมตัวกัน เป็นพระนวกะประจำพรรษานั้นประจำพรรษานี้ ถึงเวลาก็ให้ไปหากฐินมาทอดที่วัด พระเราพอบวชเข้าไปโอกาสที่จะช่วยเหลือทางบ้านก็ไม่มีแล้ว ยังต้องไปตั้งกองกฐินรบกวนทางบ้านให้ควักเงินจ่ายให้อีก แบบนี้งามไหม ?

แทนที่พระท่านจะไปนั่งพิจารณาตัดกิเลส ก็ต้องมานั่งคิดว่าจะหาเงินอย่างไรถึงจะได้เข้ากองกฐินให้เป็นจำนวนที่มากพอ เพราะมีตัวอย่างที่เขาขึ้นกระดานไว้ว่าพระนวกะปีนั้นได้กฐินหลักแสน ปีนี้ได้หลักล้าน ทำอย่างไรจะไม่อายรุ่นก่อน ๆ เขา ก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ก็ต้องบอกว่าแล้วแต่นโยบาย วัดท่าขนุนไม่มีตรงจุดนี้ อาจจะทำให้เขารู้สึกไร้ค่าหนักเข้าไปอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2012 เมื่อ 01:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 12-09-2012, 21:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถ้าจะทำ ก็ต้องให้เขาริเริ่มทำกันเอง และอย่าให้งานประจำของพระเสีย ไม่ใช่ไปบอกหรือไปสั่งให้ทำ แต่ขณะเดียวกันวัดท่าขนุนมีระเบียบห้ามบอกบุญ ห้ามเรี่ยไรอยู่แล้ว ใครจะทำบุญให้เขามาร้องขอ ให้เขามาทำเอง เพราะฉะนั้น..ตรงนี้ถึงพระใหม่เสนอขึ้นมา อาตมาก็จะชี้ระเบียบให้ดูว่าอยากโดนไล่ออกทั้งหมดไหม ? เพราะถ้าไปทำก็เท่ากับให้ไปบอกบุญไปเรี่ยไรนั่นเอง

จากที่ว่ามาทำให้เราได้เห็นว่า ปัจจุบันนี้พระที่บวชเข้าไปแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ได้บวชไปเพื่อเรียนในไตรสิกขา คือสีลสิกขา ศึกษาปฏิบัติในเรื่องของศีล
จิตตสิกขา ศึกษาและปฏิบัติในเรื่องของสมาธิภาวนา ปัญญาสิกขา ศึกษาและปฏิบัติในการใช้ปัญญาพิจารณาตัดกิเลส แต่กลายเป็นบวชเข้าไปแล้วไปให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ต่าง ๆ ใช้สอยตามความถนัดของตนที่เคยมีมาตั้งแต่เป็นฆราวาส

ถึงได้บอกว่า ถ้าต้องทำงานอย่างนั้น อยู่บ้านทำดีกว่า เพราะว่างานหลายอย่างทำแล้วได้เงินด้วย บวชเข้าไปให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ใช้ทำงาน นอกจากจะไม่ได้เงิน..เหนื่อยฟรีแล้ว ความดีในการบวชยังหาไม่ได้อีกต่างหาก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2012 เมื่อ 01:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #58  
เก่า 12-09-2012, 21:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เขาประกาศยอดว่า ปีนี้คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิมีพระภิกษุ ๔๐๐ กว่ารูปเศษ สามเณร ๑๐๐ กว่ารูป รวมแล้ว ๕๐๐ กว่ารูป ตำบลท่าขนุนเขต ๒ มีมากที่สุดคือ ๘๕ รูป แต่ ๘๕ รูปลบของวัดท่าขนุนไปเสีย ๕๒ รูปจะเหลือเท่าไร ? สรุปได้ว่านอกจากตำบลท่าขนุนเขต ๒ ที่มีวัดท่าขนุนสังกัดแล้ว ตำบลอื่น ๆ ทั้งตำบลรวมกันยังมีพระไม่เท่าวัดท่าขนุนวัดเดียว..!

ในเมื่อเขามาบวชกันมากเพราะต้องการจะปฏิบัติ เราจะไปใช้งานอื่นเขา เอาแต่ประโยชน์ของวัดไม่ได้ ต้องให้เขาได้ประโยชน์จากการบวชให้มากที่สุด

พอพวกเราได้ฟังเรื่องที่กล่าวมานี้ คงเห็นว่าการบวชพระในปัจจุบันนั้น ถ้าไม่ใช่วัดที่เน้นการปฏิบัติจริง ๆ หรือเจ้าสำนักท่านเห็นประโยชน์ของพระใหม่จริง ๆ การบวชในปัจจุบันแทบจะไม่ได้รับประโยชน์ในการบวชเลย แต่จะว่าก็ไม่ได้ เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยมีความอดทน

หลายต่อหลายรายบวชที่วัดท่าขนุนแล้วขอไปอยู่วัดอื่น เพราะทนต่อระเบียบของวัดท่าขนุนไม่ได้ อาตมาก็บอกกับท่านไปว่า อาตมาไม่สนับสนุนให้ลูกศิษย์ผิดศีล พระพุทธเจ้าท่านตั้งกฎไว้ว่า พระบวชใหม่ถ้าอยู่กับพระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่ถึง ๕ พรรษา เรียกว่ายังไม่ได้นิสัยมุตกะ ห้ามเที่ยวไป ก็คือห้ามไปอยู่ที่อื่น

เพราะฉะนั้น..ถ้าบวชแล้วจะไปอยู่ที่อื่น ก็ไปบวชที่นั่นให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย ถ้าบวชแล้วจะอยู่ที่นี่ ก็ต้องทนอยู่ไป ถ้าอยู่ครบ ๑ เดือน มีสิทธิ์ลาได้ ๗ วัน อยู่ครบ ๒ เดือน มีสิทธิ์ลาได้ ๑๕ วัน อยู่ครบ ๕ ปีมีสิทธิ์จะขอย้ายไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ถ้าคุณเห็นว่าศึกษาเรียนรู้เพียงพอที่จะรักษาตัวได้แล้ว ผมจะอนุญาตเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2012 เมื่อ 02:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #59  
เก่า 12-09-2012, 21:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ที่วัดท่าขนุนมีงานมาก ไม่ว่าจะเป็นงานบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม หรืองานฝึกอบรมต่าง ๆ ทั้งหน่วยราชการ โรงเรียน หรือเอกชนทั่วไป ถ้ากำหนดการชนกัน ก็ต้องพยายามปรับให้เข้ากับระเบียบของวัด

งานพวกนี้มีมากอยู่แล้ว เวลาที่พระท่านจะปฏิบัติภาวนาจริง ๆ ก็น้อย ถ้าเราไปใช้งานอื่นเวลาของท่านก็ยิ่งน้อยลงไปอีก จึงจำเป็นที่จะต้องให้ท่านมีเวลาในการปฏิบัติบ้าง ตอนที่อยู่วัดท่าซุงอาตมาเคยทำโครงการไว้ ยังไม่ทันที่จะเสนอเพื่อใช้งาน ก็ออกจากวัดมาก่อน

โครงการนั้นคือ พระใหม่ถ้ายังไม่ถึง ๕ พรรษา ให้เข้าป่าธุดงค์ ๑๐๐ ไร่เพื่อปฏิบัติอย่างเดียว ไม่ต้องทะลึ่งเข้ามาทำงาน งานการทั้งหมดพระเก่ารับไป ใครครบ ๕ พรรษาเมื่อไรค่อยลากออกจากป่าธุดงค์มารับหน้าที่เสียดี ๆ เพราะฉะนั้น..จะมีเวลาสร้างกำลังใจอยู่ ๕ ปี ถ้ากำลังใจไม่พอก็ให้งานทับตายไปเลย ปรากฏว่าเขียนโครงการไว้แล้ว ๓ - ๔ โครงการ ไม่ได้ใช้เลย ระเห็จออกมาเสียก่อน จึงต้องเอามาใช้งานเอง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2012 เมื่อ 02:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #60  
เก่า 14-09-2012, 09:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,116 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีอยู่คืนหนึ่งหนูนอนหลับไป แล้วปรากฏภาพของสถานที่หนึ่งขึ้นมา สักพักก็เห็นจิตพุ่งออกไปจากตัวเอง เหมือนวูบออกไปเลย แล้วก็เห็นว่าตัวเองไปยืนอยู่ในสถานที่ที่เห็นภาพตอนแรก แต่แค่แวบเดียวทุกอย่างก็หายไปค่ะ
ตอบ : ไปก็คือไป ถ้าไปแล้วอย่ากลัว ถ้าสภาพจิตของเรากลัว จะกลับมาที่ซึ่งมั่นใจว่าปลอดภัยก็คือร่างกายนี้ ก็แปลว่าเราจะไปไหนไม่ได้ ถึงได้บอกว่าการฝึกมโนมยิทธินั้น ต้องไม่กลัว ต้องไม่อยาก ต้องไม่สงสัย ต้องมั่นใจในตัวเอง

ถาม : แต่หนูไม่เคยฝึกมโนมยิทธิเลยนะคะ
ตอบ : ไม่ต้องฝึกหรอก ถ้าของเก่ามีจะเป็นเอง ถึงเวลาก็จะหลุดไปเอง การที่ฝึกเราไปตั้งใจทำตามขั้นตอน สังเกตสิว่าตอนที่เราไปได้ มักเป็นตอนที่เราภาวนาเพลิน ๆ แล้วก็ไปเอง ดังนั้น..เวลาฝึกมโนมยิทธิให้ทำกำลังใจอย่างนั้น ไม่ต้องไปใส่ใจว่าจะไปได้หรือไปไม่ได้ เรามีหน้าที่ภาวนา เราก็ภาวนาของเราไป ตอนตื่นอยู่เราดันไปขี้สงสัยมาก

เราเกิดมาเป็นคน ผ่านการเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว เกิดมานับชาติไม่ถ้วน สิ่งต่าง ๆ ได้รับการอบรมฝึกปรือมานับชาติไม่ถ้วน พอถึงเวลาจะไปตามอารมณ์ที่เคยชินมา ทุกครั้งที่เราเพลิน ๆ โดยเฉพาะตอนนอนก็ไปเสียหน่อย การตั้งใจมากเกินไปเหมือนกับคนยืดคอเกินประตู ออกประตูไม่ได้หรอก ต้องทำสบาย ๆ อยากจะเป็นอย่างไรก็เป็นไป เรามีหน้าที่ภาวนา

ไปทำใหม่ เรื่องการปฏิบัติต้องมีประสบการณ์ลองผิดลองถูก หกล้มหกลุกมาเยอะ ๆ แล้วจะเก่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-08-2014 เมื่อ 01:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:38



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว