#1
|
||||
|
||||
โอวาทช่วงงานบวชเนกขัมมะ ช่วงวิสาขบูชา ๓๐ พฤษภาคม - ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๘
โอวาทช่วงงานบวชเนกขัมมะ ปฏิบัติธรรมวันวิสาขบูชา ๓๐ พฤษภาคม - ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๘ พระอาจารย์กล่าวว่า “วัตถุมงคลครั้งต่อไปต้องจองพร้อมจ่ายเงิน ไม่อย่างนั้นแล้วจะมีพวกจับเสือมือเปล่า จองแล้วไปขายสิทธิ์ต่อ เงินของตัวเองไม่ได้จ่ายสักบาท แต่เอาเงินของชาวบ้านเข้ากระเป๋าไปแล้ว”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2015 เมื่อ 17:48 |
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “อาตมาจะสร้างพระตามตำราหลวงปู่เนียม กำลังรวบรวมวัสดุอยู่ คาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกหลายปี พวกเราเก็บเงินรอไปก่อนก็แล้วกัน”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2015 เมื่อ 20:33 |
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับพระที่จะออกมา ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของคนที่ไม่เข้าใจพระ พระของเรามีพระธรรมวินัย ก็คือศีลพระเป็นข้อบังคับอยู่แล้ว มีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มีระเบียบ , มติ, คำสั่งมหาเถรสมาคม ถ้าหากว่าเป็นพระสังฆาธิการ คือตั้งแต่ระดับผู้ช่วยเจ้าอาวาสขึ้นไป ก็มีพระจริยาพระสังฆาธิการบังคับอยู่อีกชั้นหนึ่ง เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของกฎหมายนี่มีเหลือเฟือแล้วที่บังคับพระอยู่ แต่ทุกวันนี้ที่เอาไม่อยู่ ก็เพราะว่าไปเจอพวกหน้าด้านเข้า
ดังนั้น..ถ้าหากจะแก้ไขตรงจุดนี้ ไม่ใช่ออกกฎหมายเพิ่มเติม แต่ว่าทำอย่างไรจะสนับสนุนให้แต่ละวัด โดยเฉพาะพระอุปัชฌาย์ อบรมพระที่ตนเองเป็นผู้บวชมา ให้รู้จักละอายชั่ว กลัวบาป รักศีลของตัวเอง สำคัญแค่นี้แหละ จบทุกอย่างเลย ทุกวันนี้เขาเล่นไปแก้ที่ปลายเหตุ แล้วแก้ที่ปลายเหตุไม่พอ เอากิเลสชาวบ้านมาแก้ไขแทนพระด้วย แทนที่เรื่องจะจบ จึงกลายเป็นสุมฟืนสุมไฟใส่พระพุทธศาสนา ก็มีแต่จะทำให้พระทั้งหลายเดือดร้อน ถ้าท่านใดปล่อยวางแล้วก็ “เออ..ปล่อยมัน เลยตามเลย” ถ้าท่านใดไม่ปล่อยวาง เดี๋ยวมีรายการเดินขบวนทั่วประเทศแน่นอน ในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็เสียที่ว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์ เป็นผู้มีความรู้ บางท่านยกย่องถึงขนาดว่าเป็นอรหันต์ เสียทีที่ยกย่อง เรื่องแค่นี้มองไม่ทะลุ แล้วก็พยายามจะเอากิเลสคนมาแก้ไขพระ ศีล ๒๒๗ ยังเอาไม่อยู่เลย แล้วจะเอาศีล ๕ มาแก้ไข..คงจะไหวอยู่หรอก..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2015 เมื่อ 20:35 |
สมาชิก 122 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราที่มาปฏิบัติธรรมกันครั้งนี้ คาดว่าจะเห็นอะไรของวัดเปลี่ยนแปลงไปเยอะ นั่นคือสิ่งภายนอก สิ่งที่อยากเห็นจริง ๆ ก็คือ การเปลี่ยนแปลงภายใน
แม่ชีตุ๊ที่อาตมาส่งเรียนปริญญาเอก ทำสารนิพนธ์เรื่อง "การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคคลที่เข้ามาปฏิบัติธรรม" ตรงส่วนนี้จะมาสนับสนุนว่า การปฏิบัติธรรมของเราทำให้กาย วาจา ใจ ดีขึ้นหรือไม่ หรือกลายเป็นคนโกรธง่ายกว่าเดิม ผูกอาฆาตพยาบาท โกรธแม้กระทั่งลูกกระทั่งหลาน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องบอกว่าน่าสงสารมาก ถ้าหากว่ารู้แล้ว พยายามใช้สิ่งที่เราศึกษาเล่าเรียนให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันของเราได้ จะเป็นสิ่งที่อาตมายินดีและพอใจอย่างยิ่ง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2015 เมื่อ 20:36 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "สำหรับพวกเราทุกคน มีพื้นฐานการปฏิบัติมาก่อนแล้ว ก็เหลืออยู่แต่เพียงว่าทำอย่างไรจะให้การปฏิบัติธรรมมีความก้าวหน้าขึ้น ส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะอยู่ในลักษณะของการปฏิบัติเฉพาะเวลา ไม่สามารถที่จะรักษาอารมณ์ใจให้ต่อเนื่องยาวนานได้ ในแต่ละวันมีเวลาในการชนะกำลังใจตัวเองน้อยมาก จึงมักจะโดนกิเลสจูงจมูก ไหลไปตามกระแส รัก โลภ โกรธ หลง ได้ง่าย เราจึงจำเป็นที่จะต้องใช้ "หญ้าปากคอก"
สำนวนนี้บางคนฟังแล้วอาจจะงง ๆ หญ้าปากคอก ถ้าใครเคยเลี้ยงวัวเลี้ยงควายจะเห็น ส่วนใหญ่แล้วข้างในคอกวัวควายจะขี้จะเยี่ยวเอาไว้เละเทะไปหมด ตราบใดที่ยังเลี้ยงวัวเลี้ยงควายอยู่ในคอก หญ้าก็ขึ้นไม่ได้ แต่ว่ารอบคอกหญ้าจะขึ้นงาม แต่วัวควายเมื่อโดนปล่อยออกจากคอก ต่อให้หิวแสนหิวก็ไม่มีตัวไหนกินหญ้าปากคอก ตัวแรกที่ออกมาก็จะโดนตัวที่สองที่สามเบียดไล่ไปเรื่อย ก็ต้องไปหากินที่อื่น ดังนั้น..สำนวนหญ้าปากคอกของโบราณ ก็คือ ของดีอยู่ใกล้ แต่ไม่ได้รับความสนใจ หญ้าปากคอกที่ว่า ก็คือ อิทธิบาท ๔ เป็นหลักธรรมที่ใคร ๆ ก็รู้ สมัยก่อนอาตมาเรียนหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม เริ่มเรียนชั้น ป.๓ วิชานี้จะอยู่ยาวไปยันชั้น ป.๗ เลย หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม ก็คือ เราต้องทำอย่างไรที่จะเป็นพลเมืองดี ต้องรู้และปฏิบัติให้เป็นพุทธมามกะที่ดีอย่างไร ในเรื่องของหลักอิทธิบาทธรรม พวกเราส่วนใหญ่จึงรู้กันแทบทุกคน เพียงแต่ว่ารู้แบบหญ้าปากคอก โอกาสที่จะได้ใช้งานมีน้อย ไปตะเกียกตะกายกินหญ้าไกลไปทุกที แบบเดียวกับที่อาตมาเคยเปรียบว่า พระนิพพานอยู่แค่หัวเรา แต่เรามักจะเอื้อมมือเลยหัว เลยคว้าพระนิพพานไม่ได้เสียที"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2015 เมื่อ 14:34 |
สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
"หลักอิทธิบาทนั้นก็คือ ฉันทะ ต้องยินดีและพอใจที่จะปฏิบัติจริง ๆ ความยินดีและพอใจในการปฏิบัติธรรมนั้นเกิดจาก ๒ สถานด้วยกัน สถานแรกก็คือ ทุกข์จนเข็ด แบบนางปฏาจาราเถรี ผัวก็ตาย ลูกคนโตก็ตาย ลูกคนเล็กก็ตาย ลูกเพิ่งคลอดก็ตาย พ่อแม่และพี่ชายก็ตาย สรุปว่าไม่เหลือใครเลย ปฏิบัติธรรมเป็นพระอรหันต์ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะเห็นทุกข์ชัดมาก อีกประการหนึ่ง ก็คือ เห็นคุณประโยชน์ในการปฏิบัติธรรม ว่าจะเกิดคุณต่อตัวเองอย่างไร ก็เลยยินดีและพากเพียรที่จะปฏิบัติไป
ข้อที่ ๒ วิริยะ คือความเพียรในการปฏิบัติ เคยกล่าวไปแล้วว่าพวกเรามักจะเหมือนกับไฟไหม้ฟาง พอถึงเวลาอาตมาเอาไฟจ่อเข้าไปหน่อยหนึ่งก็ไหม้พรึ่บขึ้นมา พอไม่มีคนใส่เชื้อไว้ให้ก็ดับไปในเวลาอันรวดเร็ว ทำอย่างไรที่ความเพียรของเราจะสม่ำเสมอ ก็คือต้องทำให้ได้ผล ถามว่าได้ผลถึงขนาดไหน ? เอาแค่ปีติก็พอ ไม่ต้องถึงฌานหรอก ใครที่ปฏิบัติถึงระดับปีติขึ้นไป จะเริ่มรู้แล้วว่าการปฏิบัติธรรมมีผลจริง ก็จะไม่เบื่อไม่หน่าย ตั้งหน้าตั้งตาทำไป จิตตะ ความปักมั่น จดจ่ออยู่กับเป้าหมาย จำเป็นต้องเห็นคุณเห็นโทษอย่างชัดเจน เห็นโทษ..กลัวที่จะเป็นอย่างนั้นอีก เห็นคุณ..ต้องการเป็นอย่างนั้นบ้าง ต่างกันนิดเดียว ถ้าหากว่า “อยากจะเป็นแบบนั้น” ก็คือเห็นเขาทำแล้วได้ดี หรือว่า “กลัวจะเป็นอย่างนั้น” ก็คือกลัวจะต้องเกิดทุกข์เกิดโทษแบบนั้นขึ้นมาอีก กำลังใจก็จะปักมั่นอยู่กับเป้าหมายไม่เปลี่ยนแปลงไปไหน คราวนี้ตัวสุดท้ายที่สำคัญมาก ๆ เลยแต่มักจะโดนลืม คือ วิมังสา เป็นการพิจารณาไตร่ตรองอยู่เสมอ ๆ ว่าเราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ปัจจุบันนี้ทำไปถึงไหน ? เหลือระยะเวลาใกล้ไกลเท่าไร ? ยังตรงต่อเป้าหมายหรือไม่ ? ต้องทบทวนอยู่เสมอ แต่พวกเรามักจะลืม ในเมื่อพวกเรามักจะลืม การปฏิบัติของเราก็ไม่แน่ว่าจะตรงทาง หรือไม่แน่ว่าทำแล้วจะเห็นผล หลายท่านก็เลยกลายเป็นคนขยัน เช้าบ้างเย็นบ้าง ทำทุกวัน แต่ลืมไปว่าอย่างดีเราก็นั่งได้ประมาณ ๑ ชั่วโมง แล้วกำลังใจมีคุณภาพถึงครึ่งชั่วโมงหรือเปล่าก็ไม่รู้ อีก ๒๓ ชั่วโมงเราก็ไหลตามกิเลสไปตลอด แล้วจะให้เกิดความก้าวหน้าในการปฏิบัติได้อย่างไร เพราะว่าสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มกับสิ่งที่เราเสียไป ก็คือกำลังใจเสียวันละ ๒๓ ชั่วโมง แต่กำลังใจดีมีวันละชั่วโมงเดียว ชดเชยกันไม่ได้ ทดแทนกันไม่ได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2015 เมื่อ 14:35 |
สมาชิก 99 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
"ยังมีอีกพวกหนึ่ง ประเภทถือมงคลตื่นข่าว อาตมาเคยเปรียบไว้ว่า เหมือนกับคนขุดบ่อจะเอาน้ำ พอเราขุดลงไป ๒ วา ๓ วาใกล้จะถึงน้ำแล้ว เขาบอกว่าตรงโน้นดีกว่า เราก็วางมือจากที่นี่แล้วก็ไปเริ่มต้นขุดบ่อใหม่ พอลงไปได้สักวาสองวา ใกล้จะถึงน้ำแล้ว เขาบอกว่าด้านนั้นดีกว่า เราก็ไปทางด้านนั้นอีก
ท่านที่ยังถือมงคลตื่นข่าวลักษณะนี้ แสดงว่าการปฏิบัติยังไม่เคยมีผลจริง ๆ กับตนเองเลย บางท่านอาจจะทึกทักกับตัวเองว่า ตัวเองทำแล้วดีอย่างนั้น ได้อย่างนี้ แต่อาตมาขอยืนยันว่า ถ้ายังถือมงคลตื่นข่าวอยู่ ยังไหลไปที่โน่น ไหลไปที่นี่บ้าง ยังไม่ได้แน่วแน่ต่อเป้าหมายของตนเอง แล้วทำให้เกิดผลมากยิ่งขึ้น ก็แสดงว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ การปฏิบัติยังไม่ได้เกิดผลอย่างแท้จริงเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะถ้าเกิดผลแล้ว เกิดความมั่นใจแล้ว ก็จะไม่ไหลไปไหน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2015 เมื่อ 14:37 |
สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
"สมัยก่อนพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านแนะนำหลวงปู่รูปนั้นบ้าง หลวงพ่อรูปนี้บ้าง ให้ลูกศิษย์ไปกราบ ไปศึกษาปฏิปทาการปฏิบัติ ลูกศิษย์บางคนก็ไหลหายไปจากวัดท่าซุง แต่หลายท่านก็มีความฉลาดเพียงพอ ไปศึกษาแล้วเห็นว่าเป็นปฏิปทาที่เหมือน ๆ กัน เป็นไปในรอยเดียวกัน ถือเอาตามแนววิสุทธิมรรคหรือพระไตรปิฎกเหมือน ๆ กัน ท่านทั้งหลายเหล่านี้เห็นเข้า ก็เกิดความมั่นใจว่าครูบาอาจารย์ของตนสอนดีแล้ว สอนถูกแล้ว พอไปหลาย ๆ สำนักเห็นลักษณะเดียวกัน ก็จะเกิดศรัทธาปักมั่นต่อครูบาอาจารย์ของตนเอง แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติให้เกิดผล ส่วนท่านที่ไหลหายไปเลย ครูบาอาจารย์ท่านก็ถือว่าหมดภาระของท่านไป
ฉะนั้น..ในส่วนของการถือมงคลตื่นข่าวมักจะมีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะสำนักไหนก็ตาม ถึงเวลาก็ที่โน่นดี ที่นี่ดี หารู้ว่าไม่ว่าสิ่งที่ดีนั้นเป็นความดีของใคร เป็นของเขาหรือเป็นของเรา ? อาตมาเคยเปรียบว่าเราไปชมสมบัติของเศรษฐี ไปชมเศรษฐีบ้านเหนือบ้าง บ้านใต้บ้าง บ้านตะวันออกบ้าง บ้านตะวันตกบ้าง ชมไปเถอะ..ทั่วประเทศและต่างประเทศ ชมไปแล้วสมบัติก็ยังเป็นของเศรษฐีอยู่เหมือนเดิม แล้วสมบัติของเราอยู่ที่ไหน ? เรามีสมบัติเพียงพอที่จะอวดอ้างกับคนอื่นเขาได้บ้างหรือไม่ ? แบบเดียวกับที่เขาสอนให้นักบวชพิจารณาว่า “คุณวิเศษของเรามีบ้างหรือไม่ เพื่อจักไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม” จึงอยากให้ทุกท่านทบทวนว่า การปฏิบัติของเราตั้งแต่ต้นมาจนบัดนี้ แต่ละท่านทำมาไม่ใช่น้อย ๆ บางคนทำมาหลายสิบปี ถ้าอย่างของอาตมาเองก็ ๔๐ ปีถ้วน ๆ พอดี เพราะเริ่มทุ่มเททำให้แบบมอบกายถวายชีวิตในปี ๒๕๑๘ ทำมามากกว่าอายุของหลาย ๆ คนที่อยู่ที่นี่ หลายท่านในที่นี้ก็ทำมาลักษณะอย่างนั้น แล้วเรามีความดีอะไรที่เพียงพอจะอวดอ้างต่อคนอื่นเขาบ้าง ? ไม่ใช่อวดในลักษณะของมานะหรือถือตัวถือตนว่า ฉันทำได้ดีกว่า ฉันทำได้เหนือกว่า แต่ว่าให้มีสิ่งที่สามารถพูดด้วยความมั่นใจว่า การปฏิบัติแนวนี้มีผลจริง เพราะเราทำมาด้วยตัวเองแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2015 เมื่อ 16:05 |
สมาชิก 95 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
"สิ่งที่เตือนไปบางทีก็อาจจะผ่านหูพวกเราไปเฉย ๆ แล้วเราก็ยังคงแสวงหาไปเรื่อย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ เพราะการปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการเข้าร้านอาหาร ถ้าอาหารไม่ถูกปากเราก็จะเปลี่ยนร้านไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้อาหารที่ถูกปากเสียที
แต่อาตมาอยากจะบอกกับทุกท่านว่า อาหารที่ถูกปากที่สุดคืออาหารที่เราปรุงเอง รู้หลักการแล้วรีบทำ อาหารจานแรก ๆ อาจจะออกมาดูไม่ได้เลย รสชาติถึงขนาดเทลงไปแล้วหมาวิ่งหนี แต่ขอให้ทำเถอะ เพราะถ้าทำแล้วเราค่อย ๆ พินิจพิจารณาดู ก็จะรู้ว่าต้องแก้ไขอย่างไรบ้าง หรือไม่ก็ถามท่านที่เป็นผู้รู้ เคยทำมาก่อน ท่านก็จะบอกวิธีที่ทำให้ดีกว่าเดิม แล้วเราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป บางท่านอายุขัยมากแล้ว เกินวัยเกษียณแล้วก็มี ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงมากพอที่จะตะเกียกตะกายไปชมสมบัติเศรษฐีที่อื่นอีกแล้ว มีอย่างเดียวคือต้องตั้งหน้าตั้งตาทำให้เกิดผลก่อนที่ชีวิตนี้จะหมดสิ้นไป ส่วนท่านที่อายุยังน้อยก็อย่าประมาท เพราะไม่แน่ว่าเราจะอยู่ได้อีกกี่วัน จำเป็นต้องเร่งความเพียรเช่นกัน เพื่อให้มีหลักเป็นเครื่องยึด ก่อนชีวิตนี้จะหมดสิ้นลง ฉะนั้น..ในการปฏิบัติธรรมของเราจึงต้องทุ่มเทจริง ๆ ทำกันแบบเอาจริงเอาจัง ต่อให้ไม่ใช่แนวปฏิบัติที่เราคุ้นชินก็ต้องลองทำ ไม่อย่างนั้นแล้วคนอื่นเขาทำกันมากมาย แต่เราบอกว่านี่ไม่ใช่อาหารของเรา แล้วเราจะไม่กินเลย ก็แปลว่าเราต้องลำบากเดือดร้อน แล้วก็หิวอยู่คนเดียว ขณะที่คนอื่นตั้งหน้าตั้งตากินไป อย่างน้อย ๆ มื้อนี้เขาไม่หิว มื้อหน้าอาจจะกินต่อไปก็ไม่หิวอีก แต่เราเองบอกว่าอาหารร้านนี้ไม่ถูกปาก อาหารชนิดนี้ไม่ถูกใจ แล้วไม่ยอมกินอะไรเลย เท่ากับเราทำตัวเราให้เดือดร้อนเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-06-2015 เมื่อ 16:07 |
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
"วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ทุ่มเททำอย่างจริง ๆ จัง ๆ ถ้าทุ่มสุดแล้วยังไม่ดี เราจะได้ด่าให้เต็มปากเต็มคำว่า แนวการปฏิบัติแนวนี้ใช้ไม่ได้ การปฏิบัติธรรมอย่าปฏิบัติด้วยหู ก็คือฟังคำเล่าลือของคนอย่างเดียว แต่ให้ปฏิบัติด้วยใจ คือตั้งหน้าตั้งตาลงมือทุ่มเททำไป และที่แน่ ๆ ควรจะมีพื้นฐานสักเล็กน้อย อาจจะเป็นตำราสักเล่มหนึ่ง อย่างเช่นพระไตรปิฎกก็ดี วิสุทธิมรรคก็ดี หรือว่าตำราของหลวงปู่หลวงพ่อที่เรามั่นใจในคุณความดีของท่าน ว่าท่านสอนตรง สอนถูก ยึดไว้เป็นหลัก เมื่อไปเจอสำนักอื่น ๆ ถึงเวลาจะได้เปรียบเทียบวิธีการสอนและปฏิบัติของท่าน ว่าตรงกับตำราของเราไหม
แต่ว่าวิธีนี้โอกาสพลาดก็มีสูง เพราะว่าพระพุทธเจ้าสอนเอาไว้มากมายถึง ๔๐ อย่างด้วยกัน บางอย่างก็ไม่ใช่ตรง ๆ อย่างเช่นสายสัมมาอะระหัง ของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ท่านกำหนดดวงแก้วที่ศูนย์กลางกาย เราก็จะบอกว่าในพระไตรปิฎกไม่ได้กล่าวถึงเลย เพราะว่าเราปฏิบัติไม่ครบถ้วนตามที่พระพุทธเจ้าสอน จึงไม่รู้ว่าดวงแก้วที่ศูนย์กลางกายก็คืออาโลกกสิณ เป็นการกำหนดแสงสว่างให้เกิดขึ้น ถ้าหากว่าเรามีตำราที่เชื่อถือได้เป็นหลักแล้ว เวลาไปเจอสำนักไหนที่เขาบอกว่าเป็นเศรษฐี ที่เราควรจะไปชม ไปศึกษาว่า ท่านทำอย่างไรถึงได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีในทางธรรมแบบนั้น เราจะได้รู้ว่านั่นเป็นเศรษฐีจริงหรือว่าเศรษฐีปลอม จะได้ไม่ต้องเสียเวลาขุดบ่อไปเปล่า ๆ ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นเศรษฐีปลอมแนะนำให้เราไปขุดบ่อบนยอดเขา ถ้าไม่ใช่โชคดีจริง ๆ เพราะบุญเก่าทำไว้ดี บังเอิญขุดไม่กี่ทีก็ทะลุลงไปเจอโพรงถ้ำที่มีน้ำ ก็แปลว่าอาจจะเสียเวลาอีกหลายชาติเพราะหลงเดินทางผิด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เพราะการเกิดทุกชาติมีแต่ความทุกข์ ทุกคนเกิดมาบนกองทุกข์ ดำเนินชีวิตอยู่บนกองทุกข์ แล้วก็ตายไปท่ามกลางความทุกข์"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2015 เมื่อ 16:59 |
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
"เราจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาและปฏิบัติให้พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ การศึกษาก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติจริง ๆ อย่างที่บาลีใช้คำว่า ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ก็คือการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมเหมือนกับดวงแก้ววิเศษที่ใคร ๆ ก็มีความปรารถนาอยากจะได้ แต่ว่าต้องทุ่มเทในการไขว่คว้าแสวงหา อย่างที่โบราณกล่าวว่า “วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่แดนไกล ต้องยากลำบากไป จึงจะได้สินค้ามา”
เรื่องของธรรมะก็เหมือนกัน เราต้องทุ่มเทกับการปฏิบัติ ทำให้ดี ทำให้ถูก ทำให้พอเหมาะพอควร จึงจะเรียกว่าปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรม เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรม เกิดความศรัทธาเลื่อมใส แล้วน้อมนำเอามาปฏิบัติ แปลว่าเราสร้างสมบุญญาบารมีมาเพียงพอแล้ว ในเมื่อเราสร้างสมคุณความดีไว้เพียงพอแล้ว แปลว่าเรามีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงมรรคถึงผล เพียงแต่ว่าเราต้องทำให้ดี ทำให้ถูกเท่านั้น เรื่องที่ได้กล่าวมาแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่จริงจัง แต่จะเกิดประโยชน์แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับท่านทั้งหลายจะนำไปพินิจพิจารณากันเอาเอง เรื่องของการปฏิบัติธรรม ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้ คนอื่นกินข้าวแล้วจะให้เราอิ่มนั้น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เราต้องกินด้วยตนเอง ในเมื่อกินด้วยตนเองแล้ว ก็อย่าพึ่งพาให้คนอื่นทำให้กิน แต่ต้องพยายามทำกินเองให้ได้ ครูบาอาจารย์มีโอกาสล่วงลับดับขันธ์ไป ระยะเวลาที่ผ่านมาเราก็เห็นอยู่ ครูบาอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง ก็ยังไม่สามารถจะล่วงพ้นจากความตายไปได้ ดังนั้น..เราจึงจำเป็นต้องรีบฉวยโอกาส ประพฤติปฏิบัติให้กำลังใจของเราสูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ เพื่อที่ถึงเวลาครูบาอาจารย์ล่วงลับไป เราจะได้มีหลัก เราจะพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเราเป็นลูกศิษย์ของท่าน เพราะเราประพฤติปฏิบัติตามปฏิปทาที่ท่านสอนจนเกิดผลแก่ตัวเองแล้ว การทำจนเกิดผลแก่ตัวเองนั้น เป็นเครื่องยืนยันที่ดีที่สุด เราจึงต้องทบทวนดูกำลังใจของเราอยู่เสมอว่า ปฏิบัติธรรมไปแล้ว รัก โลภ โกรธ หลง ลดน้อยลงหรือไม่ ? ความมานะ ถือตัวถือตน ลดน้อยลงหรือไม่ ? หรือว่ายังเป็นคนที่กระทบเมื่อไรก็เกิดความหงุดหงิด เกิดโทสะ เกิดความไม่พอใจขึ้นมา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีใครสามารถที่จะบอกกล่าวเราได้ นอกจากเราจะพิจารณาเอง เมื่อเห็นแล้วก็พยายาม ลด ละ และเลิกให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วการปฏิบัติธรรมของเราก็จะหาความก้าวหน้าไม่ได้ และอาจจะโดนกิเลสถ่วงจนถอยหลังลงไปเรื่อย ๆ ก็เป็นไปได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2015 เมื่อ 17:02 |
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานวันวิสาขบูชามีบางท่านใส่รองเท้าแหลมเปี๊ยบกราบพระ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถึงเวลาพระต่างประเทศเขาถามว่าทำไมไม่ถอดรองเท้า ? อาตมาก็ตอบไม่ได้ ที่น่าเกลียดยิ่งกว่านั้นก็คือเวลางาน ทั้งผู้หญิงผู้ชายใส่รองเท้าเข้าโบสถ์ ยังดีว่าเป็นโบสถ์ที่วัดอื่น ถ้าวัดท่าขนุนแล้วใส่รองเท้าเข้าโบสถ์ รับประกันว่าจะได้จำไปตลอดชีวิตเลย..!
พอ ๆ กับปฏิบัติธรรมคราวที่แล้ว มีโยมอยู่คนหนึ่ง เอารถวิ่งเข้าไปจอดบนอิฐตัวหนอนที่ปูไว้ ประเภทคิดว่าตัวเองบารมีสูง มาถึงก็มีที่ว่างให้จอด ทั้ง ๆ ที่มีขอบปูนสูงลิบ ยังตะเกียกตะกายเอารถขึ้นไปจอด ถ้าไม่โดนด่าก็หูตาไม่สว่าง ก็แปลว่าต้องโดน..! แต่เชื่อเถอะ...คนเราไม่จำหรอกว่าตัวเองทำอะไรผิด แต่จะจำว่าคนอื่นผิดที่ไปด่าเขา เพราะวิสัยคนเรามักเข้าข้างตนเองโดยอัตโนมัติ ต่อให้ทำผิดก็จะไม่ยอมรับง่าย ๆ เพราะว่ามีอัตตา คือตัวกูของกูอยู่เต็มที่ ที่ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่าอีโก้ ในเมื่อยึดตัวกูเป็นหลัก อะไรที่กูทำ "ต้องได้" ก็จะอยู่ในลักษณะว่า ถ้าคนอื่นทำแล้วผิด ถ้าเราทำไม่เป็นไร โบราณเขาถึงได้บอกว่า “ผิดคนอื่นมองเห็นเช่นภูเขา ผิดของเรามองเห็นเท่าเส้นขน” คือผิดของตัวเองไม่เป็นอะไร ผิดขนาดไหนก็มองเห็นเท่าเส้นขน “ตดคนอื่นเหม็นเบื่อเหลือจะทน ตดของตนถึงเหม็นไม่เป็นไร” เพราะฉะนั้น..ปฏิบัติธรรมแล้วโปรดระมัดระวังตรงจุดนี้ไว้ด้วย อย่าแบกอัตตาไว้มาก ระมัดระวัง ค่อย ๆ ลด ค่อย ๆ ละ เลิกได้จะเป็นคุณแก่ทั้งตัวเองและบุคคลอื่นเป็นอย่างยิ่ง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-06-2015 เมื่อ 14:00 |
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
"พวกเราถึงเวลาแล้วเราสะสมกำลังไว้ได้ แต่ก็ปล่อยรั่วหมด ในเมื่อเราปล่อยรั่วหมดจึงสู้กิเลสไม่ได้สักที การที่เราปล่อยให้รั่ว ก็คือกำลังสมาธิไหลออกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจหมดเลย ตาเราก็ก้มหน้าก้มตาจ้องจออยู่ หูก็คอยฟังเสียงเวลาส่งไลน์มา มือกดว่าเป็นเสียงอะไร จมูกก็หากลิ่นที่ตนเองต้องการ ลิ้นก็หารสที่ตนเองต้องการ แม่ครัวทำอาหารไม่ถูกใจก็โกรธเขาอีก ซื้อกินเองก็ได้ ทางกายก็เลือกสัมผัสดี ๆ ต้องมีที่นอนดี ๆ มีเครื่องปรับอากาศ
อาตมาไม่ได้นินทา แต่จะเล่าให้ฟังว่ามีพระจากวัดใหญ่แถวปทุมธานี ๕ รูปมาขอพักที่นี่ อาตมาก็พามาพักที่ตึกแดงนี่แหละ ชั้นบน พอเขาเห็นว่าไม่มีเครื่องปรับอากาศ เขาขอกลับเดี๋ยวนั้นเลย เพราะฉะนั้น..ในส่วนของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราจะเป็นจุดรั่วของกำลังในการปฏิบัติ เพราะไม่ได้สำรวม โดยเฉพาะเทคโนโลยีใหม่ ๆ ดึงความสนใจของเราอยู่ตรงนั้น ก็แปลว่ารั่วออกทางใจมากที่สุด ทำให้สะสมกำลังมากี่ปีก็สู้กิเลสไม่ได้ จะเห็นว่าพระวัดป่า วัดสายปฏิบัติ จึงจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่าง มีเครื่องอำนวยความสะดวกให้น้อยที่สุด มีเรื่องรบกวนใจให้น้อยที่สุด ถึงจะสะสมกำลังให้เพียงพอที่จะสู้กับกิเลสได้ เรื่องพวกนี้อยู่สามัญสำนึกของพวกเราเอง ว่าเราตั้งใจจะละกิเลสจริง ๆ หรือว่ายังอยากจะอยู่กับกิเลสต่อไป ถ้าตั้งใจจะละกิเลสจริง ๆ ก็ต้องทุ่มเทต่อสู้กันจริง ๆ เพราะว่ากิเลสเป็นศัตรูที่ไม่เคยปรานีเรา มีโอกาสเขาก็ฟาดฟันทำลายล้างเราหมด ทั้งกำลังกาย หมดทั้งกำลังใจ เพื่อที่จะให้เราเป็นทาสของเขาต่อไปชาติแล้วชาติเล่า ถ้าเราไปอ่อนข้อรามือให้ ชีวิตนี้ก็เป็นหมันเปล่า คือทำความดีไปก็เท่านั้นแหละ ไม่เพียงพอที่จะหนีพ้น แล้วชาติต่อ ๆ ไปก็ยังคงเป็นชาติต่อ ๆ ไปอีก เพราะเกิดแล้วเกิดเล่า หลายคนบอกว่าเป็นทาสกิเลสก็ดีนะ เพราะเขาจะสรรหาสิ่งที่เราชอบมาปรนเปรอ แต่ถ้าปัญญาเราเพียงพอจะเห็นว่า ทุกอย่างล้วนแล้วแต่สร้างทุกข์สร้างโทษให้กับเราทั้งสิ้น ดูอย่างประเทศจีน ประกาศขายไตเพื่อไปซื้อไอโฟน ๖ อีกรายหนึ่งหนักกว่านั้นอีก ประกาศขายแฟนเพื่อซื้อไอโฟน ๖ ถ้าเป็นอาตมารับประกันว่า ก่อนที่จะได้ไอโฟนนี่ผู้ชายสาหัสแน่ บังอาจมาขายเราได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2015 เมื่อ 12:56 |
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในส่วนวิธีการแผ่เมตตาที่สอนไป ให้พวกเราไปซักซ้อมไว้บ่อย ๆ เพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม ก็คือจะเป็นการสร้างกระแสเย็นให้กับโลก และประโยชน์แก่ตนเองเพื่อที่จะได้ก้าวหน้าในการปฏิบัติ
ถ้าทรงความเมตตาไว้เป็นปกติ หากว่าเราตาย แม้จะยังเข้าไม่ถึงมรรคผลก็ยังไปเกิดในพรหมโลก บุคคลที่มีเมตตาเป็นปกติ ร่างกายก็ทรุดโทรมช้า สามารถหลอกเด็กรุ่นหลังได้อีกนาน ในส่วนที่กล่าวมาเป็นเพียงองค์รวมเท่านั้น การที่เราตั้งหน้าตั้งตากระทำความดีกัน ทั้งที่วันหยุดยาว ๆ ส่วนใหญ่คนอื่นเขาไปเที่ยว ถึงแม้ว่าสิ่งที่เราทำจะเต็มเม็ดเต็มหน่วยบ้าง ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยบ้าง แต่ก็ถือว่าเรามีกำลังอยู่ในด้านดี สามารถต่อต้านกระแสกิเลส จนเข้ามาปฏิบัติธรรมได้ โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลในกาลข้างหน้าย่อมมี แม้จะมากน้อยต่างกันตามกำลังใจก็ตาม ดังนั้น..ขอให้ทุกคนทำในลักษณะต่อเนื่องกันไป อย่าทำ ๆ ทิ้ง ๆ ซึ่งจะเป็นเหตุให้ผลทั้งหลายเหล่านี้เกิดได้ช้า เรื่องของมรรคผล ไขว่คว้าหามาสู่ตัวได้เร็วเท่าไรก็สบายเท่านั้น เพื่อที่เราจะได้พ้นจากกองทุกข์ไว ๆ ไม่เช่นนั้นเราเองก็ยังคงต้องทุกข์ยากเร่าร้อนต่อไม่รู้จบ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ว่ากล่าวไปแล้ว ก็เหมือนอย่างกับเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน หรือไม่ก็ตอกย้ำในสิ่งที่รู้แล้วแต่ก็มักจะลืมอยู่เสมอ ขออนุโมทนากับคุณความดีที่ท่านทั้งหลายได้ทำในครั้งนี้ด้วย ต่อไปก็จะได้รับวุฒิบัตรเพื่อเป็นที่ระลึก โดยเฉพาะลายเซ็นของพระครูวิลาศกาญจนธรรม ใช้ ดร. ตามหลังอย่างเต็มภาคภูมิเป็นครั้งแรก" พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. โอวาทช่วงงานบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมวันวิสาขบูชา วันที่ ๓๐ พฤษภาคม – ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-06-2015 เมื่อ 14:41 |
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|