กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > ปกิณกธรรมจากเกาะพระฤๅษี

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 26-03-2012, 20:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๐

อบรมพระที่เกาะพระฤๅษี ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๐


ไม่รู้ว่าพวกเราลงชื่อพระจำพรรษากันหรือยัง ? สมัยก่อน ๒ ปีแรกมีชื่อเดียวคือตัวผมเอง พองานทุกอย่างเสร็จ ปีที่สามพวกคุณถึงมาอยู่กันเยอะ เป็นเรื่องแปลก..เหมือนกับต้องให้ผมเหนื่อยเอง พอทำงานเสร็จแล้วถึงมีคนมาคอยช่วย... เคยสังเกตหนังไทยสมัยก่อนไหม ? พระเอกตีกับผู้ร้ายจะเป็นจะตาย ตำรวจไม่มาเลย พอพระเอกชนะตำรวจมาพอดีทุกที แล้วจะมาทำอะไรตอนนั้น..?

วันนี้ก็เป็นวันพระ ขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๙ ถ้านับกันแบบคร่าว ๆ ก็เข้าพรรษามา ๓ อาทิตย์ อีกอาทิตย์เดียวก็จะผ่านไป ๑ เดือน เท่ากับ ๑ ใน ๓ แล้ว

ช่วงที่ผ่านมาก็ถือว่าพวกเราอยู่ด้วยกันด้วยความสงบ ต่างคนต่างมีความสุขเฉพาะของตน การที่เราบวชเข้ามา สมบัติของเราคือ ศีล สมาธิ ปัญญา* ศีลทุกคนมีสมบูรณ์พร้อม เหลือแต่สมาธิที่ได้มากน้อยต่างกันไป

เรื่องของปัญญาก็ได้มากได้น้อยต่างกันไป แต่ว่าทุกคนได้..เพราะเป็นสิ่งที่ต้องขวนขวายเอา ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างได้ จะทำแทนกันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น..เราทุกคนต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ อย่าไปคิดว่ายังเหลือเวลาอยู่ตั้ง ๒ เดือนกว่า เดี๋ยวจะแย่เสียก่อน สิ่งต่าง ๆ ที่เราต้องทำมีอยู่มาก

พระใหม่ต้องเตรียมสอบ ก่อนออกพรรษาครึ่งเดือนเขาจะสอบกัน ถ้ามัวแต่ประมาทอยู่ หนังสือหนังหามีเยอะ เดี๋ยวจะเรียนไม่ทัน ศึกษาไม่ทัน โดยเฉพาะพรุ่งนี้ พวกเราต้องออกไปงานอบรมพระนวกะประจำปี ๒๕๕๐ ผมก็คงไม่ได้อยู่พาพวกคุณไป เพราะว่าต้องเข้ากรุงเทพฯ ตั้งแต่วันนี้แล้ว การบ้านก็ยังเหลืออีก ๒ วิชาที่ทำไม่เสร็จ พรุ่งนี้ต้องส่งด้วย...

งานอบรมพระนวกะ พอไปแล้วอยากให้ทุกคนสังเกตตรง ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ต้องไปสังเกตเรื่องอื่น เราจะเป็นนักบวชหรือไม่เป็นก็อยู่ตรงนี้ ที่ให้สังเกตก็คือว่า จากสิ่งที่บางทีเรารู้สึกว่าแย่ ๆ แต่เมื่อไปเปรียบเทียบกับที่อื่นแล้วเป็นอย่างไร ? แรก ๆ เขาจะดัดจริตนั่งนิ่งได้ประเดี๋ยวเดียว เพราะว่าจิตเขาไม่สงบอย่างแท้จริง

แล้วอีกไม่นาน ต่อให้พระผู้ใหญ่กำลังพูดอยู่ เขาก็เดินกันให้พล่าน คนโน้นจะไปห้องน้ำ คนนี้จะไปสูบบุหรี่ เผลอหน่อยเดียวไปดูของที่ร้านค้าอีกแล้ว สมัยผมบวชใหม่ ๆ เข้าไปในตลาด พ่อค้าแม่ค้าทุกคนจะถามว่า “อยู่วัดท่าซุง**ใช่ไหม ?

ผมก็สงสัยว่า เอ๊ะ..หน้าผมติดคำว่าวัดท่าซุงไว้หรือ ? ไปไหนเขาถึงได้รู้ พอพรรษาที่ ๓ ผมต้องเป็นพี่เลี้ยงพาพระใหม่ไปสอบธรรมชั้นนวกภูมิ ปรากฏว่าผมมองเข้าไปแล้ว ผมรู้เลยว่าทำไมเขาถึงรู้ว่าผมอยู่วัดท่าซุง เพราะว่าพระใหม่ของเรา เวลาไปยืนรวมกลุ่มกับวัดอื่นเขา จะต่างกันกับพระวัดอื่นอย่างชัดเจนมาก

อิริยาบถการเคลื่อนไหวต่าง ๆ จะยืน เดิน นอน นั่ง แม้เราจะรู้สึกว่ายังใช้ไม่ได้ แต่ก็ต่างจากสำนักอื่นเขาอย่างเห็นได้ชัด ต่างกันเหมือนกับเอานกยูงไปไว้ฝูงไก่เลย มองไปอย่างไรก็เห็นพระของเราชัดเจน ผมถึงได้เข้าใจว่า ทำไมเวลาญาติโยมเขาถามผม ถึงได้ถามว่า “อยู่วัดท่าซุงใช่ไหม ?”


หมายเหตุ :
*ที.ปา. ๑๑/๒๒๘/๒๓๑ ; องฺ.ติก. ๒๐/๕๒๑/๒๙๔
*วัดจันทาราม(ท่าซุง) เลขที่ ๖๐/๓ หมู่ที่ ๑ ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ๖๑ - ๐๐๐
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2012 เมื่อ 01:55
สมาชิก 96 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-03-2012, 07:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพราะบุคคลที่มั่นคงใน ทาน ศีล ภาวนา จะเกิดความมั่นใจในตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าเวสารัชชกรณธรรม*ธรรมที่ทำให้เรากล้า ประกอบด้วย “ศรัทธา ศีล พาหุสัจจะ วิริยารัมภะ ปัญญา

ถ้าหากว่ามีศรัทธา คือ ยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง หรือต่ำลงไปหน่อยก็ยึดมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นจตุคามรามเทพ**หรือพ่อปู่แม่ย่าที่ไหนก็ได้ ถ้าต่ำลงไปกว่านั้นอีก ก็ยึดมั่นในสิ่งที่ตนเองเชื่อถือว่าขลัง อย่างเช่นเครื่องรางหรือวัตถุอาถรรพ์ต่าง ๆ และข้อสุดท้ายคือ เชื่อมั่นในตัวเอง

คราวนี้การที่เรามีศีล ถ้าศีลสมบูรณ์จะเกิดความเชื่อมั่นในตัวเอง มั่นใจว่าสิ่งที่เราทำความดีนี้ มีผลที่จะรักษาตัวเราแน่ ๆ ทำให้เกิดความมั่นใจ การแสดงออกก็จะต่างจากคนอื่นเขาที่ไม่มีศีล

ให้พวกคุณสังเกตใจตัวเองว่าเป็นอย่างไร ? รักษาความสงบได้นานแค่ไหน ? ก่อนที่จะตบะแตกกับคนอื่นเขา ดูว่าเราจะยื้อระยะได้นานแค่ไหน ? พยายามเอา สติ สมาธิ เข้าไปช่วยดูสิว่า เขาพูดตั้งแต่ประมาณ ๘ โมงครึ่งถึงเพล เราทนนั่งตลอดโดยไม่ไปไหนได้ไหม ?

เขาพูดตั้งแต่ประมาณบ่ายโมงถึง บ่าย ๓ โมงครึ่ง เราจะลุกไปไหนบ้างไหม ? พยายามลองต่อสู้กับกิเลสดู ชีวิตของฆราวาส ผมเคยเปรียบว่า เหมือนกับเอาเสือตัวหนึ่งปล่อยไว้ในป่า แล้วเราก็เดินอยู่ในป่านั้น บางทีปีทั้งปีก็ไม่เจอเสือตัวนั้นหรอก เพราะว่าป่านั้นกว้าง

แต่ชีวิตนักบวชนั้นเหมือนกับเอาเสือตัวนั้นมาใส่ไว้ในกรงกับเรา เสือจึงกัดเราทุกวัน เพราะว่าเรามีศีลเป็นกรอบ มีศีลเป็นกรงกั้นเราเอาไว้ ถ้าเราไม่เคยชิน ก็ดิ้นรนพยายามที่จะแหกกรงไปให้

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เราต้องหัดรู้จักสังเกตอารมณ์ใจตัวเอง แล้วในเรื่องของการศึกษาและปฏิบัติธรรม โบราณท่านใช้คำว่า“บวชเรียน” เราจำเป็นต้องเรียนทั้งปริยัติและปฏิบัติ***ปริยัติเป็นแผนที่นำทาง ปฏิบัติเป็นการทดลองเดินในทางนั้นด้วยตัวเอง

จริง ๆ แล้ว ทั้ง ๒ อย่างล้วนแต่มีความสำคัญ ปริยัติศึกษาแล้วเป็นการรักษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเอาไว้ ปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงผลของคำสอนนั้น จะได้เอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง


หมายเหตุ :
*องฺ. ปญฺจก. ๒๒/๑๐/๑๔๔
**เทวดารักษาพระมหาธาตุเมืองนคร เชื่อกันว่าเป็นพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง ของจังหวัดนครศรีธรรมราช
**ขุ.ม. ๒๙/๒๓๒/๑๗๕
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2012 เมื่อ 16:37
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 28-03-2012, 08:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยที่อยู่วัดท่าซุงผมไม่อยากเรียน เพราะรู้อยู่ว่าตำราเฮงซวยแค่ไหน แค่นักธรรมตรี เขาก็ปฏิเสธแล้วว่า ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ ผมกลัวว่าถ้าหากว่าเรียนไปนี่ อาจจะถูกพาออกนอกทางไปด้วย เลยกราบเรียนกับหลวงพ่อท่านว่า “ผมไม่เรียนดีกว่าครับ..”

หลวงพ่อท่านกลับบอกว่า “ถ้ามีเวลาก็ให้เรียนไว้หน่อย อย่างน้อย ๆ จะได้เอาไว้เป็นไม้กันหมา..” คือ นักปริยัติส่วนใหญ่เขาเรียนกันได้ประโยคสูง ๆ ได้ปริญญา แล้วเขาจะดูถูกพระนักปฏิบัติว่าไม่ได้ศึกษาอะไร เอาแต่หลับตาภาวนา

คำว่าเอาไว้เป็นไม้กันหมาคือ “กูก็เรียนเหมือนกับมึง แถมยังเก่งกว่ามึงด้วย” ผมก็เลยเรียน พอจบนักธรรมเอก หลวงพ่อถามว่า “จะเรียนบาลีต่อไหม ? จะได้ส่งไปเข้าสำนักในกรุงเทพฯ” ผมกราบเรียนท่านว่า “ถ้าอยู่ห่างหลวงพ่อผมต้องเลวแน่ ๆ เพราะฉะนั้น..ไม่เอาดีกว่าครับ” แต่ปรากฏว่า ท้ายสุดก็ต้องมาเรียนอยู่อย่างทุกวันนี้จนได้

ในช่วงของความเป็นพระใหม่ เป็นระยะเวลาการสร้างตัวของเราเอง สร้างทั้งทางโลกสร้างทั้งทางธรรมด้วย ค่อย ๆ สะสมไปความดีก็จะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่คุณอยู่

พอไปถึงจุดหนึ่งก็จะมีคนมากวน เพราะเขาเริ่มเห็นความดีของคุณแล้ว ก็จะเป็นการวัดตัวของคุณเองได้อีกอย่างว่า รำคาญไหม ? สามารถสงเคราะห์เขาเสมอหน้ากันได้ไหม ? ถ้าคุณรู้จักสังเกต จะเห็นหลายต่อหลายท่าน คัดแต่ลูกศิษย์รวย ๆ ต้องเป็นใหญ่เป็นโต เป็นคุณหญิงคุณนาย เป็นนายพันนายพล หรือไม่ก็บรรดาเศรษฐีมหาเศรษฐี ประเภทนั้นให้ทราบไว้เลยว่าตัวเองใกล้จะตายแล้ว..!

เราต้องสามารถสงเคราะห์เขาเสมอหน้ากันหมด ไม่เลือกคนจนคนรวย ไม่เลือกว่าสวยงามหรืออัปลักษณ์ พูดง่าย ๆ ก็คือทุกสถานภาพ ทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า เห็นเขาเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นบุคคลที่ต้องการรับการสงเคราะห์จากเราก็สงเคราะห์ไป

แต่ว่าสงเคราะห์แล้วให้สงเคราะห์เลย เอาแค่เฉพาะหน้าเท่านั้น พ้นจากตรงนั้นไปแล้วอย่าเก็บมาใส่ใจ ยิ่งเราบวชอยู่อย่างนี้ ผู้ที่ควรแก่การสงเคราะห์มากที่สุดก็คือ ญาติโยมของเราเอง แต่การสงเคราะห์ญาติโยมด้วยการไปหา บางทีก็อาจจะทำให้เขาอึดอัดใจ เพราะว่าประการแรก เราอยู่ในสถานภาพของนักบวช เขาปฏิบัติตนกับเรายาก ประการที่ ๒ คือ บางทีเขาเข้าใจผิดว่าเราไปเพื่อต้องการเงินต้องการทอง แล้วเขาก็ต้องพยายามหามาเพื่อถวาย ก็จะสร้างความลำบากใจด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย

ฉะนั้น..วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ปฏิบัติอยู่กับที่อย่างนี้ แล้วตั้งใจอุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตาให้กับเขาทั้งหลาย การอุทิศส่วนกุศลก็คือแบ่งบุญให้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 29-03-2012 เมื่อ 21:47
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 29-03-2012, 08:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การแผ่เมตตาก็คือ การส่งกำลังใจที่ประกอบไปด้วยความดีทั้งหมด ไปสู่เขาทั้งหลายเหล่านั้น ขอให้เขาทุกคนมีความสุข หากินอย่างสะดวกสบาย และท้ายสุด อย่างไรเสียก็ขอให้เขามีโอกาสในการเข้าถึงธรรมด้วย

การที่เรารักเราห่วงคนในครอบครัวเป็นเรื่องปกติ พระพุทธเจ้าก็รักก็ห่วง ถ้าไม่รักไม่ห่วง พระองค์ท่านก็ไม่เสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาที่ดาวดึงส์ ถ้าไม่รักไม่ห่วง พระองค์ท่านก็ไม่เสด็จไปโปรดพระบิดาพร้อมกับพระประยูรญาติ

ถ้าไม่รักไม่ห่วง พระองค์ท่านก็ไม่เสด็จไปโปรดพระนางพิมพากับพระราหุล แต่ว่าพระองค์ท่านรักและห่วง โดยการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มสติกำลัง ส่วนจะสงเคราะห์ได้เท่าไรนั้น พระองค์ท่านปล่อยให้เป็นเรื่องของบุญของกรรม

สงเคราะห์ไม่ได้ พระองค์ท่านก็ไม่ไปกังวล ไม่ไปทุกข์ใจ สงเคราะห์ได้พระองค์ท่านก็ไม่ได้ไปยินดีจนเกินงาม พูดง่าย ๆ ก็คือ อารมณ์ใจของพระองค์ท่านเป็นกลางจริง ๆ ถึงสามารถสงเคราะห์พระเทวทัตซึ่งทำตัวเป็นศัตรูมาตลอด กับสงเคราะห์พระราหุลที่ถือว่าเป็นลูกรักของท่านได้เสมอหน้ากัน

ดังนั้น..การมีความรัก ความห่วงใยของเรา ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลที่เราทำในสภาพของนักบวช ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุด สามารถสร้างกุศลแล้ว จะเพิ่มทวีขึ้นไปหลายเท่า และแผ่เมตตา ซึ่งประกอบไปด้วยกำลังใจที่เราพยายามสร้างเสริมขัดเกลาให้ผ่องใสนี้ ไปสู่เขาทั้งหลาย ขอให้บุญกุศลนี้ ช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์ให้เขาทั้งหลาย มีความสุขความ สะดวกสบายทุกคน ถือว่าเป็นหน้าที่ซึ่งเราพึงกระทำ

ส่วนการจะไปรบกวน นาน ๆ ไปทีแล้วกัน เดี๋ยวเขาจะเข้าใจผิด ผมเองญาติโยมขอให้ไปในวันตรุษจีน แต่ปรากฏว่า วันตรุษจีนเขาแจกแต๊ะเอียกันทุกปี พอผมไปก็เท่ากับว่าผมไปรับเงิน

ผมไปแค่ ๒ ครั้ง ตั้งแต่ครั้งที่ ๓ มา ไม่เคยไปอีกเลย เพราะเหมือนกับว่าผมตั้งใจไปรับเงิน ถึงแม้คนอื่นไม่คิด เราก็ต้องรู้จักคิด พระพุทธเจ้าตรัสว่า นักบวชพึงทำตัวเหมือนแมลงผึ้ง เมื่อนำเอาเกสรดอกไม้ไป ก็อย่าทำให้ดอกไม้นั้นชอกช้ำ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2012 เมื่อ 13:19
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 30-03-2012, 07:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,967 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การบอกบุญเป็นเรื่องดี แต่ถ้าหากว่าเราบอกพร่ำเพรื่อจนเกินไป ก็จะกลายเป็นเรื่องที่น่ารำคาญใจ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เราค่อย ๆ ศึกษาแล้วสังวรระวังไว้ ถ้าจะต้องรบกวนคนก็รบกวนให้น้อยที่สุด เพราะว่าการติดหนี้บุญคุณนั้น เป็นหนี้ที่ใช้ไม่หมด ไม่มีอะไรที่จะใช้ยากไปกว่าหนี้บุญคุณอีกแล้ว

ผมเองมีโยมปวารณาชนิดที่ให้ขออะไรก็ได้ เท่าไรก็ได้ ๓๐ กว่าราย แล้วหลายรายที่เขาสามารถให้ได้ทีละหลาย ๆ ล้าน แต่ผมไม่เคยรบกวนเขาเลย เพราะว่าไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร ผมไม่ได้ต้องการให้พวกเราเลียนแบบ แต่คิดว่า ถ้าเราอยู่ในสภาพของนักบวช ไม่ได้สงเคราะห์ช่วยเหลืออะไรเขานักหนาแล้ว แล้วยังไปรบกวนคนอื่นด้วยการขออีก ก็จะมีแต่เสีย สภาพของนักบวชอยู่ที่ต้องมีความยินดีในความสันโดษของตน

ดังนั้น..ให้พวกเราทุกคนระวังเอาไว้ให้ดี รักษากำลังใจของเราให้ดีที่สุด การอยู่ร่วมกันที่ผ่านมาถือว่าใช้ได้แล้ว ก็เหลือแต่ว่าต้องเสริมสร้างในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราให้มากขึ้น ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

ก่อนจะออกพรรษาพยายามกอบโกยความดีใส่ตัวให้มากที่สุด เพราะเขาถือว่าในช่วงนี้เป็นช่วงสำคัญ แต่ถ้าเป็นในการปฏิบัติจริง ๆ แล้ว ถือว่าสำคัญอยู่ทุกวินาที สำหรับวันนี้คงต้องพอเท่านี้ก่อน ผมต้องขออนุญาตขอสัตตาหะ*จากทุกท่านด้วย

หมายเหตุ :
*สัตตาหะกรณียะ : ธุระอันเป็นเหตุให้ภิกษุออกจากวัดในระหว่างพรรษาได้ แต่ต้องไม่เกิน ๗ วัน ได้แก่ ๑). ไปเพื่อพยาบาลสหธรรมิก หรือ มารดาบิดาผู้เจ็บไข้ ๒). ไปเพื่อระงับสหธรรมิกที่กระสันจะสึก ๓). ไปเพื่อกิจของสงฆ์ เช่น ไปหาทัพพสัมภาระมาซ่อมวิหารที่ชำรุดลงในเวลานั้น ๔).ไปเพื่อบำรุงศรัทธาของทายกซึ่งมานิมนต์เพื่อการบำเพ็ญกุศลของเขา ธุระอื่นที่เป็นกิจจะลักษณะ ก็พอจะอนุโลมตามนี้ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 01-04-2012 เมื่อ 15:26
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:26



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว