กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 20-01-2010, 00:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,960 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Cool ลีลาของมาร

ช่วงปีใหม่ ต้องบอกว่าเหมือนสงครามระหว่างพระกับมาร พระก็พยายามดึงคนมาทำบุญ มารก็ดึงคนไปเมา..ไปเที่ยว และก็มีพวกกลาง ๆ ประเภทเทพอสูร มาทำบุญแล้วค่อยไปเที่ยว กลัวกิเลสจะเศร้าหมอง ทำดีเสร็จแล้วต้องไปหาอาหารให้กิเลส..!

อย่างเมื่อครู่ที่บอก การปฏิบัติเราเน้นหนักไปอย่างเดียว ไม่รู้จักวิถีธรรมที่แท้จริง จิตใจจึงเหมือนกับค่อนข้างจะแห้งแล้ง อย่างการปฏิบัติสมาธิ ถ้าไม่รู้จักเอาพรหมวิหาร ๔ เข้าไปช่วย บางทีจิตใจค่อนข้างจะแห้ง เหมือนกับเป็นอุเบกขาแข็ง ๆ แบบตายด้านไปเลย แต่ถ้าหากเอาพรหมวิหาร ๔ เข้าไปช่วย ก็จะมีความชุ่มชื่น รู้สึกว่า เออ..อยากทำ..น่าทำ

ในเรื่องการปฏิบัติของพวกเรา ต้องอยู่ในลักษณะผ่อนสั้นผ่อนยาว เราจะไปบีบกิเลสให้ตายเลยทีเดียวก็ไม่ตาย แล้วยังอาละวาดกลับด้วย ฉะนั้น..ต้องผ่อนสั้นผ่อนยาว ถึงเวลาอยากกินอยากเที่ยวก็หาให้กิเลสนิดหนึ่ง แต่ให้มีสติ และอย่าไปยาว ไม่อย่างนั้นกิเลสกำลังเหลือเฟือกว่า ก็จะพาเราไปไกล ถึงเวลาแล้วต้องรีบเลี้ยวกลับให้ทัน

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป บางทีอีกนิดเดียวจะถึงจุดหมายแล้ว หรือไม่อีกนิดเดียวจะตัดได้แล้ว แต่เพราะว่าเราไปเปลี่ยนความสนใจ เปลี่ยนงานที่ทำ ก็เลยใช้กำลังที่จะใช้ในการตัดกิเลสไปในด้านอื่นแทน ทำให้ตัดกิเลสไม่ขาดสักที เหมือนกับว่าเราผ่อนสั้นผ่อนยาว พยายามจะหลอกมารเขาอยู่ ว่าตอนนี้ข้าผ่อนให้เอ็งนิดหนึ่ง แต่ปรากฏว่า จริง ๆ แล้ว ในขณะที่เราหลอกมาร มารก็วางหมากหลอกเราอีกชั้นหนึ่ง ให้เราไปจนหมดเรี่ยวหมดแรง ไม่มีกำลังที่จะตัดกิเลส ต้องกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ กลายเป็นว่าหาได้เท่าไรก็ใช้หมด แล้วก็มาเริ่มต้นนับหนึ่งอีก

ตรงนี้ต้องตรองให้ดี ๆ ถ้าสู้ไหวก็บี้กิเลสให้ตายคามือไปเลย ไม่อย่างนั้นแล้วมัวแต่ไปผ่อนอยู่ กิเลสก็โตขึ้นเรื่อย ๆ มัวแต่ไปกลัวกิเลสจะเฉาตาย ไปรดน้ำพรวนดินให้ กิเลสก็รื่นเริงบันเทิงใจ งอกงามขึ้นมาใหม่อีก

ถ้าหากว่าตั้งใจแก้ไขจริง ๆ รู้จักพินิจพิจารณาจริง ๆ นานไปจะเห็นเองว่า กิเลสมารหลอกเราแบบไหน แล้วเราก็จะไม่พลาดตรงนั้น...ช่องนั้นอีก แล้วกิเลสมารก็จะไปหลอกเราช่องอื่นต่อ เผลอเมื่อไหร่ก็โดนเจาะยาง พอลมหมด รถก็วิ่งต่อไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2015 เมื่อ 09:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 115 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 20-01-2010, 08:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,960 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อยากดีเกินไปก็ฟุ้งซ่านได้ง่าย แล้วพาให้หลงทางได้ง่ายด้วย เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว พวกเราชอบทางลัด ขาดความอดทน ขาดความพากเพียร ถ้ามีข่าวว่าที่ไหนทำให้เราบรรลุได้ง่าย แหม...ตะเกียกตะกายไปทันที ในเมื่อเราขาดความอดทน ขาดความพากเพียร ชอบทางลัด ชอบในสิ่งที่ง่าย ก็โดนหลอกได้ง่ายด้วย เขารู้จุดอ่อน เขาจะใช้ตรงนี้มาหลอกเรา

มีโยมบางคน ไปบางสำนักที่เขารู้ ๆ อยู่ว่า การปฏิบัติไม่ถูกต้องตามแนวทาง แต่ว่าอาจจะเป็นวาระกรรมของเขาด้วย แล้วไปหลงหัวปักหัวปำอยู่ตรงนั้น เขาให้คำชมเชย ให้คำเยินยอหน่อย ก็ไปหลงยึดติดอยู่ตรงนั้น ทำให้เกิดโทษใหญ่ก็คือ เหมือนกับไปเป็นมือเป็นเท้า ช่วยให้เขาเผยแผ่ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

ปัจจุบันนักปฏิบัติที่มาสายพระโพธิสัตว์ มีมากต่อมากด้วยกัน อย่างพระที่นิมนต์มางานวันแม่ นั่นก็พระโพธิสัตว์เกินครึ่ง เราจะเห็นว่าบางท่านเนี้ยบเลย แต่จริง ๆ แล้วมาสายพระโพธิสัตว์ ต้องการจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าข้างหน้าอีกไกล ในเมื่อเป็นดังนั้น..โอกาสที่ท่านจะสอนเพื่อมรรคเพื่อผลก็ไม่มี แล้วท่านก็อาจจะพาเราไปทำงาน ในลักษณะที่สร้างบารมีของท่าน กลายเป็นเราเสียเวลาล่าช้าไปอีก

ฉะนั้น..พิจารณาให้ดี ๆ ไม่ว่าครูบาอาจารย์ที่ไหนก็ตาม ท่านก็เป็นได้แต่เพียงผู้บอก จะได้ดีหรือไม่ได้ดีอยู่ที่เราทำกันเอง การทำด้วยตัวเองก็ต้องมีความพากเพียร ความอดทน ค่อย ๆ สั่งสมไปทีละเล็กทีละน้อย ผิดพลาดไม่ต้องไปเสียใจ ไม่ต้องไปเสียดาย ให้เริ่มต้นทำในสิ่งที่ถูกต้องเสียใหม่ในทันที พอทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วจะมีความคล่องตัว รู้เท่าทันกิเลสได้มากขึ้น เอาชนะเขาได้บ่อยครั้งขึ้น ก็จะสั่งสมให้เกิดความมั่นใจขึ้นมา

แต่ว่าบางทีก็มั่นใจจนเกินเหตุ จึงโดนเขาหลอกจนหลงทาง การปฏิบัติทุกระดับชั้น ต้องมีการประเมินตัวเองอยู่ตลอดเวลา ที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า วิมังสา ไตร่ตรองทบทวนด้วยตนเอง อย่างเมื่อคืนให้ประเมินผลงานในรอบ ๑ ปี (ช่วงทำกรรมฐาน) ให้ตรวจตัวเองแบบยุติธรรม ไม่ใช่ตรวจการบ้านเองโดยให้คะแนนเยอะ ๆ เกรดเอยังไม่พอ...ให้เอบวกไปเลย เกรดเอบวกนี่ไม่รู้จะให้ที่ไหน เพราะเกินตำรา..

จริง ๆ แล้วไม่มีหน้าที่อะไรสำคัญกว่าการดูใจตัวเอง แก้ที่ใจตัวเอง ถ้าเราดูกำลังใจตัวเอง เห็นมีสิ่งไม่ดีอยู่ก็ขับไล่ออกไป แล้วก็คอยระมัดระวัง อย่าให้กลับเข้ามาใหม่ ถ้าไม่มีความดี ก็สร้างความดีขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วก็ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าทำแค่นี้งานจะเหลือน้อย ไม่เหนื่อยมากด้วย แต่ว่าถ้าเผลอเมื่อไรก็โดนหลอกให้ไปไกลอยู่เรื่อย

ถาม : เป็นเพราะประมาท ?
ตอบ : เราไม่ได้ประมาทอย่างเดียว เราขาดปัญญาด้วย คนประมาทบางทียังรู้ทัน แต่นี่ถูกพาไปไกลลิบโลกเลยยังไม่รู้ตัว เคยมีภาษิตจีนเขาบอกว่า โดนเขาขายแล้วยังไม่รู้ตัว ยังไปช่วยเขานับเงินอีก เวลามารเขาหลอก...เขาไม่ปรานีเราหรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2015 เมื่อ 10:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 109 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 21-01-2010, 10:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,960 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ปัจจุบันนี้เครื่องอำนวยความสะดวกเยอะมาก สมัยอาตมาเด็ก ๆ จะส่งข่าวก็เดินข้ามทุ่ง กว่าจะไปกลับก็ครึ่งค่อนวันหรือหมดวันเลย สมัยนี้มีมือถือ แค่ยกหูก็ถึงทั่วโลกภายในนาทีเดียว มีความคล่องตัวกันขนาดนี้ ในเมื่อทุกอย่างคล่องตัวขึ้น เราสงสัยบ้างไหมว่า เวลาหายไปไหนหมด ? ทำอะไรง่ายขึ้น สะดวกขึ้น แล้วทำไมเวลาหายไปไหนหมด เคยคิดกันบ้างหรือเปล่า ?

สมัยก่อนอาตมาเดินข้ามทุ่งไปเป็นวัน ๆ แต่ทำไมเวลาเหลือเยอะ ที่กล่าวมาถึงจุดนี้เพื่อให้พวกเราพิจารณาว่า เครื่องอำนวยความสะดวก เครื่องทุ่นแรงทุกอย่าง ช่วยให้เราสบายขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ก็ทำให้ความอดทน ความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ ที่จะยอมลำบากของเรา ลดน้อยถอยลงไปด้วย ฉะนั้น..ถ้าหากว่ากันตามหลักเศรษฐศาสตร์ ความพึงพอใจมีมากขึ้น แต่ผลประโยชน์ที่ได้รับกลับลดน้อยถอยลง

ปัจจุบันนี้ที่ทุกอย่างมีความคล่องตัวขึ้น แต่เวลากลับน้อยลง เพราะพวกเราไปทำกิจกรรมเพิ่มขึ้น เลิกงานแทนที่จะกลับบ้าน อย่างน้อยมีเวลาชั่วโมงสองชั่วโมง มาหุงข้าว ซักผ้า ถูบ้าน เรากลับไปเดินห้าง พอช็อปปิ้งเสร็จ เห็นโรงหนัง..เรื่องนี้น่าดู ก็เข้าโรงหนังต่ออีก กว่าจะกลับบ้านก็กลายเป็นสี่ทุ่มห้าทุ่ม

สมัยปู่ย่าตาทวด พอถึงเดือนหกก็เริ่มไถ เริ่มหว่านกล้า ตกกล้า ดำนา อย่างแย่ที่สุดไม่เกินเดือน ๘ ข้างแรม ทุกอย่างเสร็จหมด หลังจากนั้นก็รอไปสิ ไม่ได้เดือนสามเดือนสี่ก็ไม่ได้เกี่ยวหรอก เวลาที่เหลือก็ชนไก่ กัดปลา เล่นไฮโล ทำน้ำตาลเมา เพลิดเพลินเจริญใจ เวลาเหลือเยอะแยะ เพราะกิจกรรมมีน้อย

ปัจจุบันนี้คล่องตัวมากขึ้น แต่เราทำกิจกรรมมากขึ้นด้วย ส่วนใหญ่แล้วการทำกิจกรรมสมัยก่อน ๆ มักจะอยู่ในหมู่ญาติ หรือไม่ก็เพื่อนพ้องที่สนิท ซึ่งก็ไม่มาก แต่สมัยนี้แค่คุณเข้า hi5 เพื่อนมาเป็นร้อยเลย ยิ่งโชว์ภาพสวย ๆ ใน facebook ด้วย บางทีมาเป็นพันเลย ต่างคนก็ต่างจะหวังจีบ กลายเป็นคนรู้จักเพิ่มเป็นร้อย ๆ คนภายในเวลาแค่ไม่กี่นาที ถ้าเกิดแต่ละคนเขาเชิญไปงานเขา ไม่ต้องมากหรอก อาทิตย์ละงานสองงาน เราก็แย่แล้ว เพราะฉะนั้น..ความคล่องตัวถึงจะมีมากขึ้น แต่ภารกิจหรือกิจกรรมของเราก็มีมากขึ้นไปตามตัว แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาปฏิบัติธรรม ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2015 เมื่อ 10:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 98 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 21-01-2010, 10:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,960 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จะเล่านิทานโกหกเรื่องหนึ่งให้ฟัง วันหนึ่งนั่งคุยกับมาร คนนี้เป็นเพื่อนกัน ตีกันจนเป็นเพื่อนกัน เขาบอกว่า "การที่ท่านไปสอนนั้นไม่มีประโยชน์หรอก กว่าที่ท่านจะสอนให้พวกเขารู้ ๑ ผมครอบไปอีก ๑๐ แล้ว" ถามว่า "ทำอย่างไร ?" เขาก็บอกว่า "ยกมือขึ้นมาสิ นี่อะไร..มือ นี่มือขวา นี่มือซ้าย นี่หน้ามือ นี่หลังมือ นี่นิ้วมือ มีนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย เล็บนิ้วโป้ง เล็บนิ้วชี้ เล็บนิ้วกลาง เล็บนิ้วนาง เล็บนิ้วก้อย นิ้วโป้งข้อที่ ๑ ข้อที่ ๒ ข้อที่ ๓ ฯลฯ ไล่ไปเรื่อย นับดูสิว่ากี่สมมติเข้าไปแล้ว เป็นสมมติซ้อนสมมติทับกันไปเรื่อย ๆ" เขาบอกว่า "ถ้าปัญญาไม่แก่กล้าจริง ไม่มีทางแทงทะลุหรอก คุณสอนไปก็เสียเวลาเปล่า" แน่ะ..มีขู่ด้วยนะว่าเขาเจ๋งกว่า..!

ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับพวกเรานั่นแหละ ว่าปัญญามีพอหรือเปล่า ? ไม่อย่างนั้นเขาดูถูกจริง ๆ ดูไม่ผิดเลย..ลองคิดดูว่าสหายเก่าของอาตมา ฝีมือเขาขนาดไหน ? เขาถึงได้ยืนยันว่า ถ้าปัญญาไม่แหลมคมจริง ไม่มีทางแทงทะลุได้หมดหรอก ถ้าแทงทะลุไปชั้นหนึ่งคิดว่าใช่...ยิ่งซวยหนัก เพราะยิ่งติดหนักเข้าไปอีก เพราะเป็นสมมติซ้อนสมมติไปเรื่อย

ฉะนั้น..ทุกวันนี้ของพวกเราเอง จากที่โบราณเขามีแค่ปัจจัย ๔ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค สามารถอยู่ได้แน่นอน แต่ปัจจุบันนี้เราต้องมีปัจจัย ๕ คือ มือถือ ปัจจัย ๖ คือรถยนต์ ปัจจัย ๗ คือ อินเตอร์เน็ตเป็นอย่างน้อย ไม่อย่างนั้นเรารู้สึกว่าอยู่ไม่ได้ หาความสะดวกในชีวิตไม่ได้ แล้วลองคิดว่า พวกที่มีปัจจัย ๙ - ๑๐ อย่างพวกตู้เย็น โฮมเธียเตอร์ ขึ้นมาอีกเขาจะแย่แค่ไหน ?

เราโดนหลอกให้คิดว่า จำเป็นมากขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วพวกที่ไปติดแฟชั่น ก็ยิ่งโดนหลอกหนักเข้าไปอีก ถ้าหากไม่ได้ใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมออกจากบ้านไม่ได้..อายเขา ถูกหลอกหนักเข้าไปกี่ชั้น ? เราก็มานั่งคิดว่าเออ..จริง เขาเก่ง เห็นหรือยังว่าหัวถึงเท้าเขาครอบเราไปกี่ชั้น ? นับไม่ถ้วนหรอก แล้วเขาหาทางครอบเพิ่มไปเรื่อย ๆ ต้องมีชาเขียว ต้องไปกินไอศกรีมชื่อดัง ถ่ายรูปมาลงถึงจะสุดยอด คุยไปคุยมา ถึงได้บอกว่า "ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ากูยอมกราบมึง..มึงโคตรเก่งเลย..!"

ฟังเรื่องนี้แล้วเครียดไหม ? หรือของขึ้นไหม ? ไม่เป็นไร ถ้าขึ้นแล้วรีบตะกาย ฉวยโอกาสทำให้มากเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นเราสู้เขาไม่ได้จริง ๆ เพราะว่ายิ่งโลกยุคใหม่เจริญเร็วเท่าไรก็ตาม การครอบงำของเขาก็จะแนบเนียนมากขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะปัจจุบัน ไม่ได้พกบัตรเครดิตออกจากบ้านไม่ได้ ฟังดูแล้วเท่นะ พอเราไปมีเข้าบ้าง เสร็จเรียบร้อย โดนครอบอีกแล้ว เรื่องอย่างนี้ที่ต้องเล่าเป็นนิทานโกหก ก็เพราะว่าพูดเป็นเรื่องจริงแล้วฟังยาก เด็กรุ่นใหม่ฟังไม่รู้เรื่องยังไม่พอ อาตมาจะกลายเป็นหลวงตาแก่เพ้อเจ้อไปอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2015 เมื่อ 10:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 22-01-2010, 11:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,960 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างของพวกเราถอยออกมาได้ระดับหนึ่ง ก็ถือว่ารู้ตัวเร็ว แต่จะไปเสียท่าตรงที่ว่า เราจะไปรู้สึกว่าเราดีกว่าพรรคพวก ความรู้สึกนี้เราห้ามไม่ได้ด้วย คือ พอเห็นว่าพรรคพวกเขาเหลวไหลมาก ทั้ง ๆ ที่เราเคยทำอย่างเขามาก่อน แต่พอเราเลิกทำแล้ว เราก็มารู้สึกว่าเราดีกว่า จึงกลายเป็นแบกมานะขึ้นไปอีก เจ้านี่เลยกินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง เคยดูลีลาแล้ว เขาประเภทเซียนหมากรุก วางหมาก ๒๐ ชั้น กินเราทุกชั้นเลย บางทีก็สร้างสถานการณ์ว่า ทุกคนรอบข้างของเรา ลงความเห็นเป็นอันหนึ่งอันเดียว ว่าต้องคำตอบนี้ เขากำหนดสถานการณ์ที่ต้องเล็งมาทิศนี้ทิศเดียว แล้วก็คือเรา เหมือนกับว่าเขายกเราให้ขึ้นมา พอเขายกเราขึ้นมา คราวนี้ถ้าเราไม่มีความสามารถจริง เขาทิ้งเมื่อไรนี่..ตายเลย..!

ดังนั้น..การประเมินตัวเองที่บอกไปเมื่อวาน ถึงได้บอกว่า เป็นการประเมินที่เราเข้าข้างตัวเองไม่ได้เลย เข้าข้างตัวเองเมื่อไรก็เป็นเรื่องเมื่อนั้น เอาเป็นว่าถ้าใครเป็นผู้สร้าง เป็นผู้กำกับหนัง ให้สร้างเรื่องนี้ที เรื่องที่มารครอบงำโลกอยู่ โดยที่ทุกคนไม่รู้ และคนก็ช่วยส่งเสริมเขาด้วย ดูซิว่าจะดังกว่า "อวตาร" ไหม ?

อ่านหนังสือของครูพนมเทียนอยู่เล่มหนึ่ง ชื่อ ก่อนอุษาสาง เป็นเรื่องของเทวดาท่านหนึ่ง ทำความผิดโดยไม่เจตนา แล้วโดนลงโทษให้กลับมายังโลกมนุษย์ เทวดาท่านนี้มีชื่อว่ามาร กติกาก็คือ ทำให้คนทำดีด้วยความจริงใจ แล้วคุณจะสามารถกลับขึ้นไปบนสวรรค์ได้ ปรากฏว่าแต่ละคนตอนแรกดีทั้งนั้น แต่พอลาภ ยศ เกียรติคุณเข้ามา เป้าหมายก็แปรไปหมด ตัวเขาพยายามที่จะสร้างผลงาน เพื่อกลับไปอยู่บนสวรรค์ตามเดิม กลายเป็นการกระทำของบุคคลที่ไปช่วย กลับเหยียบย่ำเขาให้จมลึกลงไปทุกวัน จนในที่สุดเขาก็เลยต้องตัดสินใจ "ชั่วก็ชั่ววะ..!" ลองไปอ่านดูแล้วจะรู้ว่า เรื่องที่ครูเขาเขียนมาประมาณ ๕๐ ปีที่แล้ว ยังทันสมัยอยู่เลย

อ่านแล้วเราจะเห็นใจเลย พยายามทุกอย่างที่จะช่วยให้คนเขาดี แต่ปรากฏว่าไม่ดีจริงสักราย จากโครงเรื่องที่เขาบอกมา พอจะบอกได้ว่า จริง ๆ แล้วทุกคนมีวิสัยทั้งดีและชั่วอยู่ในตัวคนเดียว แต่นิสัยที่ใฝ่ต่ำมักจะชนะอยู่เสมอ ดังนั้น..ในเรื่องของโลกธรรม ๘ ก็คือ มีลาภ มียศ ได้รับการสรรเสริญ ได้รับความสุข ทำให้คนแปรเปลี่ยนได้ง่ายมาก เราจะสังเกตเห็นได้ง่ายที่สุดก็นักการเมืองเรา รับปากประชาชนทุกอย่าง จะให้ทำอะไรก็ได้ ขอให้เลือกผมก็แล้วกัน แต่พอเข้าไปเมื่อไร ผมก็ต้องทำเพื่อรักษาสภาพตัวของผมเอง เรื่องที่รับปากคุณ กลายเป็นเรื่องอันดับรอง ๆ ลงไป มีโอกาสแล้วค่อยทำ ซึ่งไม่รู้ว่าโอกาสจะมาถึงเมื่อไร

เราจะไปตำหนิเขาก็ไม่ได้ ที่เราตำหนิเขาไม่ได้ ก็เพราะว่าถ้าเราอยู่ในสถานการณ์นั้น เราอาจจะทำในสิ่งที่แย่กว่าเขาก็ได้ เพราะฉะนั้น..ปลงเสียเถอะ พระท่านว่า กัมมุนา วัตตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2015 เมื่อ 10:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 22-01-2010, 11:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,960 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างนี้ชนะยากครับ เพราะเวลาเขามา เขามาแต่ในสิ่งที่เราชอบ ?
ตอบ : ถ้าเราขาดสติ เสร็จเขาแน่นอน ไม่ต้องว่าไปถึงญาติโยมหรอก แค่ในวงการพระ แรก ๆ บวชเข้ามา ก็หวังที่จะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกันทั้งนั้น แต่พอความดีเริ่มปรากฏ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เริ่มเข้ามา จากที่เคยทำทุกอย่างเพื่อพระศาสนา ทำทุกอย่างเพื่อส่วนรวม ทำเพื่อสงเคราะห์ชาวบ้าน ก็กลายเป็นทำเพื่อบำรุงบำเรอความสุขตัวเอง กลายเป็นแข่งกันรวย ใครจะนั่งรถมียี่ห้อกว่ากัน ใครจะสร้างกุฏิได้สวยกว่ากัน ใครจะสร้างโบสถ์ได้แพงกว่ากัน ใครจะจัดงานวัดแล้วมีรายรับมากกว่ากัน ใครจะมีลูกศิษย์ใหญ่โตกว่ากัน เรื่องพวกนี้จะค่อย ๆ ดึงเราให้เผลอไป ทีละนิดเดียว..นิดเดียว จนเราไม่รู้ตัว ถ้าขาดการประเมินตัวเองอย่างที่บอกเมื่อคืนนี้ โดยทิ้งระยะเวลานานเกิน จะเสียหายได้ง่ายมาก จึงได้บอกว่า ประเมินตัวเองเดือนละครั้งถือว่าช้า เพราะถ้าเราพลาด เราจะพลาดไปทั้งเดือนเลย

และที่สำคัญที่สุดก็คือ จะไปเสียดายสถานภาพตัวเอง พอเสียดายสถานภาพตัวเอง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าทำไม่ถูก แต่ต้องทำ เพื่อรักษาสถานภาพ เพื่อรักษาความสุข ความสบายของตนเอง เพราะฉะนั้น..คิดให้ดี ตรองให้เป็น ช่วงที่ผ่านมา อาตมาได้เล่าเรื่องเจ้าของโรงเรียนที่ภูเก็ต เขามีโรงเรียนที่บริหารอยู่สามโรงแล้ว ซึ่งรายได้แต่ละเดือนนี่ถ้าเป็นอาตมา นับเม็ดเงินทีคงแทบจะเป็นลม แล้วนี่ยังสร้างโรงเรียนแห่งที่สี่อีก ก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน ถึงเวลาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เข้ามาก็กอบโกย โดยที่ลืมไปว่าตัวเธออยู่คนเดียว ไม่ได้แต่งงาน แล้วถ้าตายขึ้นมาทรัพย์สมบัติทั้งหมดจะให้ใคร เป็นพวกเราถ้าตัวคนเดียว มีเงินขนาดนั้นแล้ว เรายังจะทำอย่างนั้นไหม ? หรือว่าเราจะเข้าวัดเข้าวา เริ่มทำบุญใส่บาตร ปฏิบัติในศีล สมาธิของเรา ?

จึงอยู่ที่ว่า เรารู้ตัวเร็วช้าขนาดไหน ? รู้ตัวช้ามากเท่าไรก็เสียเวลามากเท่านั้น แต่ถึงเรารู้ตัวแล้ว เราถอยออกมาก้าวหนึ่งแล้ว แต่ว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็จะพยายามที่จะดึงเราเข้าไป อาจจะอยู่ในลักษณะที่ว่า เราจำเป็นต้องรักษาสถานภาพตัวเอง เราจำเป็นที่จะต้องมีอาชีพเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว จริง ๆ แล้วก็เป็นในลักษณะที่หลอกให้เราถลำลึกไปอีก ขณะเดียวกันถ้าเขาไม่สามารถหลอกเราถลำลึกไปได้ เพราะเรารู้ตัวจริง ๆ เขาก็ยังหลอกเราอีกแง่หนึ่ง ว่าเธอเป็นคนดีจังเลย ขนาดอยู่ในวงการมายาแล้ว ยังเข้าวัดเข้าวา ทำบุญใส่บาตร นั่งสมาธิ ถือศีลเป็นปกติ คราวนี้ก็บรรลัย เพราะเขายกเราลอยขึ้นกลางฟ้าเลย แล้วถ้าเขาเลิกยกเราเมื่อไร ก็หล่นลงเหวไปเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2015 เมื่อ 10:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 85 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 23-01-2010, 12:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,960 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..โลกธรรม ๘ มาเมื่อไรก็หวั่นไหวเมื่อนั้น ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เข้ามาเมื่อไร จิตใจก็จะไหว เพราะว่าพอกระทบใจแล้ว เราก็ไม่สามารถที่จะต่อต้านไว้ได้ เหมือนกับหลักที่ปักอยู่กลางน้ำ ในเมื่อปักไม่แน่น เมื่อน้ำมา..ดีไม่ดีก็พัดเอาหลักนั้นหลุดถอนไป แต่ถ้า เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ มาเมื่อไรก็หวั่น "กูจะโดนหนักกว่านี้หรือเปล่าวะ ?" "กูจะแย่ก็งานนี้แหละ" ถ้าหากหมดลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อได้หรือไม่ ? จะเป็นลักษณะของคนที่เรียกง่าย ๆ ว่า จมไม่ลง ขึ้นแล้วลงไม่เป็น ใหญ่แล้วเล็กไม่เป็น

เราต้องไปดูมหาเศรษฐีของโลกคนหนึ่ง ก็คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ปู่คนนี้โคตรประหยัดเลย เขาไม่ได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เงินทองก็บริจาคเข้ามูลนิธิ และสามารถที่จะไปนั่งยอง ๆ กินแฮมเบอร์เกอร์ได้โดยไม่ต้องอายใคร พวกเราทำได้ไหม ? มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ คุณ...ลูกของคุณหญิง..เป็นน้องคุณ... คุณ...ได้รับมรดกแบ่งกันระหว่างพี่ ๆ น้อง ๆ มา ๒๐๐ ล้านบาท เงินสดอย่างเดียวนะ พี่เขาบอกว่า "อย่าบอกใครนะ เดี๋ยวผมไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางแล้ว เพื่อนผมจะดูถูกเอา" คิดดู..คนมีเงินสองร้อยล้าน แต่กินก๋วยเตี๋ยวข้างถนนไม่ได้ รู้สึกทุเรศไหม ? มีเงินแล้วต้องปิด ๆ บัง ๆ ด้วย

ดังนั้น..ในเรื่องของสมมติ เป็นเครื่องมือของมารทั้งหลาย ที่เขาใช้ในการดึงเราให้ติดอยู่กับโลก ไม่สามารถจะหลุดพ้นมือเขาไปได้ ใครรู้ตัวเร็ว ถอยห่างออกมาก็เป็นคุณแก่ตัว ภาระหน้าที่ความหนักต่าง ๆ ที่เราจะต้องไปกอบโกยหาเข้ามา ทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็น ก็จะลดน้อยลงไปมาก ไม่อย่างนั้นแล้วแย่แน่

เจอโยมหลายคนอายุ ๖๐ กว่าแล้ว ยังแต่งหน้าสวยพริ้งมาเลย นี่ไม่ได้ตำหนิใครเรื่องแต่งหน้า ขอยืนยัน แต่อยากจะบอกให้รู้ว่า ถ้าเขาไม่แต่งหน้า เขาออกจากบ้านไม่ได้ เขารู้สึกว่ายังไม่ดีพอ นั่นเป็นสมมติซ้อนสมมติไปกี่ชั้นก็ไม่รู้ สภาพร่างกายที่แท้จริงเขาแสดงออกให้เห็น แต่ตัวเองรีบไปกลบรีบไปปิดไว้ ก็เหมือนกับไปหลอกตัวเองอีกชั้นหนึ่ง ปัญญาเห็นแล้ว แต่กลับรับไม่ได้ รับไม่ได้ว่าร่างกายนี้เสื่อมไปตามปกติ หลายต่อหลายท่านก็ต้องไปพึ่งมีดหมอ ทำอย่างไรจะให้สวยให้ตึงอยู่ได้ ? มีเรื่องตลกที่เคยอ่าน คุณนายเขาไปดึงหน้าไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว แกก็ไปโวยวายกับหมอ ว่าทำไมหน้าแกมีแผลเป็นที่คาง หมอก็บอกว่า "อ๋อ..นั่นสะดือของคุณนายครับ" แสดงว่าดึงเยอะมากเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2015 เมื่อ 10:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 23-01-2010, 12:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,960 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : วันหนึ่ง..ถ้าถึงจุดที่ไม่สามารถจะเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้แล้ว นี่คงทุกข์อย่างมหันต์ ?
ตอบ : ลักษณะอย่างนั้นแหละ ถ้าหากว่าขึ้นแล้วจมไม่ลง อยู่ในสภาพที่ตัวเองรับไม่ได้เมื่อไร บางคนก็กระโดดตึกฆ่าตัวตาย

ถาม : ปล่อยวางแต่เนิ่น ๆ จะดีกว่า ?
ตอบ : ปล่อยวางแต่เนิ่น ๆ ปลอดภัยกว่า แต่ถึงคุณปล่อย เขาก็หาวิธีหลอกคุณจนได้ ดังนั้น..จะต้องระวังจนตัวลีบ เหมือนเดินบนเส้นลวดข้ามปากเหว ก้าวนี้รอด..ก้าวต่อไปจะรอดหรือเปล่า ?

บางทีเรื่องอย่างนี้ก็เหมือนโดยมารยาท ถ้าบอกตรง ๆ บางทีก็ฝืนเกินไป จึงพูดให้ฟังเป็นเรื่องสนุก เป็นนิทานโกหกก็แล้วกัน เพราะว่าสิ่งที่อาตมาบอก กลายเป็นฝืนกระแสโลก คนอื่นเขาต้องการกันทั้งนั้น แต่พวกเราไปผลักไส พยายามหนีห่าง การที่ทำอะไรไม่เหมือนเขา ก็แปลกแยกจากสังคม ยังดีที่ว่า คนที่พยายามจะทำอย่างนี้มีค่อนข้างมาก ประชากร ๖๐ กว่าล้านคน อย่างน้อยปีใหม่ก็เข้าวัดทำบุญเป็นสิบล้านเหมือนกัน แม้ว่าจะอยู่ในเทพอสูรสักเก้าล้านเก้าแสน พวกเทพอสูรเขาเอาทั้งสองอย่าง ทำบุญก่อนแล้วค่อยไปเที่ยวกัน

ถาม : การที่เราจะเอาตัวรอดจากมารได้ คือการพยายามสร้างปัญญาให้รู้เท่าทันมารให้ได้ใช่หรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งสามอย่าง ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะบกพร่อง ถือศีลอย่างเดียวโดยขาดปัญญา ก็ถือแบบขาดหลักรัฐศาสตร์ ไปตรงชนิดเลี้ยวไม่เป็น เดี๋ยวก็ชนเสา ชนเสาแล้วก็ยังจะชนให้ผ่านไปให้ได้

ถาม : นึกถึงคนที่ป่วยไข้ไม่สบาย แล้วใช้ยากล่อมประสาท ถึงเวลาก็ติดยาไปเสียอย่างนั้น ?
ตอบ : บอกแล้วว่าเขาใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัวเป็นเครื่องมือได้หมด เขาสุดยอดวิทยายุทธจริง ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2015 เมื่อ 10:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 23-01-2010, 12:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,960 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทุกคนสามารถเป็นมารทั้งของตัวเองและของคนอื่น หลาย ๆ วาระ หลาย ๆ เวลา เขาก็สามารถดลใจให้เราคิด เราพูด เราทำ ในสิ่งที่เราคิดว่าเหมาะสม แต่ว่าไปสะดุดใจ สะดุดตา สะดุดความรู้สึกคนอื่นเขา อาจจะทำให้เขาห่างความดีไปได้

สมมติว่ามีโยมคนหนึ่ง เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก พอเข้ามาถึงดันไปเจอคุณเต้ยเข้า ถ้าหากเราเห็นกิริยาวาจาลักษณะท่าทางอย่างนั้นเข้า เขาก็จะประเมินว่า "ทั้งหมดเป็นแบบนี้.." เพราะว่าถ้าไม่เหมือนกันจะมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ? อาจารย์คนสอนก็คนเดียวกัน ในเมื่อสอนลูกศิษย์ได้แค่นั้น อาจารย์ก็คงไม่เยอะไปกว่านั้น ว่าแล้วเขาก็ออกไปเลย ก็กลายเป็นว่าเขาเสียประโยชน์ของตัวเขาเอง นั่นแหละ..เขาสามารถใช้คนเป็นเครื่องมือได้ง่าย ๆ เลย

บางทีโยมเขามา แล้วถามทาง ปรากฏว่าแม่บ้านล้างชามอยู่ข้างล่าง ล้างมาครึ่งค่อนวันแล้วก็ยังล้างไม่ทัน เหนื่อยก็เหนื่อย หิวก็หิว ร้อนก็ร้อน ดันมีคนมาถามทางอีก ก็เลยตวาดไป..! บางทีเขาก็ไม่ได้คิดจะทำอย่างนั้น คิดแค่ว่าเขาไม่รู้กาลเทศะ ไม่รู้หรอกว่าตัวเองเหนื่อยขนาดไหน แต่อันนี้ใช้ความรู้สึกตัวเองไปวัด ตัวเองทำงานมาทั้งวัน ข้าวก็ยังไม่ได้กิน เหนื่อยก็เหนื่อย แต่เจ้านั่นเขาเพิ่งมา เขาไม่รู้ แต่ตัวเองไปใช้ความรู้สึกวัดว่าต้องรู้สิ ก็เลยตวาดใส่เขาไปชุดหนึ่ง แล้วคุณคนนั้นกระทั่งตีนบันไดก็ยังไม่ได้เห็นเลย แล้วก็ไม่คิดจะมาเหยียบอีกด้วย แต่คนนั้น..ถ้าเขาเข้ามาฟังแล้ว อาจจะได้ประโยชน์ในวันนั้นเลย มารเขาตัดโอกาสได้โหดมาก

ฉะนั้น..เราทุกคนอาจเป็นเครื่องมือให้เขาโดยไม่รู้ตัว คนที่เรารักมากที่สุด สามารถที่จะสร้างความสะเทือนใจให้เราได้มากที่สุด

ถาม : อะไรที่เป็นปราการป้องกันด่านแรกสำหรับพวกมารนี้ ?
ตอบ : นอกจากศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว อย่างอื่นไม่มีเลย...มีอยู่ทางเดียวก็คือเป็นพวกเดียวกับเขา อย่าหนี..ยอมจมอยู่กับเขา ถึงเวลาก็ยอมลงนรกไป ถ้าอย่างนั้นเขาจะไม่แตะต้อง มีแต่จะช่วย เอาให้จมไปลึก ๆ เลย..!


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงบ่าย ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๓
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2015 เมื่อ 10:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ

Tags
มาร, ลีลาของมาร


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:44



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว