#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๖
|
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ก่อนอื่นต้องเจริญพรขอบคุณนางสาวอมรรัตน์ ลาภพิทักษ์พงษ์ ซึ่งช่วยจ่ายค่าเดินทางไปศรีลังกาจำนวน ๒ ที่นั่ง เป็นเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท ให้กระผม/อาตมภาพกับผู้ติดตาม ขอให้มีความสุขความเจริญ มีความปรารถนาที่สมหวัง จงทุกประการเถิด
สำหรับภารกิจสำคัญในวันนี้ก็คือการไปเป็นประธานในงานหล่อสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงิน เพื่อบรรจุไว้ในพระเจดีย์โพธิญาณของธุดงคสถานสุทธาวงศ์มงคลราชพรหมปัญโญอนุสรณ์ (ธุดงคสถานกองทุนหลวงปู่ปาน) หมู่ที่ ๒ ตำบลบ้านแหลม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งกระผม/อาตมภาพพยายามค้นหาข้อมูลว่าสถานที่นี้อยู่หมู่ที่เท่าไร หาเท่าไรก็ไม่เจอ จนกระทั่งหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งของหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านคงทนรำคาญไม่ไหว ก็เลยบอกว่าอยู่หมู่ที่ ๒ ตำบลบ้านแหลม กระผม/อาตมภาพก็ลงไปตามที่อาจารย์ปู่ท่านบอกมา ถ้าหากว่ามีความผิดพลาดประการใด โปรดตามไปต่อว่าได้ที่วัดใหม่พิณสุวรรณ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากธุดงคสถานกองทุนหลวงปู่ปานมากนัก..! การไปเป็นประธานในครั้งนี้ กระผม/อาตมภาพนำทองคำที่ญาติโยมทั้งหลายได้ถวายมา ไปร่วมในการหล่อสมเด็จองค์ปฐมครั้งนี้ ๑ บาท คำว่า ๑ บาทในที่นี้ก็คือน้ำหนักทอง ซึ่งระยะหลังนี้ แม้ว่าทางวัดท่าขนุนไม่ได้จัดให้มีการหล่อพระแล้ว แต่ว่าก็ยังมีญาติโยมถวายทองคำมาเสมอ ๆ โดยเฉพาะในช่วงตักบาตรเทโว และกฐินสามัคคีวัดท่าขนุน ถวายมาแล้วจำนวนหลายบาทด้วยกัน แม้ว่าจะมากันชนิดคนละ ๐.๐๑ กรัมบ้าง ๑ กรัมบ้าง แต่ว่าพอรวม ๆ กันแล้วก็ได้น้ำหนักหลายบาทอยู่ กระผม/อาตมภาพถ้ามีโอกาสไปร่วมงานหล่อพระที่ไหน ก็จะนำไปขอร่วมเป็นเจ้าภาพในการหล่อพระที่นั่นด้วย อย่างเมื่อวานนี้ที่ทางวัดหนองขุยสิริวนาราม อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ก็นำไปร่วมด้วยส่วนหนึ่ง มาวันนี้ที่กองทุนหลวงปู่ปานก็นำมาร่วมด้วยอีกส่วนหนึ่ง ขอให้ทุกท่าน ไม่ว่าจะเคยถวายทองคำ หรือไม่ได้ถวายมาก็ตาม จงพร้อมใจกันอนุโมทนา และขอให้ทุกท่านมีความสุข ความเจริญ มีความปรารถนาที่สมหวังโดยถ้วนหน้ากัน อีกส่วนหนึ่งที่ขอกล่าวถึง ณ ที่นี้ก็คือขอเจริญพรอนุโมทนากับพระจิตติพัฒน์ อินทปญฺโญ พระวัดท่าขนุน ซึ่งได้ถวายเหรียญสมเด็จองค์ปฐมเนื้อทองคำ เลี่ยมทองคำ พร้อมด้วยสร้อยคอทองคำน้ำหนัก ๕ บาท ให้กระผม/อาตมภาพนำไปถวายบูชาพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วที่ศรีลังกา และคุณเฉลิมเดช รุจิราวรรณ ก็ได้ถวายสร้อยคอทองคำ ๒ บาท พร้อมด้วยเหรียญสมเด็จองค์ปฐมยิ้มรับทรัพย์ เนื้อทองคำ (พิมพ์ใหญ่) เลี่ยมทอง ฝากให้กับน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) นำไปถวายบูชาพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วที่ประเทศศรีลังกาเช่นกัน และขอเจริญพรขอบคุณและอนุโมทนากับทั้งสองท่านเอาไว้ ณ ที่นี้ สิ่งหนึ่งประการใดที่ท่านหวังเอาไว้แล้ว ไม่เกินบุญเกินบารมีที่สร้างมา ก็ขอให้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ประสบแก่ทุกท่าน ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วและสมกับได้ที่ปรารถนาเอาไว้โดยถ้วนหน้ากันเถิด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2023 เมื่อ 23:50 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
หลังจากที่หล่อพระที่กองทุนหลวงปู่ปานเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ไปหาหมอจัดกระดูกตามที่ได้นัดเอาไว้ ซึ่งก่อนหน้านี้ กระผม/อาตมภาพจะมีอาการปวดร้าวลงไปที่สะโพก บางครั้งก็ลงถึงขา ถึงเข่า ทำให้รู้สึกเหมือนกับกล้ามเนื้ออ่อนแรง แทบจะยันตัวเองไม่ได้
ทางด้านการแพทย์สมัยใหม่ ได้แนะนำให้ใส่เฝือกอ่อน เพื่อที่จะประคับประคองกระดูกสันหลังเอาไว้ โดยที่หมอสันนิษฐานว่าเกิดจากกระดูกสันหลังทรุด แต่กระผม/อาตมภาพถึงเวลายืดร่างกายของตัวเอง สามารถที่จะก้ม ๆ เงย ๆ ได้ตามปกติ ก็สงสัยอยู่ว่าไม่น่าจะเป็นกระดูกสันหลังทรุด เนื่องเพราะว่าดูกรรมเก่าตรงนี้แล้ว เกิดจากสมัยสามก๊ก ไปรบกับคู่ต่อสู้ ในระหว่างที่ปะทะกันแล้วม้าได้ถลำผ่านกันไปนั้น ได้ใช้ด้ามทวนกระทุ้งกลับหลัง ไปโดนเข้าที่บั้นเอวของอีกฝ่ายหนึ่ง ถึงขนาดตกม้าไปเลย กรรมตรงนี้ก็เลยทำให้ต้องมาปวดเอวปวดสะโพกอยู่เป็นปี ๆ..! แต่ด้วยความที่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านได้แนะนำหมู่ศิษย์เอาไว้ เกี่ยวกับการที่เราสร้างบุญสร้างกุศลอะไร เมื่อถึงเวลาแล้ว ให้อุทิศแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอให้ท่านทั้งหลายได้โมทนาและขอจงอโหสิกรรมให้แต่เราตั้งแต่บัดนี้ ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพาน ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็ทำมาอย่างสม่ำเสมอ ประกอบกับได้ไปฟังรายการคุยคุ้ยคน ของคุณหนุ่ม คงกระพัน ซึ่งกล่าวถึงท่านอาจารย์ไพศาล แสนไชย ได้แนะนำให้แต่ละท่านที่เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคประหลาด ให้ทำการขอขมาต่อเจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินมา แล้วก็ได้หมอได้ยาที่เหมาะกับโรค หรือว่าบางท่านโรคก็หายไปเฉย ๆ ทำให้คิดว่า เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว กระผม/อาตมภาพก็น่าจะได้เจอหมอเจอยาที่เหมาะสมเช่นกัน แล้วท้ายที่สุดก็ได้มาเจอกับ "หมอหนุ่ม" ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้สอบถามว่าชื่อเสียงนามสกุลเป็นเช่นไร เนื่องเพราะว่าเป้าหมายก็คือไปขอรับการรักษา โดยที่มีญาติโยมปวารณาจ่ายค่ารักษาให้ แต่ว่าหมอหนุ่มไม่รับ บอกว่าว่า "ขอทำถวายท่านอาจารย์" ปรากฏว่าหลังผ่านการจัดกระดูกครั้งที่แล้ว สิ่งที่เห็นชัดที่สุดก็คือ การที่ปวดปัสสาวะแล้วต้องตื่นกลางดึกไปเข้าห้องน้ำตามประสาคนแก่ ปรากฏว่าอาการเหล่านี้หายไป สามารถนอนรวดเดียวจนตื่น แล้วค่อยไปเข้าห้องน้ำได้ มาครั้งนี้ เมื่อได้รับการจัดกระดูกซ้ำสองเข้าไป อาการปวดร้าวลงขาลงเข่าก็หายไป ก็แปลว่าในส่วนนี้บรรดาเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายน่าจะเริ่มเห็นใจ รับเอาส่วนกุศลไปมาก และขอให้อโหสิกรรมมาตลอด จึงมีการให้อภัย จนได้เจอหมอเจอยาดี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2023 เมื่อ 23:53 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
แต่ว่าบางอย่างที่ได้กระทำเอาไว้ อย่างเช่นว่ารบราฆ่าฟันกันมาแทบทุกชาติ บุคคลที่ต้องตายไปก็ดี บาดเจ็บสาหัส พิกลพิการไปเพราะตนเองก็ดี ถ้าหากว่านับแล้วน่าจะมีจำนวนนับหมื่น..! ถ้าให้ไปขอขมาทีละรายแบบที่ท่านอาจารย์ไพศาล แสนไชยแนะนำให้ ก็คงจะไม่ไหว
จึงได้แต่สร้างบุญสร้างกุศล โดยเฉพาะในส่วนของทาน ของศีล ของภาวนา หรือว่าในเรื่องของการสร้างวิหารทาน ธรรมทาน ตลอดจนกระทั่งสร้างโบสถ์ วิหาร พระพุทธรูป เป็นต้น อุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรเป็นระยะ ๆ ตลอดมา แล้วในที่สุดก็เริ่มเจอหมอดียาดี ประกอบกับมีการปล่อยชีวิตสัตว์ทุกต้นเดือน ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยหอย ปล่อยปู ตลอดจนกระทั่งปล่อยวัวปล่อยควาย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็กระผม/อาตมภาพรับเป็นเจ้าภาพหลัก ก็คือมอบเงินให้กับผู้ดำเนินการเดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท แต่มาระยะหลัง ๆ มีผู้ร่วมทำบุญด้วย จึงปล่อยชีวิตสัตว์ไปเดือนละเป็นแสนบาท ทำให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้ที่เสียชีวิต บาดเจ็บ หรือว่าพิการ ได้รับชีวิตทดแทนไปนับไม่ถ้วน กระผม/อาตมภาพเริ่มปล่อยชีวิตสัตว์มาตั้งแต่อายุ ๒๗ ปี มาจนถึงบัดนี้ ย่างเข้า ๖๕ ปีแล้ว ระยะเวลาที่ปล่อยมานั้น ถ้านับจำนวนชีวิตสัตว์ก็คงจะหลายแสนตัว บรรดาเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เมื่อได้รับการชดเชยไป ก็เริ่มใจอ่อน ดีไม่ดี กระผม/อาตมภาพอาจกลับมาแข็งแรงตอนแก่..! เพราะว่าทุกวันนี้บรรดาเพื่อนฝูงต่าง ๆ ต่างก็บอกว่ากระผม/อาตมภาพดูไม่แก่เหมือนคนอายุ ๖๐ กว่าปี แม้กระทั่งท่านเจ้าคุณกำพล - พระอุดมสิทธินายก (กำพล คุณงฺกโร ป.ธ.๙), รศ.ดร. คณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย รองเจ้าคณะจังหวัดนนทบุรี เจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง ท่านบอกว่า "หลวงพ่อเดินไม่เหมือนคนแก่เลยครับ" กระผม/อาตมภาพก็คิดว่า ถ้าหากว่าเป็นสมัยหนุ่ม ๆ ก็น่าจะมีลักษณาการที่ดีกว่านี้มาก เนื่องเพราะว่าปัจจุบันนี้ ความชราเข้ามาเกาะกิน ทำให้กำลังเหลือไม่ถึง ๑ ใน ๑๐ ของสมัยนั้นแล้ว แต่บางทีพอยกของหนักให้บรรดาพระลูกพระหลานเห็น ทุกคนก็ตกใจ อย่างเช่นว่าโต๊ะหรือเก้าอี้ไม้ชิงชันหนัก ๆ ซึ่งต้องใช้ ๒ คน ๓ คน ช่วยกันยก บางทีกระผม/อาตมภาพขี้เกียจรอ ก็ยกคนเดียวไปจนถึงที่ตั้งเลย ทำให้ทุกคนบ่นไปตาม ๆ กันว่า "หลวงพ่อทำงานหนักเกินกำลัง" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่คิดว่า ถ้าเกินกำลังก็ต้องยกไม่ไหว ในเมื่อยกไหว ก็แปลว่าไม่เกินกำลัง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2023 เมื่อ 23:55 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
แต่ก็เป็นการดี ถ้าหากว่ามาแข็งแรงในตอนแก่ ก็น่าจะทำให้การงานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา มีความสะดวกคล่องตัวขึ้น บรรดาท่านทั้งหลายที่ช่วยรักษาช่วยพยาบาลมาก็ดี ช่วยหาหมอหายามาให้ก็ดี ตลอดจนกระทั่งบรรดาเจ้ากรรมนายเวรที่ยินดีอโหสิกรรมให้ก็ตาม บุญกุศลในส่วนที่กระผม/อาตมภาพสร้าง ก็ต้องมีส่วนของท่านทั้งหลายอยู่แล้ว ถ้าสามารถที่จะเป็นเช่นนั้นได้ กระผม/อาตมภาพก็จะยินดีมาก เนื่องเพราะว่าการงานต่าง ๆ เพื่อพระศาสนาจะได้ทำอย่างเต็มที่
แต่ถ้าหากว่าไม่ดีขึ้น ก็ทำใจยอมรับแล้วว่าชาติก่อน ๆ เกเรเอาไว้มาก ถ้าเขาไม่ยินดีอโหสิกรรมให้ เราก็ไม่สามารถที่จะไปบังคับใครได้ ก็จำเป็นต้องก้มหน้ารับกรรมไป คิดว่าจบชาตินี้เมื่อไรก็คงเหลือกรรมติดตัวน้อยเต็มที ถ้าบังเอิญต้องเกิดใหม่ก็คงไม่ลำบากเหมือนกับชาตินี้ หรือถ้าหากว่าหมดกิเลสเข้าสู่พระนิพพานได้ก็เป็นอันว่าจบกัน ต่อให้อโหสิกรรมหรือไม่อโหสิกรรม บุคคลที่เข้าถึงในระดับนั้น เท่ากับสลัดหลุดวงโคจรของกรรมต่าง ๆ ไปแล้ว ถึงไม่อโหสิกรรมก็กลายเป็นอโหสิกรรมโดยอัตโนมัติเท่านั้นเอง สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2023 เมื่อ 23:56 |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|