กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 22-01-2024, 19:44
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,532
ได้ให้อนุโมทนา: 216,757
ได้รับอนุโมทนา 743,878 ครั้ง ใน 36,244 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 23-01-2024, 00:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,571
ได้ให้อนุโมทนา: 151,699
ได้รับอนุโมทนา 4,411,079 ครั้ง ใน 34,161 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ พวกเราก็เหลือกันน้อยหน่อย เพราะว่าส่วนหนึ่งไปปฏิบัติธรรม ตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อีกส่วนหนึ่งก็ไปเป็นพระวิปัสสนาจารย์ให้กับผู้ปฏิบัติธรรม จะว่าไปแล้วก็เหมือนกับย้ายวัดท่าขนุนไปครึ่งหนึ่ง อาจจะกลายเป็นแรงกดดันสำหรับพระวัดอื่น ๆ ได้

เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าตัวเองจะขาดบ้างเกินบ้าง ก็คงจะเกรงใจ เพราะว่าส่วนใหญ่เขาอยู่กันครบ นี่คือกำลังของ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ท่านทั้งหลายฝึกฝนมา ทำให้เราสามารถที่จะต่อต้านกิเลสได้ในระดับหนึ่ง ก็คือฝืนใจทำในสิ่งที่เราหรือว่าคนส่วนใหญ่ไม่ชอบได้

ดังนั้น..ต่อให้เป็นการปฏิบัติในไตรสิกขาเบื้องต้น ถ้าทำดีทำถูก ก็ก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลกับพวกเราอยู่แล้ว ถ้าหากว่าทำได้ในระดับกลาง หรือว่าในระดับสูง อาจจะจัดการยากด้วย เพราะว่าจะมีการรู้เห็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตามสภาพจิตที่นิ่งสงบของเรา

เพราะว่าโดยปกติแล้ว จิตของเราก็จะกระเพื่อมไปตาม รัก โลภ โกรธ หลง หรืออารมณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ ก็เหมือนกับน้ำที่โดนลมเป่าใส่อยู่ตลอดเวลา กระเพื่อมเป็นระลอก โอกาสที่จะเห็นอะไรก็พร่ามัวเลือนลาง หรือว่าดูไม่รู้เรื่องไปเลย แต่ถ้าหากว่าจิตของเราสงบ ก็เหมือนกับน้ำนิ่ง ย่อมสะท้อนเงาทุกอย่างรอบข้างลงไป เหมือนกับของจริงทุกประการ

เพียงแต่ว่าตรงนี้มีข้อเสียก็คือ เรามักจะจัดการไม่ถูก เนื่องเพราะว่าบุคคลที่ทำมาถึงตรงจุดนี้ อันดับแรกเลย ไม่สามารถจะรักษาภาพนิมิตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เราทั้งหลายจะใช้ความเคยชิน ก็คือพอภาพปรากฏ เราก็จะไปใช้สายตาเพ่งดูเพื่อให้ชัด การที่เราจะเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด สภาพจิตของเราต้องเป็นสมาธิสูงได้ระดับนั้นพอดี การที่เรานึกจะใช้สายตาเพ่ง ก็คือการที่เราลดกำลังสมาธิลงมา เพื่อรับรู้ความรู้สึกทางร่างกาย สิ่งที่เราเห็นก็จะหายไป พอเราภาวนาต่อ ใจสงบ สิ่งเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นอีก พอเราตั้งใจเพ่งดู ก็หายอีก บางท่านติดอยู่อย่างนี้เป็นสิบปีเลยก็มี..!

แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายอ่านในวิสุทธิมรรคก็ดี หรือว่าคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงก็ตาม ท่านจะบอกว่า "อย่าไปสนใจในนิมิตเหล่านั้น" แต่เป็นเรื่องที่แปลกมากว่า ยิ่งเราไม่สนใจ นิมิตทั้งหลายเหล่านั้นจะยิ่งปรากฏชัดและอยู่ได้นาน

นี่คือวิธีรับมือกับนิมิตต่าง ๆ ซึ่งต้องอาศัยอุเบกขาเป็นอารมณ์ ก็คือจะมาก็มา จะไปก็ไป เราไม่ได้ใส่ใจ
ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ก็ดูลมหายใจเข้าออก ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ กำหนดรู้คำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลง กำหนดรู้ว่าลมหายใจเบาลง ถ้าลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป ก็แค่เอาสติตามรู้ไปเท่านั้น อย่าดิ้นรนออกจากสภาพเช่นนั้นเพราะความกลัวตาย

เนื่องเพราะคิดว่าถ้าไม่หายใจแล้วเราจะตาย แล้วก็อย่าพยายามบังคับตัวเองให้เข้าสู่สภาวะแบบนั้น เนื่องเพราะว่าถ้าเราไม่มีความชำนาญในการเข้าออกสมาธิ การที่จะบังคับตนเองให้เข้าสู่สภาวะเช่นนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เท่ากับว่าเป็นความฟุ้งซ่าน กำลังใจยิ่งฟุ้งซ่าน โอกาสที่เข้าถึงยิ่งไม่มี

แล้วนิมิตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนใหญ่ก็มักจะพาให้เสียมากกว่าดี จนกว่าที่กำลังใจของเราจะไปได้ถึงระดับหนึ่ง ก็คือในระดับที่ รัก โลภ โกรธ หลง เบาบางลง นิมิตทั้งหลายเหล่านี้ก็จะมีความถูกต้อง ชัดเจนมากขึ้นไปตามลำดับ เพราะว่าไม่โดนชักนำ หรือว่าปรุงแต่งด้วยกิเลสในใจของเรา จนกระทั่งทำให้ผิดเพี้ยนไป เฝือไป หรือพลาดไปเลยก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2024 เมื่อ 01:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 23-01-2024, 00:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,571
ได้ให้อนุโมทนา: 151,699
ได้รับอนุโมทนา 4,411,079 ครั้ง ใน 34,161 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในสมัยที่ยังอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง มีอยู่วันหนึ่ง ท่านลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์ด้วยกัน แล้วให้โอวาท ท่านบอกว่า "พวกแกทั้งหมดยังไม่มีใครได้มโนมยิทธิอย่างแท้จริงเลย" กระผม/อาตมภาพก็นั่งอ้าปากหวอ..! เพราะว่ากฎเกณฑ์กติกาของวัดท่าซุงในสมัยนั้นก็คือ ใครจะบวชต้องฝึกมโนมยิทธิได้ก่อน ต้องสามารถรู้เห็นนรกสวรรค์ให้ได้ก่อน เพื่อที่จะได้รู้ว่าถ้าเราทำชั่วแล้วจะไปไหน ถ้าเราทำดีแล้วจะไปไหน ในเมื่อรู้ชัดเจนแล้ว ถ้ายังเลือกที่จะทำชั่วอีกก็ตามใจ..!

เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยว่า แล้วสิ่งที่พวกกระผม/อาตมภาพทำได้นั้นคืออะไร ? พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอกว่า "ผู้ที่จะได้มโนมยิทธิอย่างแท้จริงต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น เพราะว่าจิตของท่านจะสะอาดจนกิเลสเกาะไม่ได้ โอกาสที่นิมิตทั้งหลายจะปรุงแต่งหลอกลวงท่านได้นั้นยากมาก สำหรับบุคคลอื่น มีแต่จะโดนหลอกลวงได้ตามลำดับลงมา ยิ่งเป็นปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส ยิ่งมีโอกาสโดนหลอกลวงชักนำได้ง่ายที่สุด"

เราจะเห็นว่าหลายต่อหลายราย พอถึงเวลาก็กลายเป็นอาจารย์ใบ้หวย แล้วเรื่องเหล่านี้ก็แปลกมาก ก็คือถ้าหากว่าเราบอกคนอื่น มักจะถูก แต่ถ้าคิดจะเล่นเองเมื่อไร ความโลภที่เกิดขึ้น จะทำให้ผิดพลาดได้ กระผม/อาตมภาพทดลองมาด้วยตนเองแล้ว ก็คือถ้าเล่นเลขท้าย ๓ ตัวก็จะออกแค่ ๒ ตัว ถ้าเล่น ๒ ตัวจะออกแค่ตัวเดียว ถ้าเล่นตัวเดียวไม่ออกเลย เหมือนอย่างกับแกล้งให้เราเสียเงินให้เข็ด แต่ถ้าบอกคนอื่นเมื่อไรกลับแม่น..!

เมื่อมาพินิจพิจารณากันตั้งแต่ต้นยันปลาย ปลายยันต้น พอประสบการณ์มากขึ้น ถึงได้รู้ว่าตอนที่เราให้ผู้อื่นนั้น เราแทบจะไม่ได้หวังประโยชน์อะไรเลย จิตใจมีความสะอาดมากกว่า อนาคตังสญาณที่จะกำหนดรู้จึงชัดเจนกว่า แต่ถ้าหากว่าเราหวังที่จะเล่นด้วยตนเอง แปลว่าความโลภเกิดแล้ว ในเมื่อกิเลสนำหน้า ตัณหานำทาง ญาณต่าง ๆ ก็ย่อมมืดมัวไปตามกิเลสที่เกิดขึ้น โอกาสที่ผิดพลาดก็จะมีมาก

แล้วอีกส่วนหนึ่งก็คือ เมื่อมีความสามารถเหล่านี้เกิดขึ้น เรามักจะจัดการได้ยาก ถ้าเป็นภาษิตจีนมักจะใช้คำว่า "คนอยู่ในยุทธจักรไม่เป็นตัวของตัวเอง" เนื่องเพราะว่าพอเราทำได้แล้วมีคนรู้เข้า ก็จะเกิดสองสถานะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คือคนไม่เชื่อก็ว่าเราบ้า แต่ว่าคนที่เชื่อก็จะมารบกวนชนิดหัวไม่วาง หางไม่เว้น จนกระทั่งเราเองไม่มีเวลาปฏิบัติ แล้วสิ่งที่ทำได้ก็จะเสื่อมไป

หลังจากนั้นแล้ว ถ้าจัดการตัวเองไม่ถูก เสียดาย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่เคยได้ ก็จะใช้วิธีหลอกลวงคนอื่นเขา ก็คือไม่บอกว่าวิชาเสื่อมแล้ว แต่ใช้วิธีมั่วเอาแทน ดังนั้น...เรื่องพวกนี้พอเกิดขึ้นกับนักปฏิบัติธรรมแล้ว จะจัดการได้ยากมาก ถึงยากที่สุด แต่ถ้าจัดการได้ถูกต้อง ก็สร้างประโยชน์ให้ได้เหมือนกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2024 เมื่อ 02:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 23-01-2024, 00:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,571
ได้ให้อนุโมทนา: 151,699
ได้รับอนุโมทนา 4,411,079 ครั้ง ใน 34,161 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพียงแต่ว่าพวกกระผม/อาตมภาพนั้น หลังจากที่ฝึกปฏิบัติไปนาน ๆ แล้ว เท่าที่สอบถามจากพี่ ๆ น้อง ๆ ในยุคนั้นทั้งหมด ท้ายสุดก็เหลือคาถาบทเดียวกัน คือ "กูไม่เชื่อ" เพราะว่าเผลอเมื่อไรก็จะโดนหลอกทันที แล้วการหลอกนั้น ความจริงก็คือการทดสอบกำลังใจของเรา เพียงแต่ว่าเรามักจะรู้ไม่เท่าทันว่านั่นคือข้อสอบ เนื่องจากว่ามาในแง่มุมที่ไม่เคยซ้ำกันเลย กว่าจะรู้ตัวก็โดนหลอกหัวทิ่มหัวตำ จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก ต้องตะเกียกตะกายปฏิบัติใหม่กันเป็นสิบวัน ครึ่งเดือน หรือเป็นเดือน ๆ ตามแต่อาการหนักเบาของแต่ละคน กว่าที่จะทรงตัวได้เหมือนเดิม

เมื่อโดนจนกระทั่งเข็ด ไม่อยากที่จะหกล้มหกลุกอีกแล้ว ก็ใช้วิธีเมิน เลิกเชื่อ เลิกสนใจ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติในเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา แทน พยายามทบทวนศีลของตนเองให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ซักซ้อมสมาธิให้เข้าออกได้คล่องตัวทุกเวลาที่ต้องการ ท้ายสุดก็ใช้ปัญญาพิจารณาว่า ตราบใดที่เรายังเกิดอยู่ เราก็ต้องทุกข์อย่างนี้อีก ขึ้นชื่อว่าการเกิดแบบนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก แล้วเอากำลังใจเกาะภาพพระ หรือว่าเกาะอารมณ์พระนิพพานแทน ทำให้สามารถที่จะลอยตัวอยู่เหนือกิเลสต่าง ๆ ได้ชั่วคราว

ถ้าหากว่าเผลอเมื่อไรก็ตกลงไปในวังวนกิเลสใหม่ แต่ว่าถ้าทำถึงระดับนั้นได้แล้ว ก็จะเหมือนกับมีพื้นฐานรองรับ ก็คือจะตกไม่นาน เริ่มเคยชิน เริ่มหน้าด้าน กำลังใจตกก็ตั้งต้นใหม่เดี๋ยวนั้นเลย แล้วท้ายที่สุด เมื่อเราไม่หวั่นไหว ไม่สะทกสะท้าน การตกแบบนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นอีก แต่ว่าเป็นเรื่องที่พวกเราต้องใช้ความเพียรพยายามเป็นอย่างสูง

บรรดานิสิตที่ไปปฏิบัติธรรมในวันนี้เป็นการไปโดยหลักสูตรบังคับ ไม่ใช่กำลังใจที่แท้จริง แต่ถ้าหากว่าใครตั้งใจ อาจจะได้ประโยชน์ที่คิดไม่ถึง ส่วนท่านที่ไม่ตั้งใจ ก็ได้มากน้อยไปตามสิ่งที่ตนเองกระทำ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมของแต่ละคน ถ้าช่วงของกุศลเข้ามาส่ง ก็อาจจะได้ดีจนคิดไม่ถึง ถ้าช่วงของอกุศลเข้ามาขวาง ก็อาจจะกลายเป็นโทษ เพราะว่าไปนึกตำหนิติเตียนด่าว่าอยู่ในใจตลอดเวลา สภาพจิตใจแทนที่จะผ่องใส ว่างจากกิเลสชั่วคราวจากการปฏิบัติธรรม กลับกลายเป็นแบกกิเลสหนักขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ต้องใช้คำว่า "ตัวใครตัวมัน..!"

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๒๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2024 เมื่อ 02:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:39



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว