กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

Notices

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #121  
เก่า 04-01-2011, 10:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราน่าจะบรรลุธรรมกันง่าย เพราะปราศจากความสงสัย อย่างที่อาตมาเคยถามว่า ม้ากัณฐกะเป็นสหชาติของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ตอนอายุ ๒๙ พรรษา ม้ากัณฐกะก็อายุ ๒๙ ปี ซึ่งถือว่าเป็นม้าที่แก่มากแล้ว แล้วนำพระพุทธเจ้าออกมหาภิเนษกรมณ์วิ่งไปจนถึงริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ถ้าเป็นสมัยนี้ก็วิ่งข้ามจังหวัด ม้าแก่อายุ ๒๙ วิ่งข้ามจังหวัด พวกเราคิดว่าไหวหรือ ?

ดังนั้น..จึงมีข้อชวนสงสัยอยู่ข้อหนึ่งว่า พอพระพุทธเจ้าสั่งให้ม้ากัณฐกะกลับ ม้ากัณฐกะหัวใจสลายตาย ตกลงว่าหัวใจสลายหรือเหนื่อยตายกันแน่ ?"

ถาม : ในพระไตรปิฎกไม่ได้บอกอาการข้างเคียงของม้ากัณฐกะ อย่างเช่นน้ำลายฟูมปากหรือครับ ?
ตอบ : ไม่มี..ถ้าในเกจิอาจารย์ผู้อธิบายอนุฎีกาอาจจะมีก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2011 เมื่อ 11:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #122  
เก่า 04-01-2011, 10:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระไตรปิฎกนี้เขาถือเป็นบาลีหลัก แต่บางสิ่งบางอย่างยุคสมัยถัดไปจะไม่รู้ จึงมีอรรถกถาขึ้นมาอธิบายพระบาลี พอนานไปสิ่งที่อรรถกถาอธิบายก็ไม่เหมาะกับยุคสมัยอีก จะมีฎีกาจารย์ขึ้นมาอธิบายอรรถกถา

พอถัดไปอีกยุคหนึ่ง คำอธิบายของฎีกาจารย์ รุ่นหลังก็ไม่รู้ อย่างเช่น บอกว่าพระอาจารย์ฝ่ายข้างนั้น รุ่นหลังไม่รู้ว่าฝ่ายข้างไหน เพราะฎีกาจารย์เขาแบ่งเป็นมหาวิหารกับอภัยคีรีวิหาร ทีนี้เราก็ไม่รู้ว่าฎีกาจารย์ที่เขียนเป็นฝ่ายมหาวิหารหรือเป็นฝ่ายอภัยคีรีวิหาร เขาจะใช้ในลักษณะที่ไม่ให้กระทบกระทั่งกันว่า พระอาจารย์ฝ่ายข้างนั้น ก็จะมีอนุฎีกาจารย์มาอธิบายฎีกาอีกทอดหนึ่ง

พอนานไปอนุฎีกาคนก็ไม่เข้าใจอีก ก็มีเกจิอาจารย์มาอธิบายอนุฎีกา ดังนั้น..เกจิ แปลว่า ต่าง ๆ , เกจิอาจารย์ แปลว่า อาจารย์ต่าง ๆ กันไป คือ อาจารย์ท่านใดท่านหนึ่งก็ได้ ที่มีความเข้าใจแล้วมาอธิบายให้ฟัง

แต่คนรุ่นหลังไปตีความคำว่าเกจิอาจารย์ ไปอีกอย่าง กลายเป็นว่า ต้องมีความขลัง สามารถทำการปลุกเสกเลขยันต์ได้ เป็นการใช้ความหมายผิด ความหมายที่ใช้ผิดของบาลีมีเยอะในปัจจุบัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 05-01-2011 เมื่อ 07:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #123  
เก่า 04-01-2011, 13:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อาฬวกยักษ์ เป็นยักษ์แต่ทำไมบรรลุโสดาบัน ?
ตอบ : คำว่า ยักษ์ ในที่นี้หมายถึงผู้ประเสริฐ เป็นเทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ ยักษ์ในสมัยก่อนที่เป็นผู้ประเสริฐ ก็คือ เทวดาจำพวกหนึ่งในบริวารของท้าวเวสสุวรรณ แต่ยักษ์ในความหมายของเรา บาลีเรียกว่า รากษส คือ พวกกินคน

อาฬวกยักษ์อยู่ที่เมืองอาฬวี พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดเป็นการเฉพาะเพราะเห็นว่ามีวิสัยที่จะบรรลุได้ พอพระองค์เข้าไปยังที่อยู่ของอาฬวกยักษ์ บรรดาสนมบริวารทั้งหลายของอาฬวกยักษ์เห็นพระพุทธเจ้าก็ดีใจ ได้ข่าวมานานเหลือเกินแล้วว่าพระสมณโคดมเกิดขึ้นในโลกแต่ไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า พอพระองค์เสด็จมาก็ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี

ตอนนั้นอาฬวกยักษ์ไปเฝ้าท้าวเวสสุวรรณอยู่ เพื่อนยักษ์ คือ เหมวตยักษ์ บอกว่า "ลาภใหญ่มาถึงท่านแล้ว พระสมณโคดมอยู่ที่สำนักของท่าน รีบกลับไปต้อนรับเถิด" อาฬวกยักษ์โกรธจนไฟขึ้นหัว แสดงว่าสาวสวย ๆ เยอะ กลัวว่าพระพุทธเจ้าจะไปแย่งสาว ๆ ของตัว จึงรีบกลับมายังที่อยู่ของตน

แสดงว่ายักษ์ในสมัยนั้นก็ไม่ได้มีศรัทธาในพุทธศาสนาทั้งหมด ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุด คือ การสวดภาณยักษ์ ภาณพระ การสวดภาณยักษ์ ก็คือ การที่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ โดยมีท้าวเวสสุวรรณเป็นหัวหน้า มีความเห็นว่า ท่านทั้งหลายก็ได้นับถือศาสนาพุทธแล้ว แต่ไม่แน่ว่ายักษ์อื่น ๆ จะนับถือศาสนาพุทธ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2011 เมื่อ 14:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #124  
เก่า 04-01-2011, 13:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ถ้าหากว่าพระภิกษุในพุทธศาสนาไปธุดงค์ปฏิบัติธรรมในสถานที่ต่าง ๆ อาจถูกบริวารยักษ์ที่ไม่นับถือทำร้ายเอาได้ ท่านจึงผูกบทสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วเรียกประชุมยักษ์ทั้งหมดประกาศให้ทราบว่า จะนำคาถาบทนี้ มีเนื้อความว่าดังนี้ ไปถวายพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อมอบให้แก่ภิกษุสามเณรในการสวดสาธยาย

ถ้าหากว่าภิกษุสามเณรท่านใดสวดสาธยายพระคาถานี้ แล้วยักษ์บริวารไม่ว่าระดับไหนก็ตามไปทำการเบียดเบียน จะปรับโทษเท่ากับขบถ เพราะท้าวเวสสุวรรณท่านถือว่าเป็นจอมกษัตริย์ของบรรดายักษ์ทั้งหลาย

ดังนั้น..การประกาศให้ยักษ์ทั้งหลายรู้ จึงได้เรียกว่า ภาณยักษ์ คือ ยักษ์พูด , ภาณะ คือคำพูด อย่างเช่นผู้หญิงชื่อ สุภาณี แปลว่า พูดดี พูดเพราะ

ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ก็เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ตรัสเล่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ พร้อมทั้งบทพระคาถาถวายแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเมื่อรับพระคาถามาแล้วก็เรียกประชุมพระภิกษุสามเณร ตรัสบอกให้ทราบถึงอานิสงส์ของพระคาถาและที่มา

ตอนพระพุทธเจ้าตรัสบอกพระทั้งหลายให้ทราบ เรียกว่า ภาณพระ คือพระพูด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2011 เมื่อ 14:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #125  
เก่า 04-01-2011, 15:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อยักษ์ทั้งหลายไม่ได้เคารพพระพุทธเจ้าเสมอกัน อาฬวกยักษ์โกรธพระพุทธเจ้าที่เข้าไปในสำนักโดยไม่ได้รับเชิญ จึงรีบกลับมายังสำนักตน มาถึงก็ตวาดไล่ให้ออก

พระพุทธเจ้าท่านก็เดินออก อาฬวกยักษ์ถึงกับงง "ไหนว่าพระสมณโคดมมากด้วยศักดานุภาพ แม้แต่พรหมทั้งหลายก็ไม่อาจจะต้านทานอานุภาพได้ แล้วทำไมเราไล่แล้วออกง่าย ๆ ?"

เอาความคิดและนิสัยของตัวไปใส่ให้พระพุทธเจ้า ว่าถ้าเป็นตัวเองจะไม่ออกแน่ พอบอกพระพุทธเจ้าให้หยุด ท่านก็หยุด บอกให้กลับเข้าไป ท่านก็กลับเข้าไป อาฬวกยักษ์ก็เลยงงว่าพระพุทธเจ้าว่าง่ายขนาดนี้เชียวหรือ ? หารู้ไม่ว่าเป็นเทคนิควิธีการสอนอย่างหนึ่ง ว่าคนที่กำลังโมโหมาจะทำอย่างไรให้หายโมโห อีกฝ่ายหนึ่งพอโทสะลดลงแล้ว ท่านถึงได้เทศน์โปรด แล้วก็ได้บรรลุมรรคผล

เพราะฉะนั้น..ยักษ์ในที่นี้ เป็นหนึ่งในสี่เหล่าเทวดาของชั้นจาตุมหาราช มีโอกาสบรรลุมรรคผลได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2011 เมื่อ 16:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #126  
เก่า 04-01-2011, 15:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บุคคลที่บรรลุมรรคผลได้เพราะยักษ์ก็มีนะ ลองไปค้นในเอตทัคคะปาลิ เป็นหมวดของอุบาสกอุบาสิกา จะมีอยู่ท่านหนึ่งที่ยักษ์มายืนคุยกันถึงเรื่องพระพุทธเจ้าอยู่บนหลังคา แล้วน้อมจิตตามจนเลื่อมใสบรรลุเป็นพระโสดาบัน ลองไปค้นดูสิว่าเป็นใคร ?

เอตทัคคะปาลิ ก็จะมีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ๔ หมวดด้วยกัน อย่างเช่น ท่านนกุลบิดาคหบดีและนกุลมารดาคหปตานี เป็นเอตทัคคะผู้คุ้นเคยกับพระศาสดา คือ ท่านเจอหน้าพระพุทธเจ้าแล้วเรียกลูกในทันที ว่าลูกหายไปไหนมานานขนาดนี้ เพราะท่านเคยเกิดเป็นพ่อแม่พระพุทธเจ้ามา ๕๐๐ ชาติติดต่อกัน ไม่คุ้นเคยก็ไม่ได้แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2011 เมื่อ 16:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #127  
เก่า 04-01-2011, 17:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำไมเขาไม่ได้เป็นพุทธมารดาหรือพุทธบิดา ?
ตอบ : เหตุที่เขาไม่ได้เป็นพุทธมารดาหรือพุทธบิดาเพราะไม่ได้อธิษฐานมา บุคคลที่จะเป็นพุทธบิดาพุทธมารดาต้องตั้งจิตอธิษฐานมา

ก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานก็ต้องสร้างบุญมหาศาลไว้ก่อน แล้วตั้งความอธิษฐานว่า ผลบุญที่ทำในครั้งนี้ ข้าพเจ้าตั้งความปรารถนาอย่างไรก็ว่าไป

สงสัยหรือไม่ว่า ทำไมพุทธมารดาคือพระนางสิริมหามายา เมื่อขึ้นไปอยู่บนสวรรค์แล้ว พระพุทธเจ้าตามไปเทศน์แล้วจึงได้แค่พระโสดาบัน ? พระเจ้าสุทโธทนะผู้เป็นพระราชบิดาไปนิพพานแล้ว ผู้เป็นพระชายา คือ พระนางพิมพาก็เป็นพระอรหันต์เข้าสู่นิพพานแล้ว ผู้ที่เป็นลูกคือ พระราหุลหรือสามเณรราหุลก็เข้านิพพานแบบง่าย ๆ คือจำพรรษาที่ดาวดึงส์แล้วเข้านิพพานที่นั่นเลย

ทำไมพระนางสิริมหามายาไม่เข้าพระนิพพาน ? เพราะท่านตั้งความปรารถนาจะเป็นพุทธมารดาของพระศรีอารยเมตไตรยด้วย เป็นพุทธมารดาของพระพุทธเจ้าถึงสองพระองค์ ดังนั้น..ถ้าเป็นมากกว่านี้ก็จะเป็นไม่ได้ จึงเป็นได้เพียงพระโสดาบัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 05-01-2011 เมื่อ 07:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #128  
เก่า 05-01-2011, 00:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาฬวกยักษ์ ทำให้เกิดเอตทัคคะอุบาสกท่านหนึ่งคือ หัตถอาฬวกกุมารเพราะว่าเจ้าเมืองอาฬวีท่านทำสัญญากับอาฬวกยักษ์ว่าไม่ต้องมาอาละวาดจับคนกิน แต่จะส่งคนไปให้กินเอง เมื่อเป็นดังนั้น ท่านก็ต้องหาคนส่งไป ๆ

จนกระทั่งเขาอพยพหนีกันหมด หาใครส่งไปไม่ได้ ก็ต้องส่งหัตถอาฬวกกุมารไปแทน ราชกุมารท่านนี้เป็นเอตทัคคะทางด้านสงเคราะห์บริวาร

จะว่าไปแล้วในพระไตรปิฎกมีสารพัดเรื่องที่น่ารู้อยู่มาก แต่ด้วยความที่เป็นเล่มหนา ๆ ๔๐ – ๕๐ เล่ม ถ้าเป็นส่วนที่มีอรรถกถาแก้ขยายความอยู่ด้วยก็มี ๙๐ กว่าเล่ม ทำให้คนเห็นท้อเสียก่อน ถ้าบอกเป็นจุด ๆ ไป เราก็ไปเปิดอ่านเฉพาะจุดได้ แต่ถ้าให้ไปค้นหาทั้งหมดก็คงจะไม่ไหวกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2011 เมื่อ 02:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #129  
เก่า 05-01-2011, 00:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราหาคำว่า "มหาสติปัฏฐานสูตร" จะมีมหาสติปัฏฐานสูตรในทีฆนิกาย มีมหาสติปัฏฐานสูตรในมัชฌิมนิกาย แล้วก็มีมหาสติปัฏฐานสูตรในวิสุทธิมรรค ไม่รู้จะเอาอันไหนเลย

มหาสติปัฏฐานสูตรในมัชฌิมนิกายจะมีเนื้อหาสั้นกว่า แต่เป็นไปโดยแนวเดียวกัน ส่วนในวิสุทธิมรรคนั้นพุทธโฆษาจารย์ท่านเขียนลักษณะอรรถกถาธิบายความ แต่คัมภีร์วิสุทธิมรรคจัดเป็นปกรณ์วิเศษ

วิเศษคำนี้ แปลว่าแตกต่างจากผู้อื่น ปกรณ์วิเศษในที่นี้ ก็คือไม่ได้มีการอธิบายขยายความของคนอื่น แต่อธิบายเองตั้งแต่ต้นยันปลายเลย เหมือนเป็นวิทยานิพนธ์ แต่ไม่ใช่การทบทวนเอกสารและงานวิจัย แต่เป็นช่วงสรุปผลการวิจัย คือต้องเป็นบทสุดท้ายแล้ว แต่สรุปผลของท่านหนาปึ้กเลย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ท่านสรุปลงมาเหลือ ๓ เล่ม ศีลนิเทศ สมาธินิเทศ และปัญญานิเทศ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2011 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #130  
เก่า 05-01-2011, 00:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าเรื่องไปพม่าให้ฟังว่า "ตอนแรกที่ไปพม่า ไปด้วยความรู้สึกว่า เรามาจากประเทศที่เจริญ มาจากเมืองของพระพุทธศาสนา ถ้ามีอะไรที่เราสามารถจะแนะนำสั่งสอนเขาได้ เราจะทำ แต่พอไปเจอการปฏิบัติตนของพุทธศาสนิกชนชาวพม่าแล้ว ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนดี เพราะว่าเขาเข้าวัดปฏิบัติโดยพร้อมเพรียงกันหมด เขาทำตั้งแต่บุญกุศลพื้น ๆ จนกระทั่งถึงบุญใหญ่เขากวาดหมด

ถ้าคนไทยเราทำได้อย่างนั้น ประเทศชาติคงน่าอยู่เป็นพิเศษ เพราะว่าก่อนเขาจะไปทำงาน จะเข้าวัดใกล้บ้าน สวดมนต์ทำวัตรเสร็จแล้วถึงจะไปทำงาน กลับจากที่ทำงาน จะเข้าวัด สวดมนต์ทำวัตรแล้วค่อยกลับบ้าน พระบ้านเรายังไม่เคร่งเท่าคนบ้านเขาเลย

บ้านเราหลายต่อหลายวัด สวดมนต์ทำวัตรเฉพาะช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น บางทีอาตมายังกระแทกไปว่า "ถ้าคุณฉันเฉพาะช่วงเข้าพรรษาก็น่าจะดีนะ จะได้ประหยัดหน่อย..!"

พอดีได้ไปงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิของวัดพระธาตุ ๕ ดวง ได้นั่งเครื่องบินลำเดียวกับหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ พอถึงเชียงใหม่ท่านก็ชวนขึ้นรถที่เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ส่งมารับท่าน นั่งกับท่านมา ท่านถามถึงเรื่องนี้ ก็เล่าถวายให้ท่านฟัง บอกว่าอยากให้บ้านเราเมืองเราเป็นอย่างพม่าเขาบ้าง ที่พุทธศาสนิกชนเข้าวัดเข้าวาโดยพร้อมเพรียงกัน ทุกคนตั้งแต่เด็กยันแก่ ไปวัดเหมือนกับคนกรุงเทพฯ ไปเดินห้าง

ปรากฏว่าหลังจากที่เล่าด้วยความภาคภูมิใจไปพักหนึ่ง หลวงพ่อสมเด็จท่านพูดกลับมาสั้น ๆ ว่า “ท่านเล็ก..จำเอาไว้นะ ที่ไหนที่ชาวบ้านพึ่งรัฐบาลไม่ได้ เขาจะเข้าวัด” ได้ยินแล้วฟ้าแจ้งจางปางเลย เพราะฉะนั้น..บ้านเราคงใกล้จะเข้าวัดมาก ๆ กันแล้ว..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-01-2012 เมื่อ 03:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #131  
เก่า 05-01-2011, 12:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"พูดง่าย ๆ ว่า เมื่อเขาไม่มีความหวังกับระบบการปกครอง เขาก็เอาพุทธศาสนาเป็นหลักยึดแทน

คนพม่านิยมสร้างเจดีย์มากกว่าสร้างพระพุทธรูปอย่างบ้านเรา อาจเป็นเพราะว่าพระเจดีย์ที่สร้างนั้น สามารถเป็นอนุสติได้หลากหลายมากกว่า พระเจดีย์มีหลายประเภทด้วยกัน ถ้าหากว่าเป็นพระธาตุเจดีย์ ก็คือเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระอรหันต์ธาตุ

ถ้าเป็นปริโภคเจดีย์ จะเป็นพระเจดีย์ที่บรรจุบริขาร จะเป็นของสมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า หรือพระสุปฏิปันโนเจ้าต่าง ๆ ถ้าเป็นธรรมเจดีย์ ก็จะเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระธรรมคำสั่งสอน อย่างเช่นว่า จารึกใบลานต่าง ๆ ประการสุดท้ายเป็นอุทเทสิกเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึง โดยเฉพาะระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อเป็นดังนั้น พระพุทธรูปจึงถือเป็นอุทเทสิกเจดีย์ประเภทหนึ่ง พม่าจึงนิยมสร้างเจดีย์มากกว่าสร้างพระ และเมื่อสร้างแล้ว ได้ประโยชน์หลากหลายกว่า และที่น่าทึ่งก็คือว่า พม่าเห็นยอดเขาเป็นไม่ได้ ไม่ว่ายอดเขาจะสูงขนาดไหน จะลำบากขนาดไหน จะต้องตะเกียกตะกายขึ้นไปสร้างเจดีย์ให้ได้ เขาถือว่ายิ่งทำยากเท่าไร ยิ่งได้อานิสงส์มากเท่านั้น

สมัยแรก ๆ ที่ไปพระบรมธาตุอินทร์แขวน พระเจดีย์ยังเป็นองค์เก่าอยู่ ไม่ใช่องค์ใหม่อย่างปัจจุบัน ไปยืน ๆ ดู เสร็จแล้วก็คิดว่า ทำไมเขาทำหยาบ ๆ หนอ ถ้าเป็นเราคงจะสร้างได้ดีกว่านี้ เมื่อไปลองผลัก ๆ ก้อนหินดู ปรากฏว่าหินขยับได้ จึงทราบว่า ถ้าเป็นเราคงทำได้หยาบกว่านี้อีก เพราะกลัวว่าจะหล่นลงไปตายเหมือนกัน..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2011 เมื่อ 12:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #132  
เก่า 05-01-2011, 12:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ผู้หญิงที่ประเทศพม่าจะลำบากหน่อย เพราะว่าสถานที่สำคัญ ๆ เขามักจะไม่ให้เข้า แต่ทีนี้อาตมาเป็นพระ มีสิทธิพิเศษเหนือผู้ชายทั่วไป ก็เลยเข้าไปได้ทุกที่ เวลาผู้หญิงเห็นผู้ชายปิดทองหลวงพ่อมหามุนีก็ได้แต่มอง ต้องฝากคนอื่นขึ้นไปปิด แต่ถ้าพระเดินขึ้นไป ผู้ชายทั้งหลายก็ต้องหลีกให้พระก่อน

เรื่องของการห้ามผู้หญิงเข้าไปในสถานที่สำคัญต่าง ๆ เกิดขึ้นตอนที่พุทธศาสนาของเรากลายเป็นศาสนาผสมผสานที่เรียกว่า พุทธตันตระไปแล้ว ทางสายพุทธตันตระจะมีการใช้คาถาอาคมต่าง ๆ เป็นปกติ และเขาก็มีความรู้ว่า ถ้าหากผู้หญิงมีรอบเดือนจะทำลายอาถรรพณ์ของเขาหมด จึงต้องห้ามไม่ให้เข้าไปในสถานที่สำคัญ ๆ

เราจะเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติอย่างหนึ่ง ก็คือ อำนาจของความเป็นเพศแม่ เพศแม่คือเพศที่ให้กำเนิดสรรพชีวิตทั้งหมด ดังนั้น..ในวาระที่สภาพร่างกายแสดงความเป็นเพศแม่สูงสุด ก็จะมีพลังการทำลายล้างสูงสุด โดยเฉพาะการล้างอาถรรพณ์ในสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ

ในบึงลับแลช่วงแรก ๆ ที่ไป จะโดนผีหลอกกันสะบั้นหั่นแหลก มีลูกปลาคนเดียวที่นอนสบาย เพราะว่าพอดีช่วงนั้นรอบเดือนเขามา ขนาดผียังไม่กล้าหลอกเลย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2011 เมื่อ 12:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #133  
เก่า 05-01-2011, 12:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"จริง ๆ แล้วในสภาพของความเป็นแม่ เป็นผู้ให้กำเนิดสรรพชีวิตนั้น ถือว่าเป็นผู้ที่มีพลังมากเป็นพิเศษ ดังนั้น..บุคคลที่เขามีความรู้ตรงจุดนี้ แต่เป็นความรู้ที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่ใช่ความรู้เพื่อการหลุดพ้น ก็เลยไปปรับจนกลายเป็นลัทธิตันตระขึ้นมา

เมื่อกลายเป็นลัทธิตันตระขึ้นมา พระพุทธเจ้าของตันตระ ก็ต้องมีศักติ ก็คือคู่บารมี เขาถือว่าถ้าเป็นเพศเดียวจะสงเคราะห์ได้เพียงครึ่งเดียว ต้องมีคู่ถึงจะผสานพลังเข้าไป แล้วสามารถสงเคราะห์ได้ถ้วนหน้า ฉะนั้น..จะเห็นว่าพระพุทธรูปของทางตันตระจะมีรูปผู้หญิงกอดเอวอยู่ โดยเฉพาะเป็นรูปผู้หญิงแก้ผ้า

ถ้าเราไม่เข้าใจก็จะไปตำหนิเขาว่าลามกอนาจาร ความเชื่อของเขาว่า ต้องมีศักติหรือคู่ชีวิตคู่ครองจึงจะสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องสงสัยว่าลัทธินี้จะหลุดพ้นได้หรือไม่ เพราะค้านกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนอย่างแน่นอน

ท่านบอกว่า เอกายโน อะยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา หนทางของคน ๆ เดียว จึงเป็นหนทางที่นำสัตว์ทั้งหลายก้าวเข้าสู่ความบริสุทธิ์ได้ เพราะว่าไม่มีอะไรให้ห่วงให้กังวล ลัทธิตันตระเขาต้องมีคู่ จึงฟันธงได้เลยว่าพ้นยาก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2011 เมื่อ 12:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #134  
เก่า 05-01-2011, 13:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "มหายานสายวัชรยาน เขาจะสรรเสริญวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ปัจจุบันนี้ภูฏานกับทิเบตจะเป็นสายวัชรยาน มหายานดั้งเดิมที่เป็นพวกมูลสรวาสติวาท แทบจะหาซากไม่เจอแล้ว

เขาบอกว่ามหายานปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสภาพสังคมในขณะนั้น จึงจำเป็นต้องย่อหย่อนพระวินัย โดยรักษาแก่นธรรมเอาไว้ ฟังดูก็เข้าท่า แต่ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ประพฤติปฏิบัติได้ถึงจริง ๆ จะไม่มีวันเข้าใจว่า

แท้จริงแล้วพระวินัยเป็นการปูพื้นฐานกำลังใจ เพื่อก้าวเข้าไปถึงแก่นธรรมที่แท้จริง เป็นการปรับความพร้อมจิตใจของเรา อย่างเช่นว่า วินัยของฆราวาสทั่วไปคือ ศีล ๕ ข้อ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ อยากฆ่าใจจะขาดต้องห้ามใจตัวเองให้ได้ งดเว้นจากการลักทรัพย์ ล่อหูล่อตา มีราคา สวยงามแค่ไหน ต้องห้ามใจตัวเองให้ได้

งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะหล่อจะสวยขนาดไหน มีโอกาสขนาดไหน ต้องห้ามใจตัวเองให้ได้ งดเว้นจากการโกหกมดเท็จ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะน่าโกหกขนาดไหน ประกอบไปด้วยผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ต้องงดเว้นให้ได้ ละเว้นจากการดื่มสุรายาเสพติดต่าง ๆ แม้ว่าสภาพร่างกายจะโดนบังคับด้วยอำนาจสุรายาเมาต่าง ๆ ก็ต้องงดเว้นให้ได้

กำลังใจในการงดเว้นไม่ละเมิดศีลต่าง ๆ ก็คือกำลังใจที่เราใช้เท่ากับการที่งดเว้นไม่คล้อยตามกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ดังนั้น..พระวินัยจึงเป็นพื้นฐานใหญ่ที่ปูทางให้เราก้าวเข้าสู่ธรรมะอย่างแท้จริง ก้าวเข้าสู่มรรคผลอย่างแท้จริง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 05-01-2011 เมื่อ 21:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 136 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #135  
เก่า 05-01-2011, 13:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ดังนั้น..ในสายมหายานโอกาสในการบรรลุจึงยากมาก ยกเว้นว่าปฏิบัติไปนาน ๆ มองเห็นทางแล้วขยับมาให้ถูก ปัจจุบันนี้มหายานก็ปรับตัวจนแทบจะไม่สนใจพระวินัยแล้ว โดยอ้างว่า เอาธรรมะเป็นใหญ่

ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่า เขากินข้าวเย็นกันเป็นปกติ ท่านเจ้าคุณอธิการบดีของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย คือ ท่านเจ้าคุณธรรมโกศาจารย์ นำคณะไปที่วัดพระหยก มณฑลเซี่ยงไฮ้ เพื่อจะมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้แก่เจ้าอาวาสวัดพระหยก ท่านไปอยู่หลายวัน

พอกลับมา ลูกศิษย์อย่างอาตมาก็สงสัยอยู่อย่างหนึ่ง ถามว่า “ท่านอาจารย์ครับ ตกลงว่าไปอยู่วัดมหายานแล้วได้ฉันข้าวเย็นกันไหม ?” ท่านอาจารย์บอกว่า “อดครับ..เขารู้ว่าพระไทยไม่ฉันข้าวเย็น เขาเลยถวายแต่น้ำเท่านั้น” แสดงว่าเขาก็ศึกษามาดีว่าพระไทยเราปฏิบัติอย่างไร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-01-2012 เมื่อ 03:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #136  
เก่า 05-01-2011, 14:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ประเทศจีนสร้างพุทธมณฑลที่เซี่ยงไฮ้ ภาษาจีนเรียกว่าอะไรไม่ทราบ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Buddhist Palace ใหญ่โตมโหฬารมาก

ประเทศจีนทำงานเป็นระบบมาก พอพ้นจากยุคเหมาเจ๋อตุง ที่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของรัฐ สมัยเติ้งเสี่ยวผิงมีการปรับปรุงใหม่ ให้สามารถถือทรัพย์สินอื่น ๆ เป็นส่วนตัวได้ ยกเว้นที่ดินต้องเป็นของรัฐ ทำให้ประเทศจีนเจริญเร็วมากเป็นพิเศษ

อย่างเราจะสร้างบ้าน ก็ต้องซื้อที่ดินแล้วค่อยสร้างบ้าน แต่คนจีนไม่ต้องซื้อที่ ทุกคนต้องเช่าที่รัฐบาลอยู่ เขาเสียเงินสร้างบ้านอย่างเดียว สมมติว่าต้องใช้เงิน ๒ ล้าน ก็ใช้แค่ ๑ ล้าน อีก ๑ ล้านก็นำมาลงทุนทำมาหากิน กลายเป็นเงินที่หมุนเวียนในท้องตลาด ทำให้ประเทศเขาเจริญเร็ว

และขณะเดียวกัน การพัฒนาด้านต่าง ๆ ถ้าจำเป็นต้องข้องเกี่ยวกับที่ดิน ก็ไม่ต้องเสียเวลาออกกฎหมายเวนคืน ไม่ต้องเสียเวลาไปชดเชย แค่ประกาศบอกว่า จะเอาที่บริเวณนี้ ให้ประชาชนย้ายไปที่อื่นได้แล้ว งานที่จะยากก็กลายเป็นง่าย

เมื่อประมาณ ๔ ปีที่แล้ว มีการจัดงานประชุมวิสาขบูชาโลกที่ประเทศไทย ประเทศต่าง ๆ ที่นับถือพุทธศาสนา ๑๔๓ ประเทศส่งตัวแทนมา ประเทศไทยก็มีท่านเจ้าคุณพระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นแม่งาน

ท่านอยากจะให้ทุกประเทศสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา ก็ไปขอเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกที่มา ปรากฏว่าประเทศอื่น ๆ ไม่มีปัญหา มีปัญหาอยู่ ๒ ประเทศ คือ ศรีลังกาและประเทศจีน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-01-2012 เมื่อ 03:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #137  
เก่า 05-01-2011, 14:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ศรีลังกาอยากเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาแต่เกรงใจประเทศไทย เพราะที่ประเทศลังกามีพระพุทธศาสนาอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะพระสงฆ์จากไทยไปสืบช่วงให้ จนกลายเป็น สยามวงศ์

พอมาถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ เราก็รับเอาสยามวงศ์จากลังกากลับมาในบ้านเรา แต่เรียกว่า ลังกาวงศ์ ปัจจุบันนี้ที่ในลังกาเขาเรียกชัด ๆ ว่า สยามโมปาลีวงศ์ หรือ สยามอุบาลีวงศ์ เพราะพระอุบาลีเถระเป็นหัวหน้าคณะนำไปในสมัยอยุธยา

เมื่อประเทศลังกาเกรงใจ แต่ตัวเองอยากเป็นศูนย์กลาง และพอเห็นว่าจีนอยากได้ตำแหน่งด้วย ก็เลยใช้วิธีบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น บอกว่าถ้าจีนเห็นด้วย ลังกาก็จะสนับสนุน ท่านเจ้าคุณอธิการบดี ก็เลยต้องปิดห้องเจรจากับจีนโดยตรง

ประเทศจีนเขาบอกว่า ประเทศไทยมีประชากรแค่ ๖๐ กว่าล้านคน และไม่ได้นับถือศาสนาพุทธทั้งหมดด้วย ประเทศจีนมีประชากรนับถือศาสนาพุทธตั้ง ๒๐๐ กว่าล้านคน จึงควรจะให้จีนเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนา

ท่านเจ้าคุณอธิการบดีรีบมากราบเรียนหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศว่า จีนเขายกตัวเลขขึ้นมาอย่างนี้เราจะทำอย่างไรดีครับ หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศพูดสั้น ๆ ว่า “เอาสถิติไปสู้เขา” ท่านเจ้าคุณอธิการบดีได้ยินก็เข้าใจชัดเลย

ท่านจึงกลับไปบอกกับจีนว่า ถึงแม้ว่านับตามจำนวนประชากรแล้ว จีนมี ๒๐๐ กว่าล้านคนที่นับถือพุทธศาสนา แต่ถ้าเปรียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดแล้วก็มีแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แถมประเทศจีนนี้ อิสลามกับคริสต์มีมากกว่าศาสนาพุทธหลายเท่าอีกด้วย ถ้าประกาศให้เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาแล้ว จะต้องมีปัญหาแน่นอน ดังนั้น..จีนจึงควรจะสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลกมากกว่า"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-01-2011 เมื่อ 03:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 132 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #138  
เก่า 05-01-2011, 15:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ประเทศจีนเห็นว่าตัวเลขสู้ไม่ได้ จะเอาอะไรมาคัดค้านก็ไม่ได้แต่ไม่ยอมกลับบ้านมือเปล่า จึงเสนอว่า ประเทศจีนมีโครงการจะจัด Buddhist forum ที่ประเทศจีนในอีก ๔-๕ ปีข้างหน้า ขอให้ไทยช่วยล่ารายชื่อ ๑๔๒ ประเทศที่มา โดยเฉพาะไต้หวัน ให้ช่วยลงชื่อสนับสนุนจีนด้วย

เมื่อเป็นดังนี้ ศรีลังกาก็หงายท้องไปเองโดยปริยาย เพราะเมื่อท่านเจ้าคุณอธิการบดีเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหารือ ประเทศอื่นก็ยินดีเซ็นให้ทั้งหมด เพราะเห็นว่าเหมาะสมและอยากไปเที่ยวจีน มีไต้หวันอย่างเดียวที่เซ็นให้ก็ได้ แต่ขอด่าจีนก่อน ไต้หวันกับจีนเป็นคู่กัดกัน ท่านเจ้าคุณอธิการบดีขออย่างเดียวว่า ด่าแล้วขอให้ขอขมาด้วยนะ เขาว่าไม่เป็นไร ขอให้ได้ด่าก็แล้วกัน

เมื่อจีนได้รายชื่อไป เขาก็เอาไปเสนอรัฐบาล ว่าทุกประเทศเขาพร้อมใจสนับสนุนให้เราจัด Buddhist forum เราควรจะมีสถานที่รองรับให้ยิ่งใหญ่ให้สมกับที่ทุกประเทศสนับสนุน รัฐบาลก็ประกาศเวนคืนที่จุดหนึ่งซึ่งเป็นพื้นที่เมืองเก่าของเมืองเซี่ยงไฮ้ ที่ฮวงจุ้ยเสียเพราะตายทับตายถมกันมาไม่รู้กี่สมัย ไม่มีใครกล้าเข้าไปลงทุน

รัฐบาลจีนบอกว่าเอาตรงนี้ไปเลย แต่ไม่ให้เงินสนับสนุนนะ สร้างเองให้ได้ก็แล้วกัน ทางรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านนี้ท่านเก่งมาก ประกาศขอสนับสนุนจากเศรษฐีจีน จะสร้างศูนย์กลางพุทธศาสนาให้ยิ่งใหญ่เทียบเท่าวาติกันของคริสต์ เพียงรายเดียวเขาบริจาคตั้ง ๒,๐๐๐ ล้านหยวน และเศรษฐีจีนที่ติดอันดับโลกมีตั้ง ๓๐๐-๔๐๐ คน ช่วยกันควักกระเป๋าบริจาค เขาใช้เวลา ๔ ปีเท่านั้น ปัจจุบันนี้ทุกอย่างเสร็จเกือบสมบูรณ์แล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-01-2011 เมื่อ 03:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 128 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #139  
เก่า 05-01-2011, 15:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เขาจึงเชิญคณะคนไทยเป็นคณะแรกที่เข้าไปดู ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนใหญ่ ดูการทำงานของเขาแล้วอยากจะร้องไห้ ทำไมระดับรัฐมนตรีของเขาสายตายาวไกลขนาดนั้น แล้ววิธีการที่เขาทำก็ชนะด้วยกันทั้งสองฝ่าย

คือสนับสนุนไทยให้เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาโลก ตัวเองได้รายชื่อไปยื่นเสนอรัฐบาล ถึงไม่ให้เงินงบประมาณมา ก็ประกาศกับเศรษฐีว่าบริจาคแล้วจะติดชื่อให้ จะติดชื่อบรรพบุรุษวงศ์ตระกูลก็พร้อมที่จะติดให้ให้ ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ทั่งโต ท่านถ่ายรูปมาให้ดู สิ่งที่เขาทำนั้นมหึมาอลังการจริง ๆ เขาถากภูเขาเป็นลูก ๆ เลย เพื่อติดภาพประกอบทางพุทธศาสนา เป็นภาพพุทธประวัติ

ภาพประกอบที่ติดตั้งนั้นหล่อจากโลหะ หล่อด้วยทองเหลือง รมดำ ดำเข้มบ้าง ดำอ่อนบ้าง เป็นทองเหลืองขัดเงาวาววับบ้าง พอติด ๆ ซ้อน ๆ กันแล้วเป็นภาพ ๓ มิติ มีตัวมีตนเป็นชั้นเป็นเชิง มีลึกมีตื้น พวกบรรดามารที่มาผจญพระพุทธเจ้า เขาก็รมควันตัวดำปี๋เลย ฝ่ายเทวดาที่หนีไปอยู่สุดขอบจักรวาลก็เป็นทองเหลืองเงาวาววับเลย ให้เห็นชัด ๆ เลยว่าต่างกัน

เมื่อถามท่านอาจารย์ว่า "ภาพรวมทั้งหมดยิ่งใหญ่จริง ๆ หรือเปล่าครับ ?" ท่านอาจารย์ ผศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม รองอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไป เคยไปเที่ยววาติกันมาแล้ว ท่านบอกว่า "ผมว่าวาติกันจะสู้ไม่ได้นะ ผมเห็นความได้เปรียบอย่างหนึ่งของคนที่ทำทีหลังว่า ถ้าเขาตั้งใจจะทำให้ยิ่งใหญ่กว่า เขาก็ทำได้จริง ๆ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-01-2011 เมื่อ 03:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 128 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #140  
เก่า 05-01-2011, 15:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,594 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ฉะนั้น..พวกเราอย่าเผลอให้ใครทำอะไรตามหลัง โดยเฉพาะถ้าอธิษฐานทับทีหลัง มีหวังเสร็จเขาแน่เลย ตัวอย่างพระเจ้ากุสราชกับพี่สะใภ้ พี่สะใภ้อธิษฐานว่าเกิดชาติหน้าฉันใดขอให้อย่าเจอน้องสามีอย่างนี้อีกเลย พระเจ้ากุสราชก็อธิษฐานทับเลยว่า เกิดอีกกี่ชาติก็ขอให้ได้พี่สะใภ้คนนี้เป็นเมีย นั่นเสร็จเขาเลย ทำทีหลังได้เปรียบกว่า

ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เผื่อว่าใครที่ได้ไปเที่ยวเซี่ยงไฮ้ให้ลองสอบถามไกด์ดูว่า เขาเปิดให้เข้าชมแล้วหรือยัง ไม่เกินปีหน้าคงใช้งานได้แน่นอน

จากภาพที่ท่านอาจารย์ถ่ายรูปมา ขนาดพื้นอาคารเขายังใช้ไม้แกะสลักต่อกันยาวเป็นร้อย ๆ เมตร ตรงจุดที่เป็นโดม จะมีแสงสีหมุนวนมีภาพประกอบต่าง ๆ เปลี่ยนไปตลอดเวลาไม่ซ้ำกัน แล้วเมื่อเวลาเขาฉายภาพ ลักษณะถ้าเป็นบ้านเราเรียกว่า over head แต่เขาให้นั่งเก้าอี้ที่มีลักษณะเหมือนกลองกลม ๆ

ตอนแรกอาจารย์เขาก็สงสัยว่าทำไมเป็นเก้าอี้อย่างนั้น ความจริงก็คือ ต้องหมุนดูตามเหตุการณ์ไปเรื่อย จึงนั่งเก้าอี้มีพนักพิงไม่ได้ กลายเป็นมุม ๓๖๐ องศา ลองไปถามดูว่าเขาเปิดให้ชมหรือยัง ? เป็นที่ซึ่งน่าไปมาก ลองไปค้นหาดูในอินเตอร์เน็ตแล้ว แต่ก็ยังหารูปดูไม่ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-01-2011 เมื่อ 03:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 122 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:32



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว