กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #61  
เก่า 23-11-2011, 09:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นอกจากนี้ก็แค่เข้าไปนอนในบ้านช้าง ช้างสร้างที่นอนได้สุดยอดเลย เขาจะดึงเอาหญ้ามาทำที่นอนกลม ๆ กว้างประมาณ ๒ เมตร หนาสักศอกกว่า ๆ ตัวละอัน ๆ เต็มไปหมด อาตมาเห็นก็ขอยืมมานอนก่อน เคยบอกกับพระที่ไปด้วยว่า ดูภูมิประเทศรอบ ๆ ไว้ด้วย ถ้าเห็นว่าต้นไม้ต้นไหนพอขึ้นได้ ถ้าช้างมาคุณหนีขึ้นไปข้างบน แต่ให้เอาน้ำขึ้นไปด้วย เพราะถ้าช้างล้อมอยู่นานเดี๋ยวจะหิวน้ำแย่ พระท่านถามว่า ในเมื่อเรามอบกายถวายชีวิตแล้ว ทำไมต้องหนีอีก ? พวกเจ้าปัญหา..! อาตมาจึงว่า คุณมอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัย แต่ไปกับอาจารย์แล้วโดนช้างเหยียบแบนแต๋ พ่อแม่คุณจะมาเฉ่งผมนะสิ..!

ถาม : ที่นอนช้างเหมือนฟูกเลยไหมครับ ?
ตอบ : ดีกว่าฟูกหน่อย แต่ต้องระวัง..บางทีก็มีเห็บป่าอาศัยอยู่ โดนกัดเมื่อไรไข้จับเมื่อนั้น ให้เอาผ้ากันฝนปูกันไว้ก่อน พอตอนกลางคืนช้างกลับมาเข้าบ้านไม่ได้ ก็หากินอยู่ในป่าข้าง ๆ หักต้นไม้โผงผางไปหมด อาตมาก็นอนจนกระทั่งสว่าง ฉันเช้าเสร็จแล้วถึงได้ไป เดินไปจนกระทั่งใกล้ ๆ เพล ได้ยินเสียงฝีเท้าไล่เท้ากวดตามมา จึงหยุดรอ ปรากฏว่าเป็นพิทักษ์ป่า ๕ คน ถือลูกซองห้านัด ๓ คน ถือเอชเค ๒ คน

มาถึงก็ถามว่า "อาจารย์หรือเปล่าครับ ที่เข้าไปตรงบ้านช้างเมื่อคืน ?" อีกคนหันมาพูดว่า "ผมบอกหัวหน้าแล้ว อาหารกระป๋องมีห่วงแบบนี้ ถ้าไม่ใช่พวกล่าสัตว์ก็ต้องเป็นพระ" ก็เป็นพระจริง ๆ ด้วย เพราะฝาเครื่องกระป๋องของพวกเราเป็นห่วง เขาบอกว่า "พระอาจารย์นอนกันเข้าไปได้อย่างไร พวกผมมีอาวุธครบมือยังกลัวเลย ?" ก็เอ็งเสือกไปนึกถึงช้างเองนี่หว่า..! สำหรับอาตมาถ้าช้างอยู่ก็แปลว่าเสือไม่มี ไม่ต้องกลัว เพราะสัตว์ทุกชนิดจะตื่นคนอยู่แล้ว ได้กลิ่นก็ไม่เข้ามาหรอก เพราะเราก่อไฟไว้ เขาได้กลิ่นแต่ไกล คงจะหงุดหงิดไปอยู่พักหนึ่งเหมือนกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 27-11-2011 เมื่อ 17:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #62  
เก่า 23-11-2011, 09:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเจอกรีนแมมบ้าเล่าครับ ?
ตอบ : ปกติถ้าเจองู..ดูท่างูจะโดนอาตมากิน เสียดายที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามพระฉันเนื้องู ตอนเรียนวิชาทหารเขาสอนให้กินงูมาตลอด มีอยู่เที่ยวหนึ่งที่ฝึกการยังชีพในป่า ครูฝึกเขาเห็นหางงูห้อยจากโพรงลงมา เป็นงูเขียวมีพิษอ่อน กัดแล้วไม่ตายทันที รักษาทันแน่นอน แต่ถ้าโดนก็สาหัสเหมือนกัน

เขาก็ให้ลูกทีมปีนขึ้นไป ปรากฏว่าล้วงงูออกมาได้ ๑๗ ตัว..! ทั้งที่เห็นหางเดียวห้อยลงมา สรุปได้ความว่า งูตัวเมียกำลังจะผสมพันธุ์ งูตัวผู้แห่มา ๑๖ ตัว อาหารมื้อนั้นจึงเป็นมื้ออย่างหรูเลย..!

สัตว์ทุกชนิดเขากลัวคนเป็นปกติ เพราะฉะนั้น..เราไม่ต้องไปกลัวเขาหรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2011 เมื่อ 17:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #63  
เก่า 23-11-2011, 09:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พวกสัตว์ส่วนใหญ่เขาไม่ได้ฆ่ากันถึงตาย น้อยรายที่ประเภทแย่งคู่ หรือแย่งแหล่งอาหารกันจนกระทั่งถึงตาย นอกนั้นตัวไหนที่บาดเจ็บ รู้ว่าสู้ไม่ได้ หรือว่ากำลังสู้เขาไม่ได้ก็จะหนีไป

ถาม : แบบนี้ถ้าเราเจอสัตว์ดุร้าย แล้วเราไม่สู้ เราก็รอดสิครับ
ตอบ : ต้องรีบหนีไปให้พ้น หรือไม่ต้องทำท่ายอมแพ้ของสัตว์ให้ได้ แบบท่าที่นอนหงาย กางสี่ตีนแล้วควรจะครางหงิง ๆ ด้วยนะ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2011 เมื่อ 17:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #64  
เก่า 23-11-2011, 09:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เจ้าคุณนี่เริ่มจากที่ตำแหน่งพระอะไรครับ ?
ตอบ : เริ่มที่พระ ถ้าเป็นสมัยก่อนจะเทียบเท่าพระยา ถ้าเป็นพระเฉย ๆ ยศทางโลกจะเรียกว่าคุณพระ หลวงก็คือคุณหลวง ขุนก็เรียกว่าท่านขุน หมื่น พัน ก็เรียกหัวหมื่น หัวพัน ถ้าเจ้าคุณนี่ต้องเป็นพระยาขึ้นไป ถ้าหากว่าเป็นเจ้าพระยาหรือสมเด็จเจ้าพระยาเขาเรียกเจ้าคุณใหญ่ เพราะใหญ่กว่าเจ้าคุณ (หัวเราะ)

ถาม : ทางพระใครเป็นคนตั้งตำแหน่งพวกนี้ครับ ?
ตอบ : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ ตั้งมาแล้วถ้ามีจิตสำนึกเห็นสัญญาบัตรแล้วจะซึ้ง ขอพระคุณเจ้าโปรดรับภาระธุระในพระศาสนาแทนโยมด้วย ยกงานถวายให้เลย..!

สมัยก่อนเขาได้กันสมภาคภูมิจริง ๆ พระครูนี่ดังกว่าเจ้าคุณราชฯ เจ้าคุณเทพฯ สมัยนี้อีก เพราะท่านได้กันมาเพราะฝีมือจริง ๆ อย่างหลวงปู่แช่ม วัดฉลอง เป็นพระครูสังฆปาโมกข์ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ระดับเจ้าคณะภาค หลวงปู่สายเป็นพระครูปี ๒๕๑๑ ตำแหน่งพระครูสมัยนั้นสูงส่งมาก เทียบกับสมัยนี้..ขนาดเจ้าคุณราชฯ เจ้าคุณเทพฯ เขาก็ยังไม่ค่อยเห็นหัวเลย

สมัยนี้พระครูประทวนหายไปแล้ว เพราะส่วนใหญ่ผลงานที่ทำมากกว่าระดับประทวน ก็เลยไปเริ่มต้นที่สัญญาบัตร ชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก ถ้าอยู่ ๆ ใครได้เป็นแค่พระครูประทวนคงโดนหัวเราะตาย ว่านี่พ่อคุณทำงานน้อยขนาดนี้เลยหรือ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 27-11-2011 เมื่อ 17:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #65  
เก่า 23-11-2011, 09:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องของตำแหน่งอย่าไปดิ้นรนไขว่คว้า แต่ถ้าพระราชทานมาก็รับเอาไว้ ไม่อย่างนั้นผู้ใหญ่จะหาว่าหยิ่ง รับเอาไว้ก่อน ติดไว้ดูเล่นสักปีสองปี แล้วค่อยลาออกก็ไม่น่าเกลียด

ถาม : ลาออกได้ด้วยหรือครับ ?
ตอบ : ขอพระบรมราชานุญาตลาตายยังได้เลย เรื่องนี้เป็นเรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออก ถึงเวลาขอพระบรมราชานุญาตลาตาย คือพอไปขึ้นทำเนียบแล้วต้องแจ้งให้ในหลวงรู้ก่อน ในหลวงรัชกาลที่ ๖ เห็นเจ้าคุณอะไรก็ไม่รู้..จำไม่ได้..ยืนหน้าเศร้าอยู่ ก็ถามว่าเอ๊ะ..ทำไมวันนี้มาเร็ว ? ท่านถวายบังคมเสร็จ ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ท่านก็เสด็จเลยไป ปรากฏว่าเข้าไปข้างในเห็นพานขอกราบบังคมทูลลาตาย แสดงว่าที่เห็นนั้นไม่ใช่คน..!

เป็นพระครูสัญญาบัตรขึ้นไปก็เตรียมทูลลาตายได้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2011 เมื่อ 17:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #66  
เก่า 23-11-2011, 10:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แล้วอย่างที่ถอดยศหลวงปู่โต วัดระฆัง ?
ตอบ : ตอนนั้นท่านเป็นท่านเจ้าคุณธรรมกิตติ ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ท่านนิมนต์ หลวงปู่สมเด็จท่านก็อาวุโสมากแล้ว ปรากฏว่าคนที่อาวุโสน้อยกว่าดันไปนั่งอาสนะสูงสุด ท่านเองมองซ้ายมองขวาเห็นมีขอบหน้าต่างอยู่ ท่านก็เลยนั่งขอบหน้าต่าง ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ก็พิโรธว่าไม่สำรวม สั่งถอดยศ ท่านก็ส่งพัดยศคืนให้

พอเดินออกมาจากวังไปหน่อย ในหลวงท่านคงจะหายพิโรธแล้ว จึงให้สังฆการีถือพัดยศวิ่งไล่ตามมาคืนให้ หลวงปู่โตท่านบอกว่า ของที่ในหลวงต้องพระราชทานแล้วพ่อคุณเอามาให้ฉันเฉย ๆ ได้อย่างไรละจ๊ะ ? ต้องให้ในหลวงท่านพระราชทานให้สิจ๊ะ สรุปว่าต้องจัดงานพระราชทานให้ท่านใหม่ เสียผ้าไตรไปอีกหนึ่งไตร

ของพระราชทาน สมัยก่อนถือว่าเป็นเกียรติยศ เป็นมิ่งขวัญและกำลังใจ หลวงปู่มหาอำพันได้รับพระราชทานผ้าไตรสำรับหนึ่ง เมื่อสมัยเป็นเจ้าคุณ หลวงปู่ใส่กล่องบูชาไว้เลย ไม่กล้าใช้ อาตมาก็มีผ้าไตรของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ อยู่อย่างละไตร เก็บไว้เฉย ๆ ไม่กล้าใช้เหมือนกัน กลัวขี้กลากขึ้น..!

ตอนนี้มีปัญหาอยู่ว่า เขาจะมอบพัดพระครูให้ที่วัดไหน เพราะน้ำท่วม ปกติจะวน ๆ อยู่แถววัดไร่ขิง วัดพนัญเชิง วัดโสธร แล้วก็เคยไปถึงวัดพระพุทธบาท ได้ข่าวแว่ว ๆ ว่าเมืองกาญจน์ฯ เขาจะเสนอวัดพระแท่นดงรัง แต่อาตมาว่าวัดพระแท่นดงรังยังเล็กไป ไม่พอรองรับจำนวนผู้คน

ถ้าใครเคยเห็นงานรับพัดยศแล้วจะสยอง อาตมาเห็นแล้วกลัวเลย บางวัดเขาจัดขบวนแห่เป็นโต๊ะหมู่สูงลิบอยู่บนท้ายรถกระบะ แล้วให้หลวงพ่อถือพัดนั่งไป ถ้าเกิดหน้ามืดเป็นลม ตกลงมาคงจะแย่แน่ เขาทำกันอย่างนั้น แล้วคนที่เขาแห่ไปแสดงความยินดีกับครูบาอาจารย์ไม่ใช่แค่คนสองคน พระที่เข้ารับอย่างรุ่นอาตมา ๒๐๐ กว่ารูป ถ้า ๒๐๐ กว่ารูปนี่โยมไปสักสิบ ก็ปาไป ๒,๐๐๐ กว่าคนแล้ว วัดเล็ก ๆ นี่รับไม่ไหวแน่ เคยเห็นพระครูทางสุพรรณเขาเหมารถบัสไป ๑๐ กว่าคัน พาญาติโยมไปแห่พัดกลับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 27-11-2011 เมื่อ 17:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #67  
เก่า 23-11-2011, 10:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงฉลองที่วัดไหนครับ ?
ตอบ : ฉลองที่วัดเทพธิดาราม

จะเห็นได้ว่าหลวงพ่อท่านรู้จริง พระที่ท่านนิมนต์เจริญชัยมงคลคาถาในงานฉลองพัดยศของท่าน หัวแถวคือพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ วัดสุวรรณาราม ต่อมาเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ รองลงมาพระพรหมคุณาภรณ์ วัดสระเกศ เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ รองลงมาพระพุทธิวงศ์มุนี วัดเบญจมบพิตร เป็นสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ รองลงมาพระธรรมปัญญาบดี วัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ แล้วก็มาท้ายเลยคือพระธรรมปิฎก วัดชนะสงคราม เป็นสมเด็จพระมหาธีราจารย์

ตอนนั้นเจ้าคุณพระธรรมปิฎก วัดชนะสงคราม ท่านยังอยู่นอกสายตาทุกคน เลื่อนมาเป็นพระธรรมวโรดม แล้วถึงได้เป็นสมเด็จพระมหาธีราจารย์ แต่หลวงพ่อรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะได้เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ? แสดงว่าหลวงพ่อท่านรู้จริง และรู้ล่วงหน้านานมาก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2011 เมื่อ 17:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #68  
เก่า 23-11-2011, 18:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ผลกระทบจากน้ำท่วมที่เห็นชัดที่สุดคือ สถานีรถไฟฟ้าหน้าปากซอยบ้านวิริยบารมีสร้างช้าลงไปเยอะ อาจจะไม่ทันเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ เพราะส่วนใหญ่เขาจะเปิดฉลองวันเกิดในหลวงกัน

ถ้าจะทำกรุงเทพฯ ให้พ้นน้ำจริง ๆ จะต้องเจาะพื้นรอบกรุงเทพฯ วางคานและแผ่นรองรับ แล้วก็ดีดให้สูงขึ้นมา ทำลักษณะเป็นชุดเหล็ก สามารถยกเลื่อนขึ้นเลื่อนลงตามระดับน้ำ จะมีใครบ้าทำไหมนะ ? ปีนี้ได้งบประมาณมาก็ทำสักหน่อยหนึ่ง ปีหน้าได้งบประมาณมาก็ทำอีกหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวก็ทั่วกรุงเทพฯ ไปเอง..!

สมัยก่อนกรุงเทพฯ ใช้น้ำบาดาลเยอะมาก เพราะไม่อยากจ่ายค่าน้ำประปา จึงเจาะน้ำบาดาลใช้กันเอง พอน้ำใต้ดินหมดไป พื้นก็ทรุดลง เพราะน้ำใต้ดินประคองพื้นเอาไว้ พอน้ำหมดไปดินก็ทรุดลงไปเรื่อย ทำให้พื้นที่กรุงเทพฯ ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง แปลว่าถ้าน้ำไม่ท่วมกรุงเทพฯ ก็จะแปลกมาก..!

ประการสำคัญที่สุดคือ บรรพบุรุษของเราต้องการหาที่ซึ่งมีฝนฟ้าอุดม มีน้ำท่าบริบูรณ์ เพื่อถึงเวลาก็จะได้ปลูกข้าวได้ แม้กระทั่งพระเจ้าแผ่นดินก็ต้องทำนา สนามหลวงก็คือนาของพระเจ้าแผ่นดิน แต่ปรากฏว่าเราเปลี่ยนจากการทำไร่ทำนามาเป็นอาคารพาณิชย์ เป็นศูนย์ราชการ แต่ฝนฟ้าก็ยังตกอยู่เท่าเดิม

ต้องบอกว่าบรรพบุรุษของเราเก่ง หาที่ที่ฝนบริบูรณ์ได้ทั้งปี แต่พวกเราไปเปลี่ยนเจตนารมณ์เดิมในการสร้างกรุง ก็คือต้องเป็นที่ซึ่งสามารถเพาะปลูกสะสมเสบียงอาหารได้ง่าย มาเป็นที่ที่สร้างอาคารพาณิชย์ เป็นตึกสูง เป็นที่พักอาศัย คราวนี้ในเมื่อสิ่งที่ทำไปไม่เหมาะกับธรรมชาติหรือพื้นที่แต่เดิม ก็มีแต่จะเกิดปัญหาขึ้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-11-2011 เมื่อ 03:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #69  
เก่า 23-11-2011, 18:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถ้าหมู่บ้านจัดสรรรอบกรุงเทพฯ อยากจะขายบ้านได้ดี ๆ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ให้สร้างเป็นเรือนแพ ที่กาญจนบุรีมีเรือนแพมาก เขาเลิกใช้ไม้ไผ่แล้ว เปลี่ยนเป็นเป็นทุ่นเหล็กลอยน้ำแทน ทุ่นลอยแต่ละลูกทำด้วยโลหะ ราคาประมาณทุ่นละสองแสนบาท อย่างน้อยต้องใช้ ๒ ทุ่นขึ้นไป ถ้าแพขนาดใหญ่ก็ต้องใช้ ๔ ทุ่นขึ้นไป

เรื่องอย่างนี้จะว่าไปแล้วไม่เกินความสามารถของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง เขาทำได้ ทำเป็นเรือนแพเตรียมพร้อมรับน้ำท่วม ให้ตอกเสาไว้ ๔ มุมพื้นที่จะได้ยึดเรือนแพไว้ น้ำขึ้นก็ลอยสูงขึ้น อาจตอกเสาไว้สัก ๕ เมตร เวลาปกติก็ทำเป็นโคมไฟ เวลาไม่ปกติก็เป็นเสาสำหรับตรึงแพเอาไว้ รับประกันได้ว่าขายดีแน่นอน เป็นหมู่บ้านปลอดน้ำท่วม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-11-2011 เมื่อ 03:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #70  
เก่า 23-11-2011, 18:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "การบวชพระช่วงวันลอยกระทงปิดรับสมัครไปแล้ว ได้นาคมา ๑๑ ท่าน แต่จะอยู่รอดจนได้บวชพระสักกี่ท่านก็ไม่อาจบอกได้ เพราะเคยมีที่โดนไล่ออกตั้งแต่ตอนเป็นนาคมา ๒ รายแล้ว เพราะเขาเอาความเคยชินจากที่อื่นมาใช้ในวัด เขาน่าจะเห็นว่าพระเณรในวัดตั้ง ๓๐-๔๐ รูป ไม่มีใครเปิดวิทยุโทรทัศน์เลยสักคน แต่เขาดันนอนกระดิกเท้าฟังเพลงอยู่คนเดียว แล้วก็เปิดเผื่อแผ่ห้องข้าง ๆ เสียเต็มที่

ที่วัดท่าขนุนห้ามมีเครื่องใช้ไฟฟ้า ยกเว้นที่ใช้ฟังธรรมะเท่านั้น เขาก็อาศัยที่ท่านอื่นใช้ฟังธรรมะมาฟังเพลง จึงต้องให้กลับไปฟังที่บ้านแทน..! ถ้าคิดว่าเลิกฟังได้เมื่อไรแล้วค่อยมาสมัครบวชใหม่ แต่ว่าส่วนใหญ่คนไหนที่โดนไล่ออกไปแล้ว ก็จะขึ้นบัญชีหนังหมาไว้เลย กลับมาอีกก็ไม่รับ..!

ปีหน้าสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เจริญพระชนมายุ ๖๐ พรรษา เป็นวาระสำคัญ ๒ วาระใหญ่ ดังนั้น..ปีหน้าการบวชปฏิบัติธรรมทั้งพระและฆราวาส จะทำเพื่อเฉลิมพระเกียรติทั้งในหลวง สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 27-11-2011 เมื่อ 17:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #71  
เก่า 24-11-2011, 09:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาอยู่ที่วัดถือศีล ๘ ได้ แต่เวลาถือศีลแปดที่บ้านปวดท้อง เกิดจากอะไรคะ ?
ตอบ : กำลังใจตก ถ้ากำลังใจทรงตัวจะไม่เป็น

ถาม : แล้วอย่างที่บ้านเขาบ่นเรื่องหนูไม่ยอมกินข้าวเย็น
ตอบ : บอกเขาว่าหนูอ้วนแล้ว อ้างเรื่องทางโลกนะ อย่าไปบอกเขาว่าเราถือศีล ๘ บอกเขาว่าหนูกลัวอ้วน

ถาม : แล้วเป็นการปรามาสไหมคะ ? เห็นมีพี่เขาบอกว่าตั้งใจไว้แล้วทำไม่ได้
ตอบ : ไม่เป็นหรอกจ้ะ ยกเว้นว่าเลิกถือศีล ๘ เพื่อมากินข้าว กินเสร็จแล้วกลับไปกลับถือศีล ๘ ใหม่ อย่างนี้ปรามาสพระรัตนตรัยแน่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 27-11-2011 เมื่อ 17:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #72  
เก่า 24-11-2011, 12:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรคะว่า เราไม่ได้มองข้ามทุกข์ที่เราเจอประจำ ?
ตอบ : ต้องพิจารณาทุกข์ให้เห็นอยู่ในทุกขณะจิต หรือเราไม่ได้พิจารณาอะไรเลย ?

ถาม : อย่างเช่นน้ำท่วมคราวนี้ ทุกข์ก็จริง แต่เรารู้สึกว่ายอมรับได้
ตอบ : จำที่บอกเมื่อคืนนี้ได้ไหม ? เริ่มตั้งแต่แรกว่ารู้ว่าน้ำมา จนกระทั่งน้ำกำลังจะเข้าบ้าน จนน้ำเข้าบ้านแล้ว ถ้าคนที่วางกำลังไม่ได้ก็จะเครียดสะสมไปเรื่อย คือมองไม่เห็นทุกข์ หรือเห็นทุกข์แต่ปล่อยวางไม่ได้ ถ้าคนที่เห็นทุกข์แล้วปล่อยวางได้ ว่าเป็นธรรมดา การเกิดมาก็ต้องพบกับเรื่องเหล่านี้เป็นปกติ ก็จะไม่เครียด

ถาม : ไม่เครียดค่ะ ไม่ทราบว่าชินชาหรือว่าเรายอมรับได้ ?
ตอบ : บางอย่างถ้ากำลังใจเราดี ก็จะเห็นเป็นปกติ ไม่ได้ตื่นเต้นกับใคร เหมือนกับยอมรับได้ แต่เป็นเพราะกำลังดีจึง "แบก" ไหว ไม่ใช่ปัญญาเห็นทุกข์ แล้วปล่อยวาง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-11-2011 เมื่อ 13:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #73  
เก่า 24-11-2011, 12:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงสันโดษว่า "คำว่าสันโดษ เราต้องตีความให้ถูกนะ วอน์เรน บัฟเฟตต์ก็สันโดษ เพราะว่ารู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี บริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือประชาชนอยู่ตลอด ตัวนี้เป็นยถาสารุปปสันโดษ คือยินดีตามฐานะของตน

ถ้าเป็นยถาพลสันโดษ คือยินดีตามกำลังที่ตนหาได้ ดูอย่างบิล เกตส์สิ เขาหาเงินได้ตั้งเท่าไร อย่างสตีฟ จอบส์ หรือทักษิณ ชินวัตร เพราะฉะนั้น..สันโดษนี่ไม่ใช่จนนะ

แล้วยังมียถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ตนได้มา อย่างเช่นว่าภิกษุบิณฑบาต เขาให้อะไรก็พอใจแค่นั้น ยถาพลสันโดษ คือยินดีตามกำลังที่ตนหาได้ ใครได้มากก็ยินดีตามมาก ใครได้น้อยก็ยินดีตามน้อย

ยถาสารุปปสันโดษ นี่ยินดีตามฐานะของตน เป็นเศรษฐีก็ทำตัวแบบเศรษฐี เป็นคนจนก็ทำตัวเป็นคนจน ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าเป็นคนจนแล้วทำตัวแบบเศรษฐี เดี๋ยวก็โดนเขาค่อนขอดเอา แบบที่เขาเรียกว่าไฮซ้อ ไม่ใช่ไฮโซ ถ้าเป็นโบราณเขาบอกว่ามะพร้าวตื่นดก ยาจกตื่นมี"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-11-2011 เมื่อ 13:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #74  
เก่า 24-11-2011, 13:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าคนมาบ้านวิริยบารมีน้อย ๆ อย่างนี้ทุกเดือนจะดีใจมากเลย เพราะอาตมาจะได้ไม่เหนื่อยมาก พอแก่แล้วกำลังก็ตกไปเรื่อย ที่คนอื่นเขาเห็นว่ายังแข็งแรงอยู่นั้นเป็นแค่กำลังเฉพาะตัว แต่อาตมารู้ว่าตัวเองพยุงร่างกายลำบากขึ้นเรื่อย ๆ บางทีที่การที่อาตมายกของหนักได้มากกว่าคนอื่นเขานั้นเป็นกำลังเฉพาะตัว เหมือนอย่างกับช้าง ช้างแก่ก็ยังยกของหนักได้มากกว่าวัวควายอยู่ดี แต่ก็คือแก่ แค่พยุงตัวเองก็ลำบากแล้ว

ก่อนอายุ ๓๐ พอบวชเข้าไปใหม่ ๆ ได้รับคำสั่งให้ไปดูแลเฝ้าหน้าตึกหลวงพ่อวัดท่าซุง เวลาหน้าหนาวก็ยังใส่แค่อังสะกับสบงทุกวัน รับท่านขึ้นรับท่านลง ท่านมาถึงก็ถามว่า “แกไม่มีเครื่องกันหนาวหรือ ?” กราบเรียนว่า “มีครับ แต่ผมยังไม่หนาว” พอถึงอายุ ๓๐ นี่ไม่ต้องถามเลย วิ่งไปหามาใส่เอง เพราะกำลังตก ร่างกายสู้ความหนาวได้ไม่เหมือนแต่ก่อน

พอมาอายุ ๔๐ ปี ยิ่งแย่ลงไปอีก ก่อนหน้านี้สามารถทำงานหามรุ่งหามค่ำ ๓ วัน ๓ คืนอยู่ได้สบาย พออายุ ๔๐ ปีขึ้น ก็ฝืนไม่ได้ขนาดนั้นแล้ว ทำงานไปถึงเวลาก็ต้องพัก พออายุ ๕๐ ปีนี่แย่แล้ว พักทั้งคืนแต่กำลังพอทรงตัวได้ไม่ถึงเย็น บางทีเวลาทำวัตรเย็นไมค์จะหลุดมือ เพราะกำลังหมด ระยะหลังนี้ให้พระครูน้อยนำสวดมนต์แทน ก็เพราะว่าไม่อยากให้โยมเขาเห็นอาตมาทำไมค์หลุดมือ

พระครูน้อยท่านก็สงสัยว่าทำไมอาจารย์ถึงให้สวดแทน อาตมาบอกว่า "ไม่มีอะไรหรอก ผมแก่แล้ว" ไม่ได้อธิบายให้ท่านฟังหรอก พระครูน้อยเป็นคนเครียดง่าย ถ้ารู้ว่าหลวงพ่ออาการหนักขึ้นมาเดี๋ยวเครียดตายเลย

จากการที่ป่วยเป็นมาเลเรียอยู่ตั้ง ๓๐ ปี ทำให้ตับชำรุด เก็บพลังงานสำรองไม่ได้เหมือนคนทั่วไป จึงเป็นประเภทพักเก็บแรงสักนิดหนึ่งแล้วค่อยใช้ อย่างหลังเพลแล้วมาพักหน่อยหนึ่งก็ลงมาอยู่ได้ บางทีก็นั่งภาวนาว่าเมื่อไรจะ ๔ โมงเย็นเสียที จะได้ขึ้นไปพัก ประมาณ ๕-๖ โมงเย็นก็ลงมา มีพลังใช้งานได้แค่ประมาณ ๒ ทุ่ม

ระยะนี้ได้ยาดีเข้าไปก็อยู่ได้เกิน ๒ ทุ่มหน่อย แต่อย่างไรก็เป็นคนตื่นเช้า แก้นิสัยตัวเองไม่ได้ ตีหนึ่งตีสองก็ตื่นแล้ว คนอื่นเขายังไม่หลับเลย ต้องบอกว่าเป็นธรรมชาติของคนแก่ที่จะตื่นเร็ว เพราะเวลาดูโลกเหลือน้อยแล้ว ต้องรีบตื่นมาถ่างตาดูโลกให้มากเข้าไว้

เวลาไปเจอเพื่อนร่วมรุ่นแล้วจะรู้สึกว่าตัวเองแก่ ถ้าไม่ได้เจอเพื่อนร่วมรุ่นนี่จะไม่รู้สึกหรอก เพราะว่าเพื่อนมีทั้งอ้วน มีเหี่ยว มีหัวล้าน มีหัวหงอก ส่วนอาตมาเสียท่า ไปทีไรเพื่อนจำได้ทุกที ส่วนอาตมานี่เวลาเจอเพื่อนต้องคิดแล้วคิดอีกว่านั่นใครวะ ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-11-2011 เมื่อ 13:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #75  
เก่า 24-11-2011, 13:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมได้ปากกาหลวงปู่หงส์มา ช่วยเสกให้หน่อยครับ
ตอบ : ไม่ต้องแล้ว...ขนาดหลวงปู่หงส์แล้วยังต้องมาให้เสกอีก น้ำเต็มแก้วแล้วเทไปก็ล้นเปล่า ๆ วัดท่านชื่อวัดเพชรบุรีแต่อยู่ภาคอีสาน พอ ๆ กับที่ อำเภอศรีเชียงใหม่อยู่จังหวัดหนองคายนั่นแหละ คนไม่รู้จริงไปหาผิดที่มาเยอะแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-11-2011 เมื่อ 13:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #76  
เก่า 25-11-2011, 09:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในขณะที่พระอาจารย์กำลังลงน้ำมันพระพุทธรูปงาช้าง ท่านกล่าวว่า "คนที่มีงาช้างต้องดูแลรักษาให้เป็น ถ้าดูแลรักษาไม่เป็นแล้วงาจะพังเร็ว ถ้างาแห้งมาก ๆ แล้วมักจะกินตัว คำว่ากินตัวคือจะผุ ถ้าหากว่ามีน้ำมันหรือขี้ผึ้งคอยลงเอาไว้ มีโอกาสก็เช็ดไปเรื่อย เท่ากับว่าเราถวายเครื่องหอมเป็นพุทธบูชา

แต่น้ำมันนี้มีกลิ่นหอมแปลก ๆ พวกเราไม่เคยได้กลิ่นใช่ไหม ? เป็นน้ำมันทานาคา เป็นยาแก้สิวฝ้าของพม่า ไปพม่ามาหลายครั้งอาตมายังไม่เคยเจอคนพม่าเป็นสิวเลย มีโยมเขาเอามาลองทา เขาบอกว่าหน้าแห้งจนเป็นขุย เพราะเขาไม่เคยชิน

พระงาช้างองค์นี้อายุอย่างน้อยน่าจะ ๘๒ ปี เป็นฝีมือช่างหลวงสมัยรัชกาลที่ ๗ แต่น่าทึ่งตรงที่ว่างาชิ้นนี้ใหญ่จริง ๆ เพราะว่านี่เป็นแค่ซีกเดียวแล้วก็ตันด้วย ไม่ทราบว่าอีกซีกได้แกะเป็นพระอีกองค์หรือเปล่า ? ถ้าอยู่ ๆ ใครมีของโบราณที่หน้าตาเหมือนกันก็แปลว่าไปจากชิ้นนี้ ถ้าคนเขารู้คุณค่าเขาจะรักษาดีกว่านี้ นี่เขาปล่อยให้สลายไปตามธรรมชาติ

สาเหตุที่วัดท่าขนุนไม่กล้าทำอะไรมากเพราะรู้ว่าคนรุ่นหลังเขารักษาไม่ไหว ถ้าสร้างพิพิธภัณฑ์ทรงไทยเสร็จเรียบร้อย ก็อาจจะทำที่พักสำหรับญาติโยมสักชุดหนึ่งก็พอแล้ว ตอนนี้ที่พักพระก็เหลือเฟือแล้ว บางที ๔๐ กว่ารูป อย่างล้น ๆ เพราะกุฏิก็มีแค่ ๔๐ ห้อง แต่ทางด้านแม่ชีมีแค่ ๑๑ หลัง ถ้าใครชอบปฏิบัติก็จะให้พักอยู่เดี่ยว ๆ อย่างแม่ชีกุ๋ย แม่ชีเอ๋ ส่วนคนอื่นทั่วไปก็ให้พักรวมกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-11-2011 เมื่อ 17:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #77  
เก่า 25-11-2011, 09:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในขณะที่พระอาจารย์กำลังลงน้ำมันลูกประคำ ท่านกล่าวว่า "ลูกประคำมักจะขี้ฟ้อง ถ้าคนใช้งานบ่อย ๆ ลูกประคำจะเงาสวย ถ้าใช้ไม่บ่อยลูกประคำจะดูไม่ได้เลย พวกประเภทเม็ดแห้งซีดนี่รู้เลยว่าเจ้าของไม่ได้ใช้ภาวนาเลย

สมัยอาตมาบวชใหม่ ๆ ใช้ลูกประคำทำจากลูกหวาย เป็นลอนเล็ก ๆ นับไปจนกระทั่งลื่นเป็นกระจก แต่ว่านิ้วมือสองข้างของอาตมาด้านเป็นเม็ดเลย มีคนเขาเห็นแล้วเขาชอบ อยากได้แบบนั้นบ้างก็เอาเครื่องมาขัด แต่ขัดอย่างไรก็ไม่เหมือน เพราะว่าอาตมาใช้มือนับจนลื่น ค่อยเป็นค่อยไป ใช้เครื่องขัดเร็วเกิน อย่างไรก็ไม่เหมือนกัน"


ลูกประคำเม็ดหวาย (แต่ไม่ใช่ของพระอาจารย์นะคะ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 27-11-2011 เมื่อ 17:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #78  
เก่า 25-11-2011, 10:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในขณะที่พระอาจารย์กำลังทำความสะอาดมีดหมอ ท่านกล่าวว่า "คนใช้อาวุธไม่ว่าจะเป็นมีดหรือปืนจะต้องขยันเช็ดขยันถู ไม่อย่างนั้นสนิมกินหมด นี่ยังดีว่ามีดนี้เป็นเหล็กปลอดสนิม แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ เพราะว่าถ้ามีความชื้นนาน ๆ ก็อาจจะเป็นสนิมได้ หลักการดูแลพวกมีด ฝรั่งเขาสรุปว่า Clean & dry คือต้องทำให้สะอาดและแห้ง

มีดด้ามนี้ใบมีดน่ากลัวมาก ถ้าคนใช้มีดนี้เป็นจะเป็นอาวุธมหาประลัยเลย เขาใช้วิธีกำแล้วชกเอา เขาไม่แทงหรอก..เสียเวลา ถ้าชกผิดก็ดึงกลับมาแล้วปาดซ้ำ สมัยที่อาตมาเรียนทหารอยู่ เขาสอนว่าเวลาแทงต้องตะแคงมีด ทหารเขาจะจับมีดตะแคงข้าง เพราะว่าถ้าแทงตรง ๆ จะติดซี่โครง แต่พวกเราไม่ต้องไปสนใจหรอก ตรงไหนก็จิ้มไปเถอะ ใช้มีดเป็นก็ป้องกันตัวเองได้ในระดับหนึ่ง


มีดหัวเข็มขัด (เล่มนี้ของบ้านจ่าตุ่มค่ะ)

มีเด็กผู้หญิง ม. ๒ คนหนึ่งจัดการพลขับรถเมล์ที่เมาเหล้าแล้วไปจับหน้าอกเขาด้วยมีด โดนเย็บไป ๕๐ กว่าเข็ม ถ้าเป็นอาตมาละก็..ไอ้นั่นโดนเย็บเป็นร้อยเข็ม..! เด็กผู้หญิงเขาเลื่อนมีดคัตเตอร์จนสุดแล้วใช้ฟันเอา มีดคัตเตอร์ใช้อย่างนั้นไม่ได้หรอก เพราะใบมีดไม่แข็งแรงพอ ต้องเลื่อนออกมาสักครึ่งหนึ่งแล้วใช้กรีด แต่นั่นเขาใช้ฟันจนใบมีดหักเลย

ส่วนมีดเล่มนี้ทำมาจากเขาสัตว์ ๒ ชนิด มีเขาวัว เขาควาย และงาช้าง คนทำเขารักงานของเขา ในเมื่อเขารักงานของเขา มีดแต่ละเล่มเขาก็ทำออกมาให้ดีที่สุด เรียกได้ว่ามี ฉันทะ คือความพอใจของเขาเต็มที่อยู่แล้ว วิริยะ ความพากเพียรทำ แต่ละเล่มเขาทำเป็นเดือน ๆ กว่าจะเสร็จ จิตตะ กำลังใจจดจ่ออยู่กับงาน ไม่เสร็จไม่เลิก วิมังสา ทบทวนอยู่บ่อย ๆ ว่าที่ทำไปนั้นดีพอหรือยัง มีแบบไหนที่จะสวยกว่านี้ ดีกว่านี้อีก จะว่าไปแล้วตัวเครื่องแห่งความสำเร็จ คืออิทธิบาทธรรม ทั้ง ๔ ข้อ ต้องมีอยู่ในทุกคน เพียงแต่ว่ามีอยู่แบบรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง

มีดเล่มนี้เขาเรียกว่าทรงหลังค่อม (Hump back) จะมีทรง Drop Point คือทรงปกติ มีแบบมีดพกซ่อน แล้วก็มีทรงเปอร์เซียน ที่ใบมีดโค้ง ๆ เหมือนดาบของชาวเปอร์เซีย"


มีดพับทรง Drop point (เล่มนี้ของบ้านจ่าตุ่มค่ะ)



ลักษณะมีดพกทรง Drop point (เล่มนี้ของบ้านจ่าตุ่มค่ะ)



ลักษณะมีดพกทรงเปอร์เซียน ด้ามเขากวางอิมพาลา (เล่มนี้ของบ้านจ่าตุ่มค่ะ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 27-11-2011 เมื่อ 17:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #79  
เก่า 25-11-2011, 10:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อาวุธของแต่ละชนเผ่าขึ้นอยู่กับการใช้งานของเขา อย่างที่เด่น ๆ เลยก็ซามูไร ซามูไรบอกถึงสภาพจิตใจของเขาว่ากล้าหาญ ทุ่มเท ถ้าลงมือก็หมายความว่าไม่เขาก็เราต้องตายกันไปข้างหนึ่ง เพราะส่วนใหญ่กะฟันทีเดียวจบ แล้วก็มีมีดกรูกรีของพวกชาวกูรข่าของเนปาล พวกนี้เป็นทหารรับจ้าง ช่วงสมัยสงครามโลก สงครามอินเดียพวกนี้ดังมาก


ซามูไร


ทหารกูรข่านอกจากจะเป็นยอดฝีมือแล้ว ยังซื่อสัตย์ต่อเจ้านายชนิดสามารถตายแทนได้ จนกระทั่งทุกวันนี้ทหารที่พิทักษ์พระราชวังอังกฤษก็ยังเป็นทหารกูรข่า ที่เขาไปเปลี่ยนเวรยามกองรักษาการณ์ให้พวกเราดูกัน มีดกรูกรีเป็นอาวุธที่พวกเขาใช้ในเวลาที่ปืนกระสุนหมด เขาจะใช้มีดกรูกรีแทน จะเป็นมีดทรงโค้ง ๆ ลักษณะหักข้อศอก น้ำหนักจะไปหน่วงอยู่ที่ปลาย เวลาฟันมีดจะดึงมือไปเอง เพราะน้ำหนักถ่วงปลายอยู่ ทหารกูรข่านี่เด็ดหัวศัตรูมานับสนามไม่ถ้วนแล้ว"


มีดกรูกรี หรือมีดกูรข่า ใบมีดเหล็กดามัสกัส ด้ามงาช้างสลับเทอร์คอยซ์ ฝังหมุดลาย(เล่มนี้ของบ้านจ่าตุ่มค่ะ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-11-2011 เมื่อ 17:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #80  
เก่า 25-11-2011, 12:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,915 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถ้าไปทางด้านละตินอเมริกาจะมีมีดมาร์เชต์ (Machete) ลักษณะเหมือนกับอีหวดบ้านเรา เป็นมีดหัวตัด แต่ว่าเป็นมีดที่คมบาง ใบกว้าง สันหนา ทหารนาวิกโยธินสหรัฐฯ เคยใช้ถางป่า ถางไปถางมาเจอหมูป่าพุ่งใส่ เขาเบี่ยงหลบ ฟันหมูป่าทีเดียวหัวขาดเลย เราต้องนึกดูว่าหมูป่านั้นหนังเหนียวขนาดไหน..!


มีดมาร์เชต์ (Machete)


พวกมีดที่เขามีรูปทรงเฉพาะของเขา ก็คือผ่านภูมิปัญญาที่สั่งสมกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า จนเหมาะสมต่อการใช้งาน อย่างของไทยเราสมัยก่อนก็มีมีดพร้า มีดหัวปลาหลด มีดพร้านี่ของปักษ์ใต้ เวลาเขาถือพร้าเขาจะถือในลักษณะพาดไหล่บังหูไว้ ป้องกันคู่ต่อสู้จู่โจมข้างหลัง ถ้าเขาฟันมาก็ติดมีด ฟันคอเขาไม่ได้ ส่วนมีดหัวปลาหลด ก็ลักษณะเหมือนดาบยาว แต่ว่าหัวค่อนข้างจะมน"


มีดพร้า



มีดหัวปลาหลด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-11-2011 เมื่อ 17:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:41



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว