กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

Notices

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #181  
เก่า 30-01-2011, 23:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แค่ฟังก็รู้สึกว่าไกลเหลือเกินครับ
ตอบ : อาตมาขี้เกียจอธิบาย เพราะพูดละเอียดไม่ได้ ถ้าพูดละเอียดก็สามวันสามคืน เอาแค่ผิว ๆ พอให้เข้าใจว่ามีที่มาที่ไปอย่างนี้

จริง ๆ แล้ว ถ้าเราจะเอาอีก ก็ยังมีอดีตเหตุและปัจจุบันผล อดีตเหตุ คืออวิชชาที่พาให้เราเกิด ปัจจุบันผล ก็คือเรื่องของตัณหา ความทะยานอยาก

ปัจจุบันเหตุ ก็คือตัณหาและอุปาทาน ทำให้เกิดอนาคตผล ก็คือชาติชรามรณะฯ ยิ่งคิดยิ่งละเอียด เสียเวลาคิด ไม่ใช่งานของเรา เป็นงานของพระพุทธเจ้า

ถึงเวลาที่เราไล่ปฏิจจสมุปบาท เราส่วนมากไล่ลงมาด้านเกิดอย่างเดียวเท่านั้น ยังต้องมีการไล่ย้อนกลับให้ไปด้านดับ ในเมื่อเราเลิกเกิด--->ภพก็ไม่มี เพราะเราไม่เอา ในเมื่อไม่มีภพ--->ตัณหาตัวอยากก็ไม่มี..ไล่ไปจนถึงท้ายสุด แม้แต่อวิชชาก็ไม่มี ขึ้นหน้าแล้วต้องถอยหลังเป็นด้วย

อย่างวันก่อนที่อธิบายว่า ไม่รู้จักพระนิพพานแล้วเราจะเข้าใจได้อย่างไรว่าพระนิพพานมีจริง ? ก็ในเมื่อเราไล่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่าไม่มีแล้ว ก็ต้องไล่ย้อนกลับมา สิ่งที่เป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา ก็มีอย่างแน่นอนคือพระนิพพาน แค่นี้ก็จบแล้ว เพียงแต่ว่าปัญญาต้องถึง ถ้าปัญญาไม่ถึงก็จะไปยึดเป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา ที่ไม่ใช่ปรมัตถธรรม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2011 เมื่อ 05:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #182  
เก่า 31-01-2011, 00:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แล้วอารมณ์ใจที่อยากในการทำความดี กับอารมณ์ใจในการอยากทำความชั่ว อารมณ์อยากสำหรับผมคือลักษณะการกระเพื่อมของจิต ซึ่งบางครั้งผมก็รู้สึกว่าการตัดก็เหมือนกัน เพียงแต่ตัดอันนี้แล้วไปทำความดี ตัดอันนี้แล้วไปทำความชั่ว เราต้องหยุดทั้งคู่ ?
ตอบ : สมมติข้าวสารกระสอบหนึ่ง เราแบกเพื่อไปไว้ยังที่หมาย อย่างเช่นเถ้าแก่สั่ง เราใช้กำลังเท่าไรในการแบก ? กับข้าวสารกระสอบหนึ่งที่เราแบกโดยการขโมยมา เราใช้กำลังเท่าไรในการแบก ? ก็ใช้กำลังเท่ากัน เพียงแต่เราจะใช้ไปทางไหนเท่านั้นเอง

แรก ๆ ก็ต้องละชั่วทำดีไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุด เว้นทั้งดีทั้งชั่วแล้ว ไม่เอาทั้งสองอย่าง รู้ว่าดีก็ทำเพราะโลกนิยมว่าดี รู้ว่าชั่วก็ละเพราะโลกเขาไม่นิยมสรรเสริญ

ถาม : แต่การที่ใจสั่งในการทำความดีหรือทำความชั่ว ก็ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ
ตอบ : แน่นอน ต่อให้สร้างความดีก็ต้องทุกข์ ต้องเหนื่อย ต้องตะเกียกตะกายทำเช่นกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 08-02-2011 เมื่อ 08:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #183  
เก่า 31-01-2011, 00:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แล้วทำไมคนถึงชอบทำความชั่วมากกว่า ?
ตอบ : เพราะเราสะสมความชั่วมานับชาติไม่ถ้วน ทำให้มีความชำนาญมากกว่า ความชั่วล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เราปรารถนาทั้งนั้น มารเขาวางบ่วงที่เราชอบไว้ทั้งนั้น ถึงขนาดฝังไว้ในดีเอ็นเอเลย

เพราะเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว การกิน การนอน การสืบพันธุ์ พอถึงเวลาก็จะถูกผลักดันโดยสัญชาตญาณ ให้ตะเกียกตะกายไปหามา พอไม่สามารถจะหามาสนองความต้องการของตนเองได้ ก็เพิ่มความพยายามมากขึ้น คราวนี้จะถูกกฎหมายหรือไม่ถูกกฎหมาย ถูกศีลธรรมหรือไม่ถูกศีลธรรม ก็อยู่ที่หิริโอตัปปะของเราแล้ว

อย่างวันแรกที่อธิบายว่า ถ้ายังเป็น ปริยุฏฐานกิเลส ก็แค่คุกรุ่นอยู่ในใจ แต่ถ้าละเมิดศีลละเมิดธรรมเมื่อไร จะเป็นวีติกมกิเลสทันที
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 21-04-2012 เมื่อ 21:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #184  
เก่า 31-01-2011, 00:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างการพิจารณาตัวกายคตาหรืออสุภะ เราพิจารณาโดยใช้จินตนาการของเราเองในการพิจารณา กับการที่เราเห็นภาพของจริง ทั้ง ๆ ที่มีความคล้ายคลึงกัน การยอมรับของใจกับภาพที่เห็น ทำไมจึงมีความแตกต่างกันครับ ?
ตอบ : จินตนาการเราได้แค่ภาพ แต่ถ้าของจริง ได้รูป รส กลิ่น ครบเลย..!

ถาม : อย่างภาพในอินเตอร์เน็ตกับภาพศพจริง ก็หน้าตาเหมือนกัน ?
ตอบ : ความชัดเจนยังไม่พอ โดยเฉพาะไม่มีกลิ่นให้เป็นที่รังเกียจ ยกเว้นว่าคุณเป็นประเภทสุดยอดทิพจักขุญาณ หรือในอดีตฝึกกสิณมา อย่างนั้นความชัดจึงจะได้เท่ากันกับของจริง จะรู้สึกรังเกียจพอ ๆ กัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2011 เมื่อ 05:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #185  
เก่า 31-01-2011, 00:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การที่จิตเราสั่นสะเทือน เกิดขึ้นตอนไหน ?
ตอบ : การสั่นสะเทือนของจิต เริ่มตั้งแต่เริ่มรับรู้ น่าจะต้องไปดูในพระอภิธรรม ท่านอธิบายไว้ว่า สภาพจิตของเราเหมือนกับแมงมุมที่อยู่กลางใย พอสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบอายตนะ ก็เหมือนกับแมลงลงมากระทบใยแมงมุม ใยแมงมุมเกิดการสั่นสะเทือน แมงมุมจึงรับรู้

ในเมื่อรับรู้แล้วก็กำหนดว่า มาจากทิศไหน ? เป็นอะไร ? ย่องเข้าไปดู จนจับเหยื่อได้ ใส่ปากเคี้ยวกิน ลิ้มรสเสร็จเรียบร้อย แล้วกลับเข้ามารออยู่ที่เดิม ก็คือ อาการทุกอย่างที่จิตไปเสวยสิ่งที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รับเข้ามา เพราะฉะนั้น..ต้องเกิดสัมผัสสั่นสะเทือนขึ้นมาก่อน จึงจะรับรู้ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 31-01-2011 เมื่อ 09:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #186  
เก่า 31-01-2011, 00:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : วันนั้นฝันว่าตกลงมา ตอนแรกใจก็สะเทือน พอคิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใจก็นิ่งกลับเข้ามาใหม่ จึงเห็นว่าการที่ใจเราสั่น ก็เหมือนกับอาการเวลาที่เกิดความอยากในการทำบุญ หรืออยากในการทำบาปก็ตาม เป็นลักษณะเดียวกัน ?
ตอบ : ก็ได้บอกไปแล้วว่า ถ้าลองว่าไปแบกข้าวสาร ไม่ว่าจะด้วยจุดมุ่งหมายอะไร ก็หนักเหมือนกัน

ถาม : จุดสำคัญจริง ๆ ก็คือ ต้องการให้หยุด หยุดการสั่น
ตอบ : หยุด ละ เลิกการนึกคิดปรุงแต่งในทุกอย่างก็จบ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2011 เมื่อ 06:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #187  
เก่า 31-01-2011, 00:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราพิจารณาเห็นแล้วว่า...... (ไม่ได้ยิน) ไม่รู้ทำถูกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เราจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม ให้ดูอยู่อย่างเดียวว่า สิ่งนั้นใช้ในการตัดละกิเลสได้หรือไม่ ? นั่นคือเป้าหมายใหญ่ที่สุด

พอญาณเครื่องรู้เกิดขึ้น เราคิดอะไรก็จะแตกฉานไปหมด แต่จะแตกแขนงกว้างออกไปเรื่อย ๆ โดยที่เราเผลอลืมไปว่า สิ่งที่เราคิดนั้น ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการตัดกิเลสเลย เราแค่เข้าใจสภาวะว่าเป็นอย่างไรเท่านั้น เพราะฉะนั้น..คุณต้องนึกย้อนกลับมาอีกที ว่าตรงนั้นช่วยในการตัดกิเลสได้หรือเปล่า ?

ระวังไว้ว่า..จะเป็นแค่ญาณในอุปกิเลส คือรู้อย่างเดียว รู้กว้างออกไปเรื่อย ๆ แล้วหาจุดลงไม่ได้

ถาม : แต่ก็เห็นว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นะครับ
ตอบ : ขั้นตอนนี้เราต้องพิสูจน์ทราบด้วยตัวเองแล้วว่า เราสามารถเอามาใช้ตัดกิเลสได้หรือเปล่า ? ถ้าใช้ตัดกิเลสไม่ได้ ก็จบเห่..!

ระวังให้ดี..เวลาญาณเกิดขึ้น คิดอะไรก็เข้าใจแตกฉานไปหมด สร้างยานอวกาศได้เป็นลำเลย รู้ได้ขนาดนั้นจริง ๆ นะ..ขอยืนยัน

ถาม : แม้กระทั่งว่าเป็นญาณแยกแยะธาตุสี่ จนกระทั่งเรารู้สึกว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แต่ยังไม่สามารถที่จะตัดกิเลสได้ทันที ?
ตอบ : ถ้าจิตเรายังไม่ยอมรับ ก็ยังใช้ไม่ได้ ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งจิตยอมรับจริง ๆ ว่านี่ไม่ใช่ของเรา เกิดรังเกียจเต็มที ไม่เอาอีกแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2011 เมื่อ 06:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #188  
เก่า 31-01-2011, 09:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องกามราคะว่า "เมื่อครู่มีเรื่องที่น่าสนใจ ท่านผู้กำลังเป็นตำนาน เขาบอกว่า จากการดำเนินชีวิตที่ผ่านมา สิ่งที่ไม่ดีอะไรก็ตาม สามารถใช้วิธีเลิกหักดิบได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เป็นบุหรี่ เป็นยาบ้า แต่ทำไมเรื่องกามราคะหักไม่สำเร็จ ? สงสัยจะหักผิดที่..! ถ้าหักถูกที่คงเลิกได้แล้ว

เรื่องอื่นเป็นสิ่งที่เราไปเสาะหาเข้ามาในชีวิต แต่กามราคะเป็นสัญชาตญาณที่ฝังอยู่เบื้องลึกของจิตใจ ต่อให้ใจเราไม่ต้องการ สภาพร่างกายก็คอยบังคับ คอยกวนอยู่เสมอ ดังนั้น..วิธีแรกให้เลี่ยงมันก่อน

วิธีของหลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ รู้ว่ารบแล้วไม่ชนะแล้วอย่าไปรบ แต่ให้หลบ ท่านบอกว่า "รู้จักเป็นนักหลบเสียบ้าง อย่าเป็นนักรบอย่างเดียว" รบไปแล้วตาย ยังไปรบอยู่ถือว่าโง่..!

ในเมื่อหลบได้แล้ว เราก็เพาะสร้างกำลังของเรา คือ สมาธิให้ทรงตัว ถ้าสมาธิทรงตัว จะกดรัก โลภ โกรธ หลงให้นิ่งสนิทได้ชั่วคราว โดยเฉพาะกามราคะคือส่วนของรัก

ในเมื่อกดมันนิ่งได้ชั่วคราว เราก็ซักซ้อมตัวสมาธิให้คล่องตัว ให้คล่องตัวขนาดที่เราตั้งใจจะทรงสมาธิเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น คราวนี้ก็เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกันแล้ว

เหลือแต่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษว่า มันก่อทุกข์ก่อโทษ สร้างเวรสร้างภัยให้เราจนเกิดนับชาติไม่ถ้วนถึงปัจจุบันนี้ ควรที่จะพอกันทีหรือยัง ? ถ้าเราเห็นว่าควรที่จะพอกันทีแล้ว จิตก็จะเห็นว่า ควรจะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ถอนความต้องการตรงจุดนั้นออกมา

ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว เราจึงจะชนะมัน ไม่ใช่ว่าจะไปใช้วิธีหักดิบ ไม่ถูกหรอก ยกเว้นหักถูกที่..! ความจริงเขาก็สงสัยถูก กำลังใจเขาเข้มแข็งมากนะ อยากจะเลิกอะไรเขาเลิกได้ทุกอย่าง แต่ทำไมเลิกราคะจึงเลิกไม่ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 21-04-2012 เมื่อ 21:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #189  
เก่า 31-01-2011, 09:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เมื่อครู่ที่กล่าวถึงเรื่องของกามราคะว่า ถ้าหักถูกที่ก็จบไปแล้ว จริง ๆ ไม่จบนะจ๊ะ เพราะถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์จีนดู จะเห็นว่าบรรดาขันทีต่าง ๆ ที่โดนจับตัดอวัยวะเพศทิ้ง แต่กำลังผลักดันทางเพศ ก็เปลี่ยนไปในเรื่องบ้ายศบ้าตำแหน่งแทน

ท้ายสุดก็สะสมอำนาจ กลายเป็นซ่องสุมกำลังส่วนตัวบ้าง ควบคุมฮ่องเต้เพื่อบัญชาการให้ได้อย่างใจตนเองบ้าง เพราะฉะนั้น..เรื่องของอารมณ์ทางเพศ เป็นปกติของการเกิดมามีสภาพร่างกายอย่างนี้ ในเมื่อเรามีร่างกาย รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นสมบัติของร่างกายก็ต้องแสดงออกเป็นปกติธรรมดา

สำคัญตรงที่ว่า ทำอย่างไรที่เราจะไม่ไปให้ความสนใจ ถ้าใจของเราไม่ไปร่วมมือนึกคิดปรุงแต่งด้วย ราคะก็จะไม่สามารถที่จะเจริญงอกงามได้ อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่า ถ้าลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวแล้วใส่น้ำเปล่ามาให้ ใครจะไปอยากกิน ? เพราะไม่เป็นรสเป็นชาติ แต่ถ้าเราไปเติมน้ำส้ม เติมน้ำปลา ใส่หมูสับ ใส่กระเทียม ใส่พริกไทย อะไรต่อมิอะไรลงไปเยอะแยะ ยิ่งใส่ก็ยิ่งอร่อย เราก็อยากกินไม่เลิก

ดังนั้น..สิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะรัก โลภ โกรธ หลง อะไรก็ตาม สำคัญตรงที่ว่าจิตเราไปร่วมปรุงแต่งด้วยหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าหยุดการปรุงแต่งได้ ดังที่บอกแล้วว่า อวิชชาปัจจะยา สังขารา อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร คือ การปรุงแต่ง ถ้าเราไม่ปรุงแต่งเสียอย่าง กิเลสก็ไม่สามารถจะก้าวหน้างอกงามต่อไปได้ ก็จะโดนตัดจบลงแค่นั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 31-01-2011 เมื่อ 14:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #190  
เก่า 31-01-2011, 10:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างนี้การที่เราเห็นว่าคนนั้นสวย แล้วไม่ได้คิดต่อ เป็นสักแต่ว่าเห็นหรือยัง หรือที่เห็นว่าสวยเราปรุงไปแล้ว ?
ตอบ : ปรุงแต่งไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าเห็นว่าสวยก็ไปไกลแล้ว หยุดไม่ทันหรอก ต้องสักแต่ว่าเห็น ไม่ได้ไปคิดว่าสวยหรือไม่สวย ชอบใจหรือไม่ชอบใจ เป็นของเราดีหรือไม่ ต้องไม่มีการคิดแบบนี้ ถ้ามีเมื่อไรแสดงว่าไม่ทัน โดนกิเลสจูงจมูกไปแล้ว ถ้าเกินกว่านั้นราคะก็จะกำเริบ

ถาม : อย่างสมัยก่อนที่ท่านทำ ท่านใช้กำลังของสมาธิ หรือใช้อะไรจัดการ ?
ตอบ : ใช้หลาย ๆ อย่าง บางทีสมาธิก็ไม่เอาเลย บางครั้งเราทรงสมาธิต่อเนื่องกันเป็นเดือน ๆ เหมือนกับเราชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม จนหม้อจะระเบิด ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปได้ ถึงขนาดต้องขออนุญาตหลวงพ่อนั่งรถทัวร์มากรุงเทพฯ

ไม่ได้มาทำอะไรหรอก นั่งรถมาถึงกรุงเทพฯ พอลงที่สถานีขนส่งหมอชิต (เก่า) ก็สั่งอาหารมาฉัน เสร็จเรียบร้อยแล้วก็นั่งรถกลับ ออกจากวัดประมาณแปดโมงกว่า มาถึงหมอชิตก็ราว ๆ เพล แค่ให้สภาพจิตพ้นไปจากความเคยชินเดิม ๆ ในทุกวัน พอได้มองฟ้ามองดิน เห็นทุ่งนาเขียว ๆ จิตก็เริ่มผ่อนคลาย จึงเริ่มภาวนาได้ใหม่

ไม่อย่างนั้นเหมือนกับแบตเตอรี่ที่เต็มจะระเบิดอยู่แล้ว สมัยนั้นยังต้องใช้วิธีนี้ช่วยเลย ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ ต้องมีการเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง เปลี่ยนสถานที่บ้าง เพื่อไม่ให้จิตของเราคุ้นชิน

ที่พระท่านจำเป็นจะต้องธุดงค์ ส่วนหนึ่งก็คือว่า เพื่อไม่ให้จิตคุ้นชินกับสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง จนกระทั่งลดความแหลมคมลงไป ไม่อย่างนั้นถ้าเคยชินเมื่อไร จะนอนหลับสบาย ไม่อยากจะลุกขึ้นมาภาวนา แต่ถ้าเป็นสถานที่ไม่คุ้นชิน ไม่รู้ว่าจะมีอันตรายอะไรหรือเปล่า จิตเราจะตื่นอยู่ตลอดเวลา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2011 เมื่อ 13:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #191  
เก่า 31-01-2011, 13:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เรื่องกามราคะ มีบทความเขาเขียนว่า สมอไทยเป็นผลไม้ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติให้เป็นยา เพราะว่าสมอไทยบำรุงทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียว คือ ไม่บำรุงกำหนัด นอกจากไม่บำรุงแล้วยังลดอีกด้วย
ตอบ : ดูท่าจะไม่จริง เพราะอาตมาก็ฉันมาหลายหาบแล้ว..! ในเรื่องของสมอ พระพุทธเจ้าท่านต้องการให้เป็นยาถ่าย ถ้าร่างกายหมักหมมนาน ๆ แล้วไม่ถ่าย บรรดาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ จะเกิดขึ้นง่าย พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติให้ฉันสมอ เห็นว่าเจตนาเดิมเพื่อเป็นยาถ่าย

มีอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ทราบว่าผู้หญิงซึ่งมีกายวิภาคต่างกับผู้ชาย จะเป็นด้วยหรือเปล่า ? ก็คือ ถ้าท้องผูกอุจจาระแข็ง ก็จะไปเบียดท่อปัสสาวะให้ระคายเคือง แล้วอวัยวะเพศของผู้ชายจะตื่นตัวได้ง่าย

พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า อวัยวะเพศจะตื่นตัวด้วยเหตุ ๕ ประการ คือ

๑. ปวดอุจจาระ
๒. ปวดปัสสาวะ
๓. โดนบุ้งคัน
๔. โดนลมพัด
๕. โดนกระตุ้น

เพียงแต่ว่าจิตของท่านไม่ได้มีความต้องการทางเพศ แต่เป็นไปโดยอัตโนมัติตามประสาทร่างกายเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 31-01-2011 เมื่อ 20:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #192  
เก่า 31-01-2011, 14:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพราะฉะนั้น..กายวิภาคของผู้หญิงกับผู้ชายไม่เหมือนกัน ถ้าท้องผูกไม่ได้ถ่ายบ่อย อาจจะกลายเป็นว่า ไปกระตุ้นให้อวัยวะเพศให้ตื่นตัวได้ง่าย คราวนี้ก็เจริญ..! กว่าจะระงับลงได้ บางทีก็ต้องเดินจงกรมกันเป็นวัน

อย่างหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง ลูกศิษย์ท่านบอกว่า จะไม่เขียนเรื่องพวกนี้ในประวัติของท่านได้ไหม ? หลวงปู่ชาบอกว่า "ถ้าไม่เขียนก็ไม่ต้องเขียนเลย ถ้าจะเขียนก็เขียนให้เขารู้เลย ว่าของจริงเป็นอย่างไร" ท่านบอกว่าถึงขนาดท่านนุ่งผ้าตามปกติไม่ได้ ทันทีที่กระทบผ้าอวัยวะเพศก็แข็งตัวเลย ท่านต้องตลบผ้าสบงพันเอวแล้วก็เดินจงกรม ต้องสู้กันถึงขนาดนั้น

เพราะฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กว่าที่ครูบาอาจารย์จะสู้ผ่านมาได้ แล้วมาเป็นครูบาอาจารย์ให้เรากราบ ให้เราไหว้ ถ้าเป็นนักรบก็แผลทั้งตัว ไม่มีใครหรอกที่จะอยู่ดีมีสุข หรือปราศจากบาดแผลมาก่อน แต่ละท่านยับเยินมาจนกระทั่งเย็บกันชนิดที่เข็มหลง เข็มหลง ก็คือ ไม่รู้จะเย็บไปทางไหน แผลซับแผลซ้อนเต็มไปหมด

ถาม : ถ้าเกิดว่าบาดแผลน้อยแสดงว่ายังใช้ไม่ได้ ?
ตอบ : ต้องให้เยินกว่านี้หน่อย ตอนนี้ยังเยินไม่พอ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2011 เมื่อ 18:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #193  
เก่า 31-01-2011, 16:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องกามราคะไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาหาร หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านพิสูจน์มาแล้ว ท่านบอกว่า ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพราะอาหาร แต่จริง ๆ แล้ว สำคัญที่สุดก็คือใจ ถ้าใจไม่ปรุงแต่ง กามราคะก็เกิดไม่ได้

ท่านบอกว่าท่านฉันเจ มังสวิรัตินะ..ฉันอย่างชนิดที่ยิ่งกว่าเจทั่ว ๆ ไป ก็คือ เขี่ยเอาแต่ผักอย่างเดียว ฉันโดยไม่บอกใคร บางวันหาผักไม่ได้จริง ๆ ท่านก็เอาหัวหอมจิ้มน้ำปลา ฉันแบบนั้นอยู่สามปี ท่านว่านอกจากกามราคะจะไม่ลดลงแล้ว ยังงอกงามเป็นปกติอีกด้วย

ท่านจึงได้มั่นใจว่า ไม่ได้เป็นที่อาหาร แต่เป็นที่ใจปรุงแต่ง อาตมาถึงได้บอกว่า รัก โลภ โกรธ หลง โดยเฉพาะกามราคะเป็นสมบัติของร่างกาย สำคัญว่าจิตใจของเราไปนึกคิดปรุงแต่งหรือเปล่า ? ถ้าเราไม่ไปนึกคิดปรุงแต่งด้วย ไม่มีใครไปให้ความร่วมมือ ราคะก็เฉาอยู่ตรงนั้น อย่างเก่งก็อยู่ได้ไม่นาน ส่วนใหญ่แล้วเราไปช่วยคิด จินตนาการล้ำเลิศไปเป็นช่องเป็นฉาก กว่าจะรู้ตัวก็ลูกสามลูกสี่เข้าไปแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2011 เมื่อ 18:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #194  
เก่า 31-01-2011, 16:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเกิดว่าเราไปเห็นคน แล้วเรารู้สึกว่าเขาน่ารัก แต่เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ เป็นการปรุงแต่งหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นการปรุงแต่งไปตั้งนานแล้ว เพราะสติกับปัญญายังไม่ทัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลายปีเต็มทีแล้ว หลังจากที่อาตมาไปอยู่ทองผาภูมิ ตอนนั้นยังต้องนั่งรถเมล์เพื่อที่จะมารับสังฆทานที่บ้านอนุสาวรีย์ จึงต้องออกจากทองผาภูมิตั้งแต่เช้า พอออกตั้งแต่เช้า จึงเห็นนักเรียนกำลังจะไปโรงเรียน เดินมาเป็นแถว

เด็กผู้หญิงวัยรุ่นบางคนหน้าตาแจ่มใส น่ารักจริง ๆ เลย ความรู้สึกก็ไปคิดว่า "เออ..เด็กนี่น่ารักดีนะ" พอคิดแค่นั้นเอง ภาพอสุภกรรมฐานเก่า ๆ ที่เคยฝึกไว้ก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าแทน จากที่เห็นว่าน่ารักก็เลยเกือบจะอาเจียน ยังดีว่าห้ามไว้ทัน ไม่อย่างนั้นคงจะเป็นเรื่อง

ถ้าราคะก็ต้องแก้ด้วยอสุภกรรมฐานและกายคตาสติ ถ้าโทสะต้องแก้ด้วยพรหมวิหารสี่หรือวรรณกสิณสี่ ถ้าโลภะก็ต้องแก้ด้วยทานบารมีและจาคานุสติ ต้องซ้อมเอาไว้ให้คล่อง ถึงเวลาจะได้ช่วยป้องกันเราได้ทัน

คราวนั้นเท่ากับอสุภกรรมฐานมาช่วยชีวิตอาตมาเอาไว้เลย เพราะเผลอตัวจริง ๆ ไม่ได้คิดไปในเรื่องกามราคะเลย แต่ใจไปคิดแล้วว่าเด็ก ๆ หน้าตาเขาแจ่มใสน่ารักดี เหมือนกับชื่นชมเขาเฉย ๆ โดยที่ไม่รู้ว่า นี่คือส่วนหนึ่งของราคะ ตอนนั้นจิตเราปรุงไปแล้ว โดยสติกับปัญญาตามไม่ทัน แต่อสุภกรรมฐานเขารู้ เขาเป็นคู่ศึกกันอยู่ พอเห็นคู่ต่อสู้ก็โดดเข้าใส่เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2011 เมื่อ 18:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #195  
เก่า 31-01-2011, 16:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เก็บตกเดือนมกราคมหมดแล้วค่ะ
โชคดีที่ไม่ถึง ๑๑ หน้า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 31-01-2011 เมื่อ 16:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:21



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว