กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 22-04-2013, 15:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำไมพระโพธิสัตว์จึงใช้คำว่าสัตว์ ?
ตอบ : พระโพธิสัตว์ทุกรูปก็คือผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า โพธิ-สัตตะ คือ สัตว์ผู้รู้ บางคนรับไม่ได้กับคำว่า สัตว์ เขาก็เลยเขียนตามแบบภาษาบาลีใช้ ต.เต่า ๒ ตัวซ้อนกัน แต่ถ้าอ่านในหนังสือเกี่ยวกับธรรมะเก่า ๆ จะเห็นเขาเรียกว่า มหาสัตว์ คือสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ อย่างนั้นจะชัด

ถาม : อย่างเป็นแค่บริวาร จะเป็นโพธิสัตว์หรือเปล่า ?
ตอบ : อย่างอาตมาก็เหมือนกัน จะเรียกว่าบำเพ็ญพุทธภูมิ ก็เป็นพุทธภูมิแบบตกกระไดพลอยโจน ก็คือตามหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมาเรื่อย ๆ ตามไปตามมาอีท่าไหนก็ไม่รู้ ตั้ง ๑๐ กว่าอสงไขยกัป ปกติบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้า ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปก็เป็นได้ระดับหนึ่งแล้วใช่ไหม ? ๘ อสงไขยกับแสนมหากัปก็เป็นอีกระดับหนึ่ง ตามหลวงพ่อมาเสีย ๑๐ กว่าอสงไขยกัปเข้าไปแล้ว เขาเรียกว่าตกกระไดพลอยโจน ไม่มีอะไรหรอก

ถาม : ถ้าประสงค์จะลาพุทธภูมิก็ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ประสงค์จะลาก็เชิญเลยจ้ะ ไม่มีใครเขาห้ามเราหรอก คือการลาพุทธภูมิ ถ้าเกิดว่าลากันอย่างเป็นรูปธรรมจริง ๆ เขาให้ใช้ดอกบัวขาว ๕ ดอก เทียนขาว ๕ เล่ม และธูป ๕ ดอก เอาไปบูชาพระหน้าหิ้งพระหรือพระประธานที่ไหนก็ได้

จุดธูปเทียนบูชาท่าน แล้วก็ถวายดอกบัวขาวทั้ง ๕ ดอก ตั้งใจว่า ที่ข้าพระพุทธเจ้าปรารถนาพระโพธิญาณมาในอดีตชาติใดภพใดก็ตาม บัดนี้ข้าพเจ้าขอละซึ่งความปรารถนาอันนั้น และขอปฏิบัติตามธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เพื่อเข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้ อันนี้เขาเรียกว่าลากันอย่างเป็นรูปธรรมเลย

หรือถ้าท่านใดได้มโนมยิทธิหรือได้อภิญญา ก็ขึ้นไปลาพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานโดยตรงเลย ถ้าลาแล้วยังไม่มั่นใจ ก็มาทำพิธีแบบข้างล่างนี่อีกทีหนึ่ง บัวขาว ๕ เทียนขาว ๕ และธูป ๕ ธูปไม่ต้องขาวนะ ธูปธรรมดาก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2013 เมื่อ 19:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 235 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 22-04-2013, 15:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระโพธิสัตว์เป็นผู้มุ่งขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร สิ่งที่ท่านทำเป็นการทำเพื่อคนอื่น ในเมื่อทำเพื่อคนอื่นโดยเฉพาะคนจำนวนมาก ก็เลยต้องศึกษาอะไรให้รู้มากที่สุด เพื่อที่จะได้สอนได้ทุกคน ในเมื่อเป็นดังนั้น ความรู้แต่ละขั้นกว่าจะได้ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก คนอื่นทำ ๑ - ๓ ครั้งอาจจะผ่านเลย ท่านต้องว่าเป็นร้อยเป็นพัน เป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง ฟัง ๆ ดูแล้วแปลก ๆ

พระโพธิสัตว์มักจะมีปัญญาฉลาดมาก แต่ตอนทำอะไรสักชิ้นหนึ่ง เหมือนกับทดลองแล้วทดลองอีก ทำวิจัยแล้ววิจัยอีก จนกระทั่งมั่นใจจริง ๆ ว่าไม่มีแง่มุมไหนลอดผ่านไปได้แล้ว ท่านถึงยอมวางมือ ก็เลยกลายเป็นช้ากว่าคนอื่น

เราเดินขึ้นบันไดมา บางทีไม่ได้นับหรอกว่าบันไดมีกี่ขั้น แต่พระโพธิสัตว์ท่านต้องรู้ว่าบันไดนั้นทำด้วยอะไร กว้างยาวเท่าไร ใช้วิธีไหนสร้างขึ้นมา ประกอบด้วยวัสดุอะไรบ้าง เพื่อที่ท่านจะได้ทำบันไดให้คนอื่นเขาเดิน ยากกว่ากันขนาดนั้น

การปรารถนาพระโพธิญาณไม่ใช่ของแปลก เพราะว่าพุทธประเพณีอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะต้องแสดงก็คือการเปิดโลก ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเบื้องบน ตั้งแต่พระนิพพาน เบื้องล่างยันอเวจี เห็นตลอดถึงกันหมด ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นได้เห็นว่า นี่คือผู้ที่เลิศที่สุด ไม่มีใครยิ่งไปกว่า แล้วก็เลยเกิดความปรารถนาลึก ๆ ในใจว่า ถ้าเราเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี

ตรงจุดนี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของการปรารถนาพระโพธิญาณของสรรพสัตว์ทุกรูปทุกนาม มดแดงแมงน้อยอะไรก็มีสิทธิ์ทั้งนั้น คราวนี้ก็บำเพ็ญบารมีไปเถอะ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป นี่แค่หลักสูตรตอนสอบ ส่วนตอนเรียนนั่นต่างหาก ไม่ได้นับ บาลีเขาบอกว่า จิตติตัง สัตตะ สังเขยยัง นวะสัง เขยยะ วาจะกัง คิดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้านี่ ๗ อสงไขย พูดว่าเราจะทำเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้านี่อีก ๙ อสงไขย แล้วตั้งตาตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป รวมแล้ว ๒๐ กับเศษ ๑ ไม่เห็นต้นไม่เห็นปลายเลย ถ้ากำลังใจไม่แน่วแน่จริง ๆ ก็ถอยกันหมด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2013 เมื่อ 20:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 234 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 23-04-2013, 13:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่ท่านบอกว่าทำอานาปานสติมาก ๆ ทำแล้วบางทีก็สว่าง บางทีก็เป็นโพรง ?
ตอบ : จ้ะ..แล้วก็จะเย็นบอกไม่ถูก บางทีรู้สึกตัวเราเหมือนกับเป็นเปลือกบาง ๆ ชั้นเดียว แล้วเราก็นั่งไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว ยิ้มได้คนเดียว นั่นใกล้บ้าแล้ว..!

ถาม : เหมือนกับรู้อยู่แค่ตรงนี้
ตอบ : รักษาความรู้สึกของเราให้อยู่ตรงนั้น อย่าให้หลุดไปไหนก็ใช้ได้แล้ว ไม่ว่าเราจะยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำอะไรก็ตาม รักษาความรู้สึกตรงนั้นเอาไว้ให้ได้ก็พอ ถ้าเรารักษาเอาไว้ได้ จะสังเกตว่าจิตใจสงบมาก สิ่งที่มากระทบกระทั่งเรามีน้อย แต่ถ้าเราหลุดออกมาจากตรงนั้นเมื่อไรเป็นได้เรื่อง กิเลสมากันฟ้าถล่มดินทลาย เพราะฉะนั้น..ทำได้เมื่อไร ให้รักษาความรู้สึกตรงนั้นไว้ แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่ง นึกถึงตรงนั้นไว้ตลอดเวลา ไม่ต้องมากหรอกแค่นิดเดียว ความรู้สึกหน่อยเดียว นอกนั้นเราจะทำอะไรก็ทำไป เหมือนกับเราเหลือบตามองตลอดเวลา แต่ไม่ใช่ เป็นความรู้สึกที่นึกถึงตรงนั้น

ถาม : เหมือนกับว่าอยากอยู่อย่างนั้น จะได้ไม่ทุกข์ ?
ตอบ : อยู่อย่างนั้นแหละ จิตที่อยู่กับปัจจุบัน ไม่ไปอดีต ไม่ไปอนาคต ไม่มีการปรุงแต่ง เราจะมีความทุกข์เฉพาะกายสังขารนี้เท่านั้น ก็คือร่างกายมีสภาวทุกข์อย่างไร มีนิพัทธทุกข์อย่างไร มีปกิณกทุกข์อย่างไรก็เรื่องของร่างกาย แต่สภาพจิตของเราเป็นสุขอยู่กับอารมณ์เฉพาะหน้าของเรา แล้วถ้าเรามีปัญญามากกว่านั้นนิดหนึ่ง ว่านี่แค่ก้าวแรกเท่านั้นเอง ยังไม่ทันจะขึ้นอนุบาล ๑ เลย เรายังมีความสุขอย่างนี้ แล้วบุคคลที่ท่านทรงฌานได้จริง ๆ กดกิเลสดับสนิทเลย ท่านจะสุขจะเย็นขนาดไหน ?

แล้วพระโสดาบันที่ท่านมั่นใจว่าตนเองพ้นอบายภูมิ จะมีความสุขขนาดไหน ? แล้วอย่างนั้นพระสกิทาคามี พระอนาคามีเป็นอย่างไร ? พระอรหันต์เป็นอย่างไร ? แล้วพระพุทธเจ้าที่ท่านเป็นสุดยอดพระอรหันต์จะมีความสุขแค่ไหน ? ถ้าเราคิดอย่างนี้ได้ เราจะเกิดความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระอริยเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจเลย

นั่นแหละคือก้าวแรกของความเป็นพระโสดาบัน คือเคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยความจริงใจ ไม่ล่วงล้ำก้ำเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เป็นการเคารพในคุณความดีของท่านจริง ๆ ไม่ใช่เคารพตัวบุคคลหรือวัตถุ นั่นคือก้าวแรกของความเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นว่าถ้าทำถูกจริง ๆ แล้วง่ายมากเลย แต่ถ้าทำผิดก็คลำไปเถอะ พระโสดาบันนี่ไกลเหลือเกิน แต่ถ้าทำถูกนี่ใกล้นิดเดียว

ให้ไปประคับประคองรักษาตรงนี้เอาไว้ แล้วก็ระมัดระวังศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เราไม่ทำให้ศีลขาด แล้วก็อย่าไปยุให้คนอื่นทำ เราไม่ยุให้คนอื่นทำ ถ้าเห็นคนอื่นทำแล้วก็อย่าไปยินดีด้วย ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้ คำว่าพระโสดาบันไม่ไปไหนหรอก อยู่ใกล้ ๆนี่เอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2013 เมื่อ 20:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 23-04-2013, 13:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้ากล่าวปรามาสพระสงฆ์ที่ยังไม่ได้บรรลุ กับกล่าวปรามาสบุคคลที่เป็นอริยบุคคล ?
ตอบ : สาหัสพอกัน พระจะเป็นสมมติสงฆ์หรือพระอริยสงฆ์ก็ตาม เป็นบุคคลที่มีศีลมากกว่าเราตั้งกี่เท่า เอา ๕ ไปเทียบกับ ๒๒๗ ก็เหมือนกับเอาไม้จิ้มฟันไปงัดไม้ซุงชัด ๆ พูดง่าย ๆ ว่าหาเรื่องเดือดร้อนเอง

โบราณมีอยู่คำหนึ่งที่เหมาะสมที่สุด แต่คนมักจะคิดว่าเป็นการช่างหัวมัน ก็คือคำว่า "ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์" เพราะถ้าไปแตะผิดนี่โทษมหันต์ แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราทำจะเป็นคุณอนันต์ ในเมื่อเป็นดังนั้นท่านก็เลยชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ เราไม่ไปยุ่งด้วยหรอก คิดก็บาปกรรมแล้ว อย่าไปพูด อย่าไปทำให้บาปหนักขึ้นอีกเลย ยกเว้นว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นเป็นความจริงแท้แน่นอน ว่าเป็นความเสื่อมทรามของตัวท่าน ว่าเป็นการทำลายพระศาสนา ถ้าจะว่ากล่าวก็ให้ใช้ตามหลักสาราณียธรรม ๖

หลักสาราณียธรรมพระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ว่า จะคิดก็คิดต่อท่านด้วยเมตตา จะพูดก็พูดต่อท่านด้วยเมตตา จะทำก็ทำต่อท่านด้วยเมตตา ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ โทษที่เกิดขึ้นก็จะไม่มี เพราะว่าจิตไม่ได้มุ่งร้าย ไม่ได้เกิดโทสะ ไม่ได้เกิดวิหิงสาวิตก แต่ถ้าเราทำใจอย่างนี้ไม่ได้ โทษจะเกิดแก่ตัวเองมาก พระจะเป็นพระสมมติสงฆ์ หรือพระอริยสงฆ์ก็ตาม เหมือนกับไฟฟ้าเป็นหมื่นเป็นแสนโวลต์ มีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ แตะผิดเมื่อไรโดนช็อตเกรียมทันที..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2013 เมื่อ 20:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 23-04-2013, 13:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเขาติฉินนินทาผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ?
ตอบ : ปล่อยเขาเถอะ กว่าเขาจะรู้ก็ตอนตายแล้ว

ถาม : แต่ก็เป็นโทษ ?
ตอบ : เป็นจ้ะ...เพราะฉะนั้น..บุคคลที่เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ยังพอทน บุคคลที่เป็นพระอรหันต์เขาต้องปรับให้ตายภายใน ๗ วัน เพราะถ้าอยู่แล้วคนอื่นไปแตะเข้า เดี๋ยวเฮงไม่รู้ตัว

ถ้าอยู่ในเพศของความเป็นพระเป็นเณรจะอยู่ได้ เพราะว่าเป็นอุดมเพศ คือเพศอันสูง ที่คนให้ความเคารพอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นฆราวาสเพื่อนไม่รู้ มาถึงก็ตบหลังป้าบ “เป็นอย่างไรบ้าง..?!” กลายเป็นทำร้ายพระอริยเจ้าโดยไม่รู้ตัวแล้ว ซวยอย่าบอกใครเลย เรื่องพวกนี้จึงต้องระวังให้หนัก...
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2013 เมื่อ 20:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า 23-04-2013, 13:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเป็นห่วงญาติโยมหลายคน พอรู้ความจริงว่าการทำบุญในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์สูง ก็มักจะทิ้งขนบธรรมเนียมประเพณีเดิม ๆ ของตนมาแล้วก็มาทำบุญ ซึ่งบางทีผู้ใหญ่เขารับไม่ได้ อาตมาเองสมัยที่เป็นฆราวาสรู้ว่าเรื่องนี้ดีแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะตรุษจีน สารทจีน เช็งเม้งอะไรก็ไปกับเขา พอทำทางนั้นเสร็จแล้วค่อยมาแอบถวายสังฆทานของเรา แค่นี้ก็จบแล้ว ไม่ต้องไปขัดกับใคร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2013 เมื่อ 20:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 222 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า 23-04-2013, 14:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่วัดท่าขนุนต้องอยู่นานเท่าไรถึงจะได้บวชคะ ?
ตอบ : แค่ท่องขานนาคได้ก็พอ ถ้าไปวันนั้นท่องขานนาคได้ก็ได้บวชแล้ว ที่วัดบวชง่าย แต่ถ้าพลาดเมื่อไรก็โดนไล่ออกเลย..!

ถาม : แล้วทำไมหลวงพ่อฤๅษีฯ ต้องตั้งกฎไว้ว่าอย่างน้อย ๓ เดือนถึงบวชได้ครับ ?
ตอบ : หลวงพ่อฤๅษีฯ ไม่ได้ตั้งกฎไว้ ๓ เดือน หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านตั้งกฎว่า บุคคลที่เข้ามาบวชวัดท่าซุงต้องฝึกมโนมยิทธิได้คล่องตัว เพื่อให้เขารู้เสียบ้างว่าทำดีแล้วจะได้อะไร ทำชั่วแล้วจะได้อะไร แล้วถ้าเขาอยากจะชั่วอีกก็เชิญ..! ท่านตั้งกฎไว้แค่นั้นแหละ ไม่มี ๓ เดือนหรอก ถ้ามี ๓ เดือนแสดงว่าเป็นกฎใหม่ที่เพิ่งตั้งขึ้นมา

อาตมาเองตอนนั้นเป็นคนที่เสียสละมากที่สุด คือไปอยู่วัดเสีย ๓๗ วัน แต่จะไปฝึกมโนมยิทธิกับแมวที่ไหน เพราะตัวเองเป็นครูฝึกอยู่ จะไปฝึกการขานนาคหรืออะไร ๒ วันก็ได้หมดแล้ว สรุปก็เลยอยู่วัดนั่งท่อง ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนานไปเรื่อย ๓๐ กว่าวันท่องเสียเกลี้ยงไม่มีอะไรเหลือเลย บวชวันนั้นก็ออกงานสวดกับเขาได้เลย

ยังขำ ๆ ว่า ตอนนั้นหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ท่านยังเป็นพระอนันต์เฉย ๆ ยังไม่ได้เป็นพระครูปลัดด้วย ไปถึงก็กราบท่าน “หลวงพี่ครับ ช่วยออกใบรับรองการบวชให้ผมหน่อยครับ ว่าผมผ่านการฝึกมโนมยิทธิแล้ว” หลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ท่านหัวเราะ “แกจะเอาไปทำซากอะไร ใคร ๆ ก็รู้ว่าแกเป็นครูฝึกมโนฯ” เพราะฉะนั้น..ท่านมีระเบียบไว้ แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่ารุ่นหลังการฝึกมโนมยิทธิมันอาจจะไม่ชัดเจน เนื่องจากว่าถ้าคนฝึกไม่เก่ง บางทีก็ไม่สามารถระบุได้ว่าลูกศิษย์ได้จริงหรือเปล่า ก็เลยใช้วิธีอยู่วัดนานหน่อยดีกว่า

นี่ยังดีนะ ถ้าพระป่าสายหลวงปู่มั่นที่ตั้งใจบวชตลอดชีวิตนี่ท่านให้อยู่วัดก่อน ๒ ปี เป็นตาผ้าขาว แต่ถือศีล ๒๒๗ ข้อ พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าพลาดอะไรให้พลาดตอนนั้น เพราะพลาดตอนเป็นพระโทษจะหนัก คราวนี้ ๒ ปีผ่านไป ความเคยชินกับศีลมีแล้ว คุณถึงบวชได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2013 เมื่อ 20:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 226 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #28  
เก่า 24-04-2013, 09:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หลวงตาวัชรชัยอยู่ก่อนบวช ๒ ปีหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเอาจริง ๆ หลวงตาวัชรชัย ๘ ปี อาตมาเองก็ ๒ ปี ก็คือ ระหว่างที่เราอยู่ปฏิบัติรับใช้หลวงพ่อนั่นแหละ คือการฝึกตัวตนของเราเอง อาตมาเองอยากจะอยู่นานกว่านั้น แต่หลวงพ่อท่านออกปากขอบวชให้ท่านเสียก่อน ก็เลยบวช ตามความคิดจริง ๆ คิดว่าถ้าทำตัวเป็นพระอริยเจ้าได้ บวชเข้าไปคนเขาจะได้ไหว้ได้เต็มที่ บวชแล้วไม่ต้องอายใคร แต่ปรากฏว่าทำเท่าไรไม่ได้สักที หลวงพ่อท่านคงรำคาญจึงลากไปบวชเสียก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2013 เมื่อ 11:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #29  
เก่า 24-04-2013, 09:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การฝึกมโนมยิทธิ เราต้องฝึกกับครูหรือเปล่าคะ ถึงจะไปได้ไกล ?
ตอบ : ใช้ความพยายามของตัวเอง อย่าไปตั้งความหวังกับครู อาตมาเองไปฝึกมโนมยิทธิครั้งแรกปี ๒๕๒๑ หลายคนยังไม่ได้เกิดกระมัง ? ปรากฏว่าครูฝึกตรงหน้าบอกอะไรอาตมาไม่รู้เรื่องเลย
“สว่างไหม?” “มืดครับ”
“เห็นอะไรไหม?” “ไม่เห็นครับ”
“เห็นภาพพระไหม?” “ไม่เห็นอะไรเลยครับ”


ตอนนั้นทั้งบ้านสายลมมีอยู่แค่ ๗ คนที่ไปฝึก ได้ยินเสียงครูฝึกข้างหลัง จำได้ว่าเป็นเสียงป้าชอ ป้าชอบอกว่า “เธอสามารถนึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ที่เธอรักเธอชอบได้ไหม?” โอ๊ย..สบาย อาตมาจับภาพพระเป็นกสิณมาตั้ง ๓ ปี ทำไมจะนึกไม่ออก รายละเอียดมีเท่าไรบอกได้หมดเลย เพราะฉะนั้น..สำคัญอยู่ตรงคำพูดของครูนิดเดียวเอง ถ้าครูใช้คำพูดผิด ลูกศิษย์อย่างอาตมาก็เจ๊ง

แบบเดียวกับอาตมาพาแม่ไปฝึกกรรมฐานที่วัดท่าซุง ให้ครูพรรณีเป็นคนดูแล ครูพรรณีเดินหัวเราะออกมาจากห้องฝึกกรรมฐาน “ท่านเล็กสอนแม่อย่างไร ? ถามแม่ว่าทุกข์หรือเปล่า แม่บอกว่าไม่ทุกข์” อาตมาได้ยินก็หัวเราะบ้าง “ครูกลับไปถามแม่ใหม่ ครูใช้คำพูดผิด ให้ถามแม่ว่าเกิดมาลำบากไหม แกอธิบายได้ ๓ วัน ๓ คืน เพราะแกเกิดมาลำบาก ไปบอกว่าทุกข์คนแก่ไม่รู้เรื่องหรอก” เห็นหรือยังว่าคำพูดสำคัญแค่ไหน ? ใช้คำพูดผิดนิดเดียวเท่านั้นเองพังเลย

เพราะฉะนั้น..ก็อย่างที่โยมว่านั่นแหละ บางทีไปเจอคู่ปรับที่ใช้คำพูดได้ถูกต้องพอดี เราก็ไปได้คล่องตัวเลย ถ้าไม่ได้ก็ต้องเพียรพยายามด้วยตัวเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2013 เมื่อ 11:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #30  
เก่า 24-04-2013, 09:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เขาได้กันหมด แต่ทำไมเราไม่ได้ ?
ตอบ : สำหรับมโนมยิทธิ ปอกกล้วยเข้าปากยังยากกว่าตั้งเยอะ เรานึกถึงบ้านได้ไหมตอนนี้ ? เรานึกถึงบ้านแล้วรู้สึกไหมว่ารูปร่างหน้าตาบ้านเป็นอย่างไร ? นึกถึงพ่อเรา นึกถึงแม่เรา นึกถึงพี่น้องเรา นึกได้ทั้งหมดใช่ไหม ? มโนมยิทธิคือลักษณะอย่างนั้นแหละ ถามว่าใช่ตาเห็นไหม ? ไม่ใช่หรอก แล้วทำไมถึงชัดล่ะ ?

เขาถึงได้ใช้คำว่า “มโน” คือห้วงนึก หรือใจที่นึกถึง เพราะฉะนั้น..ใครนึกอย่างนี้ได้ ใช้มโนมยิทธิได้ทุกคน เพียงแต่ว่าเรามาเปลี่ยนนึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบมากที่สุด

ในขณะเดียวกัน ทำตัวเป็นเด็กว่าง่าย ๆ อย่าไปดื้อ พอเขาบอกยกจิตขึ้นไปกราบพระจุฬามณี เรานึกเดี๋ยวนั้นเลยว่าตรงหน้าเราตอนนี้คือพระจุฬามณี ยกจิตขึ้นไปกราบท่านปู่พระอินทร์ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ให้เรานึกเดี๋ยวนั้นเลยว่าตรงหน้าเราคือบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ยกจิตขึ้นไปกราบพระบนนิพพาน ให้เรานึกเดี๋ยวนั้นเลยว่าตรงหน้าเราคือพระบนนิพพาน แรก ๆ เห็นไม่เห็นก็ช่างมัน ไม่เกี่ยว ให้มั่นใจว่ามีอยู่ตรงนั้น ในเมื่อเรามั่นใจว่ามีอยู่ตรงนั้น

คราวนี้ครูฝึกถามรายละเอียด อย่างเช่นว่าบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ มีลักษณะเป็นอย่างไร เราบอกไปเลย รู้สึกอย่างไรให้บอกตามนั้น จะเหมือนกับก้อนหิน เหมือนอย่างกับแท่น เหมือนอะไรก็ว่าไปตามนั้น อยู่ที่เรา พระจุฬามณีหน้าตาเป็นอย่างไร เรารู้สึกอย่างไรบอกไปตามนั้น คราวนี้ถ้าถูกครูฝึกจะรับรองให้ พอรับรองให้ ความตื่นเต้นของเราจะค่อย ๆ ลดน้อยลง เออ...เราก็รู้ถูกเหมือนกันนี่

จิตจะค่อย ๆ นิ่งขึ้นเรื่อย พอจิตค่อย ๆ นิ่งขึ้นเรื่อย ความชัดเจนจะมีมากขึ้น บางทีอยู่ ๆ สว่างวาบขึ้นมา เห็นรายละเอียดหมดจนเราตกใจ ว่าชัดขนาดนี้เชียวหรือ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2013 เมื่อ 11:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #31  
เก่า 24-04-2013, 09:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แรก ๆ ไม่เห็นหรอก ซ้อมไปเรื่อย ๆ ให้มั่นใจว่าตรงหน้าเราคือสิ่งนั้นก่อน เพราะสภาพจิตของเราไม่มีอะไรขวางได้ ในเมื่อสภาพจิตของเราไม่มีอะไรขวางได้ เรานึกถึงอะไรก็จะไปอยู่ตรงนั้น ในเมื่อนึกถึงอะไรก็ไปอยู่ตรงนั้น เขาบอกเรายกจิตไปไหนเราก็นึกถึงที่นั่น บอกว่าไปบ้านเรานึกถึงบ้าน ไปวัดท่าซุงก็นึกถึงวัดท่าซุง ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เรานึกถึงดาวดึงส์

ครูฝึกถามรายละเอียด ต่อให้มีหลายคนแล้วเขาตอบไม่เหมือนเรา ไม่ต้องสนใจ ตอบแบบที่เรามั่นใจ เพราะว่าสวรรค์ชั้นหนึ่ง ถ้าเปรียบแบบโลกมนุษย์ก็เหมือนเอาเข่งใหญ่ ๆ ใบหนึ่งมา แล้วก็เอาถั่วเม็ดหนึ่งหย่อนลงไปในเข่ง นั่นสวรรค์ชั้นหนึ่งกับมนุษย์ทั้งโลกนะ เราลองนึกถึงกรุงเทพฯ สิ ถ้าหากบอกว่ามากรุงเทพฯ คนหนึ่งลงอนุสาวรีย์ชัยฯ อีกคนไปลงทางด้านซังฮี้ อีกคนไปบางนา แล้วจะเห็นเหมือนกันไหม ? นั่นกรุงเทพฯ หรือเปล่า ? แล้วสวรรค์ชั้นหนึ่งใหญ่กว่าตั้งเท่าไร ?

เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปสนใจว่าคนอื่นเป็นอย่างไร ตอบแต่ของเรา และอย่ากลัวผิด ถ้ากลัวผิดเมื่อไร เอ๊ะ...ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ เอ๊ะ...น่าจะเป็นอย่างนั้น เจ๊งทุกราย เราต้องมั่นใจเลย ความรู้สึกแรกว่าอย่างไรให้ตอบไปตามนั้น พอซ้อมบ่อย ๆ เข้า เดี๋ยวความคล่องตัวเกิดขึ้น ความชัดเจนก็จะมีเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2013 เมื่อ 11:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #32  
เก่า 24-04-2013, 12:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลารู้ เหมือนกับรู้ข้างใน ?
ตอบ : เป็นความรู้ข้างใน ความรู้สึกที่วูบขึ้นมาแม้แต่เพียงไม่ถึงวินาที เราอธิบายได้เป็นหน้ากระดาษ เพราะรายละเอียดทุกอย่างจะมาพร้อมหมด ก็แค่นั้นเอง เหมือนกับเรียนหนังสือนั่นแหละ เรียนมาชั้นเดียวกันก็คุยกันรู้เรื่อง ถ้าเรียนมาคนละชั้นก็คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก

ถาม : นอนกลางวัน นอนหลับแล้วหลุดออกไป ?
ตอบ : ก็ไม่มีอะไร ถ้านักปฏิบัติพื้นฐานเดิมเคยมีมาตามวิชชา ๓ หรืออภิญญา ๖ ปฏิบัติไปจนกำลังเพียงพอก็จะหลุดออกไปเป็นปกติ คราวนี้เราก็แค่ควบคุมว่าจะไปไหน ก็ให้ตั้งเป้าไว้เลย อย่างเช่นว่าเรานอนภาวนา ตั้งใจว่าถ้าเราหลุดออกไป เราจะไปกราบพระที่จุฬามณี ถ้าเราหลุดออกไป เราจะไปกราบพระที่พระนิพพาน แล้วเราก็ลืมเสีย ภาวนาของเราไป นั่นเป็นการจองตั๋ว ในเมื่อมีตั๋วแล้ว เดี๋ยวรถมาก็พาเราไปถึงที่เอง

ให้ตั้งใจไว้ว่าเราจะไปไหน หลังจากนั้นถ้าคล่องตัวมาก ๆ เดี๋ยวก็จะบังคับได้เอง แรก ๆ บังคับไม่ได้หรอก ออกได้ก็เปะปะไปเรื่อย พอไม่รู้จะไปไหนถึงเวลาก็กลับเอง


ถาม : เห็นเป็นดวงขาว ๆ ลอยออกไปไกล ?
ตอบ : จะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะจ้ะ จะไปไกลแค่ไหนก็แค่ตามดู เพราะว่าไม่มีอะไรที่เรารักเราห่วงกว่าร่างกายนี้แล้ว เผลอเมื่อไรเดี๋ยวก็กลับเอง เพราะฉะนั้น..ไปเลย ไปได้ไกลเท่าไรก็ไปเลย ไม่ต้องกลัวว่าไปแล้วกลับไม่ได้ วูบเดียวก็กลับแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2013 เมื่อ 15:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #33  
เก่า 24-04-2013, 12:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การไปแบบมโนมยิทธิเหมือนจิตจะออกนอกหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : การส่งจิตออกนอกที่ส่งไปในลักษณะปรุงแต่งเรื่องอื่นทำให้เกิดทุกข์ แต่การส่งจิตออกนอกในลักษณะของมโนมยิทธิ เป็นการส่งไปโดยมีฌานสมาบัติคุมอยู่ ในเมื่อมีฌานสมาบัติคุมอยู่ สภาพจิตจะไม่ถูกปรุงแต่งไปในเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง แต่โอกาสพลาดก็มีตรงที่ว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เรารู้เราเห็น อาจจะเป็นการทดสอบกำลังใจของเรา ก็มีจุดเสียเหมือนกัน แต่อยู่ในลักษณะแลกกัน ลงทุนน้อยได้กำไรมาก

เพราะถ้าเราเห็นได้ชัดเจนว่าสภาพจิตที่ออกไป ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราเลย ถ้าเห็นชัดในจุดนี้จะเกิดความเบื่อหน่าย หมดอยากในร่างกายของตนเอง ในเมื่อหมดอยากในร่างกายของตนเองแล้ว เรื่องของคนอื่นก็ไม่สนใจไปด้วย ในเมื่อคนอื่นสัตว์อื่นไม่สนใจไปด้วย เราก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือไม่ต้องการการเกิดแล้ว ไปพระนิพพานดีกว่า

เป็นการลงทุนนิดเดียวแล้วได้ผลมหาศาล แต่คนจะใช้มโนมยิทธิขอยืนยันว่าต้องมีปัญญามาก ๆ ถ้าปัญญาไม่พอ สติไม่พอ โดนหลอกหัวทิ่มทุกราย มัวแต่ไปสนุกสนานเฮฮา เดี๋ยวก็โดนเขาหลอกกลายเป็นหมอดูไปเท่านั้นเอง อาตมาก็เป็นมาเองแล้ว


ถาม : แล้วอย่างหนูต้องทำอีกนานไหมคะ ?
ตอบ : ซ้อมไปเรื่อย ๆ เอาใจเกาะพระเกาะนิพพานไว้เป็นหลัก เรื่องอื่นมาก็ไม่ใส่ใจ พอถึงเวลาขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพาน ตายเมื่อไรก็ขออยู่กับพระองค์ท่านที่นี่ เอาแค่นั้นเป็นหลัก
วัน ๆ หนึ่งประคองกำลังใจของเราให้อยู่กับพระนิพพานให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จดจำไว้ว่าอารมณ์ที่ว่างจากรัก โลภ โกรธ หลงนั้นเป็นอย่างไร แล้วก็ประคับประคองรักษาเอาไว้ สภาพจิตที่ชินกับความบริสุทธิ์ไปนาน ๆ พวกกิเลสที่เป็นสิ่งสกปรกจะเกาะไม่ได้ เดี๋ยวก็หลุดพ้นไปเอง


มโนมยิทธิจริง ๆ ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องการก็คือ เรารู้จักพระนิพพาน เราไปพระนิพพานได้ เราเข้าถึงอารมณ์พระนิพพานได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ถึงเวลาเราก็รู้ว่าเราควรจะเลือกอะไรที่ดีที่สุดสำหรับเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2013 เมื่อ 15:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #34  
เก่า 24-04-2013, 13:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราเห็นพระพุทธเจ้า เราไม่มั่นใจว่าองค์จริงหรือองค์ปลอม ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ เรามั่นใจของเราก็ใช้ได้ จะเป็นองค์จริงองค์ปลอมก็ช่างเถอะ ขอให้มาก็เหมาว่าใช่ทั้งนั้น เพราะว่ากำลังใจของเรามุ่งตรงต่อพระพุทธเจ้า ต่อให้บุคคลนั้นที่มาไม่ใช่พระพุทธเจ้าก็เรื่องของเขา แต่เราว่าใช่

แบบเดียวกับพระอุปคุตกราบพญามาร หลังจากทรมานพญามารจนละพยศจนยอมรับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งแล้ว พระอุปคุตท่านเกิดหลังพุทธกาล ๓๐๐ กว่าปี ท่านบอกว่าท่านไม่เคยเห็นกายเนื้อของพระพุทธเจ้า เห็นแต่ธรรมกายหรือกายทิพย์เท่านั้น ก็คือกายพระวิสุทธิเทพ ก็เลยขอร้องพญามารที่ได้เห็นกายเนื้อ เพราะว่าผจญกันมาตั้งแต่แรก ว่าช่วยเนรมิตกายเนื้อของพระพุทธเจ้าให้ดูหน่อยได้ไหม ?

พญามารก็บอกว่าได้ แต่ขออย่างเดียวว่า ถ้าท่านเนรมิตกายเป็นพระพุทธเจ้าแล้วอย่าไหว้ท่าน เพราะโทษใหญ่จะเกิดแก่ท่าน พระอุปคุตก็รับปาก พญามารเดินหลบไปหลังภูเขา กลับออกมากลายเป็นพระพุทธเจ้าพร้อมกับฉัพพรรณรังสี มีอัครสาวกซ้ายขวา พร้อมกับพระสงฆ์บริวารเป็นหมื่นเป็นแสน

เห็นหรือยังว่าคน ๆ เดียวเนรมิตได้เยอะขนาดนั้น พระอุปคุตพร้อมด้วยหมู่สงฆ์ และพระเจ้าอโศกมหาราชกับบริวารทั้งหมดเห็นก็คุกเข่ากราบ พญามารตกใจคืนร่างเดิม “พระคุณเจ้าไหนรับปากแล้วว่าอย่ากราบ ทำไมถึงกราบ เกิดโทษใหญ่แก่ข้าพเจ้าแล้ว” พระอุปคุตบอกว่าไม่เกิดโทษหรอก เพราะใจของท่านมุ่งตรงต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้กราบพญามาร

ลักษณะของเราก็เหมือนกัน ท่านจะมาเป็นใครก็ช่าง เรานึกถึงพระเรากราบก็แล้วกัน พูดง่าย ๆว่าใครเขามาก็ช่าง ใจเรามุ่งตรงเป้าเดิม ในเมื่อใจของเรามุ่งตรงเป้าเดิม โอกาสพลาดมีน้อยมาก มัวแต่ระแวงอยู่ก็ไม่ได้อะไร ถึงบอกว่านักปฏิบัติต้องมีปัญญา ทำอย่างไรถึงจะเลือกในสิ่งที่ทำให้กาย วาจา ใจของเราเจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2013 เมื่อ 15:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #35  
เก่า 24-04-2013, 13:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : กษัตริย์ไทยต้องไปเป็นพระสยามเทวาธิราชทุกพระองค์หรือคะ ?
ตอบ : ไม่เพียงเท่านั้น เชื้อพระวงศ์หรือบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศไทยมาก ๆ ถึงเวลาก็ต้องไปเป็นพระสยามเทวาธิราชเช่นกัน เพราะฉะนั้น..พระสยามเทวาธิราชไม่ได้มีพระองค์เดียวนะ มีเป็นร้อย ๆ เลย แต่ใช้ชื่อว่าพระสยามเทวาธิราชเหมือนกัน เพราะว่าสมัยรัชกาลที่ ๔ ท่านสถาปนาขึ้นมา หล่อรูปขึ้นมาแทน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2013 เมื่อ 15:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #36  
เก่า 24-04-2013, 13:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เป็นไปได้ไหมคะ ที่ดวงจิตอยู่ข้างบน แล้วตัวลงมาเกิดข้างล่าง ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้จ้ะ ในเรื่องของจิต ถ้าอยู่ที่ไหนก็คือที่นั่นเลย ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่า ถ้ามีภาระหน้าที่ก็ไปปฏิบัติหน้าที่นั้น ๆ แต่ถ้าในความเป็นทิพย์ ท่านสามารถแยกจิตทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ แต่ไม่ใช่แบ่งภาคไปเกิด ถ้าไปเกิดคือต้องไปทั้งหมด

เราเคยชินกับอวตารของฮินดูก็เลยไปคิดว่าแบ่งภาคไปเกิดแล้วตัวจริงยังอยู่...ไม่ใช่ ปกติของท่านถ้าอยู่ในเขตของความเป็นทิพย์ เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม เป็นพระบนนิพพาน ท่านสามารถแยกจิตไปทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ แต่ถ้าท่านที่ไปเกิด ต้องไปทั้งหมด

บาลีเขาว่า จิตตัง เอกะจะรัง อะสะรีรัง คูหาสะยัง คำว่า จิตตัง เอกะจะรัง คือ จิตเดียวเที่ยวไป แต่ถ้าจะทำงานหลาย ๆ อย่างก็แยกไปทำ ท่านที่ไม่มีความชำนาญก็แยกได้น้อยหน่อย ท่านที่ชำนาญก็แยกได้เยอะหน่อย พระสมัยก่อนนั่งคุยอยู่ตรงนี้ อีกร่างหนึ่งบิณฑบาตไปโน่น แล้วก็ทำให้ลูกศิษย์ทะเลาะกันอยู่เรื่อย คนนั้นก็ “เฮ้ย..หลวงพ่ออยู่วัด..ข้าเห็นอยู่” รายนี้ก็ “ข้าใส่บาตรมากับมือเลย” เถียงกันตาย


ถาม : ทำแบบนั้นยากค่ะ
ตอบ : ไม่ได้ยากของท่าน ในพระไตรปิฎก พระจุลปันถกแยกที ๑,๐๐๐ องค์ ทำงานคนละอย่าง องค์นี้กวาดวัด องค์นั้นถูศาลา องค์นั้นย้อมผ้า เสร็จเร็วดี

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ท่านใช้คำว่าแยกกายในออกไปเหมือนถอดไส้หญ้าปล้อง เป็นอีกตัวหนึ่งเลย เหมือนตัวจริงทุกอย่าง ทำงานคนละอย่างกันด้วย คนนั้นก็ไปจัดอาสนะ คนนี้ก็ไปตั้งน้ำใช้น้ำฉัน องค์นั้นไปตามประทีป งานเพียบ เป็นสมัยนี้ต้องไปสมัครงานคนละบริษัท รับค่าแรงทีเดียว ๑,๐๐๐ รายซ้อนกัน เอาให้รวยในเดือนเดียวเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2013 เมื่อ 15:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #37  
เก่า 24-04-2013, 14:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนที่เราเห็นภาพ ได้ยินเสียง แสดงว่าอยู่ที่อุปจารสมาธิหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าสภาพจิตของเราเริ่มเข้าสู่อุปจารสมาธิ จะได้เห็นภาพได้ยินเสียงต่าง ๆ เป็นปกติ ถ้าเราไม่ใส่ใจ จดจ่ออยู่เฉพาะหน้า ก็จะชัดขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าเราไปใส่ใจตั้งใจฟัง จะหายไปเลย เพราะสมาธิของเราเคลื่อนจากจุดที่รับฟังได้พอดี

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเปรียบเทียบว่า เหมือนกับยืดคอเลยช่องหรือก้มต่ำเกินไป ก็ไม่สามารถจะรู้เห็นได้ ทำไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเขานินทาอะไรก็ได้ยินหมดแหละ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2013 เมื่อ 15:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #38  
เก่า 24-04-2013, 14:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จริง ๆ อยากรู้จิตผู้อื่น แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าให้ดูจิตตัวเอง ?
ตอบ : เจโตปริยญาณเขาให้ดูจิตตัวเอง ดูจิตคนอื่นไม่ค่อยมีประโยชน์ ยกเว้นคนเป็นครูบาอาจารย์ ดูของคนอื่นเพื่อแก้ไขให้เขา โดยปกติแล้วเจโตปริยญาณเขาให้ดูจิตตัวเอง จิตใจตอนนี้มีความชั่วอะไรอยู่หรือเปล่า ? ถ้ามีก็ขับไล่ออกไป ระมัดระวังไว้อย่าให้เข้ามา จิตใจของเรามีความดีอยู่หรือเปล่า ? ถ้ายังไม่มีก็สร้างให้มีขึ้นมา ถ้ามีแล้วก็ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่ใช่ครูไม่ใช่อาจารย์ ไม่ต้องเสียเวลาไปดูคนอื่นหรอก

ถาม : ถ้าอดีตเคยได้อภิญญามา ?
ตอบ : วิสัยเดิมมาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น

ถาม : เปลี่ยนไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่เปลี่ยนไม่ได้ แต่ยินดีพอใจแค่นั้น ที่เรารู้สึกว่าอยากจะได้อย่างนั้นอย่างนี้ แสดงว่าวิสัยเดิมมาอย่างนั้น แบบที่ภาษิตทางเหนือเขาบอกว่า "ทางหนู..หนูไต่ ทางไหน่...ไหน่เตียว" หนูก็ไปตามทางที่ตนไป กระรอกกระแตก็ไปตามทางของตนเอง ในเมื่อเราชอบอย่างนั้น ก็ไปของเราเอง ไม่ต้องไปบังคับหรอก พอถึงเวลาถ้าเราชอบอย่างนั้นจริง ๆ แสดงว่าวิสัยเดิมของเราเป็นอย่างนั้นแหละ แต่ปัจจุบันนี้ที่ยังได้ไม่เต็มที่เพราะยังอยากอยู่ นักปฏิบัติถ้าอยากจะไม่ได้ มักจะมาตอนหมดอยากแล้ว

ถาม : เป็นเพราะเรายึดติดกับอดีตหรือเปล่า ?
ตอบ : ยึดไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก กองไว้ตรงนั้นแหละ อดีตเลยมาแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ปัจจุบันสำคัญที่สุด อย่าลืมว่าไม่ว่าจะเรื่องของศีล ของธรรม ของกฎหมายบ้านเมือง เขาถือปัจจุบันเป็นใหญ่ ถ้าทำผิดก็ติดคุกชาตินี้ ไม่ใช่ไปติดคุกชาติหน้า

ไม่ว่าจะความสัมพันธ์ใด ๆ ก็ตาม ความสำคัญใด ๆ ก็ตาม ฟังให้ดี ๆ นะ
เคยเป็นนั่นเป็นนี่ เคยเป็นอย่างนั้นอย่างนี้กับผู้ใดมา ถึงปัจจุบันถือว่าทิ้งไปได้เลย เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ถ้ามัวไปดูอดีตอยู่ก็ไม่ไปไหนหรอก ติดอยู่แค่นั้น แทนที่จะหลุดได้กลับไปฟื้นความสัมพันธ์กลับคืนมา กลายเป็นผูกพันกันมากขึ้น ในเมื่อทั้งผูกทั้งพันก็ไม่ต้องไปไหนหรอก ติดอยู่แค่นั้นแหละ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2013 เมื่อ 15:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #39  
เก่า 24-04-2013, 14:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าช่วยคนให้เขาพ้นทุกข์ ?
ตอบ : ขึ้นฝั่งให้ได้แล้วจะช่วยใครก็ช่วย ถ้ายังขึ้นฝั่งไม่ได้มัวแต่ไปช่วย เดี๋ยวก็จมน้ำตายไปด้วย ทางฝ่ายนั้นเขาถึงได้ว่าเราเป็นหินยาน ยานเล็ก ๆ ไปได้คนเดียว ของเขามหายาน เขาก็จะเอาไปเยอะ ๆ จมตายไปกี่ชาติแล้วก็ไม่รู้ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2013 เมื่อ 15:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #40  
เก่า 24-04-2013, 14:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,479
ได้ให้อนุโมทนา: 151,127
ได้รับอนุโมทนา 4,404,743 ครั้ง ใน 34,068 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราผิดคำมั่นสัญญากับครูบาอาจารย์ ?
ตอบ : ครูบาอาจารย์ท่านจะมาถือสาหาความอะไรกับเราเล่า ? รู้ว่าผิดก็เริ่มต้นใหม่ ถ้ารู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งดีก็ตั้งหน้าตั้งตาทำใหม่ ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งดี เราผิดสัญญาก็ถือเป็นการเอาตัวรอดอย่างหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2013 เมื่อ 15:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:51



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว