กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 22-12-2014, 09:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default โอวาทงานบวชเนกขัมมะลอยกระทง ๖-๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗

โอวาทช่วงงานบวชเนกขัมมะ ลอยกระทง ๖-๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๗


วันก่อนอาตมาซื้อทองไป ๖ กิโลกรัม ที่ราคาบาทละ ๑๘,๑๐๐ บาท วันต่อมาเหลือบาทละ ๑๗,๘๕๐ บาท ถามว่ารู้ไหมว่าจะลงมาขนาดนี้ ? รู้..แล้วก็รู้ว่าจะลงมากกว่านี้ด้วย แต่จะซื้อราคานี้ คือเรื่องของการซื้อขายจะมีราคาในใจของเราเองอยู่ อาตมาตั้งใจซื้อที่ ๑๘,๓๐๐ บาท ปรากฏว่ากว่าจะโทรสั่งเสร็จเหลือ ๑๘,๑๐๐ บาท ถือว่าได้กำไรบาทละ ๒๐๐ แล้ว

หลายคนเวลาปฏิบัติธรรมอยู่ในลักษณะอย่างนี้ เขาเรียกว่าคิดฟุ้งซ่านในเรื่องที่ไม่ควรคิด อาตมาเคยเปรียบเทียบว่าเราเก็บมะม่วงได้ ๕ ลูก เน่าไป ๒ ลูก ก็มานั่งเสียอกเสียใจ ไม่ได้คิดว่าที่ได้มายังเหลือดีอีกตั้ง ๓ ลูก แล้วของก็เก็บมาฟรี ๆ ไม่ได้มีอะไรเสียสักหน่อย มีแต่ได้ ในเรื่องของการปฏิบัติ เราภาวนาครั้งหนึ่งเท่ากับเราโกยบุญใส่ตัวครั้งหนึ่ง ภาวนา ๒ ครั้งโกยบุญใส่ตัว ๒ ครั้ง ภาวนาครั้งหนึ่งเดินเข้าใกล้พระนิพพานก้าวหนึ่ง ภาวนา ๒ ครั้งเดินใกล้พระนิพพาน ๒ ก้าว แต่คราวนี้ระยะทางที่ไปไกลจนประมาณไม่ได้ เราเดิน ๆ ไปแล้วอาจจะท้อว่าเมื่อไรจะถึงสักที ?

ถ้าหากว่ารู้สึกท้อให้มองกลับหลังไปดู ก่อนหน้านี้เราเป็นอย่างไร ศีล ๕ ก็ไม่มี เดี๋ยวนี้ศีล ๕ ของเราครบถ้วนสมบูรณ์ บางท่านพัฒนาไปถึงกรรมบถ ๑๐ หรือศีล ๘ แล้ว เราจะเห็นความก้าวหน้าของตัวเอง ภาษิตเขาว่า “เห็นคนอื่นขี่ม้าอย่าไปอิจฉา เราขี่ลายังดีกว่าเดินเท้า” ม้าวิ่งเร็วนี่ ลาเดินก๊อก ๆ ไปทีละก้าว ขี้เกียจขึ้นมาก็นอนเฉยเลย แต่ดีกว่าเดินเอง คนเดินเท้ายังมีอีกตั้งเยอะ

คราวนี้เรามาดูว่าการปฏิบัติของเราที่ว่าไม่ก้าวหน้า ความจริงแล้วเราก้าวหน้า เราขี่ลาอยู่ก็อย่าไปมองคนขี่ม้า ยิ่งคนขี่รถสปอร์ตเฟอรารี่ยิ่งไม่ต้องไปมองใหญ่ มองคนที่เดินตีนเปล่าอยู่ข้างหลังเรา หรือไม่ก็มองคนที่ยังนอนตีพุงอยู่ ไม่ยอมลุกเดินเลย แล้วเราจะเห็นว่า เรามีความก้าวหน้ามากกว่าเขา แบบเดียวกับหลวงปู่พระพุทธพจนวราภรณ์ วัดเจดีย์หลวง ก่อนหน้านี้ท่านอยู่วัดป่าดาราภิรมย์ หลวงปู่เจ้าคุณจันทร์ท่านบอกว่า “ยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี จะเป็นเศรษฐีในเรือนยาจก ไม่ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี ก็เป็นแค่วณิพกในเรือนเศรษฐี”

หลวงปู่มหาอำพันท่านก็ว่า “ความไม่พอพาจนเป็นคนเข็ญ” ถ้าไม่รู้จักพอก็จนอยู่นั่นแหละ จะไปให้ใครได้ ? “พอแล้วเป็นเศรษฐีมหาศาล” รู้จักพอมีอะไรก็แบ่งปันคนอื่นเขาได้ ก็เท่ากับเรารวย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2014 เมื่อ 17:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 22-12-2014, 09:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ลักษณะของการปฏิบัติก็ต้องอยู่ในลักษณะนี้ คือทำได้เท่าไรเอาแค่นั้น อย่าอยากมากจนเกินไป ไม่อย่างนั้นจะเหมือนกับอาตมาเองช่วงปฏิบัติใหม่ ๆ อยากได้ปฐมฌานมากที่สุดในโลก เพราะเห็นแนวทางแล้วว่า ทันทีที่ได้ปฐมฌาน จะเลี้ยวเข้าหาอารมณ์พระอริยเจ้าเลย ตัดเข้าหาอารมณ์พระโสดาบัน เพราะกำลังของปฐมฌานเพียงพอที่จะตัดกิเลสระดับพระโสดาบันได้ ถ้ายึดหัวหาดพระโสดาบันได้ ที่เหลือไม่ว่าจะเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี หรือพระอรหันต์ก็สบายเราแล้ว ไม่มีถอยหลังมีแต่ขึ้นหน้าอย่างเดียว อย่างเก่งก็คาอยู่ข้างบน เราก็ไม่ลงนรกแน่ เลยอยากได้ปฐมฌานมาก

ด้วยความที่อยากจนเกินไป ศึกษาขั้นตอนปฐมฌานจนขึ้นใจ แล้วก็ภาวนาตามดูไปเรื่อย ปฐมฌานจะต้องประกอบไปด้วยองค์ ๕ มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตารมณ์ ก็ไปดูว่า ตอนนี้วิตกนะ เรากำลังคิดว่าจะภาวนา ตอนนี้วิจารนะ ลมหายใจเข้าและคำภาวนาไหลเข้าไปถึงตรงนี้ ไหลออกมาถึงตรงนี้ เอ้า..ตอนนี้ปีติ ขนลุกซ่า ๆ มาหน่อยหนึ่งแล้ว ตามดู จี้ติดทุกขั้นตอนเลย คำว่าสุขหน้าตาเป็นอย่างไรไม่เคยเจอ เพราะไม่รู้ว่าการที่ตัวเองอยากมากจนเกินไป กลายเป็นความฟุ้งซ่าน สมาธิไม่รวมตัว ก็ทำไปเถอะ

๑ วัน ๑ อาทิตย์ ๑ เดือน ๒ เดือน ๓ เดือน ๖ เดือน ๑ ปี จน ๓ ปีไม่ได้อะไรสักที อย่างเก่งก็แค่ปีตินิด ๆ หน่อย ๆ เพราะว่าอยากได้มากจนเกินไป สภาพจิตไม่รวมตัวสักที จนกระทั่งวันนั้น “เฮ้อ..เหนื่อยเต็มทีแล้วโว้ย ทำเท่าไรก็ไม่ได้สักที จะได้ไม่ได้ช่างหัวแม่.. เราภาวนาไปก็แล้วกัน” โป๊ะเดียวได้เลย เพราะว่ากำลังใจปล่อยวาง ได้ไม่ได้ก็ช่าง ไม่สนใจจะไปตามดูแล้ว

คราวนี้โยมจะเห็นว่าแม้กระทั่งการปฏิบัติ ถ้าเราเกิดความอยากก็จะไม่ได้ ในเมื่อรู้วิธีแล้วถ้าอาตมาสามารถที่จะย้อนกลับไปเริ่มต้นปฏิบัติ รับประกันได้ว่า ๕ นาทีก็ได้แล้ว กำลังใจจะทรงปฐมฌานเลย แต่สมัยก่อนไม่รู้นี่ งมอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ ความอยากทำให้ฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านทำให้จิตห่างจากสมาธิ ฉะนั้น..เรามีหน้าที่ตั้งหน้าตั้งตาทำไป ส่วนผลจะเกิดอย่างไรก็ช่างมัน

โดยเฉพาะงานนี้ดูท่าคนจะน้อยกว่าคราวที่แล้วอีก อย่างที่วิเคราะห์ว่า อันดับแรกคือวันลาหมด ลาจนไม่มีให้ลาแล้ว อันดับที่สอง..เป็นวันทำงาน ๒ วัน ไม่ได้หยุดราชการ อันดับที่สาม..สตางค์หมด ช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงกฐิน ทำบุญเยอะไปหน่อย ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็สบาย พวกเราอยู่คนไม่มาก ในเมื่อไม่กล่นเกลื่อนด้วยหมู่คน ความฟุ้งซ่านมีน้อย ก็จะช่วยให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติได้ดีขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2014 เมื่อ 10:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 87 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 22-12-2014, 09:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้หลีกออกจากหมู่ไว้ก่อน สำหรับผู้ปฏิบัติในระยะแรกเริ่ม ก็คือหาที่สงบแล้วก็เร่งการปฏิบัติของเราไป กำลังใจทรงตัวเมื่อไรแล้วค่อยออกมาฟัดกับโลกใหม่ ในปัจจุบันของเรา การที่เราจะหลีกออกจากหมู่ก็เป็นเรื่องยาก เวลาวัดมีงาน พวกเราสละเวลาทำการทำงาน สละเวลาที่ควรจะไปเที่ยวเตร่สนุกสนานมาเพื่อปฏิบัติ ในเมื่อตั้งใจจะเอาดีต้องทำจริง ๆ อย่าไปทำเล่น ๆ ถ้าหากว่าทำเล่น ๆ จะเอาดีได้ยาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2014 เมื่อ 10:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 90 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 22-12-2014, 22:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าหากว่ากำลังใจของเราเข้มแข็ง เด็ดขาด ทุกอย่างก็สามารถที่จะไขว่คว้ามาได้โดยง่าย ถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็ง ไม่เด็ดขาด ทุกอย่างก็กลายเป็นของยาก ถ้าถามว่าต้องเข้มแข็งเด็ดขาดขนาดไหน ? ก็ต้องแบบเดียวกับที่ลูกศิษย์ไปขอเรียนวิชา อาจารย์ท่านถามว่า "แน่ใจแล้วหรือว่าจะเรียนวิชานี้ ?" ลูกศิษย์บอกว่า “แน่ใจครับ ถึงท่านอาจารย์จะให้ผมกระโดดเหวลงไปตอนนี้ก็จะทำ”

ถ้าหากว่ากำลังใจแบบนั้นก็สามารถที่จะศึกษาวิชาการอะไรต่าง ๆ ได้ง่าย เพราะว่าเป็นกำลังใจที่ตัดเป็นตัดตายแล้ว ไม่มีคำว่าพรุ่งนี้ มีแต่วันนี้วันเดียว เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด เต็มกำลังที่สุด ถ้าเราตายลงไปวันนี้ ก็ให้ทรงความดีเต็มความสามารถของเราที่ทำได้ จะสามารถทรงความดีได้แค่ไหนไม่ว่า แต่ขอทุ่มเต็มที่ ถ้าภาษานักพนันก็คือ “สู้แค่หมดหน้าตัก” มีเท่าไรทุ่มแทงลงไปตาเดียว ถ้าถูกรางวัลก็รวยกันไปข้างหนึ่ง ถ้าไม่ถูกรางวัลก็หมดตัว ต้องมาเริ่มต้นใหม่

ดังนั้น..ในส่วนที่กล่าวมาจะเน้นตรงที่ว่า การรักษากำลังใจของเรานั้น ส่วนใหญ่พวกเราไม่เคยชิน แล้วก็ไม่ได้ฝึกในการปฏิบัติยามที่เคลื่อนไหว เราจึงต้องมาเดินจงกรมกัน การเดินจงกรมมีอานิสงส์อะไรบ้าง ? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า สมาธิที่ได้จากการเดินจงกรมเสื่อมได้ยาก เพราะร่างกายเคลื่อนไหวอยู่จนได้สมาธิ สมาธิที่เรานั่งอยู่แล้ว เมื่อเดินหรือว่าขยับไปทำอย่างอื่น อาจจะเคลื่อนคลายหายไปหมด แต่สมาธิจากการเดินจงกรมจะคลายตัวได้ยาก แปลว่าทรงตัวได้มั่นคงมากกว่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2014 เมื่อ 01:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 22-12-2014, 22:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อันดับที่ ๒ ได้ออกกำลังกาย ทำให้เป็นผู้มีโรคน้อย อันดับที่ ๓ อาหารที่กินลงไปย่อยสลายได้ละเอียดขึ้น ดีขึ้น ร่างกายดึงเอาสารอาหารไปใช้งานได้มากขึ้น สิ่งที่หมักหมมตกค้างอยู่ในร่ายกายมีน้อยลง โรคภัยไข้เจ็บก็น้อยลง อันดับต่อไป ทำให้เป็นผู้อดทนต่อการเดินทางไกล

ถ้าเรายกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ วันหนึ่งสัก ๑๐ ชั่วโมงก็เท่ากับว่าวันหนึ่งเราสามารถเดินทางได้วันละ ๑๐ ชั่วโมงเหมือนกัน ถ้ายกหนอ ย่างหนอได้ครั้งละ ๒ ชั่วโมง ก็เดินทางไกลได้ ๒ ชั่วโมงเช่นกัน เรามาเน้นตรงที่ว่า สมาธิที่ได้จากการเดินจงกรมทำให้เสื่อมได้ยาก แต่สำคัญที่ว่า การบริกรรมกับการเคลื่อนไหวต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยกหนอ ยก..ก็ยกเท้าขึ้น หนอ..ก็ยกสุดพอดี ย่างหนอ ย่าง..ก็เคลื่อนเท้าไปข้างหน้า หนอ..ก็เคลื่อนสุดพอดี เหยียบหนอ เหยียบ..ก็ลดเท้าลง หนอ..ก็แตะพื้นพอดี ให้ทุกอย่างเป็นปัจจุบันทันกันอย่างนี้

ถ้ากำลังใจเราอยู่กับการเคลื่อนไหวแบบนี้ตลอด ไม่หลุดไปสู่อารมณ์อื่น รัก โลภ โกรธ หลงจะกินใจเราไม่ได้ ในเมื่อ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจของเราไม่ได้ แปลว่าความชั่วใหม่ไม่มี เกิดขึ้นไม่ได้ ความชั่วเก่าก็โดนขัดเกลาไปเรื่อย ๆ เหมือนอย่างกับบ้านหลังหนึ่ง โดนกวาดโดนถูไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่สกปรกเพิ่มขึ้น เดี๋ยวก็สะอาดเอี่ยมทั้งหลังไปเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่เราจะขัดเกลากำลังใจของตนให้ผ่องใสก็จะมีมากขึ้น

วิธีการสังเกตว่าการปฏิบัติของเราได้ผลหรือไม่ได้ คือดูว่า กาย วาจา ใจ ของเราดีขึ้นหรือเปล่า ? หลายคนเข้มงวดกับตัวเองเวลาปฏิบัติ แต่พออยู่ที่บ้านมักจะปล่อยไปตามอารมณ์ กระทบอะไรเป็นด่ากระจาย หรือว่าต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างกำลังใจของตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนั้นขอให้รู้ว่า กำลังใจของเรายังหาดีไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2014 เมื่อ 01:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 22-12-2014, 22:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การปฏิบัติต้องมีการพัฒนาทางกาย ทางวาจา ทางใจที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ กระทบกระทั่งกับผู้อื่นน้อยลง ไม่ใช่หาความมันในการนินทาชาวบ้าน ซอกแซกสอดรู้สอดเห็นทุกเรื่อง แล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ รู้เรื่องของเขาหมดทุกเรื่อง แต่หารู้ไม่ว่ากำลังโกยขยะเน่า ๆ มาถมตัวเอง เรื่องอื่นเป็นขยะทั้งนั้น ขยะในใจของตัวเองก็มากพอแล้ว โกยทิ้งแต่ละวันยังไม่มีปัญญาจะโกย แล้วยังไปโกยของคนอื่นมาถมตัวเองเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นลักษณะอย่างนั้นก็แปลว่า นอกจากเราจะไม่ก้าวหน้าแล้ว ยังมีโอกาสถอยหลังไปเรื่อย ๆ เพราะกำลังใจถูกท่วมทับไปด้วยกิเลส โอกาสที่จะก้าวขึ้นไปข้างหน้าย่อมไม่มี

ในเมื่อเป็นอย่างนั้นจึงต้องหมั่นสังเกตตนเองไว้ ตั้งแต่แรกเริ่มที่อาตมาพูดมา ถ้าเราไม่เห็นความก้าวหน้าก็ต้องดูไปข้างหลัง แต่ถ้าอยากทำให้ได้ดีกว่านี้ คราวนี้ต้องมองไปข้างหน้า ตอนนี้เราขี่ลาแก่เดินก๊อก ๆ ทีละก้าว ต้องขี่ม้าให้ได้ ขี่ม้าแล้วต้องขี่รถ ถ้าหากรถยี่ห้อนี้เครื่องไม่แรงพอก็เปลี่ยนใหม่ เอารถที่ดีกว่านี้ หรือว่าขี่เครื่องบินไปเลย ถ้าหากว่าจะมองแบบไขว่คว้าหาความดีใส่ตัวมากขึ้น ต้องมองคนที่ปฏิบัติได้มากกว่า แล้วเลียนแบบ กาย วาจา ใจ ของเขาให้ได้ ถ้าหากว่ามองแบบสงสารตัวเองต้องมองย้อนหลังไป แล้วจะเห็นว่าคนที่น่าสงสารกว่าเรายังมีอีกเยอะมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2014 เมื่อ 01:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 23-12-2014, 18:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อมองออกไปข้างนอก แล้วโอกาสที่เกิดโทษมีมากกว่า ก็พยายามมองกลับมาที่ตัวเอง ว่าเราพัฒนา กาย วาจา ใจ ของเราขึ้นเท่าไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า “บรรพชิต (นักบวช) พึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่อีก เราต้องทำ กาย วาจา ใจ ของเราให้ดีกว่านี้” นี่เป็นแค่ ๑ ใน ๑๐ ข้อเท่านั้น

บางข้อบอกว่า "วันคืนล่วงไป ๆ เราทั้งหลายทำอะไรอยู่ ?" หายใจทิ้งไปเฉย ๆ หรือเปล่า ? ได้กำหนดสติรู้ตามไปจนกลายเป็นมหาสติ เกิดมหากุศลแก่ตน หรือว่าหายใจทิ้งไปเฉย ๆ โดยไม่มีสติ นอกจากไม่ได้อะไรขึ้นมาแล้ว บางทียังฟุ้งซ่านไปสู่ รัก โลภ โกรธ หลง อีกต่างหาก ดังนั้น..ในการปฏิบัติของพวกเราครั้งนี้ ก็ขอให้เน้นการดูและแก้ไข กาย วาจา ใจ ของเราเอง เพื่อความก้าวหน้ามากว่านี้

ทำไมถึงต้องดู ? ก็เพราะว่าถ้าเราดูคนอื่นมีแต่จะเกิดโทษ คือถ้าไปอิจฉาเขา เรื่องของธรรมะก็ถอยหลัง เพราะใจของเราเศร้าหมอง ถ้าไปทะยานอยาก อยากได้แบบเขา แล้วควบคุมความอยากไม่อยู่ จิตใจของเราก็เศร้าหมอง ถ้าไปน้อยเนื้อต่ำใจ ว่าทำเท่าไรไม่ได้อย่างเขาเสียที ใจเราก็เศร้าหมองอีก ต้องพยายามควบคุมตนเองเอาไว้ อยากไม่ใช่ความผิด แต่ถ้าอยากแล้วไม่พยายามทำให้ได้อย่างที่ตนเองอยาก โดยเฉพาะในด้านของความอยากดี นั่นถึงจะเป็นความผิด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2014 เมื่อ 03:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 23-12-2014, 18:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “งานนี้มือวางผางประทีปยังมือใหม่ ทางเดินหน้าศาลาวางอันเว้นอันยังได้ ไปวางจนถี่ยิบ ส่วนที่ลานธรรมเขามีรอยต่อของแผ่นปูพื้นอยู่ ยังวางผิด เลยมาสะท้อนใจว่า ถ้าเรื่องหยาบ ๆ แค่นี้ยังขาดการสังเกต เรื่องที่ละเอียดกว่านี้จะไปรอดไหม ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2014 เมื่อ 03:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 23-12-2014, 18:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นักปฏิบัติเราสิ่งที่ต้องระวังอยู่เสมอคือการทดสอบ การทดสอบจะมีมาทุกเวลา เผลอเมื่อไรเป็นโดน ส่วนใหญ่ของการทดสอบก็คือคนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว อะไรที่เรายิ่งรักมาก ยิ่งทดสอบเราถนัดมาก ยิ่งถ้าหากว่าเป็นคนรอบตัวที่เรารัก ก็จะยิ่งสร้างความสะเทือนใจให้เราได้มาก

อาตมาเองยกตัวอย่างเมื่อครู่นี้ เพราะว่าคุยกันตั้งแต่ก่อนฉันเพลแล้ว ฉันเพลเสร็จจะออกไปเบิกสตางค์ ปรากฏว่าน้องเล็กไปเอ้อระเหยลอยชาย ล้างชามจนเสร็จสรรพเรียบร้อยทุกใบแล้วค่อยมา อาตมาเองไข้จับมาตั้งแต่เช้า ว่าจะรีบไปเบิกสตางค์แล้วกลับมานอน ก็ต้องรอจนน้องเล็กมาถึงได้ออกไป

เอาสมุดธนาคารไป ๔ เล่ม เล่มที่ ๑ เป็นของพระครูน้อยที่ไปอยู่พม่า ให้เขาลงชื่อในใบถอนไว้ เพื่อจะปิดบัญชีแล้วเอามาเข้าเล่มที่ ๒ ของอาตมา ส่วนเล่มที่ ๓ อาตมาถอนเงินมาเพื่อจ่ายค่าแรงคนงานสามล้านบาท ปรากฏว่าต้องไปนั่งลงชื่อในหนังสือรับรองว่าไม่ได้ฟอกเงิน เพราะว่าถอนเกินหนึ่งล้านบาท ลงชื่อในใบเบิก เสร็จสรรพเรียบร้อยก็นั่งรอ สักพักหนึ่งพนักงานก็เอาเงิน ๓,๐๕๘ บาท ๗๕ สตางค์มาส่งให้..! อาตมาก็ว่า "เงินสามพันกว่าบาท..! แล้วกูเอากระสอบมาทำอะไรวะ ? "

ปรากฏว่าสามล้านบาทที่เขียนถอนนั้น เขาจัดแจงยัดเข้าอีกบัญชีไปเรียบร้อยแล้ว อาตมาบอกว่าสามพันกว่านั่นเอาไปเข้าบัญชี ส่วนสามล้านจะถอนมาเพื่อจ่ายค่าแรงคนงาน คราวนี้จะทำอย่างไร ? ถอนตั้งสามล้าน ก็ต้องไปนั่งลงชื่อในหนังสือรับรอง เพื่อป้องกันการฟอกเงินใหม่อีก ไปกรอกเอกสารใหม่อีก ๒ หน้า แล้วก็ไปลงชื่อใบเบิกใหม่ กลับมาก็ไม่มีเวลานอนแล้ว ตั้งแต่ ๑๑.๑๕ น.แทนที่จะได้นอนตีพุง เวลาหมดเกลี้ยงไปแล้ว ไม่ได้พักเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2014 เมื่อ 03:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 24-12-2014, 18:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กลับมาปวดท้องฉี่จะเข้าห้องน้ำ คุณลูกจองคาอยู่ในห้องน้ำ..! จนกระทั่งเสียงตามสายจะจบยังไม่ออกมา อาตมาก็แต่งตัวก่อน แต่งตัวเสร็จคุณลูกเผ่นออกมา น้องเล็กมุดเข้าไปอีก เห็นหรือยังว่าเขาลองกำลังใจขนาดไหน ? ถ้าไม่ตั้งสติดี ๆ นี่ได้มีโกรธกันแน่

ในเรื่องของการปฏิบัติ เขาทดสอบเราอยู่ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที และสอบแบบโหดร้ายมาก ดังนั้น..ใครโดนเข้าโปรดทราบว่า คุณสมบัติของเราเพียงพอแล้วเขาถึงได้สอบ ถ้าคุณสมบัติไม่เพียงพอเขาไม่สอบให้เสียเวลาหรอก แต่ถ้าเผลอแล้วสอบตก ก็หาความก้าวหน้าในการปฏิบัติไม่ได้ ถ้าหากว่าสอบได้เราจะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติมาก

ถามว่าเขาสอบแบบโหดร้ายขนาดไหน ? อาตมาก็ไม่รู้ แต่ถ้าเปรียบจากที่ตนเองโดนมา อย่างเช่นว่าวันนี้เป่ายันต์เกราะเพชรจนหมดสภาพเลย ช่วงบ่ายไปพักนอนแผ่หลา พระครูน้อยขับอีแต๋นมาจอดหน้ากุฏิ ติดเครื่องตึง ๆ ๆ เอาไว้ แล้วขยันโคตรเลย ก็คือไปเที่ยวลากถังขยะทั่ววัดมาเทใส่รถอีแต๋นที่หน้ากุฏิของอาตมา ทำไมไม่เอาอีแต๋นไปไว้ที่อื่น ? อาตมามาถามทีหลังว่า “นี่ไม่รู้หรือว่าผมนอนพักอยู่ ?” ท่านบอกว่า “รู้ครับ..ผมก็คิดว่าเสียงดังอย่างนี้อาจารย์น่าจะตื่น แต่ทำไมถึงจอดตรงนั้น ไม่ยอมย้ายไปไหนก็ไม่รู้ ?” ถังขยะมีกี่ใบเที่ยวเดินลากไปเทใส่รถที่จอดอยู่หน้ากุฏิของอาตมา นี่แค่ตัวอย่างครั้งเดียวเท่านั้น เห็นฝีมือการทดสอบเขาไหมว่าโหดแค่ไหน ?

เรื่องพวกนี้เราจะโดนอยู่ตลอดเวลา อารมณ์เสียเป็นอันว่าแพ้เขา..สอบตก ถ้าหากรักษาอารมณ์ได้ก็แค่เสมอตัว โอกาสชนะยังไม่มี เดี๋ยวข้อสอบใหม่จะมาอีก ย้ำใหม่อีกรอบ มารจะทดสอบโดยคนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัวในการทดสอบเรา วันดีคืนดีพอจะนอน หมาทั้งวัดพร้อมใจกันกัดตรงหน้ากุฏิ เคยเจอบ้างไหม ? อาตมาเจอเป็นประจำ เจอจนรู้ท่าแล้ว

สิ่งนี้เกิดจากกรรมเก่าส่วนหนึ่งที่เคยทำมา เพราะว่าในอดีตเป็นทหารมาทุกชาติ วิธีการรบที่จะชนะศัตรูได้ก็คือ บั่นทอนกำลังใจข้าศึกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ก็ด้วยการก่อกวนเขาไม่ให้หลับไม่ให้นอน พอถึงเวลามารเขาก็ใช้ผลกรรมอันนี้แหละ มาย้อนคืนทดสอบเรา เขาไม่ได้ใช้อย่างอื่นเลย ใช้สิ่งที่เราทำมาเอง ในอดีตเกเรไว้มากเท่าไร ปัจจุบันก็จะโดนมากเท่านั้น

คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว ข้าวของวางอยู่แท้ ๆ ไม่ได้มีอะไรเลย อยู่ตรงนั้นก็เป็นแค่ของ แต่พอเห็นเข้าก็ไปโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ใครวะ..วางของเกะกะไม่รู้จักเก็บจักงำให้ดี ?” สิ่งของไม่ได้มีชีวิตจิตใจสักหน่อย กลายเป็นเครื่องทดสอบเราไปจนได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2014 เมื่อ 02:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 24-12-2014, 18:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องพวกนี้จำเป็นต้องสังวรและระวังเอาไว้เสมอ ข้อสอบมาได้ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที มาทั้งหลับ มาทั้งตื่น มาทั้งยืน มาทั้งนั่ง หกคะเมนตีลังกาฉันอาหารอยู่มาทั้งนั้น กำลังฉันเพลอยู่โทรศัพท์กริ๊ง “ขอพูดกับหลวงพ่อหน่อยค่ะ” บอกว่าหลวงพ่อกำลังฉันอยู่ เขาบอก “ไม่เป็นไรค่ะ ขอ ๑๐ นาทีเท่านั้น” นั่นไม่เป็นไรของมึง..! พระมีเวลาฉันแค่พักเดียว อยากเจอแบบนี้บ้างไหม ? จะแบ่งให้..!

ฉะนั้น..คนที่เรารักหรือของที่เรารักมากที่สุด จะสร้างความสะเทือนใจให้เราได้มากที่สุด อาตมาน่าจะเคยเล่าไปแล้ว ก็คือรุ่นที่อยู่วัดท่าซุงมาด้วยกัน คือหลวงพี่อาจินต์ ท่านพระครูภาวนาธรรมวิเทศ หลวงพี่ท่านลาออกจากการเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายเรืออากาศมาบวช ก็เรียกว่าสละทุกอย่าง มอบกายถวายชีวิตให้แก่พุทธศาสนา ปฏิบัติธรรมจนได้รับความไว้วางใจจากหลวงพ่อวัดท่าซุง ตั้งให้เป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายกรรมฐาน

วันนั้นท่านโมโหเป็นฟืนเป็นไฟมา “ขอระบายหน่อยโว้ย..!” ถามว่ามีอะไรครับ ? ท่านบอกว่า “ผมคิดว่าผมไม่โกรธคนแล้ว แต่วันนี้โกรธน้องชายฉิบหา..เลย ถ้าไม่ได้ระบายจะกลับไปฆ่ามัน..!” อาตมาถามรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านบอกว่าตอนที่มาบวช ข้าวของอะไรน้องเอาไปใช้ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่วันนี้เขาเอากระบี่พระราชทานของพี่ไปจำนำ ศักดิ์ศรีของนายทหารที่ได้รับพระราชทานกระบี่จากในหลวงหายหมดเลย กระบี่ไปอยู่ที่โรงจำนำ ใครเห็นหมายเลขนี้ก็รู้เลย ร.ท.อาจินต์ หีบพร จำนำกระบี่ในหลวงพระราชทาน โกรธสิครับ ท่านบอกว่าวันนั้นถ้าอยู่ต่อหน้าน้องได้ฆ่าทิ้งแน่ ดีว่าเขาโทรมาบอก ขนาดโทรมาบอกยังโมโหจนมือตีนสั่น ขอมาระบายหน่อย

อาตมาก็เลยเป็นกระโถนท้องพระโรงให้พี่ท่านระบายอยู่เป็นชั่วโมง เก็บมานาน ของทุกชิ้นเป็นข้อสอบได้..น่ากลัวไหม ? รอบตัวเรามีแต่เครื่องทดสอบทั้งนั้นเลย เพื่อนรักอยู่ข้างตัวจะหักเหลี่ยมโหดเมื่อไรก็ไม่รู้ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2014 เมื่อ 03:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 24-12-2014, 18:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพราะฉะนั้น..พ่อแม่ญาติพี่น้องอะไรของเราทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องทดสอบทั้งนั้น อาตมาเองโดนแม่ถามแล้วถามอีกตั้งแต่อายุเพิ่งครบ ๒๐ ว่า "เมื่อไรจะบวชให้แม่ ?" ก็ผลัดผ่อนเรื่อยมาจนอายุ ๒๗ ปี ตัดสินใจว่าจะบวชแล้ว แต่ปรากฏว่าก่อนนั้น ๓ ปีโยมแม่โดนรถชน ไม่มีใครดูแล อาตมาก็ต้องดูแลตลอด จนกระทั่งรักษาหายดีกลับมาตามเดิม

ต้องบอกว่าชีวิตนี้เป็นเวรเป็นกรรม สมัยที่ดูแลพ่ออยู่ พี่น้องให้เหตุผลว่า เป็นลูกชายคนโตที่ยังไม่ได้ทำงาน ยังเรียนอยู่ ก็ดูแลพ่อไป ๖ ปีเต็ม ๆ ทั้งกลางวันกลางคืน ง่วงนอนอย่างกับตกนรกทั้งเป็น จนกระทั่งพ่อตาย เรียนจบมัธยมต้นแล้วก็ไปทำงาน คราวนี้แม่ป่วย เอ็งไปดูแลแม่ ถามว่าทำไมต้องเป็นข้าวะ ? “เอ็งเป็นลูกชายคนโตที่ยังไม่ได้แต่งงาน” ตอนโน้นเขาบอกว่า “เอ็งเป็นลูกชายคนโตที่ยังไม่ได้ทำงาน” โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง

ดูแลแม่เสร็จสรรพเห็นว่าปกติดีแล้ว กาลเวลาสมควรแก่ตนเองแล้ว ก็ขอลาแม่ไปบวช จากที่ถามเช้า ถามกลางวัน ถามเย็นว่า "เมื่อไรจะบวชให้แม่ ?" แต่พอไปลาบวชแม่บอกว่า “เอ็งไปบวชแล้วข้าจะอยู่กับใคร ?” เห็นหรือยังว่าเขาทดสอบแบบไหน ? แต่ขอโทษ..ข้อสอบแบบนี้ทำอะไรอาตมาไม่ได้หรอก บอกกับแม่ไปว่า “ลูกแม่มีตั้ง ๑๓ คน ถ้าไม่มีใครดูแลแม่ ก็ทนดูแลตัวเองไปเถอะ ผมไปแล้ว” ถ้าไม่เด็ดขาดนี่เสร็จเลย อยู่ตรงนั้นแหละ ดูแลแม่ต่อไปเถอะ แม่เพิ่งจะตายเมื่อ ๓ - ๔ ปีที่แล้วนี่เอง แล้วจะได้บวชไหมนั่น ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2014 เมื่อ 03:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 25-12-2014, 18:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เขาใช้ในการทดสอบเราได้เสมอ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง เพื่อนด้วยกันแท้ ๆ รักกันปานจะกลืน ถึงเวลาปฏิบัติธรรมก็นั่งอยู่ใกล้ ๆ กัน เราภาวนา ๆ อยู่ดี ๆ เสียงโทรศัพท์ของเพื่อนดังขึ้น ก็ไปโกรธเพื่อนเป็นฟืนเป็นไฟ เพื่อนยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ลืมปิดเสียงก็ต้องดังเป็นเรื่องปกติ แต่วันนี้โกรธเพื่อนว่าทำไมเพื่อนไม่รู้จักปิดเสียง ?

เขาทดสอบเราอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเหมือนกับพระในวัดนี้ อาตมายัดเยียดงานให้ดูแลจนเกินกำลังตัวเอง ก็จะสึกแล้ว สึกไปเลยไม่ว่ากัน วันนี้คิดตกแล้ว บอกว่าเป็นเพราะผมแบ่งเวลาไม่เป็นครับ เออ..ถ้าเอ็งเจองานขนาดข้าดูสิ..จะตายไหม ?

นี่คือข้อสอบ และขอให้ภูมิใจที่เจอข้อสอบ ถ้าลูกศิษย์ร่ำเรียนมาไม่เพียงพอครูจะสอบไปทำไม ? ในเมื่อครูออกข้อสอบมาก็แปลว่า ๕๐/๕๐ ระหว่างสอบได้กับสอบตก โอกาสมีตั้งครึ่ง ในเมื่อโอกาสมีตั้งครึ่งก็ออกมาได้เลยครับคุณครู อาตมาเป็นเด็กสู้ครูมาตั้งแต่เล็ก ๆ บอกกับคุณครูว่า “ในหนังสือเล่มนี้ ครูจะออกข้อสอบตรงไหนก็ได้ครับ ถ้าหากว่าผมทำไม่ได้ ครูจะลงโทษอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าผมทำได้คะแนนเต็ม ผมขอรางวัลด้วย..!” มีลูกศิษย์ที่ไหนกล้าพูดกับครูอย่างนี้บ้าง ? ปรากฏว่าคุณครูออกข้อสอบมา ๒๐ ข้อ อาตมาได้ ๑๙ คะแนนครึ่ง ครูบอกว่าลายมือไม่ดีจึงตัดไปครึ่งคะแนน ในเมื่อเธอทำไม่ได้เต็ม ก็แปลว่าไม่ได้รางวัล แต่ครูเห็นใจขอปัดให้เป็น ๒๐ คะแนนไปก็แล้วกัน รางวัลไม่มีให้..!

ถ้าท่านไม่แน่จริงก็ไม่มาเป็นครูของอาตมาหรอก ลูกศิษย์นอกคอกก็ต้องเจอครูแบบนี้แหละ ขอให้รู้ว่าถ้าสอบ แปลว่าคุณสมบัติของเราเพียงพอต่อการสอบแล้ว อย่าไปกลัว ตั้งสติให้ดี ๆ ไว้ ข้อสอบหลัก ๆ มีอยู่ ๔ ข้อเท่านั้น ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ มีแค่นี้แหละ ๔ ข้อเท่านั้นแต่เขาออกมาแต่ละแง่มุมไม่เคยซ้ำของเดิม ๔ หัวข้อใหญ่แยกข้อย่อยได้เป็นล้าน ออกไป ๒๐-๓๐ ปี ยังไม่ได้ซ้ำแบบเดิมเลย

อาตมาลงปักษ์ใต้เจอลุงสมเจตน์บ้านอยู่ปัตตานี อายุ ๘๐ กว่าแล้ว บอกว่า “โห..อาจารย์ พอตัดใจจะไปพระนิพพานนี่ ไม่นึกเลยว่าเขาจะเล่นเราได้ขนาดนี้ ผมอายุ ๘๐ แล้วนะครับ อยู่ ๆ ก็คึกอยากมีเมียขึ้นมาเฉยเลย” เห็นหรือยังว่าเขาลองแบบไหน ? จะเสียผู้เสียคนเอาตอนแก่นี่แหละ ก็ยังดีที่ตั้งสติเอาไว้ได้ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ๔ ข้อเท่านั้น แง่ใดแง่หนึ่งจะต้องมาแน่นอน ระมัดระวัง ทำข้อสอบกันเอาเอง ตูเปิดเผยมากจะโดนซ้ำอีกหรือเปล่าไม่รู้ โทษฐานที่ไปใบ้ข้อสอบให้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2014 เมื่อ 03:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 25-12-2014, 18:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระวัดเราปัจจุบันนี้แบ่งเป็นพระนักเรียนกับพระนักปฏิบัติ แต่ว่าไม่ได้แบ่งชัดเจน เพราะว่าพวกเราบังคับปฏิบัติกันเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าในส่วนที่ทำ อยากจะให้พวกเราทุ่มเทให้เต็มที่ไปเลย ให้เห็นผลสักอย่าง ในเรื่องของการปฏิบัติ ถ้าเห็นผลสักอย่างหนึ่ง อย่างอื่นก็จะเหมือน ๆ กัน ใช้กำลังใจเท่ากัน

ถ้าสมมติว่าคุณห้ามปากตัวเอง ไม่ฉันน้ำปานะตรงหน้านี้ได้ ก็ใช้กำลังเท่ากับที่คุณรักษาศีล ถ้าหากว่าห้ามปากไม่อยู่ อย่างไรกูจะต้องกินให้ได้ แปลว่าเรามีโอกาสที่จะศีลขาดอยู่มาก ถ้าห้ามปากไม่ได้ก็คือบังคับกาย บังคับวาจาตัวเองไม่ได้ ฉันไปเถอะครับผมไม่ได้ว่าอะไรหรอก ...(หัวเราะ)... เพียงแต่บอกให้รู้ไว้ว่า กำลังในการที่จะสู้กับกิเลสนั้นเป็นอย่างนี้

ถ้าหากว่ามัวแต่รอผมมาจ้ำจี้จ้ำไชให้ ผมว่าชาติหน้าบ่าย ๆ ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จอะไรหรอก ต้องทุ่มเททำด้วยตัวเองครับ สมัยที่เริ่มปฏิบัติใหม่ ๆ ผมมีตำรา ๑ เล่ม ก็คือคู่มือปฏิบัติกรรมฐาน ออกครั้งแรกเลยของหลวงพ่อวัดท่าซุง ผมอ่านไปปฏิบัติไปอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ จนหนังสือเปื่อยทั้งเล่ม ไม่ได้มีครูบาอาจารย์เลย อ่านตำราแล้วทำเอา แล้วก็เล่นของยากด้วย เล่นกสิณก่อน ผมจำได้ชีวิตฆราวาส ๑๑ ปีที่ปฏิบัติตามสายหลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นพระอีก ๗ ปีที่ท่านมีชีวิตอยู่ รวมแล้ว ๑๘ ปี ผมเคยถามปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติกับท่านแค่ ๔ ครั้งเอง

เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่า ถ้าเราทำจริง ๆ จะได้คำตอบอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว ที่ไม่ได้คำตอบแปลว่ายังทำไม่จริง ส่วนที่ผมถามจะเป็นขั้นตอนของการเปลี่ยนอารมณ์ที่ผมไม่มั่นใจ ผมถามเพื่อความแน่ชัด หลวงพ่อวัดท่าซุงงานท่านมาก มีลูกศิษย์ทั้งในและต่างประเทศ ไม่มีเวลาที่จะอยู่ดูแลพระ ท่านจะบอกว่า “เทปมี หนังสือมี ไปฟังเอา ไปอ่านเอาแล้วก็ทำ ติดขัดตรงไหนค่อยมาถามผม” ท่านให้โอกาสแค่นี้แหละ แต่ผมยังไม่เคยเจอพระในวัดเข้าไปถามปัญหาการปฏิบัติกับท่านเลย..ยกเว้นผมคนเดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2014 เมื่อ 03:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 25-12-2014, 18:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ที่ไม่เจอเข้าไปถามอาจจะเป็นเพราะพี่เขาเก่งกว่า ท่านทำแล้วไม่เกิดปัญหาเหมือนผม หรือไม่ก็งมเท่าไรก็ไม่เจอสักที เลยไม่กล้าเข้าไปถาม เพราะกลัวโดน..! พวกคุณไปเลือกคำตอบเอาก็แล้วกันว่าเป็นแบบไหน

คราวนี้ในส่วนที่ว่าครูบาอาจารย์อยู่ก็เหมือนกับไม่อยู่ เวลาที่ท่านจะมาจ้ำจี้จ้ำไชสั่งสอนไม่มี ถ้าคุณไม่ยืนด้วยตัวเอง ตายแน่..! จนกระทั่งผมเคยชินกับการที่จะต้องไขว่คว้าหาอะไรด้วยตัวเอง ก็เลยไม่ค่อยจะมาปากเปียกปากแฉะกับพวกคุณ ยกเว้นตอนงานปฏิบัติธรรมก็จะมานำให้หน่อยหนึ่ง นอกนั้นให้ไปหากินเอาเอง เขาเรียกว่าเลี้ยงแบบลูกเสือลูกจระเข้ คุณเอาลูกเสือลูกจระเข้ไปโยนทิ้งไว้ที่ไหน ก็หากินเองได้ โตเองได้ ถ้าเราไปอ้าปากรอเหมือนลูกนกก็ไม่รอดหรอก กิเลสเอาไปรับประทานหมด อาตมาไม่ได้ว่าใครนะ นี่พูดให้พระฟัง ไปตรงกับโยมคนไหนก็ตัวใครตัวมัน..!

โปรดอย่าทำตัวเป็นไฟไหม้ฟาง มีกำลังใจเป็นพัก ๆ เท่านั้น ต้องเป็นไฟสุมขอน ไหม้อย่างสม่ำเสมออยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนใหญ่พวกเราก็ไฟไหม้ฟาง..ใช่ไหม ? ถึงเวลาฮือขึ้นมาหน่อยแล้วก็เงียบ นั่นมีประโยชน์อยู่อย่างเดียวคือตอนที่อบไก่ ห้ามสุมฟางเกิน ๓ นาทีนะครับ..ไหม้..อดกิน ถ้าจะอบไก่วิธีนั้นผมแนะนำให้เอามะเขือเทศล้างสะอาด ยัดใส่พุงไก่ไปสัก ๗-๘ ลูกด้วย อร่อยฉิบหา..เลย ออกนอกลู่นอกทางอีกแล้ว พวกไม่เคยทำไก่อบฟางกินเอง ไม่เคยขโมยเป็ดชาวบ้านมาทำลาบ..!

เรื่องของการปฏิบัติเราจะไปรอครูบาอาจารย์ไม่ได้ เพราะกิเลสกินเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าพอเห็นหน้าครูบาอาจารย์แล้วกิเลสจะถอยเสียเมื่อไร ต่อหน้าต่อตาครูบาอาจารย์ก็โดน เพียงแต่ว่าบางทีเจอครูบาอาจารย์แล้วกิเลสไม่ได้กลัวหรอก พวกเราดันกลัวไปเอง..ก็เลยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2014 เมื่อ 03:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 28-12-2014, 12:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ผมอยากให้พวกคุณพิจารณาอะไรบางอย่าง พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทย์ตนเองอยู่เสมอ” พระองค์ท่านไม่ให้โทษใคร หากแต่ให้กล่าวโทษโจทย์ตนเองอยู่เสมอ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกผมว่า “อย่าสนใจจริยาคนอื่น” หลวงปู่บุดดาท่านบอกผมว่า “กายเดียวจิตเดียวก็นิโรธ หลายกายหลายจิตมันยุ่ง” หลวงปู่มหาอำพันท่านบอกว่า “อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด” คุณเห็นหรือเปล่าว่า ๔-๕ อย่างที่ว่ามาเป็นเรื่องเดียวกันหมด ? เรื่องเดียวกันไหม ? มีใครว่าคนละเรื่องบ้าง ? เป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด

แต่คราวนี้ว่าบริบท ก็คือสถานการณ์ที่ท่านพูด หรือว่าสิ่งที่ท่านพบเห็นมา เป็นประสบการณ์ส่วนตัวในการปฏิบัติของท่านซึ่งไม่เหมือนกัน คำพูดที่ท่านใช้กล่าวออกมาก็เลยไม่เหมือนกัน แต่ความหมายทั้งหมดก็คืออย่างเดียวกัน เป็นการยืนยันว่าเรื่องของธรรมะเป็นสากล ใครทำก็มีสิทธิ์ได้ทั้งนั้น แล้วก็จะได้ตามวาสนาบารมี ตามแง่มุมที่ตนเองทำมา พระพุทธเจ้าถึงได้มีอัครสาวก อัครสาวิกา มีมหาสาวก มีมหาสาวิกา มีปกติสาวกเยอะแยะไปหมด เพราะแต่ละท่านสร้างมาไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน

แต่ว่าเรื่องของการชำระจิตให้ผ่องใสจากกิเลสนั้นเท่ากัน สามารถเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมเหมือนกัน ท่านใช้คำว่า ขีณา ชาติ วุสิตัง พรัหมะจะริยัง กะตัง กะระณียัง นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ บอกว่า “รู้ตัวว่าหมดสิ้นซึ่งกิเลสแล้ว ชาติคือการเกิดสิ้นสุดลงแล้ว การปฏิบัติเพื่อพรหมจรรย์นี้จบแล้ว” ถ้าทุกคนตั้งใจทำ มีสิทธิ์เหมือนกันในการที่จะบรรลุมรรคผล

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ตราบใดที่ธรรมะยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ พระธรรมวินัยยังประกอบไปด้วยมรรค ๘ อยู่ ตราบนั้นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ยังมีอยู่ในพระธรรมวินัยนั้น ก็แปลว่าพระโสดาบันก็ดี พระสกทาคามีก็ดี พระอนาคามีก็ดี พระอรหันต์ก็ดี ยังมีอยู่ครบถ้วน เพียงแต่เรารู้จักท่านหรือไม่เท่านั้น แล้วในเมื่อมีอยู่ครบถ้วน เราเองก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นอย่างนั้นด้วย โยมทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นอย่างนั้นด้วย แต่ถ้าหากว่าไม่มีความเด็ดขาดจริงจังในการปฏิบัติ ก็เท่ากับว่าเราตั้งท่าสละสิทธิ์แล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2014 เมื่อ 18:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 28-12-2014, 12:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมมติว่ามีคนเอาหวยรางวัลที่ ๑ มาให้เราทีเดียว ๑๒ คู่รวด มีใครปฏิเสธบ้างไหม ? ผมก็ไม่ปฏิเสธนะ เพราะอย่างน้อยผมไม่ต้องเสียเวลาไปรับสังฆทานอีก ๒ เดือน เพราะฉะนั้น..โปรดอย่าสละสิทธิ์ และอย่าปฏิเสธในสิ่งที่ดีที่สุดที่จะพึงมีพึงเกิดแก่ตัวเอง ตั้งหน้าตั้งตาทำให้เต็มที่ เต็มสติกำลังของเรา ถึงเวลาจะได้ไม่เสียทีที่เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ชื่อว่าเกิดมาทันธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีสิทธิ์ที่จะบรรลุมรรคผลตามวาสนาบารมีของแต่ละคน ไม่ใช่รอ..วันนี้อาจารย์ไม่อยู่ นั่งเฉา ไม่มีอารมณ์ปฏิบัติ อยากให้อาจารย์กลับมาด่าถึงจะอยากปฏิบัติ แล้วถ้าอย่างนั้นอีกกี่ชาติจึงจะได้ เกิดอาจารย์ตายห่..ไปก่อนแล้วจะได้อะไรกัน ?

ในส่วนของพระนิสิต คุณจะศึกษาเล่าเรียนอะไรก็ตาม อย่าลืมว่าพื้นฐานของสมาธิเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศบอกผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เรียนบาลีว่า “ท่านเล็ก..อย่าทิ้งสมาธิเป็นอันขาดเลยนะ ยิ่งประโยคสูงยิ่งยาก ถ้าไม่มีสมาธิช่วยจะท้อ..แล้วไปไม่รอด” ส่วนท่านใดก็ตามที่เน้นในเรื่องของการปฏิบัติ พยายามทำให้เห็นผล ถ้ายังไม่เห็นผลมี ๒ อย่าง อย่างแรกคือทำไม่พอ อย่างที่ ๒ คือทำผิดวิธี

ผมว่าคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านชัดเจนดีแล้ว ฉะนั้น..โอกาสที่เราจะทำผิดวิธีนั้นยาก ก็เหลืออย่างเดียวก็คือทำไม่พอ ถ้าถามว่าเท่าไรถึงจะพอ ถ้าเอาอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “แม้แต่วินาทีเดียวท่านก็ไม่ยอมให้ใจว่างจากกรรมฐาน” ไหวไหม ? สิ้นชีวิตกันหมดแน่นอน เอาตามกำลังของเรา ถ้าหากเครียดก็ไปหางานอย่างอื่นทำ แต่อย่าทิ้งกรรมฐาน ผมเองสมัยบวชใหม่ ๆ มีความสุขมากเลยกับการถูศาลานวราชบพิตร เพราะไม่ว่าไม้ถูจะขึ้นหน้า ถอยหลัง จะไปซ้ายไปขวา แรงเบายาวสั้นอย่างไรจะรู้หมด นั่นก็คืออิริยาบถและสัมปชัญญะในสติปัฏฐาน ๔

แต่หลังจากที่ผมขยันอยู่ได้ ๒ เดือน มีความสุขอยู่คนเดียว ก็มีคนมาแย่งงาน เขาคงรำคาญว่าพระรูปนี้ขยันอะไรนักหนาวะ เลิกทำวัตรก็ถูแต่ศาลาอย่างเดียว เลยโดนเขาแย่งทำ คนที่แย่งทำได้อานิสงส์อยู่อย่างเดียวคือช่วยทำความสะอาดวัด แต่อานิสงส์กรรมฐานไม่ได้เลย เพราะเขาไม่รู้ว่าผมทำอะไร รู้อย่างเดียวว่าพระทำเลยมาช่วย น่าเสียดายมาก ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-12-2014 เมื่อ 02:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 29-12-2014, 10:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ใครที่เป็นคอกำลังภายในไปอ่านนักสู้คะนองศึก เซียวไซเล้าเป็นเจ้าสำนัก เซียวตังก้วงเป็นคนรับใช้ ทั้ง ๆ ที่ ๒ คนนี้เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน แต่ตอนที่ประลองฝีมือเพื่อหาเจ้าสำนัก เซียวตังก้วงแพ้ครึ่งกระบวนท่า ต้องลดตัวลงไปเป็นคนรับใช้คอยกวาดพื้น ระยะเวลาผ่านไป ๒๐ ปี หนึ่งในศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด เรียกว่ามารมนุษย์สุนัขป่า เป็น ๑ ใน ๑๙ มารมนุษย์ บุกรุกมาถึงสำนัก โค่นท่านเจ้าสำนักลง แล้วกำลังจะหนีออกจากสำนักไป ปรากฏว่าไปเจอตาแก่กวาดพื้นขวางทางอยู่ ประมือกัน ๑ กระบวนท่า เจ้าตัวร้ายตายคาที่..!

อย่าลืมนะครับว่าท่านเจ้าสำนักเคยเป็นผู้ชนะ แต่ ๒๐ ปีให้หลังท่านเจ้าสำนักมัวแต่รับแขกอยู่ โอกาสฝึกซ้อมไม่มีเลย แล้วทำไมศิษย์พี่ที่เคยแพ้มาลงมือกระบวนท่าเดียวศัตรูตายเลย ? เขาบอกว่าเขากวาดพื้นอยู่ ๒๐ ปี ก็คือฝึกกระบี่อยู่ ๒๐ ปี จะแรง จะเบา จะยาว จะสั้น เขารู้อยู่ตลอดเวลา เท่ากับว่าเขาซักซ้อมอยู่ทุกวัน วันหนึ่งเป็น ๑๐ ชั่วโมง เห็นหรือยังว่าต่างกันตรงไหน ?

แพ้กิเลสเราไม่ได้แพ้ตลอด ต้องมีเวลาชนะบ้าง ใหม่ ๆ ก็แพ้ราบทุกกระบวนท่า..แต่ต้องสู้ ถ้าเราตื๊อสู้ไปก็จะเริ่มมีชนะบ้าง คราวนี้ได้โปรด..อย่าโง่นะครับ ชนะได้อย่างไรให้จำวิธีการไว้ด้วย แล้วก็ใช้ใหม่ กระบวนท่าเดิมที่ก๊วยเจ๋งใช้นั่นแหละ ก๊วยเจ๋งเรียนอะไรมา ? ๑๘ ฝ่ามือพิชิตมังกร เรียนได้ ๒ ท่า ดันไปเจอศัตรูประเภทสุดยอดฝีมือในยุทธจักรเข้า ก็ใช้อยู่ ๒ ท่านั้นแหละ คู่ค่อสู้ทำอะไรก๊วยเจ๋งไม่ได้ แม้ว่าตนมีอยู่แค่ ๒ ท่า แต่ก็ใช้หมุนวนไปเรื่อย

ถ้าเรารู้วิธีแล้ว ต่อไปโอกาสที่จะชนะก็เริ่มมีมากขึ้น พอถึงเวลาตอนที่แพ้ชนะก้ำกึ่งกันนี่ผมรับประกันครับ จะเป็นหนังเป็นละครอะไรก็ไม่อยากจะดูหรอก ลุ้นสุดชีวิตเลยว่าคะแนนนี้ใครจะได้ จะดูว่ากิเลสจะเก่งกว่าหรือเราจะเก่งกว่า เบียดกันมาชนิดหายใจรดต้นคอเลย คอยดูว่าคะแนนนี้ใครจะได้ ไม่ได้สนใจใครเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-12-2014 เมื่อ 13:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 29-12-2014, 10:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงตาบัวท่านบอกว่า ท่านเดินจงกรมอยู่ ๆ ชนต้นไม้โครมเลย เพราะสภาพจิตหักล้างกับกิเลสอยู่ข้างใน ไม่ได้สนใจที่จะดูข้างนอก พอชนโครมเข้าไปคลำ ๆ ดู อ้าว..สุดทางจงกรม กลับหลังเดินใหม่ เดินไปข้างในก็ฟันกับกิเลสต่อไป เดี๋ยวก็อีกโครมหนึ่ง ชนต้นไม้อีกแล้ว ยังดีว่าตอนนั้นสมาธิคุ้มได้ ไม่อย่างนั้นกว่าจะเลิกก็คงหัวหูปูดหมด

ฉะนั้น..ในส่วนนี้ผมยืนยันกับพวกท่านทุกคนว่า ถ้าหากว่าตั้งใจเอาดี พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้ายังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ เรามีสิทธิ์ที่จะได้มรรคได้ผลกันทุกคน พิจารณาดูตัวเราเองว่าเราทำผิดวิธี หรือยังทำไม่พอ ผมมั่นใจว่าถ้าทำตามที่ผมบอก หรือทำตามที่ฟังจากหลวงพ่อวัดท่าซุง..ไม่ผิดหรอก ก็เหลืออย่างเดียวคือเรายังทำไม่พอ

และโปรดอย่าใจร้อน ค่อย ๆ สั่งสมความดีของเราไป เก็บเล็กเก็บน้อยไปเรื่อย ภาวนาวันนี้กำหนดลมหายใจได้แค่ ๓ คู่โดยไม่ฟุ้งซ่านก็ได้มา ๓ คู่ ได้ ๕ คู่โดยไม่ฟุ้งซ่านก็ได้ ๕ คู่ ไม่ได้ขาดทุน ได้ทุกวัน แต่ถ้าวันไหนได้เยอะ ๑ ชั่วโมงใจทรงเปรี๊ยะเลย ก็ได้มาอีก ๑ ชั่วโมง ไม่ใช่ว่ารุ่งขึ้นจะต้อง ๑ ชั่วโมงด้วย ได้บาทเอาบาท ได้สลึงเอาสลึง จะได้ห้าพันได้หมื่นก็เอา แต่ว่าต้องทำไว้ทุกวัน แรก ๆ เรายังไม่เห็นผลเพราะต้นทุนน้อย โอ่งหรือถังใบใหญ่ กว่าน้ำจะหยดเต็มก้นโอ่งได้ก็นานเหลือเกิน แต่พอเริ่มเห็นหน้าเห็นหลังแล้ว ขึ้นมานิ้วหนึ่งแล้ว ขึ้นมาคืบหนึ่งแล้ว ขึ้นมาครึ่งโอ่งแล้ว คราวนี้เราจะรู้ว่าต้นทุนเรามีมาก เพียงแต่ว่าได้สำรวจต้นทุนของตัวเองหรือเปล่าเท่านั้นเอง ?

ขอให้ค่อย ๆ สั่งสมความดีไปตามระยะเวลา การปฏิบัติของเราสามปีห้าปีไม่มีอะไรก้าวหน้าขึ้นเลย ขอให้รู้ว่าเรากำลังจะก้าวหน้า แต่อยู่ในช่วงของการสั่งสมกำลัง ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกในจุดเดิม ถ้ากำลังพอเมื่อไรก็จะก้าวล่วงจุดนั้นไปได้ ไม่อย่างนั้นก็ติดอยู่นั่นแหละ อย่าเบื่อเสียก่อนนะ ขอให้รู้ว่าเราอาจจะเจอกำแพงหนาหน่อย ตั้งหน้าตั้งตาเจาะไปเรื่อย เดี๋ยวก็ทะลุเอง อย่าได้เปลี่ยนที่ อย่าได้เปลี่ยนวิธีเป็นอันขาด เพราะถ้าเปลี่ยนเมื่อไรแปลว่าเราต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

ฉะนั้น..ในเมื่อพวกเราบวชเข้ามาแล้ว ถือว่าใจหินพอที่จะแลกกับกิเลส เพราะว่าขึ้นสูงไม่ได้ก็ต้องลงต่ำ ของพระเราอาศัยชาวบ้านกิน จัดเป็นปูชนียบุคคล โอกาสที่จะไปกลาง ๆ ไม่มีหรอก ไม่สูงสุดก็ต่ำสุดไปเลย เพราะฉะนั้น..ต้องทุ่มเทครับ “เกิดเป็นชายหมายมาดว่าชาติเชื้อ ถึงปะเสือก็จะสู้ดูสักหน” ลองดูว่าเสือตายหรือเราตาย ของญาติโยมด้วยนะ..ไม่ใช่แต่ของพระ

ทุกสิ่งที่ว่าไปให้ถือเป็นคำสั่งแล้วทำตาม อย่าฟังเป็นคำสอน ถ้าฟังเป็นคำสอนจะกลายเป็นลมผ่านหูไปเฉย ๆ ฟังเสียงตามสาย นั่นคือคำสั่งของหลวงพ่อวัดท่าซุง กำลังบอกให้เราทำตามนั้น ถ้าเช่นนั้นจะมีโอกาสเจริญ แต่ถ้าฟังแล้ว “เออ..ท่านกำลังสอนกรรมฐานอยู่” ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไรหรอก วันนี้เวลาหมดแล้ว เอาแค่นี้แหละ ฟังมากไปก็เหมือนกับกินมาก ท้องอืดเปล่า ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-12-2014 เมื่อ 13:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 30-12-2014, 12:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

(ไม่ชัด) แปลว่าให้ขยันมากกว่านี้ แต่ว่าความขยันต้องขยันให้ถูกทาง ถ้าขยันผิดทางก็อย่างที่ว่าแหละ ทำงานทุกวันแต่ผลงานไม่มี เคยบอกหลายครั้งแล้ว การปฏิบัติธรรมเหมือนกับเราว่ายทวนน้ำ เมื่อเลิกปฏิบัติอย่าทิ้งทีเดียว แต่ให้รักษาอารมณ์ปฏิบัติเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเราจะลอยตามน้ำ คือลอยตามกระแสกิเลสทางโลกไป แล้วถึงเวลาก็ตะเกียกตะกายว่ายคืนมาใหม่ กลายเป็นทำงานทุกวันแต่ผลงานไม่ได้เพิ่มขึ้น ถึงได้บอกว่าต้องขยันให้ถูกทาง

คราวนี้ในเรื่องของความขยันของเรานั้น ให้เน้นในส่วนของลมหายใจเข้าออก เอาแค่ว่าถ้าสามารถทรงปฐมฌานได้ ก็จะเป็นอย่างที่อาตมาตั้งความปรารถนาไว้แต่แรกว่า อย่างน้อยเราจะได้ตัดกิเลสเป็นพระโสดาบันกับเขาได้ การทรงปฐมฌานนั้นทำไมถึงสามารถตัดกิเลสเป็นพระโสดาบันได้ ? ก็เพราะว่าโดยปกติแล้วพวกเราโดนไฟใหญ่ ๔ กองคือ รัก โลภ โกรธ หลง เผาอยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงเวลาทรงปฐมฌานได้ ไฟใหญ่ทั้ง ๔ กองจะโดนอำนาจของฌานสมาบัติกดดับลงชั่วคราว คนที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา อยู่ ๆ ไฟดับลง มีความสุขสบายอย่างไร ไม่สามารถจะพูดเป็นภาษามนุษย์ได้ อย่างที่ภาษาพระท่านว่า ปัจจัตตัง คือคนที่ทำถึงจึงจะรู้เอง

ในเมื่อเกิดความสุขท่วมท้นล้นตัวเองขนาดนั้น ถ้ามีปัญญาคิดสักนิดหนึ่งว่า นี่เราเป็นแค่ปุถุชนธรรมดากิเลสท่วมหัว เข้าถึงการปฏิบัติธรรมแค่ผิว ๆ นิดเดียว ยังมีความสุขขนาดนี้ แล้วบุคคลที่เป็นผู้ทรงฌานที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ซึ่งละเอียดประณีตมากกว่า จะมีความสุขขนาดไหน ? แล้วท่านที่ทรงความเป็นพระโสดาบัน ปิดอบายภูมิอย่างเที่ยงแท้แล้ว มีแต่เจริญขึ้นโดยส่วนเดียวไม่มีทางตกต่ำ จะมีความสุขขนาดไหน ?

ท่านที่เป็นพระโสดาบันยังประกอบไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง เป็นปกติ แต่อยู่ในกรอบของศีล เมื่อไปถึงระดับพระสกทาคามีที่ รัก โลภ โกรธ หลง เหลือน้อยเต็มทีแล้ว ท่านจะมีความสุขยิ่งกว่าพระโสดาบันขนาดไหน ? แล้วพระอนาคามีที่ไม่ต้องมาเกิดให้ทุกข์ยากลำบากในโลกนี้ รออยู่ปฏิบัติธรรมที่สุทธาวาสพรหมเพื่อไปสู่พระนิพพานเลย ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ? ท้ายที่สุดพระอรหันต์ที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด มาทุกข์ทนทรมานอยู่อย่างพวกเรา ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-12-2014 เมื่อ 13:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:16



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว