กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-03-2016, 19:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๙

ให้ทุกคนนั่งในท่าสบายของตนเอง เพียงแต่ว่าตั้งกายให้ตรง คำว่าตั้งกายให้ตรงไม่ได้ให้เกร็งร่างกาย แต่ว่าให้โยกหาจังหวะที่รู้สึกว่ากระดูกสันหลังเราตั้งเป็นแนวตรง คือกระดูกทุกข้อซ้อนทับกันเป็นแนวตรง น้ำหนักจะกดลงตรง ๆ บางทีลักษณะนั้นเราอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่าเราเอนหลังมากเกินไป แต่ความจริงแล้วก็คือ เรามักจะนั่งค้อมมาทางด้านหน้ามาก จังหวะที่ตรงพอดีจะเหมือนกับเราเอนหลังมากไปนิดหนึ่ง แต่ความจริงแล้วจะเป็นจังหวะที่สบายที่สุด ทำให้นั่งได้ทน นั่งได้นานกว่าจังหวะอื่น ๆ

กำหนดความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา ให้จิตจดจ่ออยู่แค่ลมหายใจตรงนี้ จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม ถ้าเผลอสติไปคิดเรื่องอื่น เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา ให้รีบดึงความรู้สึกกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ วันนี้จะขอกล่าวถึงมูลกรรมฐาน หรือกรรมฐานที่เป็นพื้นฐาน ซึ่งบุคคลที่บวชพระบวชเณรทุกรูปจะต้องได้รับจากพระอุปัชฌาย์ ก็คือกรรมฐานที่เรียกว่า ตจปัญจกกรรมฐาน คือ กรรมฐาน ๕ อย่างซึ่งมีหนังเป็นที่สุด ภาษาบาลีว่า เกสา โลมา นะขา ทันตา ตโจ ก็คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง

ทำไมพระอุปัชฌาย์ทุกรูปทุกนามจึงต้องให้มูลกรรมฐานนี้แก่ลูกศิษย์ ? ก็เพราะว่าการที่จะรักษาความดี รักษาศีลในสภาพนักบวชเอาไว้ได้ จิตใจไม่ฟุ้งซ่านซัดส่ายไปในกามารมณ์ ก็ต้องมีกรรมฐานเป็นเครื่องยึด แล้วเหตุใดจึงต้องเป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ? ก็เพราะว่า ๕ อย่างนี้มีสภาพที่เราเห็นได้ชัดเจน สามารถระลึกนึกถึงได้ง่าย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2016 เมื่อ 03:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 23-03-2016, 19:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การระลึกนึกถึงนั้นทำได้ ๒ แบบ แบบแรก ก็คือ การใช้เป็นคำภาวนาควบกับลมหายใจเข้าออก ก็คือ ‘เกสา โลมา นะขา ทันตา ตโจ... เกสา โลมา นะขา ทันตา ตโจ ...’ ดังนี้ไปเรื่อย ๆ ตามจังหวะลมหายใจเข้าออก แบบนี้เรียกว่าเป็น สมถกรรมฐาน คือกรรมฐานที่ทำให้ใจสงบโดยตรง

ถ้ารู้สึกว่าการภาวนาแบบนี้สติน้อยเกินไป โบราณาจารย์ก็ให้ภาวนาถอยหลัง ก็คือ ‘ตโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา... ตโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา’ ก็จะจำยากขึ้น ทำให้สติของเราสมบูรณ์ขึ้น เพราะถ้าเผลอก็จะผิด นี่เป็นลักษณะของการปฏิบัติที่เป็นสมถกรรมฐานล้วน ๆ

แต่ถ้าจะเอาวิปัสสนากรรมฐานมาควบก็ต้องมองให้เห็นว่าสิ่งทั้ง ๕ อย่าง คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี้ ไม่ว่าจะเป็นสัณฐาน ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นสภาพ มีความสกปรกเป็นปกติ

อย่างเช่นว่า เส้นผมของเราสกปรกตามสภาพอย่างไร ? ต่อให้สระผมมาอย่างสะอาดเอี่ยม ถ้าผมเส้นหนึ่งตกลงไปในอาหาร ก็ไม่มีใครกล้ากิน ก็แปลว่าเส้นผมนั้นสกปรกโดยสภาพอยู่แล้ว พิจารณาให้เห็นจริงลักษณะอย่างนี้ ยังเป็นส่วนของสมถกรรมฐาน คือใจจะสงบ เพราะเห็นสภาพความสกปรกเป็นปกติ ขนทั่วตัวเราก็เหมือนกัน ถึงเวลาก็เปื้อนเหงื่อไคล มีความสกปรกโสโครกเป็นปกติ

เล็บ...ถ้าหากว่าไม่แคะ ไม่ทำความสะอาด ไม่ตัด แค่ไม่กี่วันก็สกปรกดูไม่ได้ ฟัน...ไม่แปรงแค่วันเดียวก็ทนไม่ได้แล้ว หนัง... ไม่อาบน้ำหนึ่งวันตัวเรายังทนไม่ได้ ไม่ต้องไปคิดถึงคนอื่น

การเห็นความสกปรกอย่างชัดเจนนี้ยังเป็นส่วนของสมถกรรมฐานอยู่เต็ม ๆ ก็คือทำให้ใจเราสงบระงับเพราะเห็นความสกปรกเป็นปกติ ร่างกายเรายังสกปรกอย่างนี้ ร่างกายคนอื่นก็สกปรกอย่างนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2016 เมื่อ 03:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 24-03-2016, 11:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าจะให้เป็นวิปัสสนากรรมฐานก็คือพิจารณาให้เห็นว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มีสภาพไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงไป อย่างเช่นว่า ผมก็ยาวไปเรื่อย ๆ หลุดร่วงไป เปลี่ยนสีไป ลักษณะการเปลี่ยนคือการเปลี่ยนตามสภาพ คือการค่อย ๆ ก้าวเข้าไปสู่ความแก่ ไม่ใช่ลักษณะที่เราไปเปลี่ยนสีด้วยการโกรกผมมา

เส้นขนก็ลักษณะเดียวกัน เกิดขึ้นแล้วก็หลุดร่วงไป เส้นใหม่ก็เกิดขึ้นมา เล็บก็งอกยาวขึ้นมา ต่อให้ตัดให้แต่งอย่างไรก็ยังคงงอกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ฟันก็เช่นเดียวกัน จากฟันน้ำนมกลายเป็นฟันแท้ จากฟันแท้กลายเป็นฟันปลอม หนังก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกเวลา ทุกนาทีทุกวินาที เราเห็นหรือไม่เห็นเท่านั้น เซลล์ต่าง ๆ เกิดการตายทับซ้อนกันเป็นขี้ไคล พออายุมากขึ้นความเต่งตึงลดน้อยลง ความเหี่ยวย่นปรากฏขึ้น

เราจะเห็นอย่างชัดเจนว่าสภาพของ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี้ มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ ถ้าเราไปยึดถือมั่นหมายเมื่อไรก็จะทุกข์ เพราะว่าต้องตะเกียกตะกายรักษาให้คงสภาพ ลองคิดดูว่าบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะคนผมยาวไม่สระผมสักวันหนึ่งก็แย่แล้ว แล้วการสระผมลำบากแค่ไหน คิดว่า ๑๕ นาทีไม่น่าจะเสร็จ แล้วลองคิดดูว่าถ้าเราต้องสระผมต่อเนื่องกันไป วันนี้ ๑๕ นาที พรุ่งนี้ ๑๕ นาที มะรืนนี้ ๑๕ นาที แค่คิดถึงระยะเวลารวม ๆ ก็น่าเหนื่อยใจ เรื่องของ ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็ลักษณะเดียวกัน ต้องคอยรักษาสภาพอยู่ไม่ให้สกปรก อาบน้ำ ขัดสีฉวีวรรณ ตกแต่งให้สวยงาม ไม่อย่างนั้นแล้วแม้แต่ตัวเราก็ทนไม่ได้

ความเหนื่อยยากจากการดูแลรักษานี้เห็นชัด ๆ ว่าสร้างทุกข์ให้แก่เรา แล้วก็ยังมีทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เบียดเบียน อย่างเช่นว่าผมแตกปลายเพราะสารอาหารไม่พอ ผมหลุดร่วงเพราะว่าแก่ ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ เพราะติดเชื้อรา หรือขนตามร่างกายของเรามีการหลุดร่วง บางคนขนมากเกินไป เช่น ขนหน้าแข้งหรือขนแขนมากเกินไปก็ต้องเสียเวลาไปกำจัด เพราะไม่ชอบใจ ก็เป็นทุกข์ เรื่องของเล็บก็มีเล็บขบ เป็นหนอง เรื่องของฟันก็มีฟันผุ ฟันแตก ฟันหัก ฟันคุด ซึ่งสร้างความทุกข์ให้แก่เราตลอดเวลา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2016 เมื่อ 13:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 24-03-2016, 11:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนหนังก็เป็นที่รองรับของบาดแผลใหญ่น้อยทั้งร่างกาย เป็นฝี เป็นหนอง สกปรกโสโครก สารพัดความทุกข์ที่นำมาให้เรา แล้วท้ายที่สุดทั้งหมดนี้ก็เสื่อมสลาย พังไปพร้อมกับร่างกาย ไม่อาจยึดถือเป็นตัวตนเราเขาได้ ตัวเราก็เป็นเช่นนี้ ตัวคนอื่นก็เป็นเช่นนี้ ขึ้นชื่อว่าสภาพร่างกายที่ไม่เที่ยงอย่างนี้ เป็นทุกข์อย่างนี้ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราอย่างนี้เรายังต้องการอีกหรือไม่ ?

เมื่อคำตอบชัดเจนว่าไม่ต้องการ ก็ส่งจิตของเราขึ้นไปเกาะพระนิพพาน ตั้งใจว่าถ้าหากว่าวันนี้เราหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือถ้าหากว่าเราเกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น ถ้ารักษาอารมณ์ไว้ลักษณะอย่างนี้ได้ก็จัดเป็นวิปัสสนาญาณ

โดยสรุปแล้ว ในส่วนของตจปัญจกกรรมฐาน คือกรรมฐาน ๕ มีหนังเป็นที่สุด เป็นได้ทั้งส่วนของสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน อยู่ที่เราว่ามีความพอใจปฏิบัติแบบไหน มีปัญญาเพียงพอที่จะมองเห็นหรือไม่

ลำดับต่อไป ให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๙

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้าอ่อน)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2016 เมื่อ 13:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:41



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว