กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม

Notices

กระทู้ธรรม รวมข้อธรรมะจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติ

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #161  
เก่า 16-11-2010, 08:52
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

กราบพระพุทธบาทเมืองบาดาล

ได้บอกกับทุกคนว่าลงไปดูก่อน หากไม่มีงูใหญ่มาขวางทางก็จะได้ไปกราบรอยพระพุทธบาท เอาบุญบารมีพร้อม ๆ กัน ทั้งอยากเห็นว่าจริงหรือไม่ ? จึงพากันลงไปจนถึงพื้นล่าง

พบธารน้ำกว้างพอสมควร น้ำใสเย็นมาก ต้องเดินลุยตามธารน้ำไป แต่ก็ไม่มีอะไรมาขวางทาง ความสวยงามไม่ต้องพูดถึง มีถ้ำเล็กถ้ำน้อยให้ได้ดูตลอดทาง ๕ ชั่วโมงที่เดินไปจนถึงจุดหมายปลายทาง

เดินสุดทางน้ำขึ้นไปบนเนินมีลานกว้าง สะอาดอย่างกับมีคนคอยดูแล พบรอยเท้าข้างขวาขนาดใหญ่ประทับอยู่บนหิน เห็นชัดว่าเป็นรอยเท้าข้างขวาลึกลงไปในหินพอสมควร ในรอยเท้านั้นมีน้ำใสเหมือนตาตั๊กแตน ส่องไฟไปกระทบจะสะท้อนเป็นประกายจึงก้มลงกราบกัน จุดรูปเทียนสวดพระพุทธมนต์ถวาย ต่างขอบารมีตามอัธยาศัยของแต่ละคน

น่าสังเกตน้ำในรอยเท้าไม่ทราบมาจากไหน เต็มปริ่มไม่ล้นออกมาข้างนอกรอยเท้า ขณะที่สวดมนต์อยู่นั้นพรรคพวกที่ไปด้วยบางคนเกิดจิตปรุงแต่ง ไม่เชื่อถือก็บังเกิดอาการหนาวสั่น!!! เย็นเข้าไปถึงกระดูก เขาบอกกับข้าพเจ้า

อีกคนหนึ่งเขาบอกว่าตัวเขาไม่เห็นเป็นเลย อาการเช่นเดียวกันก็เกิดกับบุคคลนั้น!!! เขาเรียกข้าพเจ้าว่า “พ่อ จะทำอย่างไรดี หนาวเหลือเกิน ปวดเข้ากระดูกทนไม่ไหวแล้ว” คนอื่น ๆ ที่ไม่ลบหลู่ก็ปกติดี

จึงบอกให้ทั้งสองคนจุดธูปเทียนขอขมากรรม อาการดังกล่าวก็หายสิ้น!!! เป็นการแสดงอานุภาพอันทรงศักดิ์สิทธิ์เหมือนเป็นการปรามทุกคนให้รู้ว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” ทุกคนก้มลงกราบอีกครั้งด้วยความเคารพ ได้ขอน้ำในรอยพระพุทธบาทมาดื่ม มาล้างหน้ากัน ได้เวลาก็เดินทางกลับถึงปากถ้ำก็มืดพอดี

คืนนั้นหลวงพี่บอกว่า “อยากพาไปพบครูบาอาจารย์ของท่าน อยู่ในป่าที่เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้ไปศึกษากับท่าน ท่านจะพูดแต่อภิธรรม หากสนใจวันหลังจะพาไป” วันรุ่งขึ้นก็ลาหลวงพี่กลับกรุงเทพมหานคร

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-11-2010 เมื่อ 14:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 88 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #162  
เก่า 17-11-2010, 08:59
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ตั้งแต่นั้นมา หลวงพี่ทองสุกก็ได้แวะเวียนไปหาที่กรุงเทพมหานครตลอดเวลา ทุกครั้งจะชวนไปพบอาจารย์ของท่าน จนกระทั่งตกลงจะไปได้นัดแนะกันแล้ว ท่านก็มารับพวกเราไปปฏิบัติธรรมที่เขาค้อ

ไปพบหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ท่านเป็นพระป่าเพียรใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ธรรมของท่านลึกซึ้ง พวกเราสนทนาธรรมกับท่านจนสว่าง อยู่ที่นั่นสองวันก็เดินทางกลับ แต่ก็ได้แวะเวียนไปสนทนาธรรมกับท่านอยู่หลายครั้ง ไปบ่อยมาก

ธรรมของท่านฟังไม่เบื่อ ได้ซักถามหัวข้อธรรมที่ติดค้างใจ ทั้งแนวทางในการเจริญกรรมฐาน หลวงพ่อท่านอธิบายอย่างละเอียดถี่ถ้วน สอนจนเข้าใจ ได้พูดคุยกันทั้งคืนทุกครั้ง เมื่อท่านอบรมพวกเราจนเห็นว่าเข้าใจอะไรมากขึ้น ท่านจึงชวนให้เข้าไปปฏิบัติธรรมในป่ากับท่าน พร้อมกับหลวงพี่ทองสุกและหลวงพี่ณรงค์

ข้าพเจ้าได้ถามพรรคพวกที่ไปด้วยว่า “สนใจไหม?” ทุกคนตอบสนใจ จึงกำหนดวันจะเข้าไปปฏิบัติธรรมร่วมกับหลวงพ่อในป่าลึก เดินกันไปศึกษาธรรมชาติไป จนถึงจุดหมายที่หลวงพ่อกำหนดไว้ เป็นสถานที่ร่มรื่นสวยงาม มีธารน้ำไหลผ่านสะดวกเรื่องน้ำกินน้ำใช้ เหมาะสำหรับใช้เป็นที่ปฏิบัติเจริญจิต พวกเราชอบกันมาก

เวลาเย็นมากแล้วอยู่กลางป่ามืดเร็วกว่าปกติ จึงช่วยกันจัดหาที่ทางปักกลดกันเป็นระยะ ๆ ไม่ห่างกันนัก ตกกลางคืนเงียบวังเวง เงียบจนน่ากลัว ได้สนทนาธรรมกับหลวงพ่อจนเที่ยงคืน ต่างก็แยกไปปฏิบัติในกลดของตนเอง บ้างก็นอน บ้างก็นั่งสมาธิเจริญจิตตามอัธยาศัย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #163  
เก่า 18-11-2010, 09:58
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พบระฆังแก้ว ระฆังทอง

เวลาประมาณตีสอง ทุกคนหลับสนิทเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ขณะที่ข้าพเจ้านอนอยู่ได้มีแสงสว่างจ้า จ้าจนแสบตา ทั้ง ๆ ที่นอนหลับตาอยู่ ความสว่างของแสงเหมือนหนึ่งเรามองดูพระอาทิตย์ นึกประหลาดใจว่าแสงอะไร!!!

เมื่อลืมตาดู แสงค่อย ๆ จางลง มองเห็นเป็นระฆังทองกำลังลอยอยู่ข้างหน้า จึงลุกออกจากกลด ระฆังทองยังคงลอยอยู่เช่นนั้น ยื่นมือไปจะจับดูว่า มันจริงหรือไม่จริง ระฆังทองใบนั้นก็หายไป!!! นั่งมองเฉย ๆ อยู่ ๆ ก็ลอยมา จะจับก็หาย !!! เป็นอยู่เช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า

จึงถามว่า “ของจริงหรือฝันไป หากไม่ให้จับขอเอาไม้เคาะหน่อยได้ไหม? จะได้รู้” พูดแล้วจึงเอาไม้เคาะดู ได้เคาะอยู่หลายครั้ง มีเสียงแว่วกังวานทุกครั้ง


จากนั้นมีระฆังแก้วใสลอยมาเมื่อระฆังทองลอยหายไป จับไม่ได้เช่นกัน ใช้ไม้เคาะดังจนแสบแก้วหู แต่กลับไม่มีใครตื่น!!! ทุกคนหลับสนิท อะไรก็ช่าง!!! ทำไมจึงจะได้พบ ได้รู้ ได้เห็น ในสิ่งแปลก ๆ !!! แล้วทำไมไม่ให้คนอื่นรู้ด้วย?เพื่อเป็นประจักษ์พยานบุคคล ยังเป็นปริศนาอยู่จนถึงทุกวันนี้ หรือเป็นวาระเฉพาะของบุคคลผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจึงรู้ไม่ได้ พบไม่ได้ เห็นไม่ได้ หรือเพื่อสร้างแรงบันดาลใจกับข้าพเจ้าให้เร่งภาวนา เพื่อให้หลุดพ้นจากการเป็นทาสของกิเลส รับใช้กิเลส จมปลักอยู่กับกิเลส เมาหมกอยู่กับกิเลสจนตาย แล้วคนอื่น ๆ เล่า ก็ไปปฏิบัติทุกข์ยากร่วมกัน ทำไมจึงไม่ให้เขาเหล่านั้นได้พบเห็น!!!

แต่ก็มีคำตอบอยู่อย่างหนึ่งที่พอจะอธิบายได้ ผลที่ปรากฏกับข้าพเจ้าได้แก่ ความศรัทธา มีความขยันหมั่นเพียรที่เพิ่มขึ้น มีจิตมั่นคง อดทน ละความลังเลสงสัยในจิตให้เบาบางลง มีจิตละเอียดอ่อนขึ้น รู้จักตัวเองมากขึ้น หนีจากการตกเป็นทาสอารมณ์ของตัวเองได้ มองดูรู้เห็นการเปลี่ยนแปลงของจิตภายในจิตของเราอย่างเป็นระบบ ละพยศ ลดมานะภายในจิตลงอย่างเห็นได้ชัดเจน มีความเชื่อตามเหตุผล มีสติสัมปชัญญะเจริญในจิตตลอดเวลา สามารถกำราบจิตของตนเองไม่ให้อหังการ จิตอ่อนโยนละเอียดประณีตมากขึ้น

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2010 เมื่อ 10:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 89 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #164  
เก่า 19-11-2010, 07:38
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เรื่องที่ได้พบข้าพเจ้าพิจารณาแล้วว่าจะไม่เล่าให้ผู้ร่วมปฏิบัติรับรู้ ดูเหมือนจะเป็นความลับที่ไม่สมควรเปิดเผย *เพราะหากจะให้มีผู้ใดได้รับรู้แล้ว เมื่อตอนใช้ไม้เคาะ เกิดเสียงดัง!! ก็คงจะปลุกให้ทุกคนตื่นขึ้นอย่างแน่นอน

ตั้งใจว่าหากมีผู้หนึ่งผู้ใดรู้เห็นเหตุการณ์ ก็จะต้องมีผู้ถามไถ่จึงจะเล่าให้ฟัง ไม่เช่นนั้นอาจมีผลกับตัวข้าพเจ้าก็ได้ จึงจะเก็บเป็นความลับ รู้เห็นเฉพาะตน พบเฉพาะตน หากผู้หนึ่งผู้ใดมีบุญคงจะได้พบเห็น และคงจะมาปรากฏให้ได้เห็นอย่างข้าพเจ้าเป็นแน่

ทั้งคิดว่าหลวงพ่อท่านคงจะรู้ หากท่านถามก็จะเล่าให้ทุกคนรับฟัง คงไม่เป็นโทษ ทั้งนี้เพราะเราไม่ได้เอามาพูดเอง มีผู้อื่นรู้เห็นซักไซ้ให้เราเปิดเผย จึงน่าจะไม่ใช่สิ่งที่เปิดเผยไม่ได้ หากไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดถามก็จะปล่อยให้เป็นความลับต่อไป*

ตอนเช้าหลวงพี่ทองสุกพาพวกเราเดินไปเหนือลำธาร ไปดูธรรมชาติ เดินไปเห็นก้อนหิน โขดหินที่ลำธารไหลผ่านมีสีดำเป็นประกายเงาคล้าย ๆ ปีกแมลงทับ นึกเอะใจ !!!

ตามที่รู้มาจากคำบอกเล่าของพระธุดงค์ ได้ถามหลวงพี่ ท่านบอกว่า “มันแปลก” เป็นอย่างที่เห็นทั้งลำธาร หลวงพี่บอก “ยิ่งแปลกกว่าที่เห็นอีก หอยขมที่อยู่ในน้ำทุกตัวจะถูกตัดก้นหมดทุกตัว หอยทุกตัวยังมีชีวิตอยู่!!!” ท่านจึงลงไปเอาขึ้นมาให้ดูกันทุกคน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 19-11-2010 เมื่อ 10:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 85 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #165  
เก่า 22-11-2010, 07:37
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

จึงถามหลวงพี่ว่า “ทำไมเป็นอย่างนั้น?” ท่านบอก “ไม่รู้นะ แต่มีตำนานเล่ามา” ท่านจึงเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ทุกคนพิจารณาหอยทุกตัวที่เอาขึ้นมาพร้อมทั้งฟังหลวงพี่เล่าตำนานอย่างสนใจ สำหรับข้าพเจ้าไม่ค่อยได้ฟังนัก มัวแต่คิดเรื่องต่าง ๆ รำพึงอยู่กับจิต นี่เราเข้าเขตชั้นนอกของเขาพนมฉัตรแล้วหรือ? เราเริ่มพบเส้นทางจะเข้าตามที่หลวงปู่เคยบอกไว้แล้ว ใช่ไหม?

นี่อาจเป็นการดลใจของหลวงปู่ให้ได้มาปฏิบัติที่นี่ ให้ได้พบเส้นทางจะเข้าเมืองแดนทิพย์ชั้นนอก แสดงว่าบริเวณนี้เป็นเขตเขาพนมฉัตรแน่ ระฆังแก้ว ระฆังทองเมื่อคืนคงเป็นสัญญาณบอกอะไรบางอย่างแน่นอน เหมือนจะบอกว่าใกล้ถึงแล้วแดนลี้ลับที่ทุกคนตามหา อยากเข้าไป อยากได้รู้ได้เห็นเป็นบุญวาสนา

ข้าพเจ้านั่งคิดไปเรื่อย ๆ จนพรรคพวกร้องเรียกจึงตื่นจากความคิดนั้น ได้เก็บเอาความสงสัยเอาไว้ในใจ คุมสติให้มั่นคง ไม่ตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้พบ จิตสงบเป็นปกติ

วันนั้นทั้งวันไม่มีใครถามถึงเหตุการณ์ตอนกลางคืนที่ผ่านมา หลวงพี่ก็ไม่ได้ถาม ท่านปฏิบัติของท่าน พวกเราก็แยกย้ายกันหาที่สงบปฏิบัติธรรมกันเฉพาะตัว ส่วนข้าพเจ้าได้ที่เหมาะนั่งทบทวนเหตุการณ์เกิดความปีติในใจ เราอาจมีบุญจะได้เข้าแดนลี้ลับไม่วันใดก็วันหนึ่ง หลวงปู่คงจะดลใจพาเข้าไปเป็นแน่ นั่งคิดพิจารณาอยู่มีคำถามเกิดขึ้นมามากมาย เช่น แล้วทำอย่างไรเราถึงจะรู้ได้ว่า เราได้เข้าไปแล้วและเป็นเขาพนมฉัตรจริง? มีคำถามอีกมากมายที่จะคิด

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-11-2010 เมื่อ 16:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 82 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #166  
เก่า 23-11-2010, 07:42
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

อาบน้ำทิพย์จากน้ำตก

คืนที่สองหลังสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ เมื่อแยกย้ายกันเข้ากลดของแต่ละคนแล้ว บ้างก็นั่งสมาธิ บ้างก็นอน บ้างก็นั่งคุยกัน ส่วนข้าพเจ้านั่งสมาธิอยู่ในกลดเป็นเวลาเท่าไหร่ไม่ทราบ

มีแสงสว่างจ้ามาแต่ไกล จิตขณะนั้นได้เจริญอยู่ในองค์ฌาณสี่ *จิตตกในอุเบกขารมณ์ อยู่ในขั้นสุญญตาสมาธิ จิตนั้นมีความสบาย สงบ ปลอดโปร่ง สงบแน่นิ่งไม่มีอารมณ์ใด ๆ ปรุงแต่งมารบกวน จิตแปลงรูปออกจากกายเป็นแสงพุ่งออกมาด้านหน้าผาก มารับกับแสงสว่างที่มาจากแดนไกล แสงที่ออกจากหน้าผากของข้าพเจ้าก่อตัวเป็นรูปใส มายืนดูกายหยาบของตัวเองที่นั่งเจริญกรรมฐานอยู่

ได้ยืนพิจารณาขันธ์อยู่พักหนึ่ง รูปทิพย์จึงเคลื่อนไปดูทุกคนที่กำลังหลับอยู่ในกลด เลยไปดูหลวงพ่อที่กำลังนั่งสมาธิ ท่านนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว ที่หลวงพ่อมีแสงสว่าง แล้วเลยไปดูหลวงพี่ทั้งสององค์กำลังจำวัด ย้อนกลับไปดูผู้ร่วมปฏิบัติทีละคน ยืนพิจารณาธรรมจากรูปขันธ์ มองเห็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตมองเห็นเวทนาที่เราติดอยู่กับสิ่งที่ไม่มีตัวตนให้เป็นสิ่งที่มีตัวตน

สร้างอนิจจังความไม่เที่ยงให้มีความเที่ยง จนเกิดความทุกข์เพราะความไม่เที่ยง จิตยึดติดเป็นอุปาทานในสัญญา เป็นอย่างนี้ด้วยอำนาจของอวิชชา ก่อให้เกิดสังขารปรุงแต่งบังเกิดวิญญาณความรู้สึกสืบต่อกันไปอย่างนี้ เป็นวงจรของความทุกข์และสุขไม่มีที่สิ้นสุด ยืนปลงกิเลสอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน

ไปยืนดูรูปกายตัวเองอีกพักหนึ่งจึงลอยตัวไปยังแสงสว่างที่อยู่ด้านหน้า จิตอยากรู้ว่าเป็นอะไร? เมื่อรูปทิพย์ของข้าพเจ้าไปใกล้เห็นน้ำตก ที่ตกมาจากหน้าผาสูงที่ไปดูมาตอนกลางวันนั่นเอง แต่ตอนกลางวันนั้นไม่เห็นว่ามีน้ำตกจากหน้าผานั้น

จึงเดินสำรวจรอบบริเวณเพื่อจดจำไว้ คิดว่าพรุ่งนี้จะมาดูอีกครั้งให้เห็นจริง เดินเลยไปยืนอยู่หน้าน้ำตก สังเกตหินที่ยืนอยู่ ทั้งสภาพรอบ ๆ จดจำไว้ในจิต ทั้งต้นไม้ กิ่งไม้ พุ่มไม้ และจำได้ว่าน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผานั้น มีแสงสว่างเป็นประกาย น่าแปลกตรงที่ว่าน้ำนั้นตกลงมาเกือบถึงพื้นก็จางหายไป!!!

รูปทิพย์ได้เข้าไปอาบน้ำตกจนเปียกทั้งตัว แต่ที่เท้าไม่เปียก น้ำนั้นเย็นชื่นใจ เมื่อได้อาบน้ำทำให้จิตเบิกบาน เมื่อน้ำถูกตัวมีแสงวิ่งเข้าไปในกายของเรา (รูปทิพย์) ทำให้กายของเราบังเกิดแสงสว่าง เมื่ออาบน้ำทิพย์จากน้ำตกเรียบร้อยก็กลับมายังกายรูป ยืนพิจารณาอยู่พักหนึ่งก็กลับเข้ากายรูปตรงหน้าผากเหมือนตอนออกไป เมื่อออกจากกรรมฐานก็จำเหตุการณ์ที่บังเกิดได้หมด
*

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2010 เมื่อ 09:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 88 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #167  
เก่า 24-11-2010, 08:50
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

รุ่งขึ้นเสร็จกิจแล้ว จึงชวนกันขึ้นไปเหนือลำธารอีกครั้งหนึ่ง เพื่อไปดูหน้าผาที่มีน้ำตกลงมา ไปยืนที่ก้อนหินก้อนที่ยืนเมื่อคืน หินทุกก้อนที่จำไว้ไม่เคลื่อนไปไหน ทั้งต้นไม้ กิ่งไม้ พุ่มไม้ ก็เหมือนที่เห็นทุกประการ ผิดที่ไม่มีน้ำตกจากหน้าผาเท่านั้น

ข้าพเจ้าเริ่มคิด เมื่อคืนนี้เรามาที่นี่จริง ๆ แต่มาเป็นรูปทิพย์ และที่เราไปดูทุกคนไปยืนพิจารณาขันธ์ก็จำได้ทุกประการ จึงคิดต่อไปว่า นี่กระมังคำตอบที่ว่า ที่นี่เป็นเขตแดนเขาพนมฉัตรชั้นนอกอันเป็นดินแดนแห่งความลี้ลับ นี่เป็นเพียงข้อสงสัยจึงไม่ได้พูดกับใครในเรื่องนี้ รอการพิสูจน์ความจริงก่อน

อยู่ปฏิบัติจนครบห้าคืนก็เดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ก่อนจะกลับหลวงพ่อได้เรียกเข้าไปปรึกษา ท่านบอก “จะเข้าไปปฏิบัติในป่าลึก ๕ คืน จะไปด้วยกันไหมในวันเข้าพรรษา” ข้าพเจ้าตรึกตรองแล้ว ทบทวนเหตุการณ์แล้ว คิดว่าอาจเป็นโอกาสเข้าแดนลี้ลับก็ได้ จึงตอบว่าจะไปด้วย พร้อมนัดวันเวลากำหนดการเดินทาง

ถึงวันเดินทางเข้าป่า คณะได้ไปพบหลวงพ่อตามวันเวลาที่ได้นัดหมาย กินข้าวเสร็จก็ออกเดินทางเข้าไปในป่าคนละเส้นทางกับครั้งก่อน นั่งรถออกจากสำนักที่พักของหลวงพ่อไปจอดรถไว้ชายป่า ออกเดินทางพร้อมแบกสัมภาระเดินผ่านที่ต่าง ๆ ไปไกลมาก เดินตั้งแต่เช้าถึงที่พักที่จะปฏิบัติประมาณสี่ทุ่มเศษ ขึ้นเขาลงเขา ผ่านทุ่งหญ้า ผ่านป่า สุดท้ายต้องปีนลงจากยอดเขาสูง ตอนปีนลงไม่รู้ว่าสูงเพราะเป็นเวลากลางคืน ช่วยประคองกันลงไป เกาะแง่หิน รากไม้ ลงไปถึงพื้นล่าง มีลำธารน้ำไหลผ่านเช่นกัน

จัดที่พักกันแล้วดูไม่ยุ่งยาก เนื่องจากหลวงพี่ทั้งสองได้เตรียมพื้นที่พร้อมทั้งอุปกรณ์ในการทำอาหารไว้ล่วงหน้าแล้ว คืนนั้นทุกคนพักผ่อนเพราะเดินทางกันมาเหนื่อยทั้งวัน ในป่าไม่มีอะไรน่ากลัว เรากลัวกันเอง จิตมันปรุงแต่งให้เกิดความกลัวไปต่าง ๆ นานา เข้าไปแล้วก็ไม่มีอะไร

พวกสัตว์ร้ายทั้งหลายที่เราหวาดระแวง พวกเขากลัวเราจะทำร้ายด้วยสัญชาตญาณจึงหลบ ยกเว้นจวนตัวหรือจนตรอกก็จะสู้สุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น

สัตว์ที่น่ากลัวที่สุดสมควรระวังให้มากก็คือ สัตว์มนุษย์ ที่เราผจญอยู่ทุกวัน ต้องพบกับอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งคิดดี คิดชั่ว อีกทั้งหาทางประทุษร้ายอย่างแนบเนียน แยบยล ทั้งกระทำอยู่ตลอดเวลา ทั้งรัก ทั้งชัง ทั้งมุ่งร้าย ทั้งแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันด้วยอำนาจของตัณหาอุปาทาน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน จิตใจและร่างกาย สามารถผลิตอาวุธที่ร้ายแรงมาทำร้ายกัน ร้ายเสียยิ่งกว่าพิษร้ายของสัตว์ต่าง ๆ มากนักเทียบกันไม่ได้เลย ป่าที่เราว่าน่ากลัว ไม่ใช่ป่าเขาลำเนาไพร แต่เป็นป่าคอนกรีตอันเป็นที่อาศัยของสัตว์มนุษย์เรานี่เอง
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #168  
เก่า 25-11-2010, 08:21
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

การเดินทางเข้าป่า ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของป่าจะไม่มีอันตรายใด ๆ มีแต่ความสงบ มีความเงียบสงัด ไม่วุ่นวาย กลับทำให้เราสามารถมองเห็นจิตของเรา มองเห็นอารมณ์ของเราเด่นชัด และค้นหาวิธีควบคุมกำลังจิตให้อยู่ในสภาวะจิตที่เราต้องการ หรือที่เรียกว่าสำรอกเอาความชั่วในจิตออก ได้แก่ กิเลส ตัณหา ราคะ โลภ โกรธ หลงให้ออกจากจิต ตัดกามคุณทั้งห้าประการออกเพื่อไม่ให้จิตคับแคบขาดเหตุผล

มองเห็นกระบวนการทำงานของจิตอย่างมีระบบ เป็นกระแสอย่างต่อเนื่อง อย่างกับกระแสน้ำที่ไหลไม่ขาดสาย มันจะไหลไปตามความปรารถนา ความต้องการทางอารมณ์นั้น ๆ หากจิตขณะนั้นอยู่ในกุศลจิต กระบวนของจิตก็คิดแต่สิ่งที่ดีทั้งกับตนเองและผู้อื่น จะคิดก็คิดแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์เรียกว่า กระทำอย่างนักปราชญ์ราชบัณฑิต เขาคิด เขาพูด เขาทำกัน

ในทางตรงข้าม หากจิตขณะนั้นอยู่ในอกุศลจิต ก็จะคิดกลับกันกับบัณฑิต คิดไม่มีเหตุผล คิดเห็นแก่ตัว ทำเห็นแก่ได้ พูดเห็นแก่ประโยชน์ มีความคิดเต็มไปด้วยอารมณ์มุ่งมั่นในทางอกุศลเพียงอย่างเดียว “สติก็ถูกอกุศลเข้าครอบ เข้ากำกับแทน” จะคิดไปทางไหนไม่ได้ นอกจากคิดตามที่ตั้งสมมุติฐานเอาไว้ เหตุผลที่คิดก็จะเป็นไปตามอกุศลจิตนั้น
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #169  
เก่า 26-11-2010, 09:02
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ถ้าเราจะควบคุมกำกับจิตจะต้องสร้างปัญญาให้บริสุทธิ์ เพื่อสร้างวิชชาดับอวิชชา อกุศลก็จะดับ กุศลจิตก็จะเกิดแทนกระบวนการทำงานของจิต

ในช่วงนี้จะถูกสร้างกระแสจิตให้อยู่ในกุศล ที่มีอารมณ์แน่วแน่เป็นอารมณ์เดียวคือ กุศล ด้วยการสร้างสมาธิจิต การเจริญกรรมฐานสร้างปัญญาไปประหัตประหาร อวิชชาก็จะดับ สังขารก็จะปรุงแต่งแต่กุศล วิญญาณความรู้สึกจะอยู่กับกุศล นามรูปก็จะปรากฏแต่กุศล อายตนะก็จะถูกควบคุม ผัสสะก็จะถูกกุศลจิตเข้ากำกับ เวทนาความสุขโสมนัสเกิด ทุกข์โทมนัสจะดับ คงสภาวะของอุเบกขารมณ์

ตัณหา ความทะยานอยากก็จะหยุด อุปาทานการยึดมั่นก็จะคลาย ภพชาติก็จะไม่บังเกิดในจิต ความโศกเศร้าโศกาอาดูรก็จะดับไปด้วย ลักษณะเช่นนี้ความสุขจะบังเกิดเมื่อทุกข์ดับ กระบวนการนี้จะวิ่งอยู่ในจิตตลอดเวลา

ถ้าหากเกิดอกุศลจิตก็จะตรงกันข้าม บังเกิดทุกข์ คิดผิด ๆ อวิชชาเข้าครอบ แก้ปัญหาคือ ทุกข์ด้วยอารมณ์ ก่อความเดือดร้อนกับตนเองและผู้อื่น คิดทำอย่างไรก็ได้ขอเพียงแต่ได้มา จิตมีแต่มืดมัว ใครพูดตรงกับประโยชน์ของตนก็เป็นพวกกัน ใครพูดไม่ตรงประโยชน์ตนก็เป็นศัตรูกัน

ดังนั้นการกำกับจิตให้รู้จักเอาสิ่งที่ดีเข้าไป เอาสิ่งไม่ดีออกมาเป็นเรื่องสมควรที่ต้องศึกษา ต้องฝึกเพื่อสันติสุข ความเป็นอิสระของตัวเองจะได้อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างไม่ทรมาน

คนที่ต้องทนทุกข์หาความสงบสุขไม่ได้ตลอดชีวิต น่าเสียดายสิ่งที่ทุกคนทำได้ แต่ไม่ทำ ไม่กล้าทำในสิ่งที่ดี ต้องซ่อนเร้นไม่กล้าประกาศ หลบ ๆ ซ่อน ๆ ซึ่งต่างกับการทำชั่ว กล้าทำ กล้าแสดงตัว กล้าประกาศ อย่างโกรธก็แสดงออกให้เห็นความอหังการ ความโลภแสดงให้รู้แล้ว อย่างนี้จะหาความสงบในสังคมได้อย่างไร?

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 26-11-2010 เมื่อ 14:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #170  
เก่า 29-11-2010, 09:24
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

นี่แหละธรรมชาติที่ได้จากการแสวงหาเดินป่า จากการเจริญจิต สัตว์ร้ายทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในป่า ถ้าเราไม่ได้เข้าไปก็ทำอันตรายไม่ได้ เข้าไปมันยังหนี ไม่คิดทำอันตราย หากแต่ป่ามนุษย์ ป่าคอนกรีต เราต้องพบอยู่ทุกเวลา อันตรายยิ่งกว่ากันและมีอยู่ตลอดเวลา

สิ่งเลวร้ายมันอาศัยอยู่ในจิตก็เหมือนสัตว์ร้าย หากเราไม่ฆ่าทำลายมันทิ้ง มันก็จะทำลายตัวเรา เสมือนเรามีโรคร้ายอยู่ในตัว ไม่รักษามันจะทำลายล้างชีวิตเราในที่สุด รักษาหายแล้วต้องป้องกันไม่ให้มันเกิดอีก ทั้งต้องป้องกันโรคร้ายอื่น ๆ ไม่ให้บังเกิดในจิตของเรา

โรคที่อยู่ในจิตคือ กิเลส ตัณหา ราคะ อวิชชา ร้ายยิ่งกว่าโรคใด ๆ รักษายาก เมื่อเกิดขึ้นแล้วคนที่เป็นโรคทางจิตที่ไม่ยอมกินยา โรคก็จะเกาะกินอยู่ในจิตของแต่ละคน ให้อยู่กับความทุกข์เศร้าหมอง กระวนกระวาย รุ่มร้อน ฟุ้งซ่าน ผูกอาฆาตพยาบาท ถดถอย รันทด เบื่อหน่าย ท้อแท้ คิดหนี ดิ้นรนกระวนกระวายใจ ไม่กิน ไม่นอน อยู่ในอาการซึมเศร้า คิดท้อ คิดทำลายตนเอง ทำลายผู้อื่น ค้นหาวิธีอันเลวร้าย ว้าวุ่น จมปลักอยู่กับความชั่ว กลับตัวไม่ได้ ไม่รู้ถูกรู้ผิด คิดแต่จะได้ คิดแต่จะเอา คิดแต่ประโยชน์ คิดหาเล่ห์กลวิธีการ อย่างคำพังเพยที่ว่า “แม้ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล ก็ต้องเอาด้วยเวทมนต์คาถา”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 30-11-2010 เมื่อ 10:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #171  
เก่า 30-11-2010, 07:42
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ลองพิจารณาว่ามันร้ายแรงน่ากลัวแค่ไหน ในสิ่งที่เราต้องผจญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อันตรายจะมาถึงตัวเราเมื่อไร ไม่อาจรู้ได้ ต้องอยู่กับความเสี่ยงไปวัน ๆ หนึ่ง มองไม่เห็น ป้องกันไม่ได้ ต้องทนอยู่กับสภาพอันเลวร้าย หวาดระแวง นอนสะดุ้ง คิดจนไม่ต้องหลับต้องนอน ร่างกายก็เสื่อมสูญคุณภาพ ระบบความคิดก็สลายคุณภาพไปด้วย

คิดแล้วน่าเศร้าเสียจริงชีวิตนี้ ทำอะไรผิด ๆ กรรมก็จะมาแสดงตัว มาสำแดงเดชเดชาอานุภาพให้เป็นไปตามกรรม *ใครจะยืนรอให้รถมาชน กรรมมาประชิดตัวก็เป็นสิทธิของเขา ใครจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวคงไม่ได้*

“ชี้ทางให้ไปแล้วไม่ไป ให้ยาไปกินแล้วไม่กิน โรคคงไม่เบาบางสลายหายได้” จิตมันจะสร้างภาพหลอน หลอกตัวเรา พร้อมทั้งตะคอกตัวเราไม่ให้คิด ไม่ให้ทำ ไม่ให้พูดในสิ่งที่ไม่ต้องการ

จงหลับตาย้อนดูในอดีต เมื่อเราจะไปทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ไปทำความดี จิตในฝ่ายอกุศลก็จะตะคอกออกมาต่าง ๆ นานา ไม่ว่าง ไม่จำเป็น เสียเวลา เสียเงิน เสียทอง ค่อยทำวันหลัง เหนื่อยอยากพักผ่อน ที่ทำอยู่แล้วดีแล้ว ไม่ทำเราก็อยู่ดีกินดีอยู่แล้ว คนที่เขาทำไม่เห็นมีอะไรดีกว่าเรา ยังทุกข์ยากกว่าเรา

*ในทางกลับกันถ้าจิตชอบจะชั่ว ก็หาเหตุผลส่งเสริมให้ไปทำ เช่น* เขาเป็นเพื่อน เป็นพวกพ้อง ขัดไม่ได้ ต้องเข้าสังคม เราอยู่คนเดียวไม่ได้ต้องพึ่งพากัน เดี๋ยวถูกตำหนิ เดี๋ยวถูกรังเกียจ เราต้องอยู่กับสังคม เราต้องมีเพื่อน ไม่ว่าจะดึกแค่ไหน สถานที่อย่างไรก็จะไป แม้จะทิ้งครอบครัวไปให้เวลากับเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าว แล้วเสียเงินเสียทองก็ไม่กลัว กู้หนี้ยืมสินก็ไม่ว่า ท่องไปในโลกของโลกียวิสัย สนุกเพลิดเพลินกับมันอย่างสุดเหวี่ยง พึงพอใจในสภาพชีวิตอย่างนี้ ใครเตือนก็โกรธเคืองกลายเป็นศัตรูกัน ไม่คบค้าสมาคมกัน
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #172  
เก่า 02-12-2010, 08:09
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “กรรมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตต่างกัน ในหมู่สัตว์ที่มีกรรมเหมือนกันย่อมเข้าใจ ยอมกันในหมู่สัตว์ประเภทนั้น”

จริงอย่างที่พระองค์ทรงตรัสสอนเอาไว้ คนชอบเที่ยวย่อมเข้าใจกันในหมู่คนที่ชอบเที่ยว คนรักความสงบก็จะเข้าใจกันในหมู่ ชอบอย่างไรก็จะคบกันอยู่อย่างนั้น นักปฏิบัติก็จะคบกับนักปฏิบัติ

หากรู้จักแยกดีชั่วแล้วให้เจริญแต่กรรมดี สันติสมานฉันท์ก็จะบังเกิดในสังคม มีความสุข ไม่เบียดเบียนต่อกัน ก็จะบังเกิดสันติธรรมปรากฏในภาพรวม บ้านเมืองไม่วุ่นวาย ทุกคนอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมเดียวกัน ต่างปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขข้อตกลงร่วมกัน

ไม่ใช้โอกาสช่องว่างแสวงหาอำนาจอันไม่ชอบธรรม อยู่กับความถูกต้องไม่ใช่ถูกใจ ถูกใจอาจไม่ถูกต้อง ถูกต้องอาจไม่ถูกใจ แต่ต้องมองกันด้วยจิตใจอันเป็นกลาง มีเสรีภาพอิสรภาพที่อยู่บนพื้นฐานกฎเกณฑ์อันถูกต้องในเงื่อนไขเดียวกัน

คนเราอย่าคิดว่าแค่เกิดแล้วสลาย มันมีท่ามกลาง ท่ามกลางนี่แหละสำคัญนัก มันมีกรรมเป็นเครื่องหนุนให้เราก่อพฤติกรรม ดีชั่วไปพร้อม ๆ กัน สร้างความสงบ สร้างความเดือดร้อนควบกันไปไม่สิ้นสุด มันสร้างภาพ สร้างภูมิ สร้างชาติในการเวียนว่ายตายเกิด

การปฏิสนธิวิญญาณใหม่ตามกระแสของกรรม รู้ดีทำดี ไปดี รู้ชั่วทำชั่ว ไปชั่ว มันเป็นอย่างนี้ไม่มียกเว้น ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชั้นวรรณะ นี่แหละท่ามกลาง จึงมีความสำคัญต่อชีวิตต่อการสืบสานภพชาติ ต่อความสุขความเจริญ ต่อความทุกข์ยากลำบากยากเย็นเข็ญใจ ต่อความสำเร็จสมหวัง ต่อความได้มา ต่อความสูญเสีย ต่อผลวิบากกรรม

เขาให้เราสร้างของเราเอง สร้างดีกับสร้างชั่ว เขาให้เรามาชดใช้หรือเรียกว่าเสวยผลของวิบากในอดีตชาติ ให้เรามาเรียนรู้ กลับเนื้อกลับตัวให้ทำแต่ดี ละทำชั่ว ฝึกจิตให้พ้นจากอำนาจฝ่ายต่ำ สร้างสมบุญบารมี บุญวาสนาไว้เป็นทุนทรัพย์ในการเวียนว่ายท่องกระแสกรรมดีกรรมชั่ว

ให้ได้รู้เห็นสถานภาพการดำรงชีวิตของสัตว์โลก ที่แตกต่างกันด้วยผลกรรม เป็นบทเรียน เป็นมหาวิทยาลัยของชีวิต ผู้มีปัญญาย่อมมองเห็นในเหตุผลข้อนี้ เกิดความกระจ่างสว่างในจิต เกรงกลัวกระแสของอกุศลวิบากกรรม ไม่นำตัวไปให้ไฟนรกแผดเผาจิตของเรา ให้ไหม้ไปด้วยอำนาจของกิเลส
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #173  
เก่า 03-12-2010, 08:36
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

กระทำชั่วแล้วเกิดความสำนึก คิดทำดีแก้ตัวล้างวิบากกรรมชั่ว เหมือนอาบน้ำฟอกสบู่ชำระความสกปรกของร่างกาย ใช้หลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนชี้ทางแห่งความสุข ชำระจิตให้ผ่องใส ละจิตที่ชั่วมัวหมอง ให้ได้จิตดีมีความสะอาดก็จะสมประสงค์ที่ได้เกิด ได้อยู่ในท่ามกลาง ในที่สุดก็จะไปดีมีภูมิภพที่ดี เกิดในชาติไหน ๆ ก็จะดี หนีความทุกข์ยากได้ หนีความเลวร้ายที่เราไม่ต้องการ

นี่คือที่บอกว่า เรามาทำอะไรหนอ? มาเพื่อเหตุนี้ มาสร้างภูมิปัญญาธรรม มาชุบตัวเหมือนเมื่อพระสังข์ทองลงอาบน้ำในบ่อทอง ตัวจึงเป็นสีทองสวยงาม แต่เราเอาจิตมาอาบน้ำธรรม อาบคุณงามความดี สร้างสมบารมี สร้างภพ สร้างชาติ มาทำลายความไม่ดี อันเป็นเหตุแห่งความเสื่อมในชีวิต คิดอย่างประเสริฐ คิดอย่างเป็นคนดีมีปัญญาธรรม ก็จะอยู่ในโลกใบนี้อย่างมีคุณค่า อยู่ชำระจิตให้หมดจดจากกิเลสเรื่องเศร้าหมองทั้งหลาย อยู่เพื่อไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดสร้างอกุศลวิบาก ก็ต้องปฏิบัติตามคำที่พระพุทธองค์ทรงสอนพุทธบริษัทสี่ให้บรรลุธรรมอันวิเศษ เข้าสู่แดนอริยบุคคลความเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ในที่สุดนับว่าถูกต้อง

ได้ไม่ครบ แต่ถ้าได้ขั้นหนึ่งขั้นใดก็นับว่าดีอยู่แล้ว ประเสริฐแล้ว เห็นแสงสว่างอยู่รำไร เดินเข้าไปใกล้ก็จะสว่างมากขึ้น เหมือนเมื่อเห็นแสงจากที่ไกล ๆ ส่องมา เมื่อเดินเข้าไปดูก็จะรู้ว่าเป็นอะไร? เพียงแต่อย่าสกัดกั้นตัวเองโดยบอกทำไม่ได้ จริงแล้ว ทำได้ทุกคนเพียงตั้งจิตให้มั่นที่จะปฏิบัติตามรอยพระพุทธองค์ จากอดีตจนปัจจุบันยังมีผู้ได้บรรลุธรรมขั้นสูง

ตราบเมื่อเอาจิตไปเรียนรู้ อาศัยจิตผู้อื่นเราไม่มีโอกาสจะค้นพบบรรลุได้ อย่างที่เราแสวงหาไปกราบพระอริยสงฆ์ กราบร้อยครั้งเราก็ยังเป็นเรา ท่านก็เป็นท่านอยู่ร่ำไป เราไปอาศัยจิตท่านไม่ได้

อย่าเดินทางผิดเสียเวลา หากคิดผิดกลับใจใหม่ ก็ไม่สาย จะสายก็ต่อเมื่อไม่ได้คิด ไม่ทำ ไม่กลับใจ เป็นเช่นนี้ไม่ใช่สายไป สมควรพูดว่าหมดเวลาเสียมากกว่าจึงจะถูก อาจบอกว่าสิ้นหวังแล้วชีวิตนี้ แต่ผู้มีปัญญาจะไม่รำพึงพูดอยู่อย่างนี้ เขาจะบอกว่าเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่สิ้นหวัง
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #174  
เก่า 07-12-2010, 08:14
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

โอกาสยังเปิดอยู่ ประตูแห่งความสำเร็จยังเปิดรับ ยังรอให้เข้าไป ยังท้าทาย เรียกร้องให้ทุกคนเข้าไป เข้าไปรู้ เข้าไปเรียน เข้าไปเพียร เข้าไปลิ้มรสชาติแห่งความสงบ ความสะอาดของจิต ให้เห็นจริงรู้จริงด้วยจิตเรา เข้ารับกระแสด้วยตนเอง ลิ้มชิมดูเอง พบทุกคนเห็นทุกคน

ถ้าเข้าไปท่องในดินแดนมหัศจรรย์ โลกแห่งความเร้นลับคือ โลกของจิตวิญญาณอันกว้างใหญ่ไพศาลเหลือคณา มีเรื่องมากมายให้เรียนรู้ มีหลักสูตรให้เรียนอย่างเป็นระบบ มีผลการทดลอง มีผลองค์ความรู้ที่ได้ศึกษา มีความสนุกเพลิดเพลินเกินกว่าที่คิด มีประโยชน์เกินจะหาเรียนได้จากที่ไหน ให้เข้าไปเรียนในจิตของเรานั่นแหละ ไม่ต้องไปไกล ไม่ต้องสอบเข้า เข้าได้เลย เรียนได้เลย มีครูคอยสอนอยู่แล้ว คอยอบรมอยู่แล้วคือ สติสัมปชัญญะ คอยแยกแยะอธิบายให้เราทุกเมื่อ ไม่มีเหน็ดเหนื่อย ไม่เกียจคร้าน ไม่มีเวลาพัก ไม่ต้องจ้าง เขาทำหน้าที่ของเขาเอง

เขาจะสอนให้เราดีก็ได้ สอนให้เราชั่วก็ได้ เพียงแต่ขอให้เราบอก ไม่ขัดข้อง ต้องการดีเขาจะสอนอย่างดี ต้องการชั่วเขาจะสอนกลเม็ดความชั่วให้ ครูคนนี้เขาตามใจเราอยู่เสมอ ไม่ขัดใจลูกศิษย์ที่สนใจเรียน

เห็นไหม ในโลกอันลี้ลับนี้ครูเขาตามใจผู้เรียน ครูคนนี้แปลก !!! ไม่เกลียด ไม่รักลูกศิษย์ที่เรียนวิชากับเขา เรียนเรื่องดีก็ส่งเสริม เรียนเรื่องไม่ดีก็ส่งเสริม บอกกล่าวหลักการ วิธีการให้เสร็จ ทั้งบอกกลเม็ดเด็ดพรายอย่างละเอียด ดีก็ให้ดีถึงที่สุด ชั่วก็สอนให้ชั่วสุดขั้วเช่นกัน

ทำชั่วเรียนง่ายเป็นวิชาชั้นต่ำ ทำดีเรียนยากเป็นวิชาชั้นสูง ต้องเรียนละเอียดถี่ถ้วน ไม่มีใครใคร่อยากเรียน ทั้งต้องทำปริญญานิพนธ์ส่งอีก ต้องทดลอง ต้องวิเคราะห์สังเคราะห์อย่างละเอียด แล้วต้องนำผลมาใช้ให้ได้ แล้วยังต้องทดลองต่อ ๆ ไปจนพบข้อเท็จจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงด้วย นี่คือโลกของจิตวิญญาณ มีความเป็นวิทยาศาสตร์ตลอดเวลา

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 07-12-2010 เมื่อ 10:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #175  
เก่า 08-12-2010, 08:19
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พบนางกินรี

เช้าวันรุ่งขึ้นพากันไปสำรวจพื้นที่เพื่อหาที่สงบ ที่เหมาะสมจะปฏิบัติธรรม เดินทางไปเหนือลำธารน้ำ ต่างคนต่างหาที่ที่เหมาะสมตามความพอใจของแต่ละคน ต่างคนต่างปฏิบัติกัน

ส่วนข้าพเจ้าเดินตามธารน้ำไปเรื่อย ๆ จนได้ที่ที่พึงพอใจก็นั่งปฏิบัติธรรม ขณะที่นั่งเจริญจิตอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเล่นน้ำกันสนุกสนาน ส่งเสียงดังอยู่ไม่ไกลนัก *จิตนึกสงสัยว่า ในป่าลึกเช่นนี้จะมีผู้หญิงชาวบ้านที่ไหน ? เธอมาเล่นน้ำกันหลายคนอย่างสนุกสนาน บ้านคนก็ไม่มี หรือแถวนี้จะมีชุมชน !!!*

ในจิตหนึ่งคิดว่าคงไม่มี เพราะมันไกลมาก ไกลแค่ไหนไม่รู้ เดินเข้ามาตั้ง ๑๔ ชั่วโมง เดินมาก็ไม่พบบ้านคนเลย พบแต่ป่าเขา ทุ่งหญ้า ความอยากรู้มีอำนาจมากกว่าความสงบเสียแล้ว

จึงต้อง
ลืมตาขึ้นดูอย่างช้า ๆ ตั้งสติไว้ก่อน แล้วเห็นผู้หญิงจำนวนมากกำลังเล่นน้ำ ไม่ได้กลัวเราเลย ไม่ได้อายสายตาที่มองไปสัมผัสเรือนร่างของพวกเขา ภาพที่เห็นนั้น ท่อนบนไม่มีผ้าปิด มองเห็นปทุมถันชัดเจน ส่วนล่างมีขาเป็นขานก

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-12-2010 เมื่อ 16:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #176  
เก่า 09-12-2010, 09:52
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เห็นแล้วนั่งพิจารณา นี่คือตัวกินรีในหนังสือวรรณคดี มันเป็นจินตนาการแต่ทำไมมีจริง ๆ ผิวพรรณก็งาม ใบหน้าก็สวย ผมยาวสลวยดำเป็นมัน นี่แดนอะไรกันแน่ !!!

ใช้มือขยี้ตาทั้งสองข้างเพื่อให้มั่นใจ พวกเขาเล่นน้ำจนเพียงพอ ต่างก็บินขึ้นฟ้าหายไป นั่งตกภวังค์อยู่พักหนึ่ง คิดไปเรื่อย ๆ ตัวกินรีมีจริงหรือ!!! ไม่มีทำไมจึงเห็นภาพปรากฏตรงหน้า ไม่ใช่มายาจิต เป็นภาพจริงให้เห็น เขามีชีวิตจิตใจ สนุกสนานกับการเล่นน้ำ พวกเขาจะเห็นเราหรือไม่ ไม่รู้ แต่เราเห็นเขาแน่ เห็นจนบินขึ้นฟ้า ปีกมาจากไหนก็ไม่ทันเห็น

ตอนอาบน้ำภาษาที่พูดคุยกัน เราฟังไม่รู้เรื่องไม่เคยได้ยินมาก่อน จากกริยาอาการเขาสนุกสนานเหมือนพวกเรา ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เห็น จะเรียกใครมาดูก็ไม่ทันเพราะอยู่ห่างกัน หรือเกิดมายาภาพไม่รู้ได้ รู้แต่ว่าได้เห็นกับตาตัวเอง แสดงให้เห็นจินตนิยายเรื่องกินรี ผู้เขียนคงมีฐานที่มาในการเขียน การสร้างเรื่อง การเดินเรื่อง คงจะแต่งเติมให้สนุกมีคติธรรม ก่อนนั้นเข้าใจอย่างหนึ่งแต่บัดนี้เข้าใจอีกอย่างหนึ่ง

ใครบอกว่าตัวกินรีไม่มี ข้าพเจ้าตอบว่ามี แต่คงไม่ถกเถียงกับใคร ๆ ในเรื่องนี้ คำตอบคงเหมือนกัน แรก ๆ คิดว่าจินตนาการเอา เมื่อได้พบเห็นความคิดก็เปลี่ยนไป เราไม่อาจเปลี่ยนความคิดของใครได้ เราเปลี่ยนแต่ความคิดของเรา เราห้ามไม่ได้ที่คนจะขัดแย้ง

เราบอกได้ว่าจริงหรือเท็จ รู้ว่าจริงมันอยู่ตรงไหน จริงอยู่ที่ได้เห็น เท็จอยู่ที่ไม่ได้พบเห็น เพียงแต่คิด จิตเราเป็นใหญ่ จิตเรารู้ จิตเราเข้าใจ องค์ความรู้ทางปัญญาอยู่ที่จิตเรา จิตเราจำแนกถูกผิด จิตเราแปรเปลี่ยน จิตเราตื่น จิตเราสงบ จิตเราแปรปรวน จิตเรารวนเร จิตเราเข้าถึงเข้าไม่ถึง จิตเราจะไม่เชื่อ ล้วนแต่เราทั้งนั้น

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 09-12-2010 เมื่อ 12:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #177  
เก่า 09-12-2010, 17:25
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

นี่คือธรรมชาติของจิตบางส่วนที่จำแนกมาพอเข้าใจ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “เราไม่รบกับโลกนี้ ไม่มีประโยชน์อะไร ถูกในข้อเท็จจริงกับถูกสมมุติบัญญัติมันแตกต่างกัน มันเทียบกันไม่ได้"

เพื่อให้แน่ใจจึงลุกขึ้นเดินไปดูสถานที่ตัวกินรีเล่นน้ำ ปรากฏว่าเป็นบึงกว้าง น้ำใส เป็นธรรมชาติที่พบเห็นได้ ยืนพิจารณาอยู่พักหนึ่งคิดว่า นี่คือแดนลี้ลับเขาพนมฉัตร!!! แต่ทำไมไม่เห็นมีอะไรผิดแผกไปจากธรรมชาติทั่ว ๆ ไป หลวงพ่อก็ไม่พูด หลวงพี่ก็ไม่บอกอะไร เหมาะกับการแสวงหาความสงบที่จะศึกษาดูจิตของตนเอง

อย่างหลวงปู่ว่า ให้กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงจิตของตนเองให้เหมือนแม่เลี้ยงลูก ต้องเอาใจใส่ ตามดู ตามรู้ ตามทันอยู่ตลอดเวลา ไม่ละเลย ไม่เผลอไผลแม้แต่วินาทีเดียว สติต้องอยู่ตลอด ระลึกได้ รู้ตัวทุกลมหายใจเข้าออก คอยติง คอยเตือน คอยตำหนิจิตอยู่อย่างสม่ำเสมอ เมื่อเห็นแล้ว พิจารณาแล้ว จึงกลับไปรวมกับพรรคพวกเพื่อกินอาหารกลางวัน

ค่ำคืนนั้นปฏิบัติธรรมตามปกติ เรื่องที่พบไม่ได้พูดกับใคร พิจารณาว่า หากเราพูดทุกคนต้องอยากพบ อยากดู อยากเห็น ก็ไม่รู้จะเอาที่ไหนให้ดู เพราะมันเกิดแล้ว ดับไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว หาภาพนั้นให้ดูไม่ได้อีกแล้ว จะพาไปก็คงเห็นแต่บึงน้ำ อาจจะบอกว่าเราโกหก พวกเขาก็จะต้องไปเฝ้าดู ไม่ต้องไปปฏิบัติกัน แต่พรุ่งนี้พาไปปฏิบัติธรรมใกล้ ๆ กัน คิดว่าเผื่อมีบุญคงได้เห็นเขามาเล่นน้ำกันอีก พวกเขาจะได้เห็นเป็นบุญ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 20-12-2010 เมื่อ 11:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #178  
เก่า 13-12-2010, 11:03
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ตอนดึกทุกคนปฏิบัติกันอยู่ในกลด จะหลับกันหรือไม่ ก็ไม่ได้ดู มันมืด ขณะที่นั่งสมาธิอยู่ มีเสียงคนมาเรียกจะขอสนทนาด้วย จึงลืมตาออกจากสมาธิ

ช่างน่าทึ่ง !!! บริเวณนั้นสว่างเหมือนกลางวัน มองเห็นสภาพแวดล้อมเดิมที่เราอยู่ ที่เราทำกิจกันทั้งวัน โขดหิน ลำธาร พื้นดินก็ที่ตรงนั้น

คนที่มาหาเป็นผู้ชายและผู้หญิงนุ่งขาวห่มขาวไว้ผมยาว ผิวพรรณงดงาม หน้าตาดี สุภาพเรียบร้อย อายุดูไม่มาก ไม่มีอาการของผู้สูงอายุ พูดจายิ้มแย้มดูโอบอ้อมอารี ผู้ชายบอกข้าพเจ้าว่า ”จะพาไปเที่ยวในเมือง” จึงถามเขาว่า “ในเมืองไหน มีแต่ป่า" เขาบอกว่า "เมืองพนมฉัตร”

จากคำบอก ทำให้ข้าพเจ้าขนหัวพองเหมือนถูกผีหลอก ตัวพองเหมือนลูกโป่ง เขาพูดต่อ “ตอนกลางวันได้พบแม่กินรีแล้วใช่ไหม? นั่นแหละเขาอยู่ในเมือง ยังมีสัตว์ในหิมพานต์อีกมากอยู่ในเมืองพนมฉัตร พวกเขามาเล่นน้ำแสดงตัวให้เห็น จะไปเที่ยวไหม? หลวงปู่ให้มารับไปดู” จึงถามว่า “หลวงปู่อยู่ไหม?” พวกเขาตอบว่า “ไม่อยู่ ท่านมีกิจ”

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “เข้าแล้วออกได้ไหม?” ชายผู้นั้นตอบว่า “ได้ จะพามาส่ง มันเป็นมิติซ้อนมิติอยู่” ถามว่า “ทำไมไม่ชวนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมคนอื่นเข้าไปด้วย” เขาตอบว่า “หลวงปู่บอกมาแค่นี้ จะทำนอกเหนือไม่ได้ หากจะเข้าก็ให้ตามไป ไม่เข้าก็ไม่บังคับ ที่นั่นเป็นดินแดนแห่งความสงบ ผู้คนเขาปฏิบัติธรรมกันอยู่ อยากเข้าก็ไม่ได้เข้าหากหลวงปู่ไม่อนุญาต”

จึงตัดสินใจเดินตามชายหญิงคู่นั้นไป เดินข้ามลำธารไปชายป่าก็เจอประตูเมืองทำด้วยหินแกะลวดลายสวยงาม เดินผ่านประตูเมืองเข้าไปข้างในมีปราสาทหิน เหมือนปราสาทหินพนมรุ้งหรือปราสาทหินพิมายจำนวนมาก ผู้คนในนั้นทั้งชายและหญิงนุ่งขาว ไว้ผมมวยกันทุกคน ไม่มีคนแก่มีแต่หนุ่มสาวผิวพรรณงาม หน้าตาดี สุภาพเรียบร้อย เดินเข้าไปเขาทักทายยิ้มให้ มีผู้ปฏิบัตินั่งสมาธิกันอยู่มากมาย ทั้งพระภิกษุสงฆ์ ฆราวาสล้วนปฏิบัติกัน
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #179  
เก่า 14-12-2010, 09:05
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ชายผู้นั้นได้พาข้าพเจ้าไปจนทั่ว ในเมืองล้วนทำด้วยหิน วิหารต่าง ๆ ผนังแกะสลักสวยงาม ชายผู้นั้นได้พาไปอาบน้ำตกที่ได้เคยอาบมาแล้วตอนถอดกายทิพย์ไป เขาเอาผ้าให้เปลี่ยน คราวนี้ไปด้วยกายหยาบ เปียกทั้งตัวแต่เท้าไม่เปียกเพราะน้ำตกไม่ถึงพื้น หายไปไหนไม่รู้ ได้แต่คิดว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์แน่

ชายผู้นั้นบอก “มีบุญนักแล้ว ได้อาบน้ำทิพย์อันทรงศักดิ์สิทธิ์ จะมีประโยชน์ในวันข้างหน้าต่อไป จะเข้าออกเมืองนี้ได้ต่อเมื่อหลวงปู่ท่านสั่ง" จากนั้นพาเข้าไปในวิหารไปกราบพระพุทธรูปทำด้วยหินเช่นกัน *

แล้วจึงพาเที่ยวต่อไป ได้เห็นความเป็นอยู่ในเมืองพนมฉัตรมีสัตว์แปลก ๆ ไม่เคยเห็น ไม่ดุร้าย อยู่กันเป็นกลุ่ม ชายผู้นั้นบอกว่าเขาบำเพ็ญศีลเหมือนกัน พวกเขาเฝ้าอยู่ในบริเวณนี้ ใครรุกล้ำเข้าไปเขาจะมาขวาง เขาแปลงรูปได้ต่าง ๆ นานา !!! แต่ไม่ทำร้ายใคร ทำให้กลัวเท่านั้น เขาเป็นมิตรกับทุกคน

ทุกคนที่นี่กินอาหารทิพย์ ไม่ยุ่งยากเหมือนเมืองข้างนอก มีแต่กลางวัน ไม่มีกลางคืน ไม่มีร้อนหนาวอย่างที่เห็นนี่แหละ

จึงถามต่อไปว่า “จะไปเล่าให้ทุกคนฟังได้ไหม?” ชายผู้นั้นตอบว่า “ไม่ได้ห้าม แต่ใครจะเชื่อ? เล่าแล้วมีอะไรดีขึ้น ใครจะมาก็มาไม่ได้ มาก็หาไม่พบ ยืนอยู่กลางเมืองแท้ ๆ ก็ยังไม่รู้!!! แล้วจะเล่าไปทำไม? ใครจะรู้นอกจากตัวเรา อาจทำให้คนทั่วไปเดียดฉันท์เอาใช่เหตุ เป็นบาปต่อเขาเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว หลวงปู่เพียงให้เข้ามาดูเท่านั้น ไม่ได้สั่งอะไรนอกจากให้พามาอาบน้ำทิพย์ ออกไปแล้วในอนาคตอาจจะต้องเข้ามาอยู่ที่นี่ก็ได้ เพราะได้อาบน้ำทิพย์ทั้งกายในกายนอก"

เรื่องต่าง ๆ จึงเป็นความลับต่อไป กระทั่งข้าพเจ้าคิดจะเขียนเรื่องราวฝากไว้กับโลกใบนี้ จึงตัดสินใจจะเล่าให้ได้รับรู้เผื่อท่านทั้งหลายจะมีโอกาส ได้เวลาเขาก็นำมาส่งใกล้สว่างพอดี

จึงต้องกราบคารวะหลวงพ่อสัมฤทธิ์ หลวงพี่ทองสุก หลวงพี่ณรงค์ ได้ให้โอกาสนี้จึงได้เข้าสู่แดนทิพย์ที่เรียกเขาพนมฉัตรหรือเมืองพนมฉัตร ทำให้ได้มีเรื่องเร้นลับกลับมาเขียนบอกเล่าให้ผู้สนใจได้อ่าน และขอบอกว่าอยู่บนโลกใบนี้ อย่าประมาท ยังมีอะไรอีกมากแม้แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ ไม่ได้พบอย่างพระอริยสงฆ์ท่านได้พบ ได้เล่าบอกกล่าวจนเราอยากรู้ อยากเห็นกัน ทั้งนำมาเล่าต่อ ๆ กันไป

อยู่จนครบ ๗ วันก็เดินทางกลับ ได้เข้าแดนลี้ลับตามที่หลวงปู่บอกไว้ เหลืออีกสองที่คือ ภูเขาอีด่างกับภูเขาควาย ยังไม่รู้จะได้ไปไหม? ถ้าได้ไปคงมีเรื่องมาเขียนเล่าสู่กันฟังในโอกาสหน้า ทั้งตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่มีผู้รู้บอกว่าอยู่ในฝั่งลาว*

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 14-12-2010 เมื่อ 11:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #180  
เก่า 15-12-2010, 08:14
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พบกระแสบุญชั่วนิจนิรันดร์

จากนั้นมาได้เที่ยวพาสมัครพรรคพวกไปปฏิบัติธรรมกันหลายที่ในประเทศ ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกจนถึงปัจจุบัน

เมื่อมีเวลาว่างราชการหยุดติดต่อกันหลายวัน เราจะชวนกันไปแสวงหาความสงบไม่ได้ขาด แม้ไม่ได้ไปไหน ทุกวันเราก็จะสวดพระพุทธมนต์ เจริญกรรมฐาน สนทนาธรรมกันเป็นกิจวัตรประจำ ไปราชการก็หากำไรชีวิต ไปวัดไหว้พระ สวดมนต์ บางครั้งเราจะสวดตั้งแต่หัวค่ำจนสว่างก็มี เพื่อสร้างขันติ วิริยบารมี ทั้งเจริญสัจจะบารมีไม่ได้ขาด

ครั้งหนึ่งได้ไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำพระธาตุ จังหวัดกาญจนบุรี ก่อนเข้าพรรษาปฏิบัติอยู่ ๕ วัน ตั้งใจกันในวันเข้าพรรษาจะถวายเทียนพรรษา ๙ วัด พร้อมทอดผ้าป่า ๙ วัดตามกำลังของคณะที่ไปปฏิบัติ สถานที่แห่งนั้นอยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้ เราได้ไปร่วมปฏิบัติ *มีเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้คนหนึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้ได้เข้าไปพักปักกลด (ซึ่งปกติเขาไม่ให้เข้า)*

แต่เราโชคดีที่ได้ปฏิบัติในถ้ำวิจิตรพิสดารทั้งสวยงามและมีเทวดาดูแล มีหินประหลาดก้อนหนึ่งปักอยู่บนพื้นมีลักษณะเหมือนฝ่ามือข้างขวา ใช้ไฟฉายส่องทะลุได้ ถ้ำนี้เป็นถ้ำมืด ที่หินก้อนนั้นมีพลังอำนาจเร้นลับ เมื่อเอามือไปจับจะมีพลังวิ่งเข้าสู่ร่างกายเรา

ไม่มีอะไรมาก ปฏิบัติกันไปสนทนากันไป เที่ยวนี้ไปกันยี่สิบกว่าคน ครบวันที่ ๕ เป็นวันเข้าพรรษาพอดี ออกจากปฏิบัติได้ไปตระเวนถวายเทียนพรรษา ทอดผ้าป่า ๙ วัด ถวายได้ ๘ วัด วัดสุดท้ายเข้าไปถวายในเมืองกาญจนบุรีที่วัดไชยชุมพลชนะสงคราม ไปถึงตอนใกล้มืดพระท่านลงอุโบสถกำลังปลงอาบัติกันอยู่ ๘๔ รูปพอดี

จึงนำเทียนเข้าไปถวาย ท่านเจ้าคุณพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ ป.ธ.๘) เป็นเจ้าอาวาส ท่านบอกว่าโชคดีแล้ว ให้รอก่อน ให้พระท่านศีลบริสุทธิ์ก่อนจึงค่อยถวาย มีพระ ๘๔ รูปพอดีเท่ากับ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถวายแล้วจะได้เวียนเทียนเอาบุญเสียเลย จะได้บุญหนักหาโอกาสเช่นนี้ยากนัก นาน ๆ จึงจะบังเกิด ตั้งแต่ท่านอุปสมบทมายังไม่เคยมีพระลงอุโบสถพอดี ๘๔ รูป พวกเราจึงรอจนพระท่านทำกิจสงฆ์เสร็จจึงนำเทียนถวาย ท่านเจ้าคุณรับเทียนพร้อมจุดเทียนให้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2010 เมื่อ 12:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:34



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว