กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 02-08-2017, 22:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default ปฏิบัติธรรมแบบมวยวัด

ปกติพวกเราเวลาปฏิบัติธรรมแล้วมีอยู่ ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งก็คือมั่วเหมือนมวยวัด ประเภทปะฉะดะ เจออะไรดีกวาดไว้หมด การปฏิบัติธรรมแรก ๆ ก็เป็นอย่างนั้น ทุกคนอยากจะดีที่สุด เก่งที่สุดทุกคน แต่พอทำไป ๆ แล้วเหมือนกับการร่อนกากเหลือแต่แก่นแท้ จะเริ่มรู้แล้วว่าอะไรที่เหมาะกับเรา จากการที่ตีอวนจะเอาปลาทั้งทะเล ก็จะกลายเป็นเล็งแค่ตัวที่ดีที่สุดตัวเดียว

ฉะนั้น...ตอนนี้ใครที่ยังตีอวนจะเอาปลาทั้งทะเลอยู่ อาตมาก็ไม่ได้ตำหนิ เพราะถ้าไม่ทำก็ไม่แล้วแก่ใจ นี่ไม่ใช่สำนวนคนภาคกลาง “บ่แล่วใจ๋” ก็เอาปลาทั้งทะเลไปก่อน ดูซิว่าจะลากไหวไหม ? เราลองมานึกดูว่า ถ้าตีอวนเอาปลาตัวหนึ่ง กับตีอวนเอาปลาทั้งทะเล อย่างไหนจะลากง่ายกว่ากัน ?

อีกส่วนหนึ่งก็คือ ได้หลักแล้วแต่ยังขาดวิริยะกับปัญญาอยู่มาก บารมี ๑๐ ของพวกเราส่วนใหญ่จะพร่องอยู่ที่ ๒ ตัวนี้ อาตมาเล็งดูแล้ว ใครจะยืนยันว่าไม่พร่องช่วยยกมือให้ดูหน้าหน่อย เชื่อเถอะ...พระอาจารย์ดูไม่ผิดหรอก วิริยบารมีของเราที่ขาดก็เพราะว่าความเพียรไม่พอ ไฟลุกเป็นพัก ๆ เจอหน้าครูบาอาจารย์หรือเพื่อนฝูง คุยกันเรื่องการปฏิบัติขึ้นมา ก็ไฟลุกฮือขึ้นมาพักหนึ่ง พอห่างหายจากกัลยาณมิตรก็ไฟดับต่อไป

ทำอย่างไรที่จะให้เรามีไฟอย่างสม่ำเสมอ ? อย่างน้อยที่สุดต้องปฏิบัติให้ถึงขั้นปีติ แบบคุณอดิเทพที่รำมวยนั่น มีใครโดนเตะบ้างไหม ? วันนี้ตูก็ไม่ได้อยู่ดูการรำมวยด้วย นั่นเป็นอาการของปีติ

ถ้าถึงตรงนั้นแล้วจะไม่เบื่อไม่หน่ายในการปฏิบัติ เพราะว่าสภาพจิตเริ่มรู้แล้ว รู้รสพระธรรมแล้ว ก็คือรู้ว่าปฏิบัติแล้วเป็นอย่างไร ได้ผลจริงอย่างไร ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนั้นกำลังใจก็จะไม่ถอย และอาจจะทำเกินด้วย ก็คือพอปีติขึ้นมาก็ขยันปฏิบัติหัวไม่วางหางไม่เว้น บางทีควรจะพักก็ไม่พัก ทำมากจนสติแตกไปเลยก็มี เพราะว่าร่างกายทนความเครียดไม่ไหว ฉะนั้น...นักปฏิบัติที่ดีต้องมีมัชฌิมาปฏิปทา รู้จักผ่อนสั้นพักผ่อนยาว เอาที่พอเหมาะพอดีกับตัวเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-08-2017 เมื่อ 02:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 02-08-2017, 22:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อันดับแรก ถ้าท่านใดยังเป็นมวยวัดปะฉะดะอยู่ พยายามเล็งเป้าได้แล้วว่าเราชอบอะไร แต่ว่าก็เป็นเรื่องที่พูดยาก เหมือนอย่างกับถามเด็ก ม.๔ ม.๕ ม.๖ ว่าอยากเรียนอะไรต่อในระดับมหาวิทยาลัย ? มักจะตอบเขาไม่ได้ มีแค่ไม่กี่คนที่มั่นใจตัวเองว่าอยากเรียนอะไร

พวกเราที่เป็นมวยวัดอยู่ก็เหมือนกัน ถ้าถามว่าจะเอากรรมฐานกองไหน ? “ไม่รู้...อยากได้ทุกกองนั่นแหละ” อยากได้ก็ไม่ว่า แต่ทำให้จริง ๆ สักกองหนึ่งก่อน เอากองที่เรารักเราชอบมากที่สุดก่อน แต่จะเป็นกองไหนก็ตามห้ามทิ้งอานาปานสติ ก็คือลมหายใจเข้าออกเป็นอันขาด เพราะว่าถ้าทิ้งกำลังจะไม่พอในการตัดกิเลส กำลังจะไม่พอกดกิเลส กิเลสจะตีหงายท้องเอา

แต่ถ้าหากว่าเรามีหลักแล้ว ก็ต้องเพิ่มความขยัน ก็คือวิริยบารมีและเพิ่มปัญญาบารมี ปัญญาบารมีไม่ต้องใช้มาก แค่รู้ตัวว่าจะตาย ตายแล้วจะไปไหน หาเป้าให้เจอแค่นี้พอ ในแต่ละวันมีสติระลึกรู้อยู่เสมอว่า เราอาจจะต้องตาย ชีวิตเรามีแค่ชั่วลมหายใจเข้าออกเท่านั้น หายใจเข้าถ้าไม่หายใจออก...ตาย หายใจออกถ้าไม่หายใจเข้า...ตายอีกเหมือนกัน

ในเมื่อความตายอยู่แค่ชั่วลมหายใจเข้าออก ถ้าเรายังประมาทอยู่ เราอาจจะต้องตกสู่อบายภูมิ กลายเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เรียกว่าเสียชาติเกิด เราเกิดมาเป็นมนุษย์ด้วยต้นทุนของศีล ๕ มีความดีเพียงพอที่จะก้าวล่วงขึ้นสู่ชั้นสูงกว่านี้ แต่เราไปพลาดท่าตกลงสู่อบายภูมิ เรียกว่าเสียชาติเกิด เพราะว่าเกิดมาชาติหนึ่งกลับเอาดีไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-08-2017 เมื่อ 02:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 02-08-2017, 22:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,328
ได้ให้อนุโมทนา: 149,906
ได้รับอนุโมทนา 4,395,429 ครั้ง ใน 33,917 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ต้องตั้งเป้าเอาไว้ว่า ถ้าตายเมื่อไรเราจะไปพระนิพพาน กำลังใจที่มั่นคงอยู่ที่ตรงนี้ แล้วก็ไปกวดขันความเคารพในพระรัตนตรัยของเรา ว่าเราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยความจริงใจ ไม่ล่วงล้ำก้ำเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ หรือเปล่า ? ถ้าหากว่ายังล่วงเกินอยู่ ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำก็ตาม ให้ตั้งใจกราบขอขมาพระไว้ทุกวันทุกครั้ง

แล้วก็ทบทวนศีลของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้าหากว่ารักษาศีล ๕ ก็ทวนศีล ๕ ข้อ รักษาศีล ๘ ก็ทวนศีล ๘ ข้อ ถ้าเป็นสามเณรก็ศีล ๑๐
เป็นพระก็ศีล ๒๒๗ ระวังรักษายากขึ้นไปเรื่อย ๆ ลักษณะการทวนศีลก็คือ เราละเมิดศีลด้วยตนเองหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้ละเมิดแล้ว เรายุให้คนอื่นเขาทำหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้ยุให้คนอื่นเขาทำ เห็นคนอื่นเขาทำแล้วเรายินดีด้วยหรือเปล่า ?

เห็นคนอื่นเขาละเมิดศีลแล้วยินดีตรงไหน ? อาตมาเคยสมมติว่า เห็นมดเดินเข้าบ้านเป็นทางเลย เราเองถ้าละเมิดศีลด้วยตัวเองก็คว้ายามาฉีด...ตายราบเป็นหน้ากลอง คราวนี้นึกขึ้นมาได้ว่าเรารักษาศีล เห็นมดเดินเข้ามาก็ไม่ทำ แต่บอก “ลูก..ไปเอายามาฉีดที” นี่ก็คือยุยงส่งเสริมให้คนอื่นเขาทำ

รู้แล้วว่าทำเองก็ผิด ให้คนอื่นทำก็ผิด ปรากฏว่าอุตส่าห์อดทนเก็บปากเก็บลิ้นไว้ จนกระทั่งลูกเห็นเอง คว้ายามาฉีด “เออ...น่าทำนานแล้ว” แบบนี้คือยินดีเมื่อคนอื่นเขาทำ...ซวยพอกัน เพราะฉะนั้น...ทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ทำความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ รู้ตัวอยู่เสมอว่าต้องตาย ถ้าตายแล้วเราจะไปไหน นี่คือพวกที่มีหลักแล้ว ยึดเป้าหมายให้ชัดเจน และเร่งในส่วนของความเพียรและปัญญาบารมีให้มากขึ้น


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ ณ วัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๐
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-08-2017 เมื่อ 02:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:32



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว