กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 29-03-2013, 10:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,632 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๖

ทุกท่านตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา หายใจเข้าผ่านจมูก..ผ่านกึ่งกลางอก...ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออกจากท้อง...ผ่านกึ่งกลางอก...มาสุดที่ปลายจมูก จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความชำนาญมาแต่เดิม วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานต้นเดือนมีนาคมวันสุดท้าย

สำหรับวันนี้อยากให้ทุกท่านคำนึงถึงหลักการปฏิบัติง่าย ๆ แต่ลึกซึ้งอย่างหนึ่งก็คือมรณานุสติ มรณานุสติกรรมฐานนั้นเป็นกรรมฐานที่จำเป็นอย่างยิ่ง ที่เราทั้งหลายจะต้องศึกษาและปฏิบัติเอาไว้ เพราะว่าการระลึกถึงความตายนั้น ทำให้เราเป็นผู้ไม่ประมาท เมื่อเราเป็นผู้ไม่ประมาท เห็นว่าความตายสามารถมาถึงได้ทุกเวลา ก็จะตั้งหน้าตั้งตาขวนขวายปฏิบัติ เพื่อก่อนที่ความตายจะมาถึง เราจะได้ไปให้ไกลที่สุด ถ้าสามารถหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานได้เลยก็ยิ่งดี

การพิจารณาในมรณานุสติกรรมฐานนั้น ส่วนใหญ่แล้วเรามักคิดถึงแต่ความตาย บางท่านก็อาจจะคิดไกลกว่านั้นหน่อย ว่าตัวเราก็ตาย คนอื่นก็ตาย สัตว์อื่นก็ตาย เป็นต้น โบราณาจารย์ท่านแนะนำในเรื่องการระลึกถึงมรณานุสติไว้หลายนัยด้วยกัน

วิธีที่ ๑ ให้ระลึกถึงโดยเวลา ว่าความตายนั้นมาโดยไม่มีเวลาจำกัด เราจะตายลงไปเมื่อไรก็ได้ เป็นเด็กยังไม่ทันจะคลอดเคลื่อนจากท้องแม่ก็อาจจะตายแล้ว บางคนเพิ่งคลอดออกมาก็ตาย บางคนเป็นเด็กเล็กก็ตาย บางคนเป็นเด็กโตก็ตาย บางคนเป็นหนุ่มสาวแล้วก็ตาย บางคนถึงวัยกลางคนก็ตาย บางคนแก่ชราแล้วถึงจะตาย

ถ้าเราพิจารณาโดยเวลาลักษณะอย่างนี้ ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า ความตายนั้นไม่มีนิมิตเครื่องหมาย สามารถมาถึงเราได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งลมหายใจของเรา ถ้าหายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย ถ้าหายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายเช่นกัน ดังนั้น..วิธีการพิจารณามรณานุสติกรรมฐาน ถ้าพิจารณาโดยเวลาก็มีนัยดังที่ได้กล่าวมานี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-03-2013 เมื่อ 01:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 30-03-2013, 19:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,632 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วิธีที่ ๒ ให้พิจารณาโดยฐานะ ดูบุคคลที่มีฐานะร่ำรวย อย่างในอดีตเช่นเมณฑกเศรษฐี มีแพะทองคำล้อมรอบบ้านอยู่ แต่ละตัวโตเหมือนช้าง ภายในท้องแพะทองคำมีทรัพย์สมบัติสิ่งของทุกอย่าง ต้องการอะไรก็แค่ดึงสลักที่อุดปากแพะออก สิ่งของที่ต้องการก็จะไหลออกมาให้ ร่ำรวยจนนับไม่ได้ว่าตนเองมีเงินเท่าไร หรือชฏิลเศรษฐี มีภูเขาทองเกิดขึ้นในบ้าน หรือปุณณเศรษฐี สมัยที่ยังเป็นทาสเขาอยู่ ไถนาเท่าไร ขี้ไถก็กลายเป็นทองคำหมด เมื่อได้รับพระราชทานที่ให้ไปสร้างบ้านเรือน ขุมทรัพย์ก็เกิดขึ้นในที่ตั้งบ้านอีก หรือโชติกเศรษฐี ที่ร่ำรวยมหาศาลขนาดมีปราสาทแก้วมณี เป็นต้น

ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่อาจจะใช้ความร่ำรวยซื้อชีวิตตนเองให้ยืนยาวได้ ท้ายสุดก็ตายหมด ถ้าเรามาดูในยุคปัจจุบัน บุคคลที่มีฐานะร่ำรวยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบิล เกตส์ ไม่ว่าจะเป็นวอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่ว่าจะเป็นสตีฟ จอบส์ เป็นต้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่สามารถที่จะล่วงพ้นจากความตายเช่นกัน เรียกว่าโดยฐานะจะร่ำรวยขนาดไหนก็ต้องตายทั้งสิ้น

วิธีที่ ๓ ท่านบอกว่าให้พิจารณาโดยยศ บุคคลที่ยิ่งใหญ่ในอดีต อย่างเช่นพระเจ้าจักรพรรดิก็ดี พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ก็ดี มีใครจะสามารถใช้ความยิ่งใหญ่ในยศศักดิ์ รั้งชีวิตจากความตายได้หรือไม่ ? ก็ไม่มี..แม้กระทั่งในปัจจุบันของเรา บรรดาผู้นำประเทศต่าง ๆ ก็ล่วงลับดับขันธ์ไปให้เห็นอยู่เป็นระยะ ๆ

เราจะเห็นว่าแม้จะยิ่งใหญ่ระดับประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีของประเทศจีน ก็ไม่สามารถที่จะล่วงพ้นความตายไปได้ การพิจารณาความตายโดยยศ จึงสามารถพิจารณาโดยนัยอย่างที่กล่าวมานี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-03-2013 เมื่อ 01:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 01-04-2013, 10:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,632 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วิธีที่ ๔ ท่านบอกว่าให้พิจารณาโดยฤทธิ์ บุคคลที่มีฤทธิ์ มีอำนาจมาก อย่างในสมัยพุทธกาลคือพระโมคคัลลานะ มีฤทธิ์เป็นเลิศยิ่งกว่าพระสาวกทั้งปวงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถที่จะรอดพ้นจากความตายไปได้ เป็นต้น

แม้กระทั่งในยุคปัจจุบัน หลวงปู่ หลวงพ่อจำนวนมากมายที่มีคุณวิเศษ เป็นที่เชื่อมั่น เป็นที่เคารพศรัทธาของมหาชน ต่างก็ล่วงลับดับขันธ์ไปตามลำดับ ดังนั้น..การพิจารณาความตายว่า แม้กระทั่งบุคคลที่มีประกอบไปด้วยฤทธิ์อำนาจเห็นปานนี้ ก็ยังไม่สามารถจะล่วงพ้นความตายไปได้ จึงเป็นวิธีพิจารณาความตายอีกนัยหนึ่ง

วิธีที่ ๕ ให้พิจารณาโดยปัญญา อย่างเช่นพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกผู้เลิศด้วยปัญญา กล่าวกันว่าแม้กระทั่งนักปราชญ์ในปัจจุบันของเรานั้น ถ้าแบ่งเอาปัญญาพระสารีบุตรออกเป็น ๑๖ ส่วน แล้วนำ ๑ ส่วนใน ๑๖ ส่วนนั้นมาแบ่งลงออกเป็นอีก ๑๖ ส่วน นำส่วนหนึ่งใน ๑๖ ส่วนที่สองมาแบ่งลงอีก ๑๖ ดังนี้เป็นลำดับ ๆ ไป จนถึงส่วนที่ ๑๖ ของ ๑๖ ก็ยังมีปัญญามากมายมหาศาลกว่าบุคคลทั้งหมดในยุคปัจจุบันของเรา บุคคลที่มีปัญญาขนาดพระสารีบุตรก็ยังไม่สามารถจะใช้ปัญญาหลบหลีกความตายไปได้ การพิจารณาความตายโดยนัยแห่งปัญญาก็มีดังที่ได้กล่าวมานี้

วิธีที่ ๖ ให้พิจารณาว่า แม้แต่พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้สามารถตรัสรู้โดยตนเอง ยังไม่สามารถที่จะล่วงพ้นความตายไปได้ พระปัจเจกพุทธเจ้าถึงเวลาก็อุบัติขึ้นทีละหลาย ๆ พระองค์ บางครั้งก็เป็นแสน ๆ พระองค์ในคราวเดียวกัน พระองค์ท่านประกอบไปด้วยคุณความดีดังองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกประการ ขาดแต่เพียงสัพพัญญุตญาณเท่านั้น เป็นผู้ที่เลิศกว่าอัครสาวกอย่างพระโมคคัลลาน์พระสารีบุตร จนไม่สามารถจะประมาณคุณความดีได้ แต่ทุกพระองค์ก็ล้วนแล้วแต่ดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานไปแล้วทั้งสิ้น การพิจารณาความตายโดยยึดเอาพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอุทาหรณ์ ก็สามารถพิจารณาได้ดังที่กล่าวมานี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2013 เมื่อ 15:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 02-04-2013, 19:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,632 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วิธีสุดท้ายคือการพิจารณาโดยเอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอุทาหรณ์ องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เป็นผู้เลิศไปด้วยความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม เมื่อตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเข้าถึงความบริสุทธิ์นั้น พระองค์ท่านต้องบำเพ็ญเพียรมาอย่างน้อย ๒๐ อสงไขยกัป เนื่องจากคิดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า ๗ อสงไขยกัป กล่าวว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขยกัป ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป

ระยะเวลาที่ยาวนานไม่เห็นต้นเห็นปลายนี้ พระองค์ท่านทรงพากเพียรบากบั่น จนกระทั่งประกอบไปด้วยบารมีซึ่งเป็นที่ยอมรับของทั้งมนุษย์ ทั้งเทวดา และทั้งพรหมทั่วไป บุคคลที่ยิ่งใหญ่ เป็นเลิศ ประเสริฐ ไม่มีสองในโลกอย่างพระองค์ท่าน ก็ยังเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานเช่นกัน ตัวเราซึ่งมีอัตภาพแต่เพียงนี้ มีฐานะเพียงนี้ มียศเพียงนี้ มีฤทธิ์มีปัญญาแต่เพียงนี้ ไม่มีสักส่วนเสี้ยวเดียวที่สามารถเปรียบเทียบองค์พระปัจเจกพุทธเจ้าหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แล้วเราจะล่วงพ้นความตายไปได้นั้น ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในวิสัย อย่างไรเสียเกิดมาเราก็ต้องตายอย่างแน่นอน

ในเมื่อความตายจะมาถึงเราในทุกขณะ ถ้าเราตายแล้วต้องเวียนว่ายมาเกิดอีก ก็จะประกอบไปด้วยความทุกข์เช่นนี้อีก ดังนั้น..เราจึงควรที่จะขวนขวายหาทางหลุดพ้นเสียดีกว่า ก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติในศีล สมาธิ และปัญญา จนกระทั่งศีลของเราบริสุทธิ์บริบูรณ์ สมาธิทรงตัวตั้งมั่น มีปัญญาเห็นจริงว่าสภาพของร่างกายนี้ก็ดี สภาพของโลกนี้ก็ดี ประกอบไปด้วยความไม่เที่ยงเป็นปกติ ประกอบไปด้วยความทุกข์เป็นปกติ ไม่สามารถยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ ท้ายที่สุดก็เสื่อมสลายตายพังไปทั้งสิ้น

ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเช่นนี้เราไม่ต้องการอีก สามารถถอนจิตของตนพ้นจากความยินดีในร่างกายนี้ ในโลกนี้ ก็สามารถหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ ด้วยอำนาจของมรณานุสติกรรมฐานดังพรรณนามา ลำดับต่อไปก็ให้ทุกคนตั้งใจภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๖

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธและเถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-04-2013 เมื่อ 02:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:37



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว