กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 25-02-2014, 18:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,314 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

ให้ทุกคนนั่งในท่าถนัดของตนเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดของพวกเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะจับลมหายใจเป็นฐานเดียว สามฐาน เจ็ดฐานก็ได้ ตามแต่ความถนัดของตน จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราเคยชินมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๗ ญาติโยมหลายท่านก็วิตกกังวลว่าพรุ่งนี้จะไปเลือกตั้งอย่างไร ? ซึ่งความจริงแล้วการปฏิบัติกรรมฐานนั้น เรื่องความวิตก ความกังวลต่าง ๆ เราต้องตัดทิ้งให้หมด เพราะว่าเรื่องของพรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง เราต้องเอาเรื่องของปัจจุบันคือตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เท่านั้น เมื่อความรู้สึกอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า นั่นคือการอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ ความกังวลทั้งหมดก็จะหมดสิ้นไปเอง แล้วคอยระมัดระวังไว้อย่าให้นิวรณ์ ๕ กินใจของเราได้

คืออย่าให้มีกามฉันทะ ได้แก่ ความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ตลอดจนถึงธรรมารมณ์ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับระหว่างเพศ เว้นจากพยาบาทคือการโกรธ เกลียด อาฆาตแค้นคนอื่น ความโกรธเป็นสิ่งที่มีได้ตามปกติ แต่อย่าเกลียดฝังใจ และอย่าไปอาฆาตแค้น เพราะว่าจะทำให้กลายเป็นไฟเผาใจเราอยู่ตลอดเวลา เป็นเหตุให้กิเลสเจริญงอกงามได้

ให้ละเว้นจากถีนมิทธะ คือความง่วงเหงาหาวนอน ขี้เกียจในการปฏิบัติ หลายต่อหลายท่านตั้งใจดี อยากจะปฏิบัติให้ดี แต่ด้วยเกียจคร้านไม่ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติจริง ๆ ก็ถือว่าโดนถีนมิทธะนิวรณ์ครอบงำอยู่ ให้ละเว้นจากอุทธัจจะกุกกุจจะ คือความหงุดหงิด กลัดกลุ้ม ฟุ้งซ่านรำคาญใจ เว้นจากวิจิกิจฉาคือความลังเลสงสัยในผลการปฏิบัติ

ถ้าระมัดระวังกำลังใจของเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ นิวรณ์ทั้ง ๕ ที่กล่าวมานี้ก็ไม่สามารถจะกินใจของเราได้ แล้วการปฏิบัตินั้นต้องเป็นคนจริงจัง จริงใจ มีสัจจะ ถ้าตั้งใจว่าเวลา ๑๕ นาทีนี้ ๒๐ นาทีนี้ หรือว่าครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมงนี้เป็นเวลาในการปฏิบัติ เราก็ต้องทำให้ได้ครบตามนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-02-2014 เมื่อ 03:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 52 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 26-02-2014, 18:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,526
ได้ให้อนุโมทนา: 151,473
ได้รับอนุโมทนา 4,406,314 ครั้ง ใน 34,116 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อกำลังใจเริ่มทรงตัว ก็ให้กำหนดใจแผ่เมตตาไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า ตั้งใจว่าเราไม่เป็นศัตรูกับใคร เรายินดีเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั่วโลก เมื่อแผ่เมตตาจนกำลังใจทรงตัวแล้ว ก็มาทบทวนศีลของเรา ว่าศีล ๕ หรือศีล ๘ ที่เรารักษาอยู่นั้นมีอะไรบกพร่องบ้าง? ถ้ามีสิกขาบทไหนที่บกพร่อง ให้ตั้งใจว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะมีศีล ๕ ศีล ๘ ที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาระมัดระวังรักษาไว้ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

เมื่อทบทวนศีลทุกสิกขาบทจนบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว เข้ามาดูว่ากำลังใจของเรามีความเคารพในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงหรือไม่ ? ยังมีการล่วงเกินในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจอยู่หรือไม่ ? ถ้ามีก็ให้น้อมจิตน้อมใจขอขมาพระรัตนตรัย หลังจากนั้นก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาประคับประคองรักษาอารมณ์ใจของเรา อย่าให้มีการล่วงเกินในคุณพระรัตนตรัยอีก

ลำดับสุดท้ายก็ให้รู้ตัวอยู่เสมอว่าชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยง ความตายสามารถมาถึงเราได้ตลอดเวลา ก็ขึ้นอยู่กับว่าถ้าตายแล้วเราจะไปไหน ? ถ้าลงสู่อบายภูมิก็ประกอบไปด้วยความทุกข์ยากลำบากแสนสาหัส ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องทุกข์ยากลำบากกับความทุกข์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ก็พ้นทุกข์ได้เพียงชั่วคราว เกิดใหม่เมื่อไรก็ทุกข์อีก มีสถานที่ที่รอดพ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริงคือ พระนิพพาน ให้ทุกคนตั้งใจว่าถ้าเราสิ้นชีวิตลงไป ขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพานเท่านั้น

เมื่อปรับสภาพกำลังใจของเรามาถึงระดับนี้แล้ว ก็ย้อนไปดูลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ให้ตามดูตามรู้ลมหายใจไปตามปกติ ถ้ามีคำภาวนาอยู่ก็ตามดูตามรู้ลมหายใจและคำภาวนาของเราไป ให้ทุกคนประคับประคองรักษาอารมณ์ใจอย่างนี้ไว้ จนกว่าได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-02-2014 เมื่อ 20:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:55



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว